เอสยูวีและรถยนต์เครื่องยนต์ใหญ่มักจะถูกมองว่าเป็นตัวผลาญน้ำมัน และยิ่งในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ที่ราคาน้ำมันทำให้คนขับรถยนต์ไม่ว่าจะเครื่องยนต์เล็กหรือใหญ่ต้องเป็นทุกข์กันถ้วนหน้า บรรดาค่ายรถยนต์ระดับหรูก็เลยต้องมองหาทางออกให้กับลูกค้าที่ไม่ชอบความประหยัดในสไตล์ดีเซล
โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ที่มีจำนวนตัวเลขของคนซื้อมากพอที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการต่อรองได้ ด้วยการนำระบบไฮบริดมาใช้ ไม่ได้เพื่อหวังผลในเรื่องการช่วยลดตัวเลขความสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าการเพิ่มสมรรถนะในการขับเคลื่อน และในงานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์จัดการเพิ่มทางเลือกใหม่ในตลาดเอสยูวีด้วยเวอร์ชันไฮบริดของเอ็ม-คลาสเพื่อเอาใจลูกค้าอเมริกันเป็นหลัก โดยจะใช้ชื่อ ML450Hybrid ในการทำตลาด
อย่างไรก็ตาม ระบบไฮบริดที่ติดตั้งอยู่ในเอ็ม-คลาสมีพื้นฐานเดียวกับที่ใช้ใน S400Hybrid ของเอส-คลาสรุ่นไมเนอร์เชนจ์ แต่แตกต่างกันในส่วนประกอบย่อย โดยเฉพาะแบตเตอรี่ซึ่งในเอ็ม-คลาสยังใช้แบบเดิมที่เรียกว่านิเกิล-เมทัลไฮดราย ส่วนของเอส-คลาสเปลี่ยนมาเป็นลิเธียม-ไออนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ตัวระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ Two-Mode Hybrid ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จีเอ็ม, ไครสเลอร์, บีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ร่วมมือกันพัฒนามาตั้งแต่ปี 2005
โดยระบบที่ใช้อยู่ในเอ็ม-คลาสวางเครื่องยนต์เบนซินวี6 3,500 ซีซีที่มีห้องเผาไหม้แบบ Atkinson เป็นขุมพลังหลัก ตัวเครื่องยนต์อย่างเดียวมีกำลังสูงสุด 279 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. และมีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวทำหน้าที่ช่วยในการขับเคลื่อน และชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แบบ 240 เซลล์มอเตอร์ไฟฟ้าตัวแรกติดตั้งใกล้กับเครื่องยนต์มีกำลังสูงสุด 84 แรงม้า อีกตัวติดตั้งอยู่ด้านท้ายของระบบส่งกำลังมีกำลังสูงสุด 82 แรงม้า
จุดเด่นของระบบคือ นอกจากการช่วยขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มสมรรถนะแล้ว ในบางจังหวะ เช่น การแล่นด้วยความเร็วต่ำในเมือง หรือขับอยู่ในลานจอดรถ หรือออกตัวจากจุดหยุดนิ่งแบบปกติไม่ได้กระแทกคันเร่ง ตัวรถสามารถขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ นอกจากนั้นการดับเครื่องยนต์เมื่อจอดอยู่กับที่ หรือการเปลี่ยนหน้าที่จากการขับเคลื่อนมาเป็นการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบก็ยังมีอยู่ ไม่ต่างจากรถยนต์ไฮบริดทั่วไป สมรรถนะในการขับเคลื่อนยังเร้าใจเช่นเดิม มีอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 7.8 วินาที และใช้เวลา 15.8 วินาทีในการแล่นควอเตอร์ไมล์ (0-402 เมตร) ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขณะที่ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีตัวเลขโดดเด่นถึงขนาดทำให้อึ้ง เพราะมีตัวเลขอยู่ที่ 8.5 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับในเมือง ใกล้เคียงกับตัวเลขของการขับนอกเมืองซึ่งอยู่ที่ 9.7 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่น ML350 แล้ว ดีขึ้นจากเดิมถึงกว่า 50% เลยทีเดียว
ส่วนระดับการปล่อยมลพิษในไอเสียอยู่ในกลุ่ม SULEV หรือ Super Low Emission Vehicle ไลน์การผลิตของ ML450Hybrid อยู่ที่เมืองทัสคาลูซ่า มลรัฐอะลาบามาเหมือนกับเอ็ม-คลาสรุ่นปกติที่ขายในเมืองลุงแซม ส่วนราคาจะมีการเปิดเผยออกมาในช่วงที่ใกล้ทำตลาดซึ่งจะมีขึ้นในปลายปีนี้