นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
มูซาชิเป็นคนสุขภาพดีและมีวินัยในการดำรงชีวิต นอนง่ายเมื่อคิดจะนอนและหลับทันทีไม่ว่าที่ไหนหรือเวลาใด แม้จะหลับช่วงสั้น ๆ แต่ตื่นมาสดชื่นแจ่มใสร่างกายกระปรี้ประเปร่าพร้อมก้าวไปข้างหน้า
เมื่อคืนก็เช่นกัน
มูซาชิเดินจากบึงโนบุโนะอิเคะกลับมายังเรือนของกนโนะซุเกะเมื่อค่อนคืนแล้ว และพอมาถึงก็ล้มตัวลงนอนหลับไปในห้องที่เจ้าของบ้านจัดให้โดยไม่เสียเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใสไปกับเหล่านกที่เริ่มส่งเสียงทักทายกันชวนชมอรุณเบิกฟ้า
เรือนใหญ่เงียบเชียบ มูซาชิคิดว่าสองแม่ลูกคงยังไม่ตื่น เฉพาะเจ้าหนุ่มชำนาญพลองนั้นคงยังนอนหลับสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จึงนอนฟังเสียงนกน้อยพลางเงี่ยหูฟังเสียงเปิดปิดประตูอยู่บนฟูก
เอ๊ะ...
มูซาชิอุทานอยู่ในใจ เมื่อแว่วเสียงคล้ายใครคนหนึ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่ห้องข้างๆ แต่น่าจะจากอีกห้องหนึ่งถัดไป
ใครน่ะ
คราวนี้เจ้าหนุ่มตั้งใจฟังดีๆจึงจับเสียงได้ว่า คนที่กำลังร้องไห้หนักมากราวกับเด็กชายน้อยนั้นก็คือกนโนะซุเกะนั่นเอง
“โธ่ ๆ ไม่น่าเลย แม่...แม่ทำเกินไป คิดหรือว่าข้าไม่เจ็บใจ แม่ไม่รู้เลยรึว่าข้าเจ็บแค่ไหน...บอกให้ก็ได้ว่าข้าเจ็บกว่าแม่หลายเท่านัก”
กนโนะซุเกะร้องไห้ พร่ำรำพัน ถ้อยคำขาดเป็นห้วง ๆ แทบจับความไม่ได้
“เลิกร้องไห้เสียทีเถอะ โตจนป่านนี้แล้ว”
แม่เฒ่าดุเสียงเฉียบขาด ราวกับลูกชายยังเป็นเด็กสามขวบ
“ถ้าเจ็บใจขนาดนั้นก็สงบอารมณ์ให้สติคืนมาอีกครั้ง แล้วตั้งใจคิดหาหนทางกู้เกียรติภูมิกลับคืน จะมัวนั่งร้องไห้ให้ได้อะไรขึ้นมา ดูสิ...น่าเกลียดเหลือทน เช็ดหน้าเช็ดตาเดี๋ยวนี้เลย”
“ได้ ข้าจะไม่ร้องไห้และทำตามแม่บอก ขอโทษนะที่ข้าพลาดพลั้งทำให้แม่ต้องอับอายเมื่อวานนี้”
“ข้าเองก็ดุด่าเจ้าไปตามอารมณ์ แต่พอมาคิดให้ลึกซึ้งก็บรรลุข้อความจริงที่ว่าคนเราต่างกันที่ความเก่งและไม่เก่ง และการเอาตัวรอดปลอดภัยไปเรื่อย ๆ ในทุกสถานการณ์จะยิ่งทำให้เราอ่อนแอลงตามลำดับ ขอให้ถือเสียว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นธรรมดาของโลกและชีวิต”
“ข้าเข้าใจทุกอย่างที่แม่พร่ำสอนทุกเช้าค่ำ แต่ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งเจ็บช้ำกับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่าน่าละอายเมื่อคืนก่อนเป็นทวีคูณ ครั้งนี้ข้าประเมินตัวเองได้กระจ่างชัดแล้วว่า เห็นทีจะเอาดีทางวิทยายุทธ์ไม่ได้แน่ จึงตั้งใจจะหักไม้พลองทิ้งเสีย และจับจอบจับเสียมเป็นชาวไร่ชาวนาดูแลแม่ให้สุขสบายทั้งกายและใจไปตลอดชีวิต”
แรก ๆ มูซาชิก็ฟังไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้คิดอะไร แต่นาน ๆ ไปชักเอะใจว่าคนที่สองแม่ลูกกำลังพูดถึงนั้นน่าจะเป็นตน
มูซาชิขยับตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตื่นอยู่บนฟูก เพราะไม่นึกว่าสองแม่ลูกจะจริงจังขนาดนั้นกับการแพ้ชนะเมื่อคืนก่อน
แม้ต่างคนจะปรับความเข้าใจกันได้แล้วว่าการปะทะเมื่อคืนเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดก็ตาม แต่การแพ้ชนะในการต่อสู้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สองแม่ลูกเจ็บใจและอับอายเป็นที่สุดที่พ่ายแพ้วิทยายุทธ์ของมูซาชิถึงขั้นหลั่งน้ำ
ทะนงตนจนน่ากลัว
เจ้าหนุ่มนักดาบกระซิบกับตัวเอง ก่อนย่องกริบเข้าไปแฝงตัวอยู่ในห้องข้าง ๆ และลอบมองผ่านรอยแยกที่ข้างฝาเข้าไปในความมืดสลัวของห้องที่แสงอรุณรุ่งยังส่องมาไม่ถึง
แม่เฒ่านั่งหันหลังให้ตู้พระของตระกูลส่วนลูกชายนั่งฟุบหน้าร้องไห้อยู่ตรงหน้า
มูซาชิไม่คิดว่าจะได้เห็นผู้ชายร่างกำยำผู้เชี่ยวชาญเพลงพลองอย่างกนโนะซุเกะ จะมาร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่แทบตักแม่อยู่ตรงนั้น
ทั้งสองไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของมูซาชิลอบมองเข้ามา
กนโนะซุเกะคงพูดอะไรกระทบใจแม่อย่างแรง เพราะเห็นแม่เฒ่าขยุ้มคอกิโมโนของลูกชายกระชากเข้ามาตะคอกใส่หน้าว่า
“พูดออกมาได้ยังไงฮึ กนโนะซุเกะ”
2
จากนี้ไปจะทิ้งวิชาที่หมั่นฝึกฝนด้วยความมาดหมายที่จะได้ตั้งใจจะได้เป็นเอกในยุทธจักร และหันมาจับจอบจับเสียมเป็นชาวไร่ชาวนาไปตลอดชีวิตอย่างนั้นรึ
แม่เฒ่าฟังคำของกนโนะซุเกะแล้วไม่ใช่แค่ขัดใจ แต่เพลิงโทสะลุกโชนขึ้นในอกของแม่เฒ่าทันทีที่สิ้นเสียงลูกชาย
“ว่าไงนะ จะเป็นชาวไร่ชาวนาไปจนตายงั้นรึ”
แม่เฒ่าขยุ้มคอกิโมโนของลูกชายลากเข้ามาใกล้ทำท่าคล้ายกับจะตีก้นเด็กชายน้อยวัยสามขวบ และเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกราดเกรี้ยวเข้าใส่
“ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจแม้แต่น้อยถึงความรู้สึกของแม่ที่เฝ้าเลี้ยงดูเจ้ามาแต่น้อย อบรมสั่งสอนให้เจ้าพากเพียรเรียนหนังสือและฝึกวิทยายุทธ์ เพื่อที่จะได้เติบโตขึ้นมาเป็นนักรบซามูไรและกอบกู้เกียรติภูมิที่เคยรุ่งเรืองของตระกูลเรา ข้าอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบใช้จ่ายอย่างกระเบียดกระเสียนแค่ให้มีเพียงเส้นด้ายต่อชีวิตมาจนทุกวันนี้ก็เพื่ออนาคตของเจ้า”
แม่เฒ่าพูดมาถึงตรงนี้ก็หลั่งน้ำตาสะอื้นไห้ ทั้งที่มือยังขยุ้มอยู่ที่คอกิโมโนของลูกชาย และพูดต่อด้วยเสียงแหบเครือแต่ทว่าทรงพลัง
“ในเมื่อเจ้าอับอายที่พ่ายแพ้ ทำไมถึงไม่ฮึดสู้เพื่อล้างอายให้สมกับเป็นชายชาตรี ทั้งที่โอกาสก็ยังมีเพราะเจ้านักดาบพเนจรนอนพักอยู่ที่บ้านเรา รอจนหมอนั่นตื่นขึ้นมาแล้วไปขอแก้มือก็ยังทัน เชื่อแม่เถอะว่านั่นเป็นทางเดียวที่จะกู้ความเชื่อมั่นในตนเองของเจ้ากลับคืนมา”
กนโนะซุเกะเงยหน้าขึ้นมาได้ แต่ก็พูดไม่ถูกหูแม่เฒ่าอีก
“แม่...ถ้าทำเช่นนั้นได้ ข้าจะมาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทำไม”
“เจ้าเป็นอะไรไปรึ กนโนะซุเกะ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นอย่างนี้มาก่อน วิญญาณนักสู้หายไปไหนหมดฮึ”
“เมื่อคืนกลางดึก ข้าพยายามหาช่องจู่โจมไปตลอดทางที่พานักดาบพเนจรคนนั้นไปเที่ยวหาญาติที่หายไป แต่ก็ไม่อาจลงมือได้”
“เพราะเจ้าขี้ขลาดน่ะซี”
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ขี้ขลาด ข้ามีเลือดของนักรบแห่งคิโซะอยู่ในกาย ข้าคือกนโนะซุเกะผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยไม้พลอง และเป็นผู้ที่ไม่เคยลืมสวดภาวนาเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวัน ต่อหน้าแท่นบูชาเทพเจ้าทั้งหลายที่สิงสถิตขุนเขาอนตาเกะ แต่ข้าถามตัวเองหลายต่อหลายครั้งมาแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เมื่อเห็นนักดาบนิรนามผู้นี้ทำไมข้าถึงทำอะไรไม่ถูกแม้แต่จะขยับแขนขา”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้ เห็นพร่ำสวดภาวนาเป็นนักเป็นหนามานานวัน ขอพรเทพเจ้าบนเขาอนตาเกะให้ได้เป็นเจ้าสำนักไม้พลอง”
“ก็ใช่ แต่พอมาคิดดูดี ๆ จึงรู้ว่าที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ข้ามองแต่ตัวเองด้านเดียวมาตลอด และรู้ตัวว่าคนที่อ่อนโลกและอ่อนหัดอย่างตนไม่มีทางที่จะก่อตั้งสำนักของตนเองขึ้นมาได้ ขืนดึงดันต่อไปก็มีแต่จะอดตายไปทั้งสองคนแม่ลูก ข้าจึงตัดสินใจหักไม้พลองทิ้งเสียตั้งแต่วันนี้ และจับจอบจับเสียมหากินกับท้องไร่ท้องนาดีกว่า”
“กนโนะซุเกะ ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยแพ้ไม่ว่าจะประลองยุทธ์กับใครและเพิ่งแพ้แค่ครั้งเดียวเมื่อคืน บางทีเทพแห่งขุนเขาอนตาเกะอาจดลบันดาลให้เจ้าแพ้เสียบ้างเพื่อให้เป็นบทเรียนก็ได้ หรือเห็นเจ้าอวดดีนักจึงลงโทษให้หลาบจำ และที่ว่าจะเลี้ยงดูข้าให้สุขสบาย ไม่ต้องลำบากลำบนไปตลอดชีวิตนั้นน่ะรึ ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีทาง เมื่อใดที่เจ้าหักไม้พลองทิ้งใจของข้าหมดสุขทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเอาเสื้อผ้าอาภารณ์ที่เลิศเลอหรืออาหารเลิศรสเพียงใดมาวางตรงหน้าข้าก็ไม่แล”
แม่เฒ่าทั้งปลอบทั้งขู่แต่ลูกชายก็ยังนิ่ง นางจึงผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนโยนลงเมื่อบอกว่า
“พอเจ้านักดาบพเนจรตื่น เจ้าจงไปท้าประลองยุทธ์อีกครั้ง และถ้าแพ้อีกเจ้าจะทำยังไงก็ได้ข้าไม่ว่า จะหักไม้พลอง จะตัดใจเลิกเอาดีในวิถีแห่งพลองก็ตามใจ”
ยุ่งละทีนี้
มูซาชิฟังความรู้เรื่องทั้งหมดอยู่อีกฟากหนึ่งของพนังห้อง รู้สึกหนักอกจนต้องถอนใจลึก ๆ ก่อนย่องกลับไปนั่งคิดหาทางออกอยู่บนฟูก
3
ทำยังไงดี
เดี๋ยวก็คงจะออกมากันแล้ว และพอเห็นหน้าเราสองแม่ลูกก็จะต้องท้าประลองยุทธ์แน่นอน
มูซาชิมั่นใจว่าจะต้องเป็นฝ่ายชนะ เพราะได้เห็นฝีไม้ลายมือและจังหวะจะโคนการฟาดฟันไม้พลองของคู่ต่อสู้จนครบถ้วนกระบวนยุทธ์แล้ว แต่ก็เป็นห่วงกังวลว่าหากพ่ายแพ้ตนอีกครั้งในวันนี้ กนโนะซุเกะเจ้าหนุ่มนักพลองจะต้องสูญสิ้นความเชื่อมั่นในตนเอง และล้มเลิกความตั้งใจที่จะเอาดีทางวิทยายุทธ์จริงดังที่ลั่นวาจาเอาไว้
ส่วนแม่เฒ่านั้นเล่า นางเลี้ยงกนโนะซุเกะมาด้วยตัวคนเดียว ทนอดมื้อกินมื้อมาจนทุกวันนี้เพื่อให้ลูกชายเติบโตเป็นคนแข็งแรงโดยไม่ลืมเรื่องวิชาความรู้ มูซาชิรู้ซึ้งเมื่อลองเอาใจนางมาใส่ใจตนว่า ความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะต้องทำให้แม่เฒ่าใจสลาย
และแล้วมูซาชิก็พบทางออกที่มีอยู่เพียงทางเดียว
ใช่...ทำให้ไม่มีการประลองยุทธ์เสียก็สิ้นเรื่อง
คิดได้ดังนั้นมูซาชิจึงค่อย ๆ เลื่อนบานประตูระเบียงแล้วหนีออกไปทางหลังเรือน
เจ้าหนุ่มนักดาบมองฝ่าม่านหมอกจางๆยามอรุณรุ่งที่โรยตัวผ่านก้านกิ่งและใบไม้ ไปทางโรงนา
แม่วัวที่ตนพบตอนออกตามหาโอซือเมื่อวานและจูงมาผูกไว้ที่นั่น ยืนเล็มหญ้าอย่างมีความสุขอยู่ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ
อยู่ให้สบายนะแม่วัว
มูซาชิอำลาแม่วัวด้วยความรู้สึกเอื้ออาทรที่ซ่านขึ้นมาในใจ ก่อนก้าวยาว ๆ เดินลิ่วไปบนคันนาออกจากแนวป่าบังลม
เช้านี้อากาศสดชื่น ยอดเขาโคมะ-งา-ตาเกะเผยโฉมให้เห็นเด่นตระหง่านชัดเจนอยู่ตรงหน้า
เจ้าหนุ่มนักดาบเดินดุ่มไปข้างหน้า สายลมที่โชยลงมาแม้จะเย็นเฉียบจนหูชาแต่ก็ช่วยหอบเอาความเหนื่อยล้าที่รุมเร้ามาตลอดทั้งวันเมื่อวานไปไกลโพ้น
อารมณ์ของเจ้าหนุ่มแจ่มใส แหงนมองฟ้าก็ยังสนุกไปกับปุยเมฆเบาฟ่องรูปร่างหลากหลายที่ลอยละล่อง หยอกล้อเล่นไล่จับกันไปตามสายลม
...จะเร่งรีบไปทำไม จะห่วงกังวลไปทำไม การพบและการจากล้วนเป็นไปตามแต่ชะตาจะลิขิต ในโลกเรานี้คงมีคนใจดี...หรือพระเจ้าถ้ามีจริง ช่วยคุ้มครองหนุ่มน้อยอย่างโจทาโร ผู้หญิงบอบบางอย่างโอซือตามสมควร อยู่บ้าง แล้วจะห่วงกังวลไปทำไม
เช้าวันนี้ มูซาชิรู้สึกว่าใจของที่เกือบจะพลัดหลงออกไปจากวิถีทางมาตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ใช่ซิ...ทำท่าว่าจะออกนอกลู่ทางมาตลอดตั้งแต่ที่น้ำตกคู่รักที่มาโงเมะแล้วนั้น กลับคืนสู่ทางสายหลักดังเดิมอย่างน่าประหลาด
แล้วโอซือล่ะ โจทาโรล่ะ
เช้าวันนี้ มูซาชิมองข้ามทุกสิ่งทั้งปวงแม้แต่คนที่มีความสำคัญอย่างสองคนนั้น ไกลออกไปบนวิถีชีวิตที่ตนมุ่งดำเนินไปตราบจนวาระสุดท้ายในโลกนี้และสืบไปในโลกหน้า
มูซาชิเดินทางมาถึงนาไรหลังเที่ยงวัน
เมืองพักแรมระหว่างทางไปเอโดะแห่งนี้เจริญรุ่งเรือง คึกคักไปด้วยผู้คนและนักเดินทางที่สัญจรไปมา สองฟากถนนที่ตัดผ่านตัวเมืองมีร้านค้าเรียงราย
ร้านขายดีหมีสำหรับเอาไปทำยาที่เลี้ยงหมีเป็น ๆ ไว้ในกรง ตั้งอยู่ข้าง ๆ ร้านขายหนังสัตว์ที่แขวนหนังสัตว์ป่า นา ๆ ชนิดไว้เต็มหน้าร้าน ถัดไปเป็นร้านขายหวีคิโซะที่มีชื่อของท้องถิ่น และอีกหลายร้าน
มูซาชิเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายดีหมีติดป้ายชื่อหมีใหญ่ตรงมุมถนน และยื่นหน้าเข้าไปถาม
“ขอถามหน่อยเถอะ พ่อลุง”
เจ้าของร้านหมีใหญ่ที่กำลังชงชาดื่มหันมามองและตอบว่า
“ได้สิ จะถามอะไรรึ”
“พ่อลุงช่วยบอกทีเถิดว่าร้านของท่านไดโซแห่งนาไรอยู่ทางไหน”
“อ๋อ ร้านของท่านไดโซ อยู่ที่สี่แยกถัดไป ทางโน้น”
เจ้าของร้านอุตส่าห์ออกมาชี้ทางให้ทั้งที่ในมือยังถือถ้วยชาอยู่ และพอเห็นลูกจ้างกลับเข้ามาจึงเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไปไหน ท่านผู้นี้มาถามทางไปร้านท่านไดโซ ข้าบอกให้แล้วแต่อาจไปไม่ถูก เจ้าช่วยพาไปส่งทีเถอะ”
หนุ่มลูกจ้างพยักหน้ารับคำแล้วออกเดินนำหน้าไป
มูซาชินึกขอบใจโชคชะตาที่ชักนำให้มาพบกับเจ้าของร้านผู้มีน้ำใจ และมีความหวังขึ้นมามากว่าจะได้พบคนที่ตามหา เมื่อนึกถึงเรื่องราวของท่านไดโซ ที่ได้ฟังจากกนโนะซุเกะ