xs
xsm
sm
md
lg

Brabus G V12 S Biturbo โปรเจ็กต์ติดจรวดให้ตัวลุย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในวาระของการเฉลิมฉลองครบ 30 ปีในการทำตลาดของเอสยูวีพันธุ์เหลี่ยมอย่าง G-Class ไม่ได้มีเพียงต้นสังกัดอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้นที่กระตุ้นเตือนให้คนทั่วโลกรับทราบถึงการคงอยู่ในตลาด แต่ทางสำนักแต่งชื่อดังอย่างบราบัสก็ยังช่วยเพิ่มสีสันและความเร้าใจให้อีกด้วยกับเวอร์ชันตัวแรงสุดๆ ที่จับเอาเครื่องยนต์วี12 มาโมดิฟายและวางอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้า

อย่างที่ทราบกันดีว่า G-Class หรือบ้างก็เรียก G-Wagen (ย่อมาจาก Geländewagen ในภาษา เยอรมันซึ่งหมายถึงการลุยทางวิบาก) ถือเป็นเอสยูวีรุ่นบุกเบิกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ก่อนการเข้ามาของเอสยูวีแบบสำหรับนั่งมากกว่าลุยอย่าง M-Class, GL-Class หรือ GLK-Class โดยเป้าหมายแรกเริ่มของการพัฒนามีความมุ่งหวังในการเป็นรถยนต์สำหรับใช้ในราชการทหารภายใต้การร้องขอของกษัตริย์ชาห์แห่งอิหร่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ในเดมเลอร์


ตัวรถเริ่มผลิตออกมาในปี 1979 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัทออสเตรียที่ชื่อ Steyr-Daimler-Puch โดยนอกจากการผลิตเพื่อใช้งานในกองทัพแล้ว ยังมีรุ่นจำหน่ายจริงสำหรับคนทั่วไป หรือ Civilian Version อีกด้วย และนอกจากจะตีตราของเมอร์เซเดส-เบนซ์แล้ว ยังมีจำหน่ายในชื่อของ Puch G และเปอโยต์ยังซื้อใบอนุญาตผลิตสำหรับใช้ในกองทัพบกฝรั่งเศสภายใต้ชื่อเปอโยต์ P4 อีกด้วย

ตลอด 30 ปีของการทำตลาด G-Class มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ซึ่งสังเกตได้จากรหัสตัวถังที่เปลี่ยนจากรุ่นดั้งเดิมใน W460 มาเป็น W463 ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่บราบัสจับมาเพิ่มมัดกล้าม ด้วยเครื่องยนต์วี12 ตัวแรงและจัดว่าเป็นเอสยูวีที่มีฝีเท้าจัดที่สุดในโลก

ประเด็นหลักหนีไม่พ้นเครื่องยนต์วี12 แบบ 3 วาล์วต่อสูบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่วางอยู่ในรุ่นเอส600 และบราบัสจับมาโมดิฟาย โดยเพิ่มความจุจาก 5,500 ซีซีมาเป็น 6,300 ซีซีด้วยการใช้เพลาข้อเหวี่ยงชนิดพิเศษที่สามารถรองรับกับระยะชักที่ยาวขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับขยายทั้งขนาดของลูกสูบและเส้นผ่าศูนย์กลางของกระบอกสูบเพื่อรองรับกับความจุที่เพิ่มขึ้นจากปกติอีกร่วมๆ 800 ซีซี รวมถึงยังติดตั้งเทอร์โบคู่ตัวเขื่องเพื่อเสริมสร้างกำลังขับเคลื่อนทั้งแรงม้าและแรงบิด

กำลังสูงสุดไม่ต้องเป็นห่วงเพราะมีมากถึง 700 แรงม้า ที่ 5,100 รอบต่อนาที (น้อยกว่าเวอร์ชันที่วางในS-Class 30 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุดจริงๆ ของเครื่องยนต์อยู่ที่ 134.5 กก.-ม. ที่ 2,100 รอบต่อนาที แต่ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามข้อกำหนดของกฎหมาย ก็เลยมีตัวเลขลดลงมาอยู่ที่ 112.1 กก.-ม.


เมื่อผนึกกำลังกับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ และแม้ตัวรถจะใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อตลอดเวลา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการทำอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม โดยใช้เวลาเพียง 4.3 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าปลดล็อกออกจะทะยานต่อไปได้อีกนิดจนอยู่ในระดับ 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับเอสยูวีทรงเหลี่ยมตัวสูงโย่ง

ในเรื่องความสวยงามและดุดันของรูปลักษณ์ ทางบราบัสแต่งเติมอย่างเต็มที่ด้วยชุดแต่งแบบสปอร์ตรอบคัน และไฟหน้ามีการติดตั้งแถบไฟ LED ทำหน้าที่เป็น Day Time Light และเสริมด้วยล้อแม็กแบบ Forged ลาย Monoblock VI ที่มีขนาด 10.5X21 นิ้วพร้อมยางขนาด 295/40R21 ทั้งด้านหน้าและหลัง โดยลูกค้าสามารถเลือกยางได้ทั้งแบรนด์พิแรลลี่หรือโยโกฮามา


ภายในเน้นความสวยเรียบด้วยเบาะนั่งแบบสปอร์ต และเสริมด้วยลายไม้วอลนัททั้งบนแผงหน้าปัดและแผงประตู ครบครันด้วยอุปกรณ์ความบันเทิงทั้งเครื่องเล่น DVD เครื่องเสียง และจอ LCD ขนาด 8 นิ้วติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของพนักพิงศีรษะของเบาะคู่หน้า เพื่อให้ผู้โดยสารด้านหลังสามารถรับชมได้

ใครที่สนใจงานนี้เตรียมเงินเอาไว้เยอะหน่อย เพราะบราบัสตั้งค่าตัวเอาไว้ที่ 379,000 ยูโร หรือ 17.1 ล้านบาท ใครที่เบื่อขับซูเปอร์คาร์ น่าจะลองหันมาคบกับเอสยูวีตัวแรง

กำลังโหลดความคิดเห็น