ถ้ายังจำกันได้ เมื่อพูดถึงมอเตอร์โชว์ในสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะถึงช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ในตอนนั้นมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ แต่พอหลังจากนั้น แอลเอ มอเตอร์โชว์ก็พยายามยกระดับตัวเองขึ้นมาทาบรัศมี ด้วยการจัดงานในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อวัดใจว่าผู้ผลิตรถยนต์จะให้ความสำคัญกับงานไหนในการเลือกเปิดตัวรถยนต์รุ่นเด่น
และบทสรุปที่เห็นก็ชัดเจน ดีทรอยต์ยังยืนอยู่ได้ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่จัดงานจะเป็นช่วงเวลาแห่งความทรมานของการเดินทางสำหรับนักข่าวทั่วโลกที่จะต้องฝ่าหิมะหรือลมหนาวเพื่อไปที่ Cobo Hall ก็ตาม ส่วนแอลเอ มอเตอร์โชว์ต้องหลบไปจัดงานในเดือนพฤศจิกายนแทน
ถ้าแอลเอเลือกกลยุทธ์ในการโปรโมทตัวเองไม่ดุดันขนาดนั้น ไม่แน่พวกเขาอาจจะโด่งดังและได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์เหมือนอย่างที่งานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ได้รับก็ได้ ซึ่งในปัจจุบัน นิวยอร์ก มอเตอร์โชว์กลายเป็นเวทีสำคัญซึ่งมีผู้ผลิตรถยนต์เข้ามาร่วมเปิดตัวกันมากหน้าหลายตา และได้รับการตอบรับที่ดีจนกระทั่งยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นงานโชว์ในระดับนานาชาติโดยเติมคำว่า International เพิ่มเข้าไป พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินการจัดงานของ OICA หรือ International Organization of Motor Vehicle Manufacturers
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้นิวยอร์กยกระดับขึ้นมายืนเป็นแถวหน้าได้ แต่หลายความเห็นฟันธงว่า อาจจะเป็นเพราะชื่อของมหานครซึ่งคนทั่วโลกรู้จัก, ช่วงเวลาแห่งการจัดงานในเดือนเมษายนซึ่งอากาศกำลังดีขึ้นเพราะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ และตลาดรถยนต์กำลังเร่งในเรื่องยอดขาย และตำแหน่งที่ตั้งของเมือง ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกา และใกล้กับยุโรป ทำให้การเดินทางไม่ลำบากมากนัก
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมางานนี้ได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์อย่างมาก และได้รับความไว้วางใจในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในแบบ World Premier หลายต่อหลายรุ่นมาโดยตลอด โดยสังเกตได้จากจำนวนรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งก็มีคละเคล้ากันไประหว่างโมเดลที่มีขายเฉพาะในตลาดอเมริกา และโมเดลที่มีขายในตลาดโลกด้วย
ในปีนี้ งานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22 เมษายนถึง 1 พฤษภาคม โดยใช้อาคารจัดแสดง Jacob Javits Convention Center เป็นพื้นที่เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา...ส่วนในปีนี้จะมีของใหม่อะไรบ้างมาดูกัน
***ไครสเลอร์คึก นำทัพเจ้าถิ่น
เรียกว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยที่ไฮไลต์ในเรื่องจำนวนรถยนต์ใหม่ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้จะตกอยู่ที่ไครสเลอร์ แทนที่จะเป็นจีเอ็ม หรือฟอร์ดเหมือนกที่ผ่านๆมา
ตรงนี้ถูกอธิบายได้ 2 ประการ คือ จีเอ็มเบนเข็มไปให้ความสำคัญกับตลาดจีนมากขึ้น เพราะในช่วงเวลาเดียวกับที่นิวยอร์ก มอเตอร์โชว์จัดงาน ทางฝั่งเอเชียก็มีงานออโต้ เซี่ยงไฮ้ หรือเซี่ยงไฮ้ มอเตอร์โชว์จัดขึ้นมาด้วย ขณะที่อีกประการคือ การถูกลงแส้ หรือกระตุ้นโดนทางเฟียต ซึ่งนำทัพโดยแซร์โจ้ มาร์คิออนเน่ ในการพยายามผลักดันให้ไครสเลอร์มีบทบาทในตลาดรถยนต์มากขึ้น ดังนั้น ไครสเลอร์และแบรนด์ในเครือก็เลยเปิดตัวรถยนต์ใหม่ออกมาทั้งหมด 7 รุ่นด้วยกัน
รถยนต์ใหม่ที่ว่าก็มีทั้งไครสเลอร์ 200S ในแบบเปิดประทุน ตามด้วย 300S เน้นความสปอร์ตและใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะในการถ่ายทอดกำลัง, 300C Executive เอาใจนักบริหารตามชื่อรุ่นแต่แฝงด้วยความสปอร์ตนิดๆ ด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว, 300C SRT8 พร้อมเครื่องยนต์วี8 6,400 ซีซี HEMI 465 แรงม้า ซึ่งขุมพลังบล็อกนี้ก็ยังวางอยู่ในเวอร์ชันสุดสปอร์ตของจี๊ป แกรนด์เชโรกีในรุ่น SRT8 อีกด้วย และอีกรุ่นจากจี๊ปคือ เวอร์ชันแต่งพร้อมลุยในรหัส Mojave ของแรงเลอร์ อันลิมิเต็ดแบบ 4 ประตู
รุ่นสุดท้ายเป็นผลผลิตของแบรนด์ในเครืออย่างดอดจ์ กับซีดานมาดสปอร์ตรุ่นอะเวนเจอร์ R/T พร้อมเครื่องยนต์วี6 Pentastar 3,600 ซีซี 283 แรงม้า พร้อมกับชุดแต่งสปอร์ตรอบคัน และลดความสูงของตัวรถลงอีก 19-21 มิลลิเมตร
ทางด้านเฟียตก็เริ่มบุกตลาดสหรัฐอเมริกาแล้วและเปิดตัวผลผลิตแรกของตัวเองในตลาดแห่งนี้กับรุ่น 500C เปิดประทุนพร้อมเครื่องยนต์ Multiair 4 สูบ 1,400 ซีซี 101 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 13.5 กก.-ม.
ส่วนฟอร์ดในงานนี้ค่อนข้างเงียบนิดหน่อย เพราะมีแค่ไมเนอร์เชนจ์ของรถยนต์ครอบครัวในกลุ่ม D-Car อย่างรุ่นทอรัส มีทั้งรุ่นธรรมดาเครื่องยนต์ Ecoboost 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ และตัวแรงรหัส SHO วี6 3,500 ซีซี 290 แรงม้า โดยที่จีเอ็มก็มีคู่ปรับในระดับเดียวกันออกมาสู้อย่างสูสี ซึ่งก็คือ เชฟโรเลต มาลิบู โฉมใหม่ ซึ่งจะเป็น D-Car ที่ทำตลาดใน 100 กว่าประเทศทั่วโลก
***ของดีจากยุโรปก็มีเหมือนกัน
งานนี้ทางผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรปก็ส่งของใหม่ๆ เข้ามาร่วมงานกันมากมายหลายรุ่น โดยเฉพาะแบรนด์เยอรมนีซึ่งถือเป็นผู้เล่นหลักของรถยนต์จากยุโรปในตลาดกลุ่มนี้
ที่เด่นสุดเห็นจะหนีไม่พ้นการเปลี่ยนโฉมของโฟล์คเต่า ซึ่งกันกลับมาใช้ชื่อบีเทิลอีกครั้ง แทนที่จะเป็นนิวบีเทิลเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1998 ส่วนเรื่องของหน้าตาหลายคนอาจจะดูแล้วว่ามันต่างจากนิวบีเทิลอย่างไร ความจริงแล้ว มันต่างกันเยอะ และเป็นคนละคันอย่างแน่นอน เพียงแต่เอกลักษณ์ที่ถูกบีบให้ต้องอยู่บนตัวถังมีเยอะมากเหมือนกับปอร์เช่ 911 ก็เลยทำให้ดูแล้วเหมือนกับไม่ต่างกันมาก
ส่วนทางด้านปอร์เช่ นอกจากการเผยโฉมพานาเมอรา เทอร์โบ เอส ที่มีการอัพเกรดเรี่ยวแรงจากรุ่นเทอร์โบด้วยม้าอีก 50 ตัวรวมเป็น 550 แรงม้าแล้ว ก็ยังมีตัวแข่งทางเรียบ 911 GT3R ซึ่งมีการตกแต่งลวดลายในสไตล์เฟซบุ๊ค ด้วยการนำรายชื่อของกลุ่มบบุคคลที่กด Like บนแฟนเพจของปอร์เช่จำนวน 27,000 คนมาวางอยู่ในตัวรถ ซึ่งปัจจุบัน จำนวนแฟนในแฟนเพจของปอร์เช่มีมากถึง 1,502,860 คน
สำหรับออดี้ และบีเอ็มดับเบิลยูดูเหมือนจะไปเน้นกับงานที่จีนมากกว่า งานนี้ก็เลยมีแค่เมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้นที่เข้ามาสร้างสีสันในตลาดหรู โดยเปิดตัวทั้งต้นแบบของ A-Class ใหม่ และตัวแรงในรหัส 63AMG ของทั้ง C-Class และ E-Class โดยจะมีเข้ามาขายในตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน
และบทสรุปที่เห็นก็ชัดเจน ดีทรอยต์ยังยืนอยู่ได้ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่จัดงานจะเป็นช่วงเวลาแห่งความทรมานของการเดินทางสำหรับนักข่าวทั่วโลกที่จะต้องฝ่าหิมะหรือลมหนาวเพื่อไปที่ Cobo Hall ก็ตาม ส่วนแอลเอ มอเตอร์โชว์ต้องหลบไปจัดงานในเดือนพฤศจิกายนแทน
ถ้าแอลเอเลือกกลยุทธ์ในการโปรโมทตัวเองไม่ดุดันขนาดนั้น ไม่แน่พวกเขาอาจจะโด่งดังและได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์เหมือนอย่างที่งานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ได้รับก็ได้ ซึ่งในปัจจุบัน นิวยอร์ก มอเตอร์โชว์กลายเป็นเวทีสำคัญซึ่งมีผู้ผลิตรถยนต์เข้ามาร่วมเปิดตัวกันมากหน้าหลายตา และได้รับการตอบรับที่ดีจนกระทั่งยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นงานโชว์ในระดับนานาชาติโดยเติมคำว่า International เพิ่มเข้าไป พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินการจัดงานของ OICA หรือ International Organization of Motor Vehicle Manufacturers
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้นิวยอร์กยกระดับขึ้นมายืนเป็นแถวหน้าได้ แต่หลายความเห็นฟันธงว่า อาจจะเป็นเพราะชื่อของมหานครซึ่งคนทั่วโลกรู้จัก, ช่วงเวลาแห่งการจัดงานในเดือนเมษายนซึ่งอากาศกำลังดีขึ้นเพราะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ และตลาดรถยนต์กำลังเร่งในเรื่องยอดขาย และตำแหน่งที่ตั้งของเมือง ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกา และใกล้กับยุโรป ทำให้การเดินทางไม่ลำบากมากนัก
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมางานนี้ได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์อย่างมาก และได้รับความไว้วางใจในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในแบบ World Premier หลายต่อหลายรุ่นมาโดยตลอด โดยสังเกตได้จากจำนวนรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งก็มีคละเคล้ากันไประหว่างโมเดลที่มีขายเฉพาะในตลาดอเมริกา และโมเดลที่มีขายในตลาดโลกด้วย
ในปีนี้ งานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22 เมษายนถึง 1 พฤษภาคม โดยใช้อาคารจัดแสดง Jacob Javits Convention Center เป็นพื้นที่เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา...ส่วนในปีนี้จะมีของใหม่อะไรบ้างมาดูกัน
***ไครสเลอร์คึก นำทัพเจ้าถิ่น
เรียกว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยที่ไฮไลต์ในเรื่องจำนวนรถยนต์ใหม่ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้จะตกอยู่ที่ไครสเลอร์ แทนที่จะเป็นจีเอ็ม หรือฟอร์ดเหมือนกที่ผ่านๆมา
ตรงนี้ถูกอธิบายได้ 2 ประการ คือ จีเอ็มเบนเข็มไปให้ความสำคัญกับตลาดจีนมากขึ้น เพราะในช่วงเวลาเดียวกับที่นิวยอร์ก มอเตอร์โชว์จัดงาน ทางฝั่งเอเชียก็มีงานออโต้ เซี่ยงไฮ้ หรือเซี่ยงไฮ้ มอเตอร์โชว์จัดขึ้นมาด้วย ขณะที่อีกประการคือ การถูกลงแส้ หรือกระตุ้นโดนทางเฟียต ซึ่งนำทัพโดยแซร์โจ้ มาร์คิออนเน่ ในการพยายามผลักดันให้ไครสเลอร์มีบทบาทในตลาดรถยนต์มากขึ้น ดังนั้น ไครสเลอร์และแบรนด์ในเครือก็เลยเปิดตัวรถยนต์ใหม่ออกมาทั้งหมด 7 รุ่นด้วยกัน
รถยนต์ใหม่ที่ว่าก็มีทั้งไครสเลอร์ 200S ในแบบเปิดประทุน ตามด้วย 300S เน้นความสปอร์ตและใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะในการถ่ายทอดกำลัง, 300C Executive เอาใจนักบริหารตามชื่อรุ่นแต่แฝงด้วยความสปอร์ตนิดๆ ด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว, 300C SRT8 พร้อมเครื่องยนต์วี8 6,400 ซีซี HEMI 465 แรงม้า ซึ่งขุมพลังบล็อกนี้ก็ยังวางอยู่ในเวอร์ชันสุดสปอร์ตของจี๊ป แกรนด์เชโรกีในรุ่น SRT8 อีกด้วย และอีกรุ่นจากจี๊ปคือ เวอร์ชันแต่งพร้อมลุยในรหัส Mojave ของแรงเลอร์ อันลิมิเต็ดแบบ 4 ประตู
รุ่นสุดท้ายเป็นผลผลิตของแบรนด์ในเครืออย่างดอดจ์ กับซีดานมาดสปอร์ตรุ่นอะเวนเจอร์ R/T พร้อมเครื่องยนต์วี6 Pentastar 3,600 ซีซี 283 แรงม้า พร้อมกับชุดแต่งสปอร์ตรอบคัน และลดความสูงของตัวรถลงอีก 19-21 มิลลิเมตร
ทางด้านเฟียตก็เริ่มบุกตลาดสหรัฐอเมริกาแล้วและเปิดตัวผลผลิตแรกของตัวเองในตลาดแห่งนี้กับรุ่น 500C เปิดประทุนพร้อมเครื่องยนต์ Multiair 4 สูบ 1,400 ซีซี 101 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 13.5 กก.-ม.
ส่วนฟอร์ดในงานนี้ค่อนข้างเงียบนิดหน่อย เพราะมีแค่ไมเนอร์เชนจ์ของรถยนต์ครอบครัวในกลุ่ม D-Car อย่างรุ่นทอรัส มีทั้งรุ่นธรรมดาเครื่องยนต์ Ecoboost 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ และตัวแรงรหัส SHO วี6 3,500 ซีซี 290 แรงม้า โดยที่จีเอ็มก็มีคู่ปรับในระดับเดียวกันออกมาสู้อย่างสูสี ซึ่งก็คือ เชฟโรเลต มาลิบู โฉมใหม่ ซึ่งจะเป็น D-Car ที่ทำตลาดใน 100 กว่าประเทศทั่วโลก
***ของดีจากยุโรปก็มีเหมือนกัน
งานนี้ทางผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรปก็ส่งของใหม่ๆ เข้ามาร่วมงานกันมากมายหลายรุ่น โดยเฉพาะแบรนด์เยอรมนีซึ่งถือเป็นผู้เล่นหลักของรถยนต์จากยุโรปในตลาดกลุ่มนี้
ที่เด่นสุดเห็นจะหนีไม่พ้นการเปลี่ยนโฉมของโฟล์คเต่า ซึ่งกันกลับมาใช้ชื่อบีเทิลอีกครั้ง แทนที่จะเป็นนิวบีเทิลเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1998 ส่วนเรื่องของหน้าตาหลายคนอาจจะดูแล้วว่ามันต่างจากนิวบีเทิลอย่างไร ความจริงแล้ว มันต่างกันเยอะ และเป็นคนละคันอย่างแน่นอน เพียงแต่เอกลักษณ์ที่ถูกบีบให้ต้องอยู่บนตัวถังมีเยอะมากเหมือนกับปอร์เช่ 911 ก็เลยทำให้ดูแล้วเหมือนกับไม่ต่างกันมาก
ส่วนทางด้านปอร์เช่ นอกจากการเผยโฉมพานาเมอรา เทอร์โบ เอส ที่มีการอัพเกรดเรี่ยวแรงจากรุ่นเทอร์โบด้วยม้าอีก 50 ตัวรวมเป็น 550 แรงม้าแล้ว ก็ยังมีตัวแข่งทางเรียบ 911 GT3R ซึ่งมีการตกแต่งลวดลายในสไตล์เฟซบุ๊ค ด้วยการนำรายชื่อของกลุ่มบบุคคลที่กด Like บนแฟนเพจของปอร์เช่จำนวน 27,000 คนมาวางอยู่ในตัวรถ ซึ่งปัจจุบัน จำนวนแฟนในแฟนเพจของปอร์เช่มีมากถึง 1,502,860 คน
สำหรับออดี้ และบีเอ็มดับเบิลยูดูเหมือนจะไปเน้นกับงานที่จีนมากกว่า งานนี้ก็เลยมีแค่เมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้นที่เข้ามาสร้างสีสันในตลาดหรู โดยเปิดตัวทั้งต้นแบบของ A-Class ใหม่ และตัวแรงในรหัส 63AMG ของทั้ง C-Class และ E-Class โดยจะมีเข้ามาขายในตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน