xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 5 ท้องฟ้า ตอน กนโนะซุเกะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
“โอ๊ะ แม่วัว”
​มูซาชิถอนใจยืดยาว
​​แม่วัวต้องพาโอซือมาที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย
​​แต่ที่น่าสงสัยก็คือ ใครอาศัยบ้านชาวนาที่อยู่ในวงล้อมของแมกไม้คล้ายป่าบังลมดูซ่อนเร้นมิดชิดหลังนี้
​เจ้าหนุ่มนักดาบย่องกริบไปใกล้ตัวบ้าน พยายามไม่ให้เกิดเสียงเพราะเกรงว่าหากโอซือเห็นตนเข้าจะหนีหายไปอีก พร้อมกันนั้นก็ระแวดระวังภัยรอบตัวโดยไม่ประมาท
​สักพักหนึ่งต่อมา เสียงห้าว ๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังออกมาจากกองฝืนและฟางข้าวตรงมุมห้องที่อับแสง น่าจะเป็นทางออกไปที่โรงนาข้าง ๆ บ้าน
​​“แม่ เลิกได้แล้ว บ่นว่าไม่ดีตาไม่ดี แล้วยังนั่งทำอะไรมืด ๆ อยู่ได้”
​มูซาชิเงี่ยหูฟังความ ก็แว่วเสียงปั่นฝ้ายดังลอดออกมาจากประตูเลื่อนบุกระดาษขาด ๆ ที่กั้นห้องด้านลึกของตัวบ้านซึ่งน่าจะเป็นห้องที่มีเตาผิงขุดลงไปจากพื้นเสื่อทาทามิ
​แต่เสียงนั้นเงียบไปทันที่ที่คนซึ่งน่าจะเป็นลูกชายร้องดุ พร้อมกับมีเสียงก๊อกแก็กแสดงว่าเก็บข้างของเลิกทำงาน ไม่นานลูกชายที่คงเสร็จจากงานอะไรสักอย่างกลับเข้ามาพร้อมกับร้องบอกว่า​
​​“ข้าจะล้างเท้าก่อน แม่หาอะไรเตรียมไว้นะ ขึ้นเรือนไปจะกินเลย”
​คนพูดนั่งลงบนโขดหินแกว่งเท้าทั้งคู่ลงไปล้างในลำธารเสียงดังจ๋อมแจ๋ม แม่วัวด่างเดินไปเอาคางเกยไหล่
​เจ้าลูกชายลูบจมูกมันพลางร้องตะโกนบอกแม่ที่เงียบอยู่ข้างในบ้าน
​​“แม่ทำอะไรเสร็จแล้วออกมานี่หน่อยนะ วันนี้โชคดีมาก ๆ ข้าเก็บอะไรได้อย่างนึง ทายสิว่าอะไร แต่คงทางไม่ถูกหรอก คิดไม่ถึงแน่นอน วัวน่ะแม่ ข้าเก็บวัวได้ตัวนึง แม่วัวเสียด้วย นางสวยมากเลย ใช้ทำงานในไร่ก็ได้ แล้วยังรีดนมวัวดื่มได้ด้วย”
​มูซาชิได้ยินชัดเจน และอยากเห็นหน้าเห็นตาผู้พูดเอาไว้จะได้วางตัวถูกเมื่อเผชิญหน้ากัน จึงย่องเข้าไปทางด้านข้างที่คิดว่าจะเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ถนัดแล้วมองเข้าไปข้างใน
​บ้านใหญ่โอ่โถงแม้จะเก่าแก่หลังคามุงหญ้าอัดหนามีตะไคร่จับเต็ม แต่วัสดุและโครงสร้างมั่นคงแข็งแรงเกินฐานะชาวไร่ชาวนาแต่ก็ไม่ถึงระดับเจ้าขุลมูลนาย รอบบริเวณเงียบสงบไม่มีบริวารชายหญิงเดินไปมา
​​“เอ๊ะ”
​สิ่งแรกที่สะดุดตาเจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่คือง้าวด้ามยาวดำสนิทเป็นมันวาวที่พิงอยู่กับฝาห้อง ดูเป็นของดีมีค่าเกินกว่าชาวบ้านธรรมดาจะมีไว้ครอบครอง และคงเป็นง้าวคู่มือที่เจ้าของดูแลรักษาไว้อย่างทนุถนอม ตราประจำตระกูลสีทองยังลางเลือนเพราะใช้มานาน มูซาชิเห็นแล้วยิ่งสงสัยว่าสองแม่ลูกนี้คือใครกันแน่
​เจ้าลูกชายล้างเท้าเสร็จแล้วกระโดดขึ้นเรือน เห็นหน้าแค่แวบเดียวแต่ประกายตาที่วาบขึ้นในแสงสว่างวอมแวมภายในเรือนมีพลังไม่ธรรมดา 
​แต่งกายซอมซ่อแบบชาวนาชาวไร่ กิโมโนยาวแค่น่อง ผ้ารัดหน้าแข้งมอมแมมทะมัดมะแมงอย่างคนใช้แรงงาน พกดาบสั้นป้องกันตัว ใบหน้ากลมรีผมยาวรัดไว้ด้วยเชือกฟางสองสามเส้น ร่างไม่สูงใหญ่เท่ามูซาชิแต่ล่ำสันทรงดี อกผายไหล่ผึ่ง ขาทั้งคู่ยึดแน่นกับแผ่นดินดูหลักดี...ไม่ใช่ธรรมดา
​​ง้าวไม่ใช่อาวุธของชาวไร่ชาวนาและชาวบ้านชาวเมือง
​​ง้าวเล่มเดียวนั้นบ่งบอกฐานะชองคนบนเรือนได้เป็นอย่างดี
​ห้องใหญ่ปูเสื่อว่างเปล่าไม่มีใครสักคน กองไฟให้ความอบอุ่นลุกโชนอยู่ในหลุมสี่เหลี่ยมกว้างลึกลงไปจากพื้นห้อง ไม้สนที่ใช้ทำฟืนปะทุเสียงดังเปรี๊ยะ ๆ ควันลอยเป็นส่ายออกไปทางหน้าต่าง
​​“อ๊ะ”
​มูซาชิสำลักควันไฟ เผลอไอออกมาแล้วรีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดปาก แต่ไม่ทันการเสียแล้ว
​​“นั้นใคร”
​เสียงแม่เฒ่าร้องถามออกมาจากครัว มูซาชิรีบหลบลงไปนั่งคุดคู้อยู่กับพื้นดินใต้หน้าต่าง
​​“กนโนะซุเกะ เจ้าปิดโรงนาหรือเปล่าน่ฮึ ข้าได้ยินเสียงคนไอ หรือว่าจะเป็นไอ้พวกขโมยข้าว”
​ฟังจากเสียงพูดที่ดังใกล้เข้ามาแม่เฒ่าน่าจะเดินเข้ามาในห้องใหญ่
2
​​กล้าดีก็ออกมาเลย
​มูซาชิท้าอยู่ในใจ
​​ก่อนอื่นจะต้องจับเจ้าหมูป่าให้ได้ ส่วนเรื่องจับโอซือไปซ่อนไว้ที่ไหนนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลัง
​เห็นเงียบ ๆ อย่างนี้ นอกจากเจ้าหนุ่มล่ำสันลูกแม่เฒ่าคนนี้แล้วอาจมีสมัครพรรคพวกซุ่มตัวคุมเชิงอยู่ พอเอาเข้า จริง ๆ ก็จะโผนเข้าใส่เหมือนฝูงหมูป่า ดังนั้นจึงต้องเผด็จศึกจ่าฝูงให้เสียขวัญกันเสียก่อน
​​กนโนะซุเกะ กนโนะซุเกะ
​มูซาชิผละออกจากหน้าต่างในจังหวะเดียวกับที่แม่เฒ่าเรียกลูกชายเสียงดัง พุ่งตัวเข้าไปซ่อนอยู่ในแมกไม้ที่ล้อมรอบตัวเรือน
​​“ใคร ที่ไหน รึแม่”
​ลูกชายที่ถูกเรียกว่ากนโนะซุเกะเดินส่ายอาด ๆ ออกมาจากหลังเรือน และตะโกนถามซ้ำด้วยเสียงดุดัน
​​“แม่ว่ามีใครอยู่ตรงไหนรึ”
​แม่เฒ่าเดินมาเยี่ยมหน้าต่างมองออกมา
​​“ข้าได้ยินเสียงคนไออยู่แถว ๆ นี้”
​​“หูฝาดไปรึเปล่า หมู่นี้แม่ชักจะแย่รู้ไหม ตาก็ไม่ดี หูก็ตึง”
​​“ไม่ใช่นะ ข้าได้ยินตริง ๆ ต้องมีใครแอบมองเข้ามาทางหน้าต่างนี่ แล้วก็เลยสำลักควันไฟ ไอออกมา”
​​“หือ...จริงรึ”
​กนโนะซุเกะเดินลาดตระเวนไปราวสิบยี่สิบก้าว ยังไม่ทันรอบก็หยุดยืนและกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง
​​“ได้กลิ่นคนจริงด้วย”
​มูซาชิกระชับกายตั้งสติมั่นคงเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่ บอกตัวเองว่าจะประมาทไม่ได้แม้แต่พริบตาเดียว เมื่อเห็นแววตาของกนโนะซุเกะที่เปล่งประกายอยู่ในความมืดพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่ศัตรูทุกขณะจิต
​กนโนะซุเกะเดินด้วยท่วงท่าที่ศัตรูจะหาช่องจู่โจมได้ยากตั้งแต่ปลายเท้าถึงหน้าอก มูซาชิจ้องด้วยความสงสัยว่าเจ้าหมูป่าพกอาวุธอะไรจึงได้วางท่าได้เช่นนั้น และเมื่อมองอย่างเพ่งพิศจึงพบว่า กนโนะซุเกะพกไม้พลองยาวราวสองศอกครึ่ง
​ไม้นั้นแม้จะคล้ายแต่ก็ไม่ใช่แท่งไม้กลมที่ใช้กลิ้งแผ่แป้งให้เป็นแผ่นบางสำหรับทำอาหารเส้นโหรือทำขนมแต่มีความเป็นอาวุธใช้ติดตัวราวกับใช้ชีวิตร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน ในสายตาของมูซาชิ ไม้พลองกับคนที่ถือมันเป็นสองสิ่งที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวจะขาดกันและกันไปไม่ได้
​​“นั่นใคร”
​กนโนะซุเกะตะหวัดไม้พลองแหวกอากาศเฟี้ยวฟาดลงมา ปลายจรดพื้นดินตรงหน้า มูซาชิก้าวคล้ายลอยตัวตามลมที่เกิดจากแรงเหวี่ยออกมายืนเยี้ยงกับปลายไม้พลอง
​​“ข้ามาตามเพื่อนเดินทางที่หายไป”
​เจ้าหนุ่มนักดาบถือโอกาสที่อีกฝ่ายยังยืนนิ่งมองมา กล่าวต่อด้วยเสียงทุ้มกังวาน
​“เอาตัวผู้หญิงกับเด็กที่เจ้าลักพาตัวมาไว้ที่นี่ คืนให้ข้าแต่โดยดี ถ้าคืนคนทั้งสองให้ข้าปลอดภัยพร้อมขอโทษ ข้าก็จะให้อภัย แต่ถ้าเจ้าทำให้ทั้งสองบาดเจ็บตรงไหนแม้เพียงน้อยนิด ก็ต้องเห็นกัน”
ลมเย็น ๆ จากหุบเขาหิมะของโคมะ-งะ-ทาเกะ โชยมาเย็นเยียบ ใต้ฟ้าดาราแพรวพราย
​​“เอาคืนมา บอกให้เอาคืนมา ไม่ได้ยินรึ”
เจ้าหนุ่มนักดาบคาดคั้นเป็นครั้งที่สาม ด้วยเสียงกร้าวคมเฉียบราวลมหิมะ
​เจ้าหมูป่ากระชับไม้พลอง ตาวาวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผมตั้งชันเหมือนขนเม่นด้วยโทสะสุดขีด กระทืบเท้าและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
​​“บัดซบ ข้าน่ะรึจะลดตัวไปลักพาตัวใคร”
​“ใคร ๆ เขาเห็นกันทั้งถนนว่าเจ้าลักพาตัวผู้หญิงกับเด็ก เพื่อนเดินทางของข้าไป ไปเอาตัวมาคืนข้าเดี๋ยวนี้ เอาคนที่เจ้าพาไปซ่อน คืนข้ามาเดี๋ยวนี้เลย”
​“เอ๊ะ เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่อง”
​ไม้พลองสองศอกครึ่งถูกตวัดฟาดลงมาทันทีด้วความเร็วเดินกว่าสายตาจะจับได้ว่า แขนสิ้นสุดตรงไหนและไม้พลองเริ่มตรงไหน ตรงไหนคือแขนและตรงไหนคือไม้พลอง


กำลังโหลดความคิดเห็น