ตอนช่วงที่เปิดตัวขายในตลาดเมื่อปี 2009 ใครๆ ก็คิดว่าปอร์เช่คงจะแบไต๋ด้วยการส่งทางเลือกทั้งหมดของพานาเมอราลงขายในตลาด ซึ่งก็มีทั้งรุ่นเล็กอย่างเครื่องยนต์วี6 รุ่นธรรมดาเครื่องยนต์วี8 และตัวแรงสำหรับเอาใจนักขับเท้าขวาหนักอย่างรุ่นเทอร์โบ
แต่ที่ไหนได้ อีก 3 ปีผ่านไป พานาเมอรายังมีอีก 2 ทางเลือก รุ่นแรกเป็นไฮบริดที่เน้นความประหยัด ส่วนอีกรุ่นแตกต่างสุดขั้วกับการอัปเกรดเติมความเร้าใจให้แก่รุ่นเทอร์โบในรหัส Turbo S
50 แรงม้า คือ ตัวเลขที่เพิมขึ้นมาจากรุ่นเทอร์โบปกติ ซึ่งใช้เครื่องยนต์วี8 4800 ซีซี ทวินเทอร์โบ และนั่นทำให้ตัวเลขของกำลังสูงสุดขยับขึ้นมาอยู่ที่ 550 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที เช่นเดียวกับแรงบิดสูงสุดที่ขยับจาก 71.3 มาเป็น 76.4 กก.-ม. ที่รอบกกว้าง 2,240-4,250 รอบต่อนาที
โดยที่ในรุ่นตกแต่งพิเศษอย่าง Sport และ Sport Plus จะมีการติดตั้ง Overboost Mode มาให้ด้วย ซึ่งแม้ขับอยู่ในโหมดปกติ หรือ Normal Mode แต่จังหวะที่ต้องการรีดกำลังเพื่อเร่งแซงด้วยการกระแทกคันเร่งแรงๆ เพื่อ Kick Down นั้น เครื่องยนต์จะปล่อยทอร์กออกมามากกว่าปกติ โดยอยู่ที่ 81.5 กก.-ม. ในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ในเรื่องของความกระฉับกระเฉงในการเร่งแซง
กับม้า 50 ตัวที่เพิ่มขึ้นมานั้นทำให้พานาเมอรา Turbo S สามารถตอบสนองการขับเคลื่อนได้เร้าใจขึ้น และเมื่อมีการใช้ Luanch Control เพื่อช่วยในการออกตัวแล้ว สมรรถนะถือว่าไม่ธรรมดาเลย ใช้เวลาเพียง 3.8 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่รุ่นเทอร์โบอยู่ที่ 303 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สำหรับการปรับแต่งเครื่องยนต์เป็นผลมาจากการใช้เทอร์โบใหม่ โดยมีเปลี่ยนมาใช้ Turbine Wheel ที่ผลิตจากอะลูมิเนียม-ไทเทเนียม ทำให้มีน้ำหนักเบาขึ้น และการตอบสนองต่อการทำงานที่ดีขึ้น สำหรับอีกส่วนที่มีการปรับปรุง คือ กล่อมสมองกล หรือ ECU ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งมีการปรับแต่งโปรแกรมการทำงานใหม่
รูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเทอร์โบอาจจะไม่เห็นความแตกต่างมากนัก คงต้องดูที่ลายล้อแม็กเพราะว่าในรุ่นใหม่นี้ใช้ขนาด 20 นิ้วลายใหม่ พร้อมกับติดตั้งสเกิร์ตข้าง ซึ่งแต่เดิมเป็นชุดแต่งสำหรับรุ่นธรรมดา ขณะที่ในเรื่องของแพกเกจระบบความปลอดภัยและการยึดเกาะที่ติดตั้งมาให้นั้นก็มีเพียบ ทั้งระบบช่วงล่างปรับระดับได้ หรือ Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) และลิมิเต็ดสลิปควบคุมการทำงานด้วยอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนใครที่อยากเร้าใจมากขึ้นก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มสำหรับแพกเกจ Sport Chrono ซึ่งจะมีการปรับเซตช่วงล่างใหม่ให้เร้าใจยิ่งขึ้น
สนนราคา 122,623 ปอนด์ หรือ 6.1 ล้านบาทในอังกฤษ ส่วนบ้านเรา ถ้านำเข้ามาขายหลังเสียภาษีแล้วราคาขยับขึ้น 3 เท่าตัว ซึ่งนั่นหมายความว่าปอร์เช่ พานาเมอรา เทอร์โบ เอส จะมีค่าตัวในบ้านเรา ไม่ต่ำกว่า 18 ล้านบาทอย่างแน่นอน