นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ภาค 5 ท้องฟ้า ตอน รักเดียวของโอซือ
1
แสงจากโคมไฟในมือชายบนเรือลำน้อยที่เคลื่อนไปในบึงตามแรงฝีพาย สะท้อนเงาลงไปกระเพื่อมบนผิวน้ำดำมะเมื่อม มองไกลๆราวกับวิหคสายฟ้าคู่หนึ่งกำลังเริงสำราญอยู่ด้วยกันในยามดึก
โอซือเหลือบเห็นเข้าพอดีจึงใจเต้นและอุทานออกมาเบาๆ
“ใครมาไม่รู้”
มาตาฮาจิถือปลายเชือกที่มัดมือนางเอาไว้ตาตื่นเมื่อได้ยิน แสดงสันดานขี้ขลาดออกมาชัด ๆ ทั้งที่วางอำนาจกับโอซือมาตลอด
“แย่แล้ว ทำไงดีล่ะ โอ๊ะ ได้การแล้ว...โอซือมานี่ บอกให้มานี่ไง”
เจ้าหนุ่มร้องสั่งพลางกวาดตามองหาที่หลบซ่อน แล้วพบศาลเจ้าเล็กๆปักป้ายไว้ว่าศาลขอฝนอยู่ในดงต้นหลิวริมบึง คนโบราณคงสร้างขึ้นให้เป็นที่สิงสถิตของเทพสักองค์หนึ่ง และแม้จะไม่มีใครรู้เทพองค์ใดแต่ชาวไร่ชาวนาละแวกนี้ต่างเชื่อกันว่าถ้ามาบวงสรวงขอฝนที่ศาลเจ้าแห่งนี้เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน เทพเจ้าก็จะบันดาลให้หมู่เมฆจากขุนเขาโคมะ-งา-ตาเกะหอบเอาฝนมาตกในบริเวณบึงโนบุสมความปรารถนาโดยเร็ว
“ไม่ไป ข้าไม่ไป”
โอซือขืนตัวเอาไว้ ไม่ยอมลุกขึ้นเดินตามไปซ่อนตัวที่หลังศาลตามที่อีกฝ่ายต้องการ
โอซือไม่ใช่สาวน้อยคนเดิมที่ช่วยหลวงพ่อดูแลวัดชิปโปจิที่บ้านเกิด นางแข็งแกร่งขึ้นทั้งกายใจระหว่างที่เดินทางสมบุกสมบันมาคนเดียวนานพอๆกับมูซาชิอันเป็นที่รัก และเมื่อตกอยู่ในภาวะคับขันเช่นนี้มีหรือที่ใจของนางจะไม่คิดสู้ ติดอยู่ที่มือทั้งคู่ถูกมัดไว้แน่นเท่านั้นเอง ไม่งั้นนางจะโผนเข้าใส่เจ้าคนขี้ขลาดและพ่นพิษใส่ชายชั่ว เหมือนนางพญางูที่แยกเงี้ยวแหลมคนพันอยู่รอบต้นหลิวในภาพวาดบนแผ่นเครื่องราง
“ไม่ลุกรึ...นี่แน่ะ”
มาตาฮาจิใช้ก้านเถาวัลย์ในมือแทนไว้เรียวกวดลงบนหลังโอซือนับครั้งไม่ถ้วน แต่ยิ่งถูกตีนางก็ยิ่งแกร่งพร้อมสู้ นั่งนิ่งจ้องหน้าคู่อริด้วยสายตาแข็งกร้าว แทนคำท้าทายว่าอยากตีก็ตีไป
เจ้าหนุ่มตีจนอ่อนใจแต่นางก็ยังไม่เขยื้อนจึงลองเปลี่ยนเป็นพูดด้วยดี ๆ บ้างแต่ก็ไม่ได้ผล ครั้นมองออกไปเห็นเรือกำลังใกล้เข้ามาและรู้ตัวว่าไม่อาจรอช้าอยู่ได้ จึงตรงเข้าไปขยุ้มคอเสื้อกิโมโนของโอซือกระชากให้นางลุกขึ้นแล้วฉุดลากไปทางศาลขอฝนด้วยกำลังแรง
โอซือดิ้นสุดฤทธิ์ไม่ยอมแพ้ หันไปทางดวงไฟที่ริบหรี่อยู่ในบึงและอ้าปากจะกรีดร้องขอให้ช่วย แต่มาตาฮาจิตะปบปากไว้ได้ทันและจัดการเอาผ้าผูกปากเอาไว้ ก่อนรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายฉุดนางตัวปลิวเข้าไปในศาลเจ้าได้ทันการ
มาตาฮาจิกระชับเชือกที่มัดมือโอซือเอาไว้มั่น แนบหน้ากับลูกกรงไม้มองออกไปสังเกตการเคลื่อนไหวของเปลวไฟในบึง
“โล่งอกไปที”
เจ้าหนุ่มพึมพำพร้อมถอนใจยาวเมื่อเห็นเปลวไปจากเรือลำน้อยเคลื่อนผ่านจากศาลขอฝนและหายไปไปทางอ่าวเทียบเรือท้ายบึง แต่ถึงจะโล่งอกแต่ก็ยังไม่โล่งใจเรื่องโอซือ เพราะถึงจะได้นางมาอยู่ในมือแต่ใจของนางนั้นยากนักที่จะได้มาครอง มาตาฮาจิรู้รสความทุกขทรมานมาตั้งแต่หัวค่ำแล้วว่าการพานางมาแต่กายที่ไร้หัวใจนั้นมันสาหัสสากันเพียงใด
ถึงจะมั่นใจว่าพลังหนุ่มของตนมีพอที่จะขืนใจนางและตักตวงทุกอย่างมาเป็นของตนได้ไม่ยาก แต่มาตาฮาจิก็ไม่อาจมองข้ามสายตาของโอซือที่ส่งสัญญาณมรณะมาให้ประจักษ์ตา ถ้าขืนล่วงเกินแม้แต่ปลายก้อยนางจะต้องจบชีวิตตัวเองแน่นอน มาตาฮาจิรู้จักโอซือมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยทำไมจะไม่รู้ว่า กัดลิ้นตายนางก็ทำได้
ฆ่า...
อารมณ์ฆ่าเพราะแค้นก็พลุ่งขึ้นมากลบตัณหาราคะที่เร้ารุมจิตใจมืดดำจนแทบจะใช้กำลังรุนแรง
ทำไมโอซือถึงเกลียดชังเราและหลงรักมูซาชิจนหน้ามืดตามัวขนาดนั้น เป็นไปได้ยังไงในเมื่อก่อนหน้านี้นางยังมีเรากับมูซาชิอยู่ในใจเสมอกัน
มาตาฮาจิไม่เข้าใจ เพราะมีความมั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่าตนมีเสน่ห์ดึงดูดใจหญิงเหนือกว่ามูซาชิมากนัก และก็ได้พิสูจน์มาแล้วในความเป็นจริง ตั้งแต่โอโคมาจนอีกหลาย ๆ คนที่ผ่านมือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าหนุ่มจึงปักใจเชื่อว่ามูซาชิเริ่มใช้คำหวานล่อลวงใจโอซือ และเมื่อนางหลงรักแล้วจึงหาเรื่องใส่ร้ายตนมาตลอดจนนางเข้าใจผิดและเกลียดตนจนเข้ากระดูกดำ
แค้นใจนัก มูซาชิเจ้าเล่ห์ว่าร้ายข้าเอาไว้มากมาย แต่พอเจอกันก็ทำทีเป็นดีอกดีใจ ทำเป็นว่ารักเพื่อนเสียเต็มประดา
ข้ามันคนซื่อ คิดดีกับทุกคนก็เลยหลงเชื่อกลลวงของเจ้ามูซาชิ ถึงกับน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งกับความรักเพื่อนโดยไม่คิดสักนิดว่าจอมปลอม
มาตาฮาจิเอนตัวพิงลูกกรงไม้ระแนง นึกไปถึงคำพร่ำเตือนของซาซากิ โคจิโร ตอนดื่มด้วยกันที่ย่านเริงรมย์
2
มาตาฮาจินึกถึงนักดาบคนนั้นขึ้นมาได้
ซาซากิ โคจิโรหัวเราะเยาะตนว่าเป็นคนหัวอ่อนเชื่อคนง่าย และประณามมูซาชิไม่หยุดปากว่าเป็นคนในข้องอในกระดูกคบไม่ได้ ของรักของหวงเผลอตัวเมื่อไหร่เป็นต้องถูกแย่งชิงแน่นอน
คำทักเตือนที่หวนกลับมาก้องอยู่ในห้วงคิดนั้นตรงเผงกับสภาพของตนในขณะนี้ราวคำทำนายของครูบาหมอผี ความรู้สึกที่มีต่อมูซาชิเปลี่ยนไปในบัดดล ระหว่างที่เติบโตมาด้วยกันเคยผิดใจถึงขนาดไม่มองหน้ากันก็หลายครั้งแต่ไม่นานก็คืนดีและกลับมาเป็นเพื่อนรักกันตามเดิม แต่ไม่ใช่ครั้งนี้...พอกันที ไอ้เพื่อนทรยศ
อารมณ์ของมาตาฮาจิพลุ่งพล่านเมื่อมองย้อนถึงความหลังด้วยมุมมองด้านลบ พฤติกรรมทั้งหลายที่ผ่านมาของมูซาชิก็ยิ่งถูกตีความไปในทางเลวร้าย ยิ่งคิดความชั่วร้ายของมูซาชิก็ยิ่งทับทวี เพราะตั้งแต่ตนจำความได้ไม่ว่ามูซาชิจะทำอะไรก็กลายเป็นประสงค์ร้ายต่อตนทั้งสิ้น แรกก็แค่เจ็บใจแต่ไม่นานความโกรธก็คุกรุ่นขึ้นมากลายเป็นความเคียดแค้นชิงชังอย่างไม่มีวันให้อภัย
ปกติมาตาฮาจิเป็นคนขี้โมโหและขี้อิจฉารุนแรงกว่าใคร ๆ ถึงกระนั้นใจก็ไม่กล้าพอที่จะลุกขึ้นมาหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครเขา และไม่เคยโกรธถึงขนาดคิดเคียดแค้นชิงชังใครด้วย
แต่ครั้งนี้...ครั้งนี้พลังความโกรธของมาตาฮาจิพลุ่งขึ้นรุนแรงเกินขีดเสียแล้ว
มูซาชิข้ารู้เช่นเห็นชาติเอ็งแล้ว เอ็งคือศัตรูที่จองเวรจองกรรมข้ามาเจ็ดชาติ และในชาตินี้เวรกรรมบันดาลให้เอ็งกับข้ามาเกิดและเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าไม่รู้จนกระทั่งบัดนี้ว่าเอ็งกับข้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่ก่อนเกิด
มูซาชิ...ไอ้เพื่อนจอมปลอม
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจที่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกหลอก ไม่รู้ว่าเอ็งคือพวกสิบแปดมงกุฏ เพราะพบกันคราวใดเอ็งก็ตีสีหน้าว่าจริงใจกับข้าตลอด ยามข้าตกต่ำก็คอยปลอบโยนให้ลุกขึ้นมาสู้ชีวิตเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที หารู้ไม่ว่าเอ็งซ่อนของมีคมยิ่งกว่าเคียวเจ็ดเล่มไว้คอยจ้องหาโอกาสประหัตประหารข้า ไว้หลังหน้ากากเพื่อนผู้หวังดีที่เอ็งปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงไว้อย่างแนบเนียน
ยิ่งคิดถึงตอนที่ตนซาบซึ้งใจไปกับคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีของเพื่อนทรยศถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยแล้ว เจ้าหนุ่มก็ยิ่งแค้นใจจนเลือดเดือดไปทั่วตัว ที่มูซาชิถือโอกาสใช้ความเป็นคนเชื่อคนง่ายของตนเป็นอาวุธทำร้ายตนให้เจ็บปวดทรมาน
ในโลกนี้มีแต่คนตีสองหน้าใส่หน้ากากเป็นคนดีซ่อนความขั่วช้าสามานต์หมกเหม็นเน่าเฟะไว้ข้างใน คราวนี้แหละข้าจะเปลี่ยนเชิงรุกเข้าไปกระชากหน้ากากพวกมันออกให้หมด หนอยแน่ะ...ทำมาแนะให้ศึกษาหาความรู้จะได้เจริญรุ่งเรืองเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างงั้นรึ ที่แท้ก็จะให้ข้าไปเข้าเป็นพวกโจรใส่หน้ากากด้วย เมินเสียเถอะ ใคร ๆ ว่าข้าเป็นคนไม่รักดี ข้าก็จะเป็นของข้าอย่างนี้ และตั้งหน้าป่วนพวกมันให้ไม่ได้ผุดได้เกิดไปตลอดชีวิต
ครั้งนี้ มาตาฮาจิตั้งใจมุ่งมั่น พลังใจแข็งแกร่งเป็นที่สุดอย่างไม่เคยมาก่อน
เจ้าหนุ่มเตะลูกกรงไม้ระแนงสุดแรงเสียงดังปังใหญ่ แล้วหันขวับไปจ้องมองโอซือในศาลเจ้ามืดสลัว ด้วยสายตาที่เปลี่ยนจากงูเชื่อง ๆ ไปเป็นดั่งดวงตาของพญานาคราชในฉับพลัน
“ยังร้องไห้อยู่อีกรึ”
เสียงนั้นก็กร้าวแกร่งไม่แพ้สายตา
“โอซือ”
“... ... ...”
“ตอบข้าเดี๋ยวนี้” ตอบมา”
“... ... ...”
“มัวแต่สำออยอยู่นั่นแหละ ตอบมาเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าแล้วก็เงื้อเท้าขึ้นทำท่าจะทำร้าย โอซือไหวตัวทันจึงเบี่ยงตัวหลบด้วยความว่องไว
“จะให้ตอบได้ยังไง ก็ข้าไม่มีอะไรจะตอบเจ้า หากแค้นนัก ก็ฆ่าข้าเสียอย่างลูกผู้ชาย”
“อย่าท้า” มาตาฮาจิหัวเราะเย้ยหยัน
“เจ้ากับมูซาชิทำลายชีวิตข้าอย่างยับเยินไม่มีดี ข้าตั้งใจแล้วว่าจะจองล้างจองผลาญเจ้ากับไอ้เพื่อนทรยศจากนี้ไปทุกชาติ”
“พูดออกมาได้ เจ้าน่าจะรู้ตัวว่าทุกอย่างที่พูดออกมานั้นเป็นเท็จ เจ้าต่างหากที่เป็นคนทำให้ชีวิตตัวเองเหลวแหลกไม่มีชิ้นดี ไม่ใช่ใครทั้งนั้นแม้แต่ผู้หญิงที่ชื่อโอโค”
“ว่าไงนะ”
“มาตาฮาจิ เจ้าเองก็ดีแม่เฒ่าโอซูงิแของเจ้าก็ดี ทำไมคนที่สืบสานเลือดจากตระกูลนี้ถึงได้มองคนอื่นกลับตาลปัตรไปหมด ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ”
“เอ๊ะ นางนี่ ถามดี ๆ ทำไมถึงต้องลามปามไปถึงแม่ถึงตระกูลของข้าด้วย ตอบมาคำเดียวว่าจะยอมเป็นเมียข้าหรือไม่ ตอบมาสิ”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ตอบเมื่อไหร่ก็ได้ ตอบกี่ครั้งกี่หนก็ได้”
“ก็ตอบมาสิ”
“ตลอดเวลาที่ข้ามีชีวิตมาและจะมีชีวิตต่อไปในอนาคต ชายคนเดียวที่ผูกพันดวงใจของข้าเอาไว้แน่นแฟ้น คือมิยาโมโตะ มูซาชิ ข้าไม่อาจปันใจให้ชายใดได้อีก ยิ่งเป็นชายที่อ่อนแอวางอำนาจได้ก็แต่กับผู้หญิงเยี่ยงเจ้า ข้ายิ่งเกลียด เกลียดและรังเกียจ เห็นทีไรขนลุกเกรียวไปทิ้งตัว”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ภาค 5 ท้องฟ้า ตอน รักเดียวของโอซือ
1
แสงจากโคมไฟในมือชายบนเรือลำน้อยที่เคลื่อนไปในบึงตามแรงฝีพาย สะท้อนเงาลงไปกระเพื่อมบนผิวน้ำดำมะเมื่อม มองไกลๆราวกับวิหคสายฟ้าคู่หนึ่งกำลังเริงสำราญอยู่ด้วยกันในยามดึก
โอซือเหลือบเห็นเข้าพอดีจึงใจเต้นและอุทานออกมาเบาๆ
“ใครมาไม่รู้”
มาตาฮาจิถือปลายเชือกที่มัดมือนางเอาไว้ตาตื่นเมื่อได้ยิน แสดงสันดานขี้ขลาดออกมาชัด ๆ ทั้งที่วางอำนาจกับโอซือมาตลอด
“แย่แล้ว ทำไงดีล่ะ โอ๊ะ ได้การแล้ว...โอซือมานี่ บอกให้มานี่ไง”
เจ้าหนุ่มร้องสั่งพลางกวาดตามองหาที่หลบซ่อน แล้วพบศาลเจ้าเล็กๆปักป้ายไว้ว่าศาลขอฝนอยู่ในดงต้นหลิวริมบึง คนโบราณคงสร้างขึ้นให้เป็นที่สิงสถิตของเทพสักองค์หนึ่ง และแม้จะไม่มีใครรู้เทพองค์ใดแต่ชาวไร่ชาวนาละแวกนี้ต่างเชื่อกันว่าถ้ามาบวงสรวงขอฝนที่ศาลเจ้าแห่งนี้เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน เทพเจ้าก็จะบันดาลให้หมู่เมฆจากขุนเขาโคมะ-งา-ตาเกะหอบเอาฝนมาตกในบริเวณบึงโนบุสมความปรารถนาโดยเร็ว
“ไม่ไป ข้าไม่ไป”
โอซือขืนตัวเอาไว้ ไม่ยอมลุกขึ้นเดินตามไปซ่อนตัวที่หลังศาลตามที่อีกฝ่ายต้องการ
โอซือไม่ใช่สาวน้อยคนเดิมที่ช่วยหลวงพ่อดูแลวัดชิปโปจิที่บ้านเกิด นางแข็งแกร่งขึ้นทั้งกายใจระหว่างที่เดินทางสมบุกสมบันมาคนเดียวนานพอๆกับมูซาชิอันเป็นที่รัก และเมื่อตกอยู่ในภาวะคับขันเช่นนี้มีหรือที่ใจของนางจะไม่คิดสู้ ติดอยู่ที่มือทั้งคู่ถูกมัดไว้แน่นเท่านั้นเอง ไม่งั้นนางจะโผนเข้าใส่เจ้าคนขี้ขลาดและพ่นพิษใส่ชายชั่ว เหมือนนางพญางูที่แยกเงี้ยวแหลมคนพันอยู่รอบต้นหลิวในภาพวาดบนแผ่นเครื่องราง
“ไม่ลุกรึ...นี่แน่ะ”
มาตาฮาจิใช้ก้านเถาวัลย์ในมือแทนไว้เรียวกวดลงบนหลังโอซือนับครั้งไม่ถ้วน แต่ยิ่งถูกตีนางก็ยิ่งแกร่งพร้อมสู้ นั่งนิ่งจ้องหน้าคู่อริด้วยสายตาแข็งกร้าว แทนคำท้าทายว่าอยากตีก็ตีไป
เจ้าหนุ่มตีจนอ่อนใจแต่นางก็ยังไม่เขยื้อนจึงลองเปลี่ยนเป็นพูดด้วยดี ๆ บ้างแต่ก็ไม่ได้ผล ครั้นมองออกไปเห็นเรือกำลังใกล้เข้ามาและรู้ตัวว่าไม่อาจรอช้าอยู่ได้ จึงตรงเข้าไปขยุ้มคอเสื้อกิโมโนของโอซือกระชากให้นางลุกขึ้นแล้วฉุดลากไปทางศาลขอฝนด้วยกำลังแรง
โอซือดิ้นสุดฤทธิ์ไม่ยอมแพ้ หันไปทางดวงไฟที่ริบหรี่อยู่ในบึงและอ้าปากจะกรีดร้องขอให้ช่วย แต่มาตาฮาจิตะปบปากไว้ได้ทันและจัดการเอาผ้าผูกปากเอาไว้ ก่อนรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายฉุดนางตัวปลิวเข้าไปในศาลเจ้าได้ทันการ
มาตาฮาจิกระชับเชือกที่มัดมือโอซือเอาไว้มั่น แนบหน้ากับลูกกรงไม้มองออกไปสังเกตการเคลื่อนไหวของเปลวไฟในบึง
“โล่งอกไปที”
เจ้าหนุ่มพึมพำพร้อมถอนใจยาวเมื่อเห็นเปลวไปจากเรือลำน้อยเคลื่อนผ่านจากศาลขอฝนและหายไปไปทางอ่าวเทียบเรือท้ายบึง แต่ถึงจะโล่งอกแต่ก็ยังไม่โล่งใจเรื่องโอซือ เพราะถึงจะได้นางมาอยู่ในมือแต่ใจของนางนั้นยากนักที่จะได้มาครอง มาตาฮาจิรู้รสความทุกขทรมานมาตั้งแต่หัวค่ำแล้วว่าการพานางมาแต่กายที่ไร้หัวใจนั้นมันสาหัสสากันเพียงใด
ถึงจะมั่นใจว่าพลังหนุ่มของตนมีพอที่จะขืนใจนางและตักตวงทุกอย่างมาเป็นของตนได้ไม่ยาก แต่มาตาฮาจิก็ไม่อาจมองข้ามสายตาของโอซือที่ส่งสัญญาณมรณะมาให้ประจักษ์ตา ถ้าขืนล่วงเกินแม้แต่ปลายก้อยนางจะต้องจบชีวิตตัวเองแน่นอน มาตาฮาจิรู้จักโอซือมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยทำไมจะไม่รู้ว่า กัดลิ้นตายนางก็ทำได้
ฆ่า...
อารมณ์ฆ่าเพราะแค้นก็พลุ่งขึ้นมากลบตัณหาราคะที่เร้ารุมจิตใจมืดดำจนแทบจะใช้กำลังรุนแรง
ทำไมโอซือถึงเกลียดชังเราและหลงรักมูซาชิจนหน้ามืดตามัวขนาดนั้น เป็นไปได้ยังไงในเมื่อก่อนหน้านี้นางยังมีเรากับมูซาชิอยู่ในใจเสมอกัน
มาตาฮาจิไม่เข้าใจ เพราะมีความมั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่าตนมีเสน่ห์ดึงดูดใจหญิงเหนือกว่ามูซาชิมากนัก และก็ได้พิสูจน์มาแล้วในความเป็นจริง ตั้งแต่โอโคมาจนอีกหลาย ๆ คนที่ผ่านมือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าหนุ่มจึงปักใจเชื่อว่ามูซาชิเริ่มใช้คำหวานล่อลวงใจโอซือ และเมื่อนางหลงรักแล้วจึงหาเรื่องใส่ร้ายตนมาตลอดจนนางเข้าใจผิดและเกลียดตนจนเข้ากระดูกดำ
แค้นใจนัก มูซาชิเจ้าเล่ห์ว่าร้ายข้าเอาไว้มากมาย แต่พอเจอกันก็ทำทีเป็นดีอกดีใจ ทำเป็นว่ารักเพื่อนเสียเต็มประดา
ข้ามันคนซื่อ คิดดีกับทุกคนก็เลยหลงเชื่อกลลวงของเจ้ามูซาชิ ถึงกับน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งกับความรักเพื่อนโดยไม่คิดสักนิดว่าจอมปลอม
มาตาฮาจิเอนตัวพิงลูกกรงไม้ระแนง นึกไปถึงคำพร่ำเตือนของซาซากิ โคจิโร ตอนดื่มด้วยกันที่ย่านเริงรมย์
2
มาตาฮาจินึกถึงนักดาบคนนั้นขึ้นมาได้
ซาซากิ โคจิโรหัวเราะเยาะตนว่าเป็นคนหัวอ่อนเชื่อคนง่าย และประณามมูซาชิไม่หยุดปากว่าเป็นคนในข้องอในกระดูกคบไม่ได้ ของรักของหวงเผลอตัวเมื่อไหร่เป็นต้องถูกแย่งชิงแน่นอน
คำทักเตือนที่หวนกลับมาก้องอยู่ในห้วงคิดนั้นตรงเผงกับสภาพของตนในขณะนี้ราวคำทำนายของครูบาหมอผี ความรู้สึกที่มีต่อมูซาชิเปลี่ยนไปในบัดดล ระหว่างที่เติบโตมาด้วยกันเคยผิดใจถึงขนาดไม่มองหน้ากันก็หลายครั้งแต่ไม่นานก็คืนดีและกลับมาเป็นเพื่อนรักกันตามเดิม แต่ไม่ใช่ครั้งนี้...พอกันที ไอ้เพื่อนทรยศ
อารมณ์ของมาตาฮาจิพลุ่งพล่านเมื่อมองย้อนถึงความหลังด้วยมุมมองด้านลบ พฤติกรรมทั้งหลายที่ผ่านมาของมูซาชิก็ยิ่งถูกตีความไปในทางเลวร้าย ยิ่งคิดความชั่วร้ายของมูซาชิก็ยิ่งทับทวี เพราะตั้งแต่ตนจำความได้ไม่ว่ามูซาชิจะทำอะไรก็กลายเป็นประสงค์ร้ายต่อตนทั้งสิ้น แรกก็แค่เจ็บใจแต่ไม่นานความโกรธก็คุกรุ่นขึ้นมากลายเป็นความเคียดแค้นชิงชังอย่างไม่มีวันให้อภัย
ปกติมาตาฮาจิเป็นคนขี้โมโหและขี้อิจฉารุนแรงกว่าใคร ๆ ถึงกระนั้นใจก็ไม่กล้าพอที่จะลุกขึ้นมาหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครเขา และไม่เคยโกรธถึงขนาดคิดเคียดแค้นชิงชังใครด้วย
แต่ครั้งนี้...ครั้งนี้พลังความโกรธของมาตาฮาจิพลุ่งขึ้นรุนแรงเกินขีดเสียแล้ว
มูซาชิข้ารู้เช่นเห็นชาติเอ็งแล้ว เอ็งคือศัตรูที่จองเวรจองกรรมข้ามาเจ็ดชาติ และในชาตินี้เวรกรรมบันดาลให้เอ็งกับข้ามาเกิดและเติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าไม่รู้จนกระทั่งบัดนี้ว่าเอ็งกับข้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่ก่อนเกิด
มูซาชิ...ไอ้เพื่อนจอมปลอม
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจที่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกหลอก ไม่รู้ว่าเอ็งคือพวกสิบแปดมงกุฏ เพราะพบกันคราวใดเอ็งก็ตีสีหน้าว่าจริงใจกับข้าตลอด ยามข้าตกต่ำก็คอยปลอบโยนให้ลุกขึ้นมาสู้ชีวิตเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที หารู้ไม่ว่าเอ็งซ่อนของมีคมยิ่งกว่าเคียวเจ็ดเล่มไว้คอยจ้องหาโอกาสประหัตประหารข้า ไว้หลังหน้ากากเพื่อนผู้หวังดีที่เอ็งปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงไว้อย่างแนบเนียน
ยิ่งคิดถึงตอนที่ตนซาบซึ้งใจไปกับคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีของเพื่อนทรยศถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยแล้ว เจ้าหนุ่มก็ยิ่งแค้นใจจนเลือดเดือดไปทั่วตัว ที่มูซาชิถือโอกาสใช้ความเป็นคนเชื่อคนง่ายของตนเป็นอาวุธทำร้ายตนให้เจ็บปวดทรมาน
ในโลกนี้มีแต่คนตีสองหน้าใส่หน้ากากเป็นคนดีซ่อนความขั่วช้าสามานต์หมกเหม็นเน่าเฟะไว้ข้างใน คราวนี้แหละข้าจะเปลี่ยนเชิงรุกเข้าไปกระชากหน้ากากพวกมันออกให้หมด หนอยแน่ะ...ทำมาแนะให้ศึกษาหาความรู้จะได้เจริญรุ่งเรืองเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างงั้นรึ ที่แท้ก็จะให้ข้าไปเข้าเป็นพวกโจรใส่หน้ากากด้วย เมินเสียเถอะ ใคร ๆ ว่าข้าเป็นคนไม่รักดี ข้าก็จะเป็นของข้าอย่างนี้ และตั้งหน้าป่วนพวกมันให้ไม่ได้ผุดได้เกิดไปตลอดชีวิต
ครั้งนี้ มาตาฮาจิตั้งใจมุ่งมั่น พลังใจแข็งแกร่งเป็นที่สุดอย่างไม่เคยมาก่อน
เจ้าหนุ่มเตะลูกกรงไม้ระแนงสุดแรงเสียงดังปังใหญ่ แล้วหันขวับไปจ้องมองโอซือในศาลเจ้ามืดสลัว ด้วยสายตาที่เปลี่ยนจากงูเชื่อง ๆ ไปเป็นดั่งดวงตาของพญานาคราชในฉับพลัน
“ยังร้องไห้อยู่อีกรึ”
เสียงนั้นก็กร้าวแกร่งไม่แพ้สายตา
“โอซือ”
“... ... ...”
“ตอบข้าเดี๋ยวนี้” ตอบมา”
“... ... ...”
“มัวแต่สำออยอยู่นั่นแหละ ตอบมาเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าแล้วก็เงื้อเท้าขึ้นทำท่าจะทำร้าย โอซือไหวตัวทันจึงเบี่ยงตัวหลบด้วยความว่องไว
“จะให้ตอบได้ยังไง ก็ข้าไม่มีอะไรจะตอบเจ้า หากแค้นนัก ก็ฆ่าข้าเสียอย่างลูกผู้ชาย”
“อย่าท้า” มาตาฮาจิหัวเราะเย้ยหยัน
“เจ้ากับมูซาชิทำลายชีวิตข้าอย่างยับเยินไม่มีดี ข้าตั้งใจแล้วว่าจะจองล้างจองผลาญเจ้ากับไอ้เพื่อนทรยศจากนี้ไปทุกชาติ”
“พูดออกมาได้ เจ้าน่าจะรู้ตัวว่าทุกอย่างที่พูดออกมานั้นเป็นเท็จ เจ้าต่างหากที่เป็นคนทำให้ชีวิตตัวเองเหลวแหลกไม่มีชิ้นดี ไม่ใช่ใครทั้งนั้นแม้แต่ผู้หญิงที่ชื่อโอโค”
“ว่าไงนะ”
“มาตาฮาจิ เจ้าเองก็ดีแม่เฒ่าโอซูงิแของเจ้าก็ดี ทำไมคนที่สืบสานเลือดจากตระกูลนี้ถึงได้มองคนอื่นกลับตาลปัตรไปหมด ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ”
“เอ๊ะ นางนี่ ถามดี ๆ ทำไมถึงต้องลามปามไปถึงแม่ถึงตระกูลของข้าด้วย ตอบมาคำเดียวว่าจะยอมเป็นเมียข้าหรือไม่ ตอบมาสิ”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ตอบเมื่อไหร่ก็ได้ ตอบกี่ครั้งกี่หนก็ได้”
“ก็ตอบมาสิ”
“ตลอดเวลาที่ข้ามีชีวิตมาและจะมีชีวิตต่อไปในอนาคต ชายคนเดียวที่ผูกพันดวงใจของข้าเอาไว้แน่นแฟ้น คือมิยาโมโตะ มูซาชิ ข้าไม่อาจปันใจให้ชายใดได้อีก ยิ่งเป็นชายที่อ่อนแอวางอำนาจได้ก็แต่กับผู้หญิงเยี่ยงเจ้า ข้ายิ่งเกลียด เกลียดและรังเกียจ เห็นทีไรขนลุกเกรียวไปทิ้งตัว”