เรื่องการผลิตเอสยูวีตัวแรงรหัส M ภายใต้ฝีมือของ M Power อยู่ในหัวของบีเอ็มดับเบิลยูมานานนับตั้งแต่ X5 รุ่นแรก (E53) สวมหัวใจวี12 ของตัวแข่งเลอ มังส์เพื่อจัดแสดงเป็นต้นแบบในชื่อ X5 Le Mans ถูกเปิดตัวออกมาในปี 2000 แต่จนแล้วจนรอด โปรเจ็กต์นี้ก็เป็นแค่ฝันที่ไม่เคยเป็นจริงจนกระทั่งถึงเดือนเมษายน 2009 และในเมื่ออัดอั้นมานาน ผลผลิตก็เลยไม่ได้มาแค่หนึ่ง แต่มาถึง 2 รุ่นกับชื่อ X5M และ X6M
การเปิดตัวออกมาพร้อมกันทีเดียวถึง 2 รุ่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจะว่าไปแล้ว X5 (E70) กับ X6 (E71) ก็คือพี่น้องท้องเดียวกันที่แชร์พื้นฐานร่วมกัน เพียงแต่มีรูปแบบของตัวถังต่างกัน เพราะเป้าหมายทางการตลาด โดย X5 เน้นไปทางลุยๆ กับรูปทรงเอสยูวี 5 ประตูพันธุ์แท้ ส่วน X6 ออกแนวสปอร์ตสำหรับเอาใจคนรักเอสยูวีแต่เน้นการซิ่งบนถนนมากกว่าด้วยตัวถัง 4 ประตูท้ายลาด
ด้วยฝีมือของแผนก M Power ที่สร้างชื่อให้กระฉ่อนโลกมาแล้วกับผลผลิตภายใต้รหัส M ไม่ว่าจะเป็น M3, M5 หรือ M Roadster และ M Coupe บนพื้นฐานของโรดสเตอร์รุ่น Z3 งานนี้จึงเน้นความสวยและความแรงเป็นหลัก โดยทั้ง 2 รุ่นได้รับการเสริมความดุดันด้วยล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว และชุดแอโรพาร์ตใหม่รอบคันเพื่อประโยชน์ในเรื่องการสร้างประสิทธิภาพในการทรงตัวเมื่ออยู่ในช่วงความเร็วสูงเช่นเดียวกับการสร้างความโดดเด่นทางสายตาเมื่อแล่นอวดโฉมอยู่บนถนน
เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น X5M หรือ X6M จะพบกับเครื่องยนต์วี8 4,400 ซีซี แบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้ชื่อ M TwinPower Turbo กับการติดตั้งเทอร์โบแบบ Twin Scroll 2 ลูกเพื่อเพิ่มมัดกล้าม พร้อมปรับบูสต์จากโรงงานเอาไว้ 1.5 บาร์ และเทอร์โบทั้ง 2 ตัวติดตั้งที่แตกต่างออกไป โดยวางอยู่ด้านบนของเครื่องยนต์ตรงช่องว่างระหว่างฝาสูบของทั้ง 2 ฝั่งของเครื่องยนต์บล็อก V ใกล้กับท่อร่วมไอดี
กำลังที่ได้มาถือว่าสามารถประชันกับคู่ปรับตัวยงอย่าง ML63AMG ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง กับตัวเลขที่อยู่ในระดับ 555 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 69.3 กก.-ม. ที่ 1,500-5,650 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะที่มีการติดตั้งโปรแกรมช่วยการออกตัว หรือ Launch Control Program และ Paddle-Shift สำหรับเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเอง พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ x-Drive ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ M Power จับงานโมดิฟายรถยนต์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนสมรรถนะถือว่าไม่ธรรมดาด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงที่ใช้เวลาเพียง 4.7 วินาที และความเร็วปลายถูกล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และ ระบบ EfficientDynamics ซึ่งประกอบไปด้วย Brake Energy Regeneration ในการนำพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรกหรือถอนคันเร่งมาปั่นกระแสไฟฟ้าเพื่อนำมาใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในรถยนต์ และการปรับแต่งการไหลของน้ำมันไฮดรอลิกในระบบบังคับเลี้ยวแบบเพาเวอร์ ซึ่งทั้งหมดส่งผลดีต่อการลดระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย และอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
บีเอ็มดับเบิลยูวางแผนส่งขายในตลาดยุโรปช่วงเดือนตุลาคมนี้ ส่วนราคายังไม่เปิดเผยออกมา
