สำหรับแฟนๆ ของปอร์เช่ที่กำลังมองหาความเร้าใจแบบไม่ต้องพึ่งพาระบบอัดอากาศ ตอนนี้แบรนด์ดังของเยอรมนีนำเสนอทางเลือกใหม่ แถมยังมาในปริมาณการผลิตจำกัดเพียง 600 คัน ในเวอร์ชัน 4.0 ของรุ่น GT3 RS ที่มีการอัพเกรดปริมาตรความจุกระบอกสูบ และเมื่อบวกกับน้ำหนักตัวที่เบาตามแบบฉบับรุ่นพิเศษสำหรับสนามแข่ง จึงเชื่อใจได้เลยกับความเร้าใจทั้งตีนต้นและตีนปลาย
GT3 ถือเป็นเวอร์ชันสุดแรงและเร้าใจแบบไร้เทอร์โบของปอร์เช่ 911 ซึ่งมีการผลิตออกขายมาตั้งแต่ปี 1999 โดยเป็นความเร้าใจที่ได้รับการผลิตและพัฒนาบนพื้นฐานของเทคโนโลยีจากสนามแข่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานจริงบนท้องถนน และนอกจากรุ่นปกติแล้ว ทางปอร์เช่ยังเพิ่มอีกทางเลือกออกสู่ตลาดในรหัส RS ที่ขยับฝีเท้าด้วยการเพิ่มแรงม้าอีก 35 ตัว เป็น 450 แรงม้า แต่นั่นดูเหมือนว่าจะยังไม่พอใจแฟนๆ ก็เลยเป็นที่มาของเวอร์ชันที่เห็นอยู่นี้ GT3 RS 4.0
ประเด็นหลักของความเปลี่ยนแปลงในรุ่นนี้ คือ การขยายความจุของเครื่องยนต์แบบ 6 สูบนอน หรือบ็อกเซอร์ ทวินแคม 24 วาล์ว จากเดิมอยู่ในพิกัด 3800 ซีซี ในรุ่น GT3 และ GT3 RS มาเป็น 3996 ซีซี หรืออยู่ในพิกัด 4000 ซีซี พร้อมกับเปลี่ยนไส้ในของเครื่องยนต์ทั้งลูกสูบแบบ Forged รุ่นใหม่ และก้านสูบที่ผลิตจากไทเทเนียม ขณะที่เพลาข้อเหวี่ยงยกชุดสเป็กเดียวกับตัวแข่ง 911 GT32 RSR มาใช้
ผลที่ได้จากการจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะแบบอัตราทดชิด คือ จำนวนม้าเพิ่มขึ้นอีก 50 ตัว จากรุ่น RS มาเป็น 500 แรงม้าที่รอบสูงถึง 8,250 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 46.8 กก.-ม. ที่ 5,750 รอบ/นาที หรือคิดออกมาแล้วมีแรงม้าต่อลิตรอยู่ที่ 125 ตัว/ลิตร ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบนอนแบบ NA หรือหายใจเองที่มีตัวเลขในส่วนนี้สูงที่สุด
เมื่อบวกกับน้ำหนักตัวที่เบาตามสไตล์รถแข่ง ทำให้อัตราเร่งเร้าใจด้วยตัวเลข 3.9 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 12 วินาที สำหรับ 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่ความเร็วสูงสุดอยู่ในระดับ 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สำหรับหน้าตาของตัวรถมีการเพิ่มความพิเศษทั้งในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอก ด้วยชุดสปอยเลอร์ใหม่รอบคัน ซึ่งจุดเด่นอยู่ตรงที่กันชนหน้า ถูกออกแบบช่องรับอากาศที่เรียกว่า Flics หรือ Dive Plane เพื่อช่วยเรื่องของการสร้างแรงกดบนตัวถังด้านหน้า สำหรับการทรงตัวที่ดีขึ้นช่วงความเร็วสูง เช่นเดียวกับล้อแม็กที่มีการพ่นสีตามสีตัวถัง มีให้เลือก 2 สี คือ สีขาวและสีดำ โดยไซส์ล้อแม็กเป็นขนาด 19 นิ้วด้านหน้ามีความกว้าง 9 นิ้วจับคู่กับขนาดยาง 245/35 และด้านหลังหน้ากว้าง 12 นิ้ว จับคู่กับขนาดยาง 325/30
ขณะที่ด้านท้ายมาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังในสไตล์ GT อันโตแบบยึดติดตายตัว เพื่อสร้างกรงกดให้กับตัวถังด้านท้าย ซึ่งจากการทดสอบของปอร์เช่เผยว่า เมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุดในระดับ 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะเกิดแรงกดบนตัวถังด้านท้ายมากถึง 190 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ภายในห้องโดยสารมีการถอดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออกไป แถมยังติดตั้งเพลทเพื่อบอกหมายเลขจำนวนคันที่ผลิตเพียง 600 คัน บนช่องเก็บของฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมกับติดตั้งโรลล์บาร์เพื่อให้ได้กลิ่นอายของตัวแข่ง รวมถึงมีการนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบา เช่น คาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ทั้งภายนอกและภายในเพื่อประโยชน์ในเรื่องการลดน้ำหนัก และนั่นทำให้น้ำหนักของตัวรถลดลงมาอยู่ที่ 1,360 กิโลกรัม (เมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง) หรือคิดแล้วมีแรงม้าต่อน้ำหนักอยู่ที่ 368 แรงม้าต่อตัน หรือม้า 1 ตัวแบกน้ำหนักเพียง 2.72 กิโลกรัม
แม้จะเน้นในเรื่องของการลดน้ำหนัก แต่ปอร์เช่ก็ยังติดตั้งอุปกรณ์มาครบครันทั้งเรื่องความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการทรงตัว PSM, ดิสก์เบรกคาร์บอนเซรามิก หรือ PCCB ด้านหน้ามีขนาด 380 มิลลิเมตร และด้านหลัง 350 มิลลิเมตร ตามด้วยระบบป้องกันการชนทางด้านข้าง หรือ POSIP-Porsche Side Impact Protection และระบบเครื่องเสียงรวมถึงระบบนำทาง
ปิดท้ายย้ำว่าแค่ 600 คันเท่านั้นที่จะผลิตออกขายในตลาด ใครสนใจก็รีบจับจองด่วน โดยราคาในเยอรมนี 178,596 ยูโร หรือ 8.9 ล้านบาท ส่วนบ้านเราถ้าเข้ามาเท่าไรก็เอา 3 คูณได้เลย น่าจะได้จำนวนคร่าวๆ ของเงินที่จะต้องเตรียมเอาไว้