xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน เมื่อไรจะถึงเอโดะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
โอซือก้าวยาว ๆ กลับไปยังกระท่อมชมน้ำตกด้วยใจมุ่งมั่นที่จะง้องอนด้วยคำหวาน แต่แล้วใบหน้าที่เบิกบานด้วยรอยยิ้มก็ต้องสลดลง ตาตกลงมองพื้นดินเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของชายในดวงใจ รอบกายเงียบสงัดอยู่ในม่านหมอกละอองไอน้ำที่ลมพัดหวนจากแอ่งน้ำตกเบื้องล่างขึ้นมาอ้อยอิ่ง และผ่านเลยไปไหวกิ่งใบของแมกไม้ในป่าให้ดังซู่ซ่าประสานกับเสียงครืนครานของน้ำตกที่กระโจนลงสู่แอ่งในหุบเขาไม่ขาดสาย
ทันใดนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงเจ้าหนุ่มน้อยโจทะโรตะโกนก้องลงมาจากโขดหินสูงลิ่วขึ้นไป
“แย่แล้ว แย่แล้ว โอซืออยู่ไหน ครูของข้ากระโดดน้ำตกหายไปไหนแล้วไม่รู้ วู้ ๆ โอซือ”
โอซือมองขึ้นไปก็เห็นโจทาโรกำลังก้มตัวชะโงกลงไปที่น้ำตกคู่รักด้านชาย พร้อมกับแผดเสียงเรียกนางอีกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วยังพูดอะไรต่ออีกแต่ก็จับความไม่ได้เพราะถูกเสียงน้ำตกกลบหมด
โจทาโรใจชื้นขึ้นเมื่อมองลงมาเห็นโอซือทำท่าตกใจแสดงว่าได้ยินเสียงกู่ตะโกนของตน และคงมองตามลงไปเห็นอะไรข้างล่างนั่น จึงวิ่งถลาฝ่าม่านหมอกราวกับลื่นไถลไปตามทาง ที่เปียกชื้นและเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ลงหน้าผาไปเบื้องล่าง
ส่วนโจทาโรเองก็คว้าเถาวัลย์โยนตัวเหมือนลิงหนุ่มจากโขดหินสูงลงไปที่แอ่งน้ำตกในหุบเขา

2
โอซือเห็น และโจทาโรก็เห็น
ละอองน้ำและม่านหมอกบดบังไว้ทำให้เห็นไม่ชัดว่าเป็นโขดหินหรือคนกันแน่ จนกระทั่งเมื่อเขม้นมองไปจึงรู้ชัดว่าชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนกุมมือจรดสองนิ้วไว้แน่นที่ระดับอก ก้มศีรษะสงบนิ่งอยู่ใต้น้ำตกที่กระโจนลงมากระทบร่างเปลือยเปล่านั้นคือมูซาชิ
พอแน่ใจว่าใช่ทั้งสองก็ลืมตัว
“ท่าน...มูซาชิ”
โอซือก็ร้องเรียกพลางไถลตัวลื่นลงมาตามจากหน้าผา
“ท่านครู...”
ส่วนโจทาโรก็ตะโกนก้องมาจากอีกฟากฝั่งน้ำ
หูของมูซาชิในขณะนี้ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากแต่เสียงน้ำตก แม้โอซือกับโจทาโรจะส่งเสียงตะโกนประสานกันอึงคะนึงเพียงใดก็ไม่ได้ยิน
น้ำสีน้ำเงินเข้มในแอ่งน้ำตกที่สูงขึ้นมาถึงระดับอกเป็นเหมือนมังกรเงินร้อยพันตัวแปลงร่างมารัดรึง สายน้ำแรงจัดเหมือนปีศาจน้ำพันหมื่นตนแปลงร่างพุ่งลงมามากัดกินใบหน้าและหลังไหล่ น้ำในแอ่งหมุนติ้วเป็นวังวนดูดดึงขาทั้งสองให้จมลงสู่ห้วงเหวมรณะ หากเผลอตัวหายใจผิดจังหวะ หรือคลายใจที่ตั้งมั่นแม้เพียงวูบเดียว ส้นเท้าที่ยึดอยู่กับพื้นตะไคร่ก็จะต้องลื่นล้มและร่างนั้นก็จะไหลลิ่วไปในกระแสน้ำเชี่ยว ไม่มีวันกลับคืนมาตลอดกาล
ยิ่งกว่านั้นแรงของน้ำตกที่กระหน่ำลงมาบนหัวยังหนักหนาราวกับภูเขามาโงเมะหล่นทับลงมาทั้งเทือก จนหัวใจและตับไตใส้พุงบี้แบนแทบจะติดพื้นพสุธา
ถึงกระนั้น แม้จนขณะนี้ภาพของโอซือที่ตัดใจสลัดทิ้งไป ก็ยังฝังตัวอยู่ในกระแสความคิดที่ร้อนเร่า ราวกับจะไม่มีวันจางหาย
พระผู้ใหญ่แห่งวัดชิกาเดระ หรือแม้แต่ชินรันศิษย์แห่งศาสดาโฮเน็นต่างก็มีเลือดเนื้อและความทุกข์เฉกเช่นปุถุชนทั่วไป โบราณกล่าวไว้ว่าคนเราไม่ว่าจะประสบความสำเร็จเพียงใด มีพลังความสามารถในการมีชีวิตแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อมองไปที่แก่นแท้แล้วจะเห็นว่าล้วนแต่แบกความทุกขเวทนานักหนาติดตัวมาตั้งแต่เกิดกันทั้งนั้น
เลือดที่ร้อนระอุผลักดันมูซาชิในวัยสิบเจ็ดด้วยพลังแรง ให้แบกทวนด้ามเดียวจากบ้านเกิดไปรบที่สมรภูมิ เซกิงาฮาระ และกระแสเลือดเดียวกันนี้เองที่สร้างพลังสู้ทนกฎเหล็กของหลวงพี่ทากูอัน หลั่งน้ำตาขอความเมตตา จนในที่สุดก็ตาสว่างและจิตใจแข็งแกร่งมั่นคงเช่นทุกวันนี้ เกิดความมั่นคงในจิตใจ กระแสเลือดเดียวกันนี้เองที่เร่งเร้าให้ตนบุกเดี่ยวเข้าไปประชิดท่านเซกิชูไซที่ปราสาทยากิวอันมีตำนานเกริกไกล และเลือดนี้อีกนั่นแหละที่สร้างพลังหาญกล้าให้ตนสู้กับศัตรูที่ระดมกำลังกันมาจนป่าที่สนต้นเดี่ยวแทบจะกลายเป็นป่าดาบประกายขาว
มูซาชิรู้ตัวดีว่าคราใดที่ยอมปล่อยให้เลือดอันร้อนแรงก่อเกิดอารมณ์พิศวาสกับสตรีอันเป็นที่รัก และลุกโชติช่วงขึ้นด้วยสัญชาตญาณของปุถุชน ครานั้นความเป็นคนเถื่อนของตนจะกลับคืนมา ป่วนใจให้สับสน บ้าคลั่ง เตลิดรุนแรง เกินกว่าจะควบคุมไว้ได้ด้วยวิชาและตรรกะที่อุตส่าห์ฝึกฝนปฏิบัติตนมาตลอดหลายปี
เจ้าหนุ่มนักดาบกำลังประจันหน้ากับศัตรูที่ไม่ว่าดาบจะคมกริบปานใดก็ไม่อาจสะกิดให้ระคายเคือง ศัตรูภายนอกนั้นมีรูปร่างเป็นเป้าหมายให้ประหัตประหาร แต่ศัตรูนี้คุกคามอยู่ในใจตนเองจะป้องปรามได้อย่างไร
มูซาชิสับสนและลังเล ตระหนักชัดว่าเกิดหลุมลึกขึ้นในใจตน ลึกล้ำจนไม่รู้ว่าจะข้ามพ้นไปได้อย่างไร
ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อเลือดที่ปุถุชนมีอยู่เท่าเทียมกันทุกรูปทุกนาม ไม่มีก็ทุกข์ มีอยู่ก็ทุกข์ เกิดร้อนแรงพลุ่งพล่านด้วยอารมณ์อันปั่นป่วน และหากเลือดนั้นเดือดจนคลุ้มคลั่งก็อาจถึงกับกระโดดน้ำตกจบชีวิตตนเองก็เป็นได้
โจทาโรมองมาด้วยสายตาที่สิ้นหวัง
เจ้าหนุ่มน้อยคิดไม่ผิดเมื่อตะโกนเรียกโอซือด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“โธ่ครูของข้า...ครู ครู...”
โจทาโรร้องไห้พลาง แผดเสียงกู่ตะโกนไม่หยุด
สายตาของเจ้าหนุ่มน้อยที่มองมายังมูซาชินั้น ไม่ผิดอะไรกับสายตาของคนที่มองเห็นความตายอยู่ตรงหน้า
“ครูอย่าตาย อย่าตาย อย่าทิ้งข้าไปเลยนะครู”
มูซาชิประสานมือทั้งสองแน่นรับความเจ็บปวดพร้อมกันไปกับน้ำตกที่กระโจนลงกระแทกกับหินผา ต่อสู้กับเสียงร้องไห้ที่แทรกเข้ามาในเสียงครืนครานของน้ำตก แต่ก็พ่ายแพ้เมื่อตาทั้งคู่สิ้นความอดทนเหลือบมองขึ้นไปที่หน้าผา
แต่โอซือที่คิดว่ายังยืนเกาะโขดหิน ร่วมรับความทุกข์ทรมานกับแรงกระแทกกระทั้นของน้ำตกกับตน ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

3
โจทาโรก็ไม่เห็นจึงตื่นตระหนก และมองลงไปที่ลำน้ำไหลเชี่ยวกระทบโขดหินเป็นฟองขาวฟ่องในหุบเขาทันที
“อะไรกัน โอซือด้วยเหรอ”
เจ้าหนุ่มน้อยเข้าใจเอาเองว่า โอซือเห็นมูซาชิลงไปในแอ่งน้ำตกและทำท่าว่าจะตายอยู่ในนั้นก็คงกระโดดลงไปหวังตายตาม
แต่พอหายตกใจและเขม้นมองไปที่ร่างสูงใหญ่ใต้น้ำตกเจ้าหนุ่มน้อยก็ได้คิด
เพราะมูซาชินั้นแม้จะยังยืนนิ่งรับแรงกระแทกกระทั้นจากน้ำตกอยู่ในแอ่ง แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตของชายวัยหนุ่มที่อัดแน่นตั้งแต่หลังไหล่ลงไปทั่วร่าง ไม่เหมือนพระวัดชิงาเดระที่มาตายหรือปลงอาบัติ มูซาชิมาบำเพ็ญสมาธิอยู่ใต้น้ำตกเพื่อให้ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส เพื่อที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่ด้วยใจที่แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น พร้อมผงาดสู่โลกกว้าง...โจทาโรเริ่มเข้าใจ
ไม่นานเจ้าหนุ่มน้อยก็ได้ข้อพิสูจน์
มูซาชิส่งเสียงที่โจทาโรได้ยินจนคุ้นหูขึ้นมาจากแอ่งน้ำตกแต่ก็จับความไม่ได้เพราะอยู่ไกลออกมา จะว่าสวดมนต์ก็ใช่ หรือว่าโกรธเกรี้ยวก่นด่าตนเองก็ใช่อีก
ดวงอาทิตย์คล้อยเคลื่อนไปทางเทือกเขา แสงแดดยามบ่ายสาดส่องมาที่แอ่งน้ำตก กระทบไหล่บึกบึนของมูซาชิเกิดสายรุ้งใหญ่น้อยแพรวพราว รุ้งใหญ่สุดพาดผ่านน้ำตกขึ้นไปยังฟากฟ้า
“โอซือ”
โจทะโระกระโดดตัวลอยราวปลาอายุ ข้ามหินโขดหนึ่งไปยังอีกโขดหนึ่งผ่านลำน้ำที่ไหลเชี่ยวไปยังหน้าผาอีกฟากฝั่ง
จริงสิ โอซือยังไม่เห็นตื่นเต้นอะไรถึงกับต้องออกมาดู แล้วข้าจะกังวลไปทำไม เชื่อโอซือได้เลยเพราะนางเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของท่านครูดีที่สุด รู้เข้าไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยละ
โจทาโรปีนขึ้นไปบนหน้าผาห่างออกมาจากกระท่อมชมน้ำตก เห็นแม่วัวเดินลากเชือกผูกที่หลุดอยู่เล็มหญ้าอยู่แถวนั้น และเมื่อมองไปก็เห็นแต่ด้านหลังของโอบิผ้าผูกเอวกิโมโนอยู่ตรงชายคากระท่อม
ทำอะไรอยู่น่ะ
เจ้าหนุ่มน้อยย่องกริบเข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยความสงสัย จึงเห็นโอซือนั่งกอดกิโมโนกับดาบคู่ที่มูซาชิถอดทิ้งไว้ที่กระท่อมแนบอกเอาไว้แน่น และร้องไห้ออกมาดัง ๆ อย่างไม่เกรงว่าใครจะได้ยิน
อ้าว ไหนว่ารู้ใจกันดีไงเล่า
โจทาโรยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากยืนงงมองโอซืออยู่ตรงนั้น
เจ้าหนุ่มน้อยเคยเห็นโอซือร้องไห้อยู่คนเดียวมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เหมือนครั้งนี้ และท่าทางที่นางกอดสิ่งของพวกนั้นเอาไว้พลางร้องไห้ไปด้วยนั้นก็แปลก ร้องไห้กับสิ่งของอ่ะนะ...โจทาโรเบ้ปาก แล้วหันหลังกลับไปหาแม่วัวซึ่งเดินเล่นอยู่หลังกินหญ้าอิ่มแล้ว
แม่วัวเดินเล่นไปได้สักพักก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าที่ออกดอกสีขาว ๆ แสงแดดยามบ่ายสะท้อนดวงตาที่กำลังหรี่ปรือ
“เฮ้อ มัวโอ้เอ้กันอยู่ อย่างนี้ เมื่อไรจะไปถึงเอโดะกันล่ะ”
โจทาโรบ่นพลางล้มตัวลงนอนข้าง ๆ แม่วัว
*****
(จบ MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาคลม เชิญติดตาม ภาคต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น