นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
แสงอาทิตย์เรืองรองสะท้อนหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าแพรวพรายเป็นสายรุ้งระยิบระยับ
สองหนุ่มสาวนั่งแอบอิงพิงกายกันฟังเสียงน้ำตกอยู่ใต้ร่มเงาชายคากระท่อมน้อย
“เจ้าหนุ่มน้อยไปถึงไหนแล้วไม่รู้”
“โจทาโรรึ”
“ใช่ แก่นแก้วเหลือขอจริง ๆ ไม่ไหวเลยเด็กคนนี้”
“ไม่หรอก เทียบกับข้าสมัยเด็กแล้วละก็ยังไม่เข้าขั้น”
“ท่านน่ะ ต้องเว้นไว้คนหนึ่ง”
“ตรงกันข้าม มาตาฮาจิเป็นเด็กดี ว่าง่ายอยู่ในโอวาท เออ...พูดถึงมาตาฮาจิ ตกลงไม่มาตามนัดใช่ไหมเนี่ย เจ้าคนนี้ต่างหากที่น่าห่วง”
“แต่ฉันกลับโล่งใจ ถ้ามาตาฮาจิมาจริง ๆ ฉันคงต้องหนีไปซ่อนไม่กล้าสู้หน้า”
“ไม่ต้องไปซ่อนหรอก คนเราพูดกันดี ๆ ไม่ว่าใครก็เข้าใจเหตุผลของกันและกันทั้งนั้นแหละ”
“แต่สองแม่ลูกนี่ไม่ค่อยจะเหมือนใคร ท่านก็รู้”
“โอซือ เจ้าจะเปลี่ยนความคิดใหม่อีกครั้งหนึ่งรึ”
“เปลี่ยนยังไง”
“ข้าอยากถามว่า เจ้าไม่คิดที่จะกลับไปเป็นเจ้าสาวของตระกูลฮนอิเด็นดังเดิมบ้างรึ”
โอซือตกตะลึง หน้าถอดสีเมื่อตอบทันควันว่า
“ไม่มีวัน”
แล้วน้ำตาก็ซึมออกมาปริ่มขอบตาที่แดงเรื่อราวกับสีของกลีบดอกกล้วยไม้
ใจเจ้าหนุ่มก็ไหววาบเมื่อเห็นน้ำตา เสียใจที่พลั้งปากออกไป ทั้งที่รู้ใจสาวเจ้าดีแต่ยังจะทำเป็นพูดจาลองใจให้ช้ำ โอซือคงจะชอกช้ำหนักหนาเมื่อถูกมองเหมือนเป็นหญิงใจโลเลและเยียบเย็นเมื่อรักจางไปตามกาลเวลา เพราะเห็นยกมือนุ่มละมุนขึ้นบิดหน้าและไหล่บางสะท้านสะเทือน
ริมขอบกิโมโนที่เคลียต้นคอขาวนวลไหวตามราวกระซิบบอกว่า
ข้าเป็นของท่านคนเดียว
พุ่มใบเขียวอ่อนของแมกไม้ช่างเป็นใจ ช่วยบดบังสองหนุ่มสาวไว้ให้อยู่ในโลกสราญเพียงลำพัง
ครานั้น เจ้าหนุ่มนักดาบร้อนรุ่มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอันรุนแรงที่ซ่านอยู่ในทุกอณูในเรือนร่าง ประกอบกับพลังกายที่อัดแน่นพร้อมระเบิดออกมาเช่นเดียวกับโจทาโร ที่ผาดโผนลงไปเมื่อเห็นสายน้ำตกลงไปหมุนคว้างเป็นวังวนด้วยกำลังแรงจนสาดกระเซ็นอยู่ในแอ่ง เสียงเลือดที่ฉีดแรงไปทั่วตัวดังราวเสียงครืนครานของน้ำตกยามกระโจนลงกระทบแอ่งหินเบื้องล่าง
หลายวันมาแล้ว ดวงตาของเจ้าหนุ่มเฝ้ามองเรือนร่างของโอซือไม่รู้เบื่อ ดื่มด่ำกับเสน่ห์ของสาวเจ้าที่เปลี่ยนยามไหวตัวต้องแสงตะวันจ้ายามกลางวัน และภายใต้แสงตะเกียงที่วูบงาบยามราตรี จมูกนั้นเล่าก็เพียรสูดกลิ่นเหงื่ออันหอมหวานราวดอกไม้ที่บานสะพรั่ง และกลิ่นผมดำสนิทที่ลอยมาตามลมเข้าไปจรุงใจ ความรักแตกหน่ออยู่ใต้หินผาและเติบโตยืนต้นแข็งแรงอยู่ในอกมานานปี แต่แล้วก็มีเรียวหญ้าบาง ๆ แทรกเข้ามาให้รำคาญ
อยู่ ๆ มูซาชิก็ผลุดลุกขึ้นและเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งโอซือให้อยู่คนเดียว ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่าหนีมากกว่า
ก้าวยาว ๆ ดุ่มไปในทุ่งหญ้าที่ไม่มีทางเดิน และพอหายใจไม่ทันและอ้าปากจะช่วยหายใจก็รู้สึกเหมือนลมร้อนจัดพลุ่งออกมาจากปาก เลือดร้อนระอุขึ้นมาท่วมท้นร่างใหญ่กำยำจนอยากจะปล่อยทิ้งออกไปเสียบ้าง ถ้าได้กระโดดโลดเต้นด้วยความคึกคะนองเหมือนโจทาโรก็คงจะพอผ่อนคลาย
เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่ถอนหายใจยืดยาว ทิ้งตัวแรง ๆ นั่งลงบนทุ่งหญ้าฤดูหนาวต้นสูงลิ่วที่เหี่ยวแห้งลู่ลมเงียบๆอยู่ในแสงตะวัน
โอซือเห็นชายสุดที่รักลุกขึ้นเดินหายไปก็ออกตามทันทีด้วยความห่วงว่าจะเป็นอะไรหรือไม่ เพราะเห็นอยู่ ๆ ก็ผลุนผลันลุกไป
และพอพบมูซาชินั่งตัวตรงอยู่ในพงหญ้าก็ถลาเข้าไปเกาะเข่าหมายจะอ้อนด้วยคำหวานให้ชื่นใจไปด้วยกัน
แต่ก็ต้องผงะถอยออกมาด้วยความเกรง เมื่อเห็นเจ้าหนุ่มนั่งหน้าบึ้งตึงและเงียบงันราวกับมีใครทำอะไรให้ไม่สบอารมณ์
“มูซาชิ เกิดอะไรขึ้น ท่านมูซาชิ ข้าพูดอะไรกระทบใจท่านรึ ถ้าใช่ก็ยกโทษให้ข้าเถิด ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
“... ... ...”
“ท่านมูซาชิ ข้าขอโทษ”
ยิ่งบึ้งตึง ยิ่งทำหน้าเครียดดุดัน โอซือก็ยิ่งเบียดร่างอ่อนระทวยเข้าไปแนบอกเจ้าหนุ่ม ราวดอกไม้ไหวเข้ามาเคลียกายขจรกลิ่นให้ชื่นใจ
มูซาชิคำรามเสียงดัง
ก่อนรัดร่างบอบบางของโอซือเข้ามากระชับไว้ในวงแขนกำยำ แล้วพานางล้มตัวลงไปบนพื้นหญ้าด้วยกันทันใด โอซือร้องไม่ออกได้แต่ยืดคอขาวผ่องหลบใบหน้าคล้ามแดดที่ซุกไซ้ลงมา และดิ้นขลุกขลักอยู่กับอกกว้างกำยำนั้นเอง
2
นกชิมาโดริหางยาวเกาะกิ่งต้นมากิมองไปยังท้องฟ้าเหนือเทือกเขาอินะที่ยังมีหิมะจับอยู่บางๆ
ดอกสึสึจิป่าสีแดงจัดราวสีของเปลวไฟ ท้องฟ้าโปรงสดใส กลิ่นดอกซุมิเระหอมอ่อนๆอยู่ใต้พื้นหญ้าแห้ง
เสียงลิงป่ากู่หากัน กระรอกวิ่งปราดเปรียวโผจากกิ่งไม้นั้นไปกิ่งโน้น ท่ามกลางธรรมชาติที่ราวกับไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่ำมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์
พงหญ้ายุบยวบลงไปเป็นแอ่งลึกตามน้ำหนักของร่างใหญ่กำยำ เสียงใครคนหนึ่งกรีดร้องขึ้นมา จะว่าเพราะตกใจหรือยังไง
“มูซาชิ อย่า ๆ อย่าทำอย่างนั้น หยุดนะ”
โอซือทำตัวแข็ง ปกป้องตัวเองราวกับลูกเกาลัดที่มีหนาม
“ไม่นึกเลยว่า ผู้ชายอย่างมูซาชิจะทำกับฉันอย่างนี้”
มูซาชิเองก็ตกใจ งงงวย และขนลุกทั่วตัวที่กำลังร้อนผ่าว เมื่อได้ยินเสียงตัดพ้ออันเย็นเยียบของโอซือและเสียงสะอื้นด้วยความสะเทือนใจที่ตามมา
“ทำไมรึโอซือ ทำไม ทำไมถึงไม่ได้”
มูซาชิครางอยู่ในลำคอ เสียงคล้ายกับจะร้องไห้ออกมาให้ได้ แม้จะอยู่ในที่ลับตาไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่การถูกปฏิเสธเช่นนี้ไม่ว่าชายใดก็ไม่อาจทนความอับอายได้ ทั้งอับอายทั้งโกรธตัวเองอัดอั้นอยู่ในอกจนอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ
แต่ทันทีที่มือเลื่อนหลุดความอบอุ่นสิ้นไปจนใจหายวาบ โอซือก็ไม่อยู่ข้างกายเสียแล้ว และพอเห็นถุงเครื่องหอมเล็ก ๆ ที่เชือกผูกเพิ่งจะหลุดลุ่ยและร่วงอยู่ข้างกาย น้ำตาที่คลออยู่แล้วแทบจะหยาดหยด รู้ตัวแล้วและสมน้ำหน้าตัวเองว่าความคิดตื้นเขินนักจึงได้บุ่มบ่ามล่วงเกิน แต่ที่ยังอ่านไม่ออกก็คือหัวใจของโอซือ
ดวงตา ริมฝีปากและคำพูด ทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่เว้นแม้ทุกเส้นผมของเจ้า เร้าใจเราให้ร้อนแรงทุกครั้งที่พบกัน ไม่มีคลายมาจนกระทั่งวันนี้
เจ้าเองเป็นคนก่อไฟให้คุกรุ่นขึ้นในใจเรา และพอเปลวไฟลุกโชติช่วงก็กลับตื่นตระหนกและผละจากไป รู้หรอก ว่าไม่ได้โกรธเคืองหรือหมายจะหยามน้ำใจกัน แต่ไม่รู้เลยหรือว่าการทำเช่นนั้นทำให้คนที่เจ้ารัก เจ็บช้ำทรมาน และรู้สึกตัวว่าตกต่ำน่าอับอายเพียงใด
เจ้าหนุ่มนักดาบยกฝ่ามือใหญ่และหยาบกร้านขึ้นปิดหน้าซบลงกับพื้นหญ้า แต่ก็ไม่อาจซ่อนเสียงสะอื้น
มูซาชิหลั่งน้ำตาระบายความเศร้าเสียใจออกมาอย่างสุดกลั้น เมื่อคิดว่าความมานะพยายามฝึกฝนวิชาดาบมาด้วยความอดทน การฝึกสมาธิบำเพ็ญญาณให้จิตใจแกร่งกล้าและมีธรรมะ ทั้งหมดนั้นมลายหายไป เหมือนเด็กที่ทำลูกไม้ที่เอื้อมเด็ดลงมาได้จากกิ่งสูงลิ่วหลุดมือหล่นหาย
มูซาชิซบหน้านิ่งอยู่กับหยาดน้ำตาตนเองไม่เงยหน้าขึ้นดูฟ้าและแสงอาทิตย์อยู่นานอยู่นานเท่านาน ร้องอุทธรณ์อยู่ในใจว่า
ข้าทำอะไรผิดรึ
เจ้าหนุ่มนักดาบใคร่ครวญถึงการกระทำของตนที่ผ่านมา เมื่อถึงตอนที่ไม่เหมาะไม่ควรก็ก่นด่าตัวเอง แต่ถึงจะได้ความขุ่นข้องออกมาบ้างแต่ใจก็ไม่ผ่องแผ้วขึ้น
ทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนี้ ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ณ ขณะนี้ มูซาชิไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเอ็นดูความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของโอซือ คิดแต่ว่าแม้นางนั้นจะใสสะอาดราวไข่มุก แต่ก็บอบบางและอ่อนไหวเกินกว่าจะเอื้อมมือหยาบกร้านของตนไปคว้ามาชม หากว่าเป็นหนุ่มใหญ่ที่เผชิญโลกและชีวิตมามากว่านี้ ก็จะเข้าใจว่า ในชั่วชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งนั้น จะมีแค่ช่วงเวลาเดียวที่นางมีความรักให้แก่ชายในดวงใจ อันเป็นอารมณ์สุนทรีย์ที่มีความงดงามยิ่งนัก เฉกเช่นโอซือในขณะนี้
มูซาชิซบหน้าอยู่นิ่งนาน กลิ่นดินและกลิ่นหญ้าเขียวสดช่วยปลอบประโลมให้ใจเจ้าหนุ่มค่อยสงบลง จนเมื่อลุกขึ้นยืนตระหง่านอีกครั้ง รอยช้ำแดงในดวงตาไม่มีเหลือให้เห็น เพียงแต่ใบหน้าคมสันสมชายเท่านั้นที่ซีดขาว
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่เหยียบขยี้ถุงเครื่องหอมของโอซือจนจมดิน ทำท่าคล้ายเงี่ยหูฟังเสียงจากขุนเขาแล้วจู่ ๆ ก็ร้องขึ้นว่า...ใช่ แล้วก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคงไปทางน้ำตก ขมวดคิ้วดกดำเข้ามาแทบเป็นเส้นตรง ไม่ผิดอะไรกับเมื่อเมื่อครั้งตัดใจกระโจนเข้าสู่สมรภูมิที่สนต้นเดี่ยว
นกน้อยในพงหญ้ากรีดร้องเสียงแหลม โผบินกระเจิดกระเจิงแตกฝูง ลมแรงหอบเสียงครืนครานของน้ำตกใกล้เข้ามาในระยะกระชั้นชิด แสงแดดจางลงเมื่อม่านเมฆบางลอยละล่องมาบดบังและผ่านเลย
---โอซือสะบัดกายจากอ้อมแขนของมูซาชิ หนีมาแฝงตัวอยู่หลังต้นชิราคาบะห่างออกไปแค่ยี่สิบก้าว และจับจ้องอากัปกิริยาของชายอันเป็นที่รักอย่างไม่คลาดสายตา จนรู้แน่แก่ใจว่าตนเป็นคนทำให้มูซาชิต้องทุกข์ทรมานใจถึงเพียงนั้นจึงได้คิดว่าผิดพลาด และโหยหาไออุ่นจากอ้อมอกนั้นอีกครั้ง
หรือว่าเราจะโผกลับไปหาและขอโทษ...โอซือลังเล ใจที่เคยแข็งแกร่งฟันฝ่าอุปสรรคนานามาด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้ใจนั้นกลับฝ่อเหลือนิดเดียวพอๆกับนกน้อยในพงหญ้า เนื้อนวลสั่นระริกราวกับไม่ใช่เรือนกายของตัวเอง
3
ดวงตาหวานซึ้งของโอซือเหือดแห้งไร้น้ำตา แต่ความกลัว ความลังเล ความเศร้าและหลายความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามา ทำให้พร่าพรายยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
มูซาชิ...คือชายที่โอซือเชื่อถือไว้วางใจมาตลอดว่าคือคนที่ตนจะฝากชีวิตเอาไว้ให้ช่วยดูแล และเฝ้ารอที่จะได้อยู่เคียงข้าง แต่มูซาชิที่นางพบตรงนี้ลบภาพลักษณ์อันงดงามที่ตนสร้างขึ้นมาในจินตนาการจนหมดสิ้นในพริบตาเดียว
โอซือตกใจแทบสิ้นสติ...แทบสิ้นใจตาย เมื่อได้เผชิญกับธาตุแท้ที่เปล่าเปลือยของชายในดวงใจ ชายในจินตนาการ...ตามมาด้วยความเศร้าเสียใจสุดพรรณนา
แต่โอซือยังไม่รู้สึกหรอกว่าท่ามกลางความตื่นตระหนก หวาดหวั่น ผิดหวังนั้นได้เกิดความย้อนแย้งอย่างประหลาดขึ้นในอก
ยังไงน่ะรึ...
ก็ถ้าผู้คุกคามที่ทำนางเกือบจะเสียสิ้นซึ่งความบริสุทธิ์แห่งเรือนกายนั้นไม่ใช่มูซาชิแต่เป็นชายอื่น นางคงไม่หนีไปแอบต้นไม้ห่างออกมาแค่ยี่สิบสามสิบก้าวอย่างนี้หรอกใช่ไหม
หนีน่ะหนี จะเพราะตกใจ ผิดคาด โกรธก็ตามที แต่ทำไมถึงหยุดอยู่แค่ยี่สิบกว่าก้าว มีอะไรเหนี่ยวรั้งอยู่งั้นรึ
ไม่ใช่เท่านั้น พออกใจค่อยสงบลง โอซือก็เริ่มคิดว่าที่มูซาชิทำกับนางเมื่อกี้นั้น ไม่ใช่สัญชาตญาณเถื่อนอย่างที่ชายอื่นกระทำย่ำยีหญิง
โอซือยังไม่อาจขยับออกจากที่ซ่อนหลังต้นไม้ ได้แต่พร่ำพูดอยู่ในอก
ท่านโกรธรึ อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าไม่ได้เกลียดท่านเลยสักนิด อย่าโกรธเลย ข้าขอร้อง
โอซือรู้สึกเหมือนกำลังยืนโต้พายุใหญ่อยู่คนเดียว โดดเดี่ยว อ้างว้าง ใจหายวูบวาบขณะพร่ำคำขอโทษ
มูซาชิไฉนจะรู้ว่าโอซือไม่ได้โกรธเกลียด ไม่ได้ประณามการกระทำของตนเมื่อครู่ก่อนว่าหยาบช้าสามาน ไม่ได้คิดด้อยค่าความเป็นชายของตน อย่างที่เจ้าหนุ่มก่นด่าตัวเองและทุกข์ทรมานใจถึงกับหลั่งน้ำตาให้พื้นพสุธาช่วยเห็นใจ
โอซือยืนพิงต้นไม้สงบจิตใจนิ่งอยู่ ยิ่งกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงชัดขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเศร้าที่ปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำเสียจนมืดมิดมองอะไรไม่เห็นเหมือนคนตาบอด
แต่...แล้วทำไมตอนนั้นเลือดทั่วกายถึงได้พลุ่งพล่านราวกับจะประทุขึ้นมาเหมือนดอกไม้ไฟเลยล่ะ
โอซือถามตัวเองค้างไว้ในใจก่อนเหลียวหลังไปมองตรงที่ตนผละจากมา
อ้าว...เอ๊ะ ท่านมูซาชิ หายไปไหนล่ะนั่น
และพอไม่เห็นแม้แต่เงาของมูซาชิ นางก็คิดทันทีเลยว่า
ท่านมูซาชิโกรธข้าจริงด้วย ใช่ โกรธ โกรธจริง ๆ ทำไงดีล่ะ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
แสงอาทิตย์เรืองรองสะท้อนหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าแพรวพรายเป็นสายรุ้งระยิบระยับ
สองหนุ่มสาวนั่งแอบอิงพิงกายกันฟังเสียงน้ำตกอยู่ใต้ร่มเงาชายคากระท่อมน้อย
“เจ้าหนุ่มน้อยไปถึงไหนแล้วไม่รู้”
“โจทาโรรึ”
“ใช่ แก่นแก้วเหลือขอจริง ๆ ไม่ไหวเลยเด็กคนนี้”
“ไม่หรอก เทียบกับข้าสมัยเด็กแล้วละก็ยังไม่เข้าขั้น”
“ท่านน่ะ ต้องเว้นไว้คนหนึ่ง”
“ตรงกันข้าม มาตาฮาจิเป็นเด็กดี ว่าง่ายอยู่ในโอวาท เออ...พูดถึงมาตาฮาจิ ตกลงไม่มาตามนัดใช่ไหมเนี่ย เจ้าคนนี้ต่างหากที่น่าห่วง”
“แต่ฉันกลับโล่งใจ ถ้ามาตาฮาจิมาจริง ๆ ฉันคงต้องหนีไปซ่อนไม่กล้าสู้หน้า”
“ไม่ต้องไปซ่อนหรอก คนเราพูดกันดี ๆ ไม่ว่าใครก็เข้าใจเหตุผลของกันและกันทั้งนั้นแหละ”
“แต่สองแม่ลูกนี่ไม่ค่อยจะเหมือนใคร ท่านก็รู้”
“โอซือ เจ้าจะเปลี่ยนความคิดใหม่อีกครั้งหนึ่งรึ”
“เปลี่ยนยังไง”
“ข้าอยากถามว่า เจ้าไม่คิดที่จะกลับไปเป็นเจ้าสาวของตระกูลฮนอิเด็นดังเดิมบ้างรึ”
โอซือตกตะลึง หน้าถอดสีเมื่อตอบทันควันว่า
“ไม่มีวัน”
แล้วน้ำตาก็ซึมออกมาปริ่มขอบตาที่แดงเรื่อราวกับสีของกลีบดอกกล้วยไม้
ใจเจ้าหนุ่มก็ไหววาบเมื่อเห็นน้ำตา เสียใจที่พลั้งปากออกไป ทั้งที่รู้ใจสาวเจ้าดีแต่ยังจะทำเป็นพูดจาลองใจให้ช้ำ โอซือคงจะชอกช้ำหนักหนาเมื่อถูกมองเหมือนเป็นหญิงใจโลเลและเยียบเย็นเมื่อรักจางไปตามกาลเวลา เพราะเห็นยกมือนุ่มละมุนขึ้นบิดหน้าและไหล่บางสะท้านสะเทือน
ริมขอบกิโมโนที่เคลียต้นคอขาวนวลไหวตามราวกระซิบบอกว่า
ข้าเป็นของท่านคนเดียว
พุ่มใบเขียวอ่อนของแมกไม้ช่างเป็นใจ ช่วยบดบังสองหนุ่มสาวไว้ให้อยู่ในโลกสราญเพียงลำพัง
ครานั้น เจ้าหนุ่มนักดาบร้อนรุ่มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอันรุนแรงที่ซ่านอยู่ในทุกอณูในเรือนร่าง ประกอบกับพลังกายที่อัดแน่นพร้อมระเบิดออกมาเช่นเดียวกับโจทาโร ที่ผาดโผนลงไปเมื่อเห็นสายน้ำตกลงไปหมุนคว้างเป็นวังวนด้วยกำลังแรงจนสาดกระเซ็นอยู่ในแอ่ง เสียงเลือดที่ฉีดแรงไปทั่วตัวดังราวเสียงครืนครานของน้ำตกยามกระโจนลงกระทบแอ่งหินเบื้องล่าง
หลายวันมาแล้ว ดวงตาของเจ้าหนุ่มเฝ้ามองเรือนร่างของโอซือไม่รู้เบื่อ ดื่มด่ำกับเสน่ห์ของสาวเจ้าที่เปลี่ยนยามไหวตัวต้องแสงตะวันจ้ายามกลางวัน และภายใต้แสงตะเกียงที่วูบงาบยามราตรี จมูกนั้นเล่าก็เพียรสูดกลิ่นเหงื่ออันหอมหวานราวดอกไม้ที่บานสะพรั่ง และกลิ่นผมดำสนิทที่ลอยมาตามลมเข้าไปจรุงใจ ความรักแตกหน่ออยู่ใต้หินผาและเติบโตยืนต้นแข็งแรงอยู่ในอกมานานปี แต่แล้วก็มีเรียวหญ้าบาง ๆ แทรกเข้ามาให้รำคาญ
อยู่ ๆ มูซาชิก็ผลุดลุกขึ้นและเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งโอซือให้อยู่คนเดียว ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่าหนีมากกว่า
ก้าวยาว ๆ ดุ่มไปในทุ่งหญ้าที่ไม่มีทางเดิน และพอหายใจไม่ทันและอ้าปากจะช่วยหายใจก็รู้สึกเหมือนลมร้อนจัดพลุ่งออกมาจากปาก เลือดร้อนระอุขึ้นมาท่วมท้นร่างใหญ่กำยำจนอยากจะปล่อยทิ้งออกไปเสียบ้าง ถ้าได้กระโดดโลดเต้นด้วยความคึกคะนองเหมือนโจทาโรก็คงจะพอผ่อนคลาย
เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่ถอนหายใจยืดยาว ทิ้งตัวแรง ๆ นั่งลงบนทุ่งหญ้าฤดูหนาวต้นสูงลิ่วที่เหี่ยวแห้งลู่ลมเงียบๆอยู่ในแสงตะวัน
โอซือเห็นชายสุดที่รักลุกขึ้นเดินหายไปก็ออกตามทันทีด้วยความห่วงว่าจะเป็นอะไรหรือไม่ เพราะเห็นอยู่ ๆ ก็ผลุนผลันลุกไป
และพอพบมูซาชินั่งตัวตรงอยู่ในพงหญ้าก็ถลาเข้าไปเกาะเข่าหมายจะอ้อนด้วยคำหวานให้ชื่นใจไปด้วยกัน
แต่ก็ต้องผงะถอยออกมาด้วยความเกรง เมื่อเห็นเจ้าหนุ่มนั่งหน้าบึ้งตึงและเงียบงันราวกับมีใครทำอะไรให้ไม่สบอารมณ์
“มูซาชิ เกิดอะไรขึ้น ท่านมูซาชิ ข้าพูดอะไรกระทบใจท่านรึ ถ้าใช่ก็ยกโทษให้ข้าเถิด ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
“... ... ...”
“ท่านมูซาชิ ข้าขอโทษ”
ยิ่งบึ้งตึง ยิ่งทำหน้าเครียดดุดัน โอซือก็ยิ่งเบียดร่างอ่อนระทวยเข้าไปแนบอกเจ้าหนุ่ม ราวดอกไม้ไหวเข้ามาเคลียกายขจรกลิ่นให้ชื่นใจ
มูซาชิคำรามเสียงดัง
ก่อนรัดร่างบอบบางของโอซือเข้ามากระชับไว้ในวงแขนกำยำ แล้วพานางล้มตัวลงไปบนพื้นหญ้าด้วยกันทันใด โอซือร้องไม่ออกได้แต่ยืดคอขาวผ่องหลบใบหน้าคล้ามแดดที่ซุกไซ้ลงมา และดิ้นขลุกขลักอยู่กับอกกว้างกำยำนั้นเอง
2
นกชิมาโดริหางยาวเกาะกิ่งต้นมากิมองไปยังท้องฟ้าเหนือเทือกเขาอินะที่ยังมีหิมะจับอยู่บางๆ
ดอกสึสึจิป่าสีแดงจัดราวสีของเปลวไฟ ท้องฟ้าโปรงสดใส กลิ่นดอกซุมิเระหอมอ่อนๆอยู่ใต้พื้นหญ้าแห้ง
เสียงลิงป่ากู่หากัน กระรอกวิ่งปราดเปรียวโผจากกิ่งไม้นั้นไปกิ่งโน้น ท่ามกลางธรรมชาติที่ราวกับไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่ำมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์
พงหญ้ายุบยวบลงไปเป็นแอ่งลึกตามน้ำหนักของร่างใหญ่กำยำ เสียงใครคนหนึ่งกรีดร้องขึ้นมา จะว่าเพราะตกใจหรือยังไง
“มูซาชิ อย่า ๆ อย่าทำอย่างนั้น หยุดนะ”
โอซือทำตัวแข็ง ปกป้องตัวเองราวกับลูกเกาลัดที่มีหนาม
“ไม่นึกเลยว่า ผู้ชายอย่างมูซาชิจะทำกับฉันอย่างนี้”
มูซาชิเองก็ตกใจ งงงวย และขนลุกทั่วตัวที่กำลังร้อนผ่าว เมื่อได้ยินเสียงตัดพ้ออันเย็นเยียบของโอซือและเสียงสะอื้นด้วยความสะเทือนใจที่ตามมา
“ทำไมรึโอซือ ทำไม ทำไมถึงไม่ได้”
มูซาชิครางอยู่ในลำคอ เสียงคล้ายกับจะร้องไห้ออกมาให้ได้ แม้จะอยู่ในที่ลับตาไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่การถูกปฏิเสธเช่นนี้ไม่ว่าชายใดก็ไม่อาจทนความอับอายได้ ทั้งอับอายทั้งโกรธตัวเองอัดอั้นอยู่ในอกจนอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ
แต่ทันทีที่มือเลื่อนหลุดความอบอุ่นสิ้นไปจนใจหายวาบ โอซือก็ไม่อยู่ข้างกายเสียแล้ว และพอเห็นถุงเครื่องหอมเล็ก ๆ ที่เชือกผูกเพิ่งจะหลุดลุ่ยและร่วงอยู่ข้างกาย น้ำตาที่คลออยู่แล้วแทบจะหยาดหยด รู้ตัวแล้วและสมน้ำหน้าตัวเองว่าความคิดตื้นเขินนักจึงได้บุ่มบ่ามล่วงเกิน แต่ที่ยังอ่านไม่ออกก็คือหัวใจของโอซือ
ดวงตา ริมฝีปากและคำพูด ทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่เว้นแม้ทุกเส้นผมของเจ้า เร้าใจเราให้ร้อนแรงทุกครั้งที่พบกัน ไม่มีคลายมาจนกระทั่งวันนี้
เจ้าเองเป็นคนก่อไฟให้คุกรุ่นขึ้นในใจเรา และพอเปลวไฟลุกโชติช่วงก็กลับตื่นตระหนกและผละจากไป รู้หรอก ว่าไม่ได้โกรธเคืองหรือหมายจะหยามน้ำใจกัน แต่ไม่รู้เลยหรือว่าการทำเช่นนั้นทำให้คนที่เจ้ารัก เจ็บช้ำทรมาน และรู้สึกตัวว่าตกต่ำน่าอับอายเพียงใด
เจ้าหนุ่มนักดาบยกฝ่ามือใหญ่และหยาบกร้านขึ้นปิดหน้าซบลงกับพื้นหญ้า แต่ก็ไม่อาจซ่อนเสียงสะอื้น
มูซาชิหลั่งน้ำตาระบายความเศร้าเสียใจออกมาอย่างสุดกลั้น เมื่อคิดว่าความมานะพยายามฝึกฝนวิชาดาบมาด้วยความอดทน การฝึกสมาธิบำเพ็ญญาณให้จิตใจแกร่งกล้าและมีธรรมะ ทั้งหมดนั้นมลายหายไป เหมือนเด็กที่ทำลูกไม้ที่เอื้อมเด็ดลงมาได้จากกิ่งสูงลิ่วหลุดมือหล่นหาย
มูซาชิซบหน้านิ่งอยู่กับหยาดน้ำตาตนเองไม่เงยหน้าขึ้นดูฟ้าและแสงอาทิตย์อยู่นานอยู่นานเท่านาน ร้องอุทธรณ์อยู่ในใจว่า
ข้าทำอะไรผิดรึ
เจ้าหนุ่มนักดาบใคร่ครวญถึงการกระทำของตนที่ผ่านมา เมื่อถึงตอนที่ไม่เหมาะไม่ควรก็ก่นด่าตัวเอง แต่ถึงจะได้ความขุ่นข้องออกมาบ้างแต่ใจก็ไม่ผ่องแผ้วขึ้น
ทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนี้ ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ณ ขณะนี้ มูซาชิไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเอ็นดูความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของโอซือ คิดแต่ว่าแม้นางนั้นจะใสสะอาดราวไข่มุก แต่ก็บอบบางและอ่อนไหวเกินกว่าจะเอื้อมมือหยาบกร้านของตนไปคว้ามาชม หากว่าเป็นหนุ่มใหญ่ที่เผชิญโลกและชีวิตมามากว่านี้ ก็จะเข้าใจว่า ในชั่วชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งนั้น จะมีแค่ช่วงเวลาเดียวที่นางมีความรักให้แก่ชายในดวงใจ อันเป็นอารมณ์สุนทรีย์ที่มีความงดงามยิ่งนัก เฉกเช่นโอซือในขณะนี้
มูซาชิซบหน้าอยู่นิ่งนาน กลิ่นดินและกลิ่นหญ้าเขียวสดช่วยปลอบประโลมให้ใจเจ้าหนุ่มค่อยสงบลง จนเมื่อลุกขึ้นยืนตระหง่านอีกครั้ง รอยช้ำแดงในดวงตาไม่มีเหลือให้เห็น เพียงแต่ใบหน้าคมสันสมชายเท่านั้นที่ซีดขาว
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่เหยียบขยี้ถุงเครื่องหอมของโอซือจนจมดิน ทำท่าคล้ายเงี่ยหูฟังเสียงจากขุนเขาแล้วจู่ ๆ ก็ร้องขึ้นว่า...ใช่ แล้วก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคงไปทางน้ำตก ขมวดคิ้วดกดำเข้ามาแทบเป็นเส้นตรง ไม่ผิดอะไรกับเมื่อเมื่อครั้งตัดใจกระโจนเข้าสู่สมรภูมิที่สนต้นเดี่ยว
นกน้อยในพงหญ้ากรีดร้องเสียงแหลม โผบินกระเจิดกระเจิงแตกฝูง ลมแรงหอบเสียงครืนครานของน้ำตกใกล้เข้ามาในระยะกระชั้นชิด แสงแดดจางลงเมื่อม่านเมฆบางลอยละล่องมาบดบังและผ่านเลย
---โอซือสะบัดกายจากอ้อมแขนของมูซาชิ หนีมาแฝงตัวอยู่หลังต้นชิราคาบะห่างออกไปแค่ยี่สิบก้าว และจับจ้องอากัปกิริยาของชายอันเป็นที่รักอย่างไม่คลาดสายตา จนรู้แน่แก่ใจว่าตนเป็นคนทำให้มูซาชิต้องทุกข์ทรมานใจถึงเพียงนั้นจึงได้คิดว่าผิดพลาด และโหยหาไออุ่นจากอ้อมอกนั้นอีกครั้ง
หรือว่าเราจะโผกลับไปหาและขอโทษ...โอซือลังเล ใจที่เคยแข็งแกร่งฟันฝ่าอุปสรรคนานามาด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้ใจนั้นกลับฝ่อเหลือนิดเดียวพอๆกับนกน้อยในพงหญ้า เนื้อนวลสั่นระริกราวกับไม่ใช่เรือนกายของตัวเอง
3
ดวงตาหวานซึ้งของโอซือเหือดแห้งไร้น้ำตา แต่ความกลัว ความลังเล ความเศร้าและหลายความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามา ทำให้พร่าพรายยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
มูซาชิ...คือชายที่โอซือเชื่อถือไว้วางใจมาตลอดว่าคือคนที่ตนจะฝากชีวิตเอาไว้ให้ช่วยดูแล และเฝ้ารอที่จะได้อยู่เคียงข้าง แต่มูซาชิที่นางพบตรงนี้ลบภาพลักษณ์อันงดงามที่ตนสร้างขึ้นมาในจินตนาการจนหมดสิ้นในพริบตาเดียว
โอซือตกใจแทบสิ้นสติ...แทบสิ้นใจตาย เมื่อได้เผชิญกับธาตุแท้ที่เปล่าเปลือยของชายในดวงใจ ชายในจินตนาการ...ตามมาด้วยความเศร้าเสียใจสุดพรรณนา
แต่โอซือยังไม่รู้สึกหรอกว่าท่ามกลางความตื่นตระหนก หวาดหวั่น ผิดหวังนั้นได้เกิดความย้อนแย้งอย่างประหลาดขึ้นในอก
ยังไงน่ะรึ...
ก็ถ้าผู้คุกคามที่ทำนางเกือบจะเสียสิ้นซึ่งความบริสุทธิ์แห่งเรือนกายนั้นไม่ใช่มูซาชิแต่เป็นชายอื่น นางคงไม่หนีไปแอบต้นไม้ห่างออกมาแค่ยี่สิบสามสิบก้าวอย่างนี้หรอกใช่ไหม
หนีน่ะหนี จะเพราะตกใจ ผิดคาด โกรธก็ตามที แต่ทำไมถึงหยุดอยู่แค่ยี่สิบกว่าก้าว มีอะไรเหนี่ยวรั้งอยู่งั้นรึ
ไม่ใช่เท่านั้น พออกใจค่อยสงบลง โอซือก็เริ่มคิดว่าที่มูซาชิทำกับนางเมื่อกี้นั้น ไม่ใช่สัญชาตญาณเถื่อนอย่างที่ชายอื่นกระทำย่ำยีหญิง
โอซือยังไม่อาจขยับออกจากที่ซ่อนหลังต้นไม้ ได้แต่พร่ำพูดอยู่ในอก
ท่านโกรธรึ อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าไม่ได้เกลียดท่านเลยสักนิด อย่าโกรธเลย ข้าขอร้อง
โอซือรู้สึกเหมือนกำลังยืนโต้พายุใหญ่อยู่คนเดียว โดดเดี่ยว อ้างว้าง ใจหายวูบวาบขณะพร่ำคำขอโทษ
มูซาชิไฉนจะรู้ว่าโอซือไม่ได้โกรธเกลียด ไม่ได้ประณามการกระทำของตนเมื่อครู่ก่อนว่าหยาบช้าสามาน ไม่ได้คิดด้อยค่าความเป็นชายของตน อย่างที่เจ้าหนุ่มก่นด่าตัวเองและทุกข์ทรมานใจถึงกับหลั่งน้ำตาให้พื้นพสุธาช่วยเห็นใจ
โอซือยืนพิงต้นไม้สงบจิตใจนิ่งอยู่ ยิ่งกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงชัดขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเศร้าที่ปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำเสียจนมืดมิดมองอะไรไม่เห็นเหมือนคนตาบอด
แต่...แล้วทำไมตอนนั้นเลือดทั่วกายถึงได้พลุ่งพล่านราวกับจะประทุขึ้นมาเหมือนดอกไม้ไฟเลยล่ะ
โอซือถามตัวเองค้างไว้ในใจก่อนเหลียวหลังไปมองตรงที่ตนผละจากมา
อ้าว...เอ๊ะ ท่านมูซาชิ หายไปไหนล่ะนั่น
และพอไม่เห็นแม้แต่เงาของมูซาชิ นางก็คิดทันทีเลยว่า
ท่านมูซาชิโกรธข้าจริงด้วย ใช่ โกรธ โกรธจริง ๆ ทำไงดีล่ะ