นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
...โอซือ ในเมื่ออีกไม่กี่ครู่ยามข้าก็จะลาจากโลกนี้ไปแล้ว ข้าจะพูดความจริงกับเจ้า คำพูดต่อไปนี้ของข้าไม่ใช่คำลวงไม่ใช่คำเสแสร้ง โอซือข้ารักเจ้า รักอย่างที่ไม่มีวันใดจะไม่รัก เจ้ารู้ไหมว่าทุกวันนี้ข้าต้องทนทรมานเพียงไรกับความปรารถนาที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้นและใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าตลอดไป...แต่ก็ไม่อาจตัดใจได้ตราบที่ยังมีดาบที่ข้ารักเหนืออื่นใด
1
มูซาชิหยุดเมื่อสิ้นคำ
“โอซือ”
เสียงที่เรียกหญิงอันเป็นที่รักนั้นหนักแน่นขึ้นก็จริง แต่ก็แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่เก็บกลั้นเอาไว้ในใจ ใครจะคิดว่าเจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่บึกบึนหน้านิ่งปากเม้มสนิทผู้นี้ จะพลอดรักได้ซาบซึ้งตรึงใจได้ปานนี้
“คำพูดของข้าหาใช่เสียงกรีดร้องของนกกาเมื่อใกล้ตาย แต่เป็นคำพูดจากใจของมูซาชิ ชายผู้ปลดปลงชีวิตนี้ให้แก่ความตายที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า โอซือ...ขอให้เชื่อคำพูดของข้าตั้งแต่วินาทีนี้ว่าเป็นความจริงจากใจทุกคำ ไม่มีเท็จไม่มีเล่ห์หรือกลลวง ไร้สิ้นซึ่งความหยิ่งผยอง ไร้จริตมารยาทั้งปวง
ฟังสิโอซือ ฟังว่าเจ้าครอบครองหัวใจข้าเอาไว้เพียงใด วันใดที่คิดถึงเจ้าข้าไม่มีสมาธิที่จะทำสิ่งใดทั้งสิ้น คืนใดที่ภาพเจ้าสว่างวาบเข้ามาในห้วงคำนึง คืนนั้นข้าจะกระสับกระส่ายหลับตาไม่ลงและพอเคลิ้มหลับก็จะตกอยู่ในความฝันอันเร่าร้อนจนแทบเป็นบ้าที่ไม่อาจไขว่คว้าเจ้ามาเคียงกาย เจ้าตามข้าไปในความฝันทุกแห่งหนไม่ว่าจะไปอาศัยนอนอยู่ตามวัดหรือซุกตัวนอนอยู่ตามโคนต้นไม่ในป่าเขา หลายครั้งที่ความฝันแสนหวานจบลงด้วยความขมขื่นจนต้องกัดกรามกรอด เมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าโอซือในอ่อมกอดกลับกลายเป็นผืนเสื่อที่ใช้ห่มกาย มูซาชิตกเป็นทาสรักของโอซือ ข้ารักเจ้าสุดหัวใจ
แต่...แม้ยามที่ใจข้าเร่าร้อนด้วยความคิดถึงคะนึงหาเจ้า หากเผลอไปชักดาบออกมาจากฝัก ความเร่าร้อนจนแทบคลั่งนั้นกลับเยียบเย็นลงทันใด พร้อมกับเงาของเจ้าที่เลือนรางราวสายหมอกจางหายไปจากห้วงคำนึง
“... ... ...”
โอซือเงยหน้าขึ้นทั้งที่ยังสะอื้นไหวราวดอกเถาวัลย์สีขาว ทำท่าจะเอ่ยอะไรออกมา แต่พอเห็นใบหน้าของมูซาชิที่สะท้อนอารมณ์เร่าร้อนรุนแรงจนน่ากลัวนั้น นางก็ต้องนิ่งอี้งและหลุบตาลงตามเดิม
“...และแล้วข้าก้าวเดินต่อไป ทุ่มเททั้งกายและใจไปบนวิถีแห่งดาบ โอซือ...ทั้งหมดที่พูดมานั้นคือใจจริงของ ชายนามมูซาชิคนนี้ ที่เดินคร่อมไปบนทางสองสาย สายหนึ่งคือเส้นทางแห่งความรักและอีกสายหนึ่งเส้นทางแห่งความมานะพากเพียรเพื่อบรรลุจุดหมายในชีวิต ข้าเลือกเดินมาบนวิถีแห่งดาบแม้จะลังเลตัดใจไม่ขาดและทุกข์ระทมมาจนทุกวันนี้ ไม่มีใครจะรู้จักมูซาชิเท่าข้า มูซาชิไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่เป็นแค่ผู้ชายที่รักดาบมากกว่าโอซือเพียงนิดเดียวเท่านั้น ความรักอาจไม่ทำให้มูซาชิตัดใจตายได้ แต่มูซาชิน้อมรับตายได้ทุกเวลาบนวิถีแห่งดาบ...”
มูซาชิคิดว่าตนได้เปิดใจจนหมดสิ้นแล้ว ทุกคำพูดที่เอ่ยออกไปล้วนเป็นความจริงจากใจ...จากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ได้มีการจัดแต่งสำนวนให้เพริดแพร้ว และไม่มีอะไรที่เป็นเท็จแม้แต่คำเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรค้างคาอยู่ในอกอีก
“โอซือ เจ้าเป็นคนแรกที่รู้ว่าชายนามมูซาชิเป็นคนเช่นนี้ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ โดยไม่อ้อมค้อมก็คือ เวลาที่เจ้าเข้ามาครอบครองห้วงคิดคำนึงสัมผัสทั้งห้าในตัวตนของข้าจะตื่นตัวขึ้นโหยหา แต่พอได้สติขึ้นมาบนวิถีแห่งดาบโอซือก็จะถูกเก็บเข้าไปอยู่ในซอกมุมของสมองทันที ไม่ใช่สิ...ตัวตนของโอซือไม่มีเหลืออยู่ในซอกมุมของหัวใจ แม้เท่าผงธุลี หาเท่าไรก็ไม่เห็น ยิ่งกว่านั้น...ในช่วงเวลาเช่นนี้มูซาชิจะออกเดินมุ่งไปข้างหน้าด้วยความสุขเป็นที่สุด อย่างชายผู้มีจุดมุ่งหมายในชีวิต
เข้าใจแล้วใช่ไหมโอซือ รู้แล้วใช่ไหมว่าคนที่เจ้าทุ่มเททั้งใจกายให้ทั้งหมด และคนที่ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวมาจนถึงวันนี้นั้นเป็นคนเช่นไร ข้ารู้ว่าพูดไปก็สะเทือนใจเจ้า แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะข้าก็เป็นของข้าแบบนี้”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงต่ำกังวาน โอซือเอื้อมมือบอบบางมาจับข้อมือแข็งแกร่งของผู้พูดเอาไว้ ดวงตาเป็นประกายไม่มีแววน้ำตา
“...ข้ารู้ รู้ดีว่าท่านเป็นคนเช่นไร ถ้าไม่รู้แล้วจะรักท่านได้อย่างไรเล่า”
“ถ้ารู้ก็ไม่ต้องให้ข้าบอกหรอกนะว่า การที่จะตายตามมูซาชิคนนี้เป็นความคิดที่โง่เขลา คนอย่างข้าเวลาได้พบกันก็จะมอบใจกายให้แก่เจ้าเพียงชั่วโมงยาม แต่พอห่างจากกันเพียงก้าวเดียวเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในใจข้าเสียแล้วแม้เพียงผงธุลี ข้าเป็นคนอย่างนี้ รู้แล้วยังคิดจะตายตามผู้ชายที่เป็นคนเยี่ยงนี้อีกรึ ชีวิตของเจ้ามีค่าเกินกว่าที่จะมาตายอย่างแมลง ผู้หญิงก็มีวิถีชีวิตของผู้หญิงที่เปิดกว้างอยู่ ชีวิตของผู้หญิงมีคุณค่าควรแก่การดำเนินต่อไป โอซือ...นี่คือคำอำลาของมูซาชิ ได้เวลาที่ข้างต้องไปแล้ว”
มูซาชิบรรจงปลดมือของโอซือออกและยืนขึ้น
2
มือบอบบางคว้าชายเสื้อกิโมโนของชายร่างใหญ่ไว้ทันทีที่ถูกปลดออก
“รอก่อน มูซาชิ”
โอซือเรียกไว้ด้วยเสียงที่หนักแน่น
นางเองก็มีความในใจมากมายที่อยากพูดอยากบอกอัดอั้นอยู่ในใจ
ใจของโอซือไม่ได้หวั่นไหวไปกับถ้อยคำที่มูซาชิติติงเมื่อนางบอกว่าจะตายตาม
เกิดมาอย่างแมลงที่น่าเวทนาและตายไปอย่างแมลงตัวหนึ่งนั้น มันจะได้อะไรขึ้นมารึ
หรือแม้แต่ถ้อยคำเชิงตัดรอนไม่ถนอมน้ำใจกัน
พอห่างจากกันเพียงก้าวเดียวเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในใจข้าเสียแล้วแม้เพียงผงธุลี
ถ้อยคำเหล่านั้นแม้คนพูดจะบอกว่าจริงจากใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สายตาของโอซือที่มองมูซาชิเปลี่ยนไปเลย นางเข้าใจและรู้ซึ้งถึงใจของชายสุดที่รัก อยากจะตอบโต้ออกไปว่าข้าไม่ได้รักคนผิดแต่ก็เกรงว่าจะเป็นการหักหาญน้ำใจคนที่...จากนี้ไปคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว
“ช้าก่อน...”
โอซือยึดชายกิโมโนของมูซาชิเอาไว้มั่น สุดท้ายสุดวิสัยที่โอซือจะทำอะไรได้นอกจากร้องไห้กระซิกตามประสาหญิง
แค่นั้นเอง ใจกร้าวของมูซาชิก็อดไม่ได้ที่จะปั่นป่วนไปกับความงามยามอ่อนไหว ความน่ารักยามสับสนของหญิงที่อยากเอ่ยคำแต่ไม่อาจเอ่ย จุดอ่อนที่สุดในอุปนิสัยที่เจ้าตัวห่วงนักหนานั้นกำลังหวั่นไหวราวต้นไม้รากตื้น ๆ ท่ามกลางพายุใหญ่ หรือว่าวิถีที่เลือกแล้วอันเป็นทางสายหลักที่ดำเนินมาตลอดอาจถึงคราวเลื่อนถล่มกลายเป็นโคลนไปพร้อมกับน้ำตาของนาง
มูซาชิสลัดความหวั่นใจด้วยการสำทับเสียงหนัก
“เข้าใจแล้วใช่ไหม”
“เข้าใจแล้ว”
โอซือได้จังหวะจึงตอบเบา ๆ แล้วพูดต่อรวดเดียวไม่คิดขัด
“แต่ถ้าท่านตายข้าจะตายตาม ในเมื่อผู้ชายเช่นท่านยินดีน้อมรับความตาย ผู้หญิงอย่างข้าก็จะตายอย่างมีความหมายในส่วนตัวของข้า ไม่ใช่ตายอย่างไร้ความหมายเช่นแมลง และไม่ใช่ตายด้วยความโศกเศร้าเพียงชั่ววูบ นี่คือสิ่งเดียวเท่านั้นที่โอซืออยากขอทำตามใจตัวเอง”
พอได้พูดทำนบก็พังทลาย
“ท่านยอมรับผู้หญิงอย่างข้าเป็นเมียอยู่ในใจจะได้ไหม เพียงเท่านั้นข้าก็จะสมปรารถนาทั้งสิ้นทั้งปวงไม่ต้องการอะไรอีก...การได้เป็นผู้หญิงของท่านคือความสุขอันยิ่งใหญ่ คือความปลื้มปิติที่ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลกจะมีได้ ท่านพูดเองใช่ไหมว่าไม่อยากให้โอซือเป็นทุกข์ โอซือจึงขอบอกท่านว่าการตัดสินใจตายตามท่านไปนั้นใม่ใช่เพราะความทุกข์ที่ต้องสูญเสียท่านไปแน่นอน แม้คนอื่นจะมองว่าโอซือตายตามท่านเพราะทนความทุกข์โศกไม่ได้ แต่โอซือเองเท่านั้นที่รู้ว่าไม่ใช่ ข้าพูดอะไรไม่ถูกแล้ว...ความรู้สึกของข้าล่วงหน้าไปรอรับความสุขเมื่อฟ้าสางหลังวิญญาณล่องลอยจากร่าง ท่ามกลางเสียงนกร้องเพรียกหากันให้มาชมเจ้าสาว”
โอซือหายใจหอบถี่ไม่รู้ว่าเพราะพูดมายืดยาวหรือว่าจิตใจเริงระทึก นางกอดอกแน่นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าคล้ายกำลังฝันแสนสุข
ดวงจันทร์ค้างฟ้าขาวนวล หมอกเริ่มลอยตัวขึ้นท่ามกลางแมกไม้ แต่ยังคงต้องรออีกสักครู่จึงจะรุ่งสาง
ทันใดนั้นเอง
เสียงกรีดร้องแหลมสูงราวนกตื่นตกใจโผบินขึ้นจากแมกไม้ ดังแหวกความเงียบสงัดมาจากหน้าผาที่โอซือกำลังเหม่อมองขึ้นไป ไม่ใช่เสียงนกหรือเสียงของโจทาโรที่ปีนขึ้นไปบนนั้นเมื่อครู่ก่อน แต่เป็นเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
3
ต้องเกิดเหตุร้ายแรงอะไรขึ้นแน่นอน ใครคนนั้นจึงได้กรีดร้องจนสุดสุดเสียง
โอซือตื่นจากภวังค์เขม้นมองไปที่หน้าผาท่ามกลางสายหมอก
มูซาชิถือโอกาสนั้นก้าวเดินจากไป ไม่มีแม้แต่คำว่าลาก่อน
และพอผละห่างออกมาได้ก็ก้าวยาว ๆ ราววิ่ง รีบรุดไปยังแดนตาย
โอซือรู้สึกตัวก็ก้าวตามไปไม่ลดละ จนมูซาชิอดรนทนไม่ได้ต้องหันมาปราม
“โอซือ ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่ขอให้เจ้าคิดให้ดี ๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าพาตัวมาตายอย่างหมาจนตรอก เจ้าจะตายอย่างคนอ่อนแอที่ถูกความทุกข์โศกต้อนให้จนมุมและตกลงสู่หุบเหวมรณะไม่ได้ ขอให้เจ้ากลับไปรักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรงขึ้นมาอีกครั้ง แล้วค่อยคิดด้วยให้ดีใจที่อยู่ในสภาพปกติ ข้าเองก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างเสียเปล่า เพียงแต่พยายามแสวงหาชีวิตอันนิรันดร์จากความตายเท่านั้นเอง โอซือ...ขอให้เจ้าคิดถึงการมีชีวิตด้วยสายตาที่ยาวไกลแทนที่จะคิดตายตามข้า เพราะแม้วันหนึ่งร่างของมูซาชิจะกลายเป็นดิน แต่ชีวิตของมูซาชินั้นยังคงอยู่”
มูซาชิพูดรวดเดียวจบโดยไม่หยุดหายใจ แล้วยังเสริมอีกว่า
“ฟังนะโอซือ ถ้าเจ้าตั้งใจตายตามข้าไปจริงก็ตามไปให้ถูก อย่าหลงทางไปคนเดียวก็แล้วกัน เห็นมูซาชิล้มลงตายบนสนามประลองยุทธ์และคิดว่าจะตามไปพบกันในปรโลกคงไม่ได้ เพราะมูซาชิไม่ไปที่นั่น แต่จะยังอยู่ในหมู่คน อยู่ในดาบของแว่นแคว้นนี้ ไม่ได้ไปไหน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม”
มูซาชิพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วรีบเดินไกลออกไปเกินกว่าจะได้ยินเสียงพูดของโอซือ
โอซือยืนตะลึงพูดอะไรไม่ออก
มองร่างของมูซาชิที่ไกลออกไปจนเห็นแต่เงาด้วยความรู้สึกคล้ายกับเงานั้นคือดวงวิญญาณของตนเองที่ละไปจากร่าง ความเศร้าเมื่อจากพรากคืออารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคนสองคนต้องจากกันไปคนละทาง แต่ความรู้สึกโอซือในขณะนี้ไม่ใช่การจากพราก แต่เป็นรวมตัวกันกับมูซาชิเข้าไปในเกลียวคลื่นแห่งความเป็นความตายที่ถาโถมเข้มาต่างหาก
กรวดดินร่วงลงมาจากลาดเนินเสียงดังซ่า ๆ ราวน้ำตก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของโจทาโรที่เผ่นโผนมาตามสุมทุมพุ่มไม้
“ต๊ายตาย”
โอซือตาตื่น ยกมือขึ้นทาบอก
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง ก็เจ้าหนุ่มน้อยเล่นเอาหน้ากากปีศาจยิ้มที่ได้มาจากแม่ม่ายเมืองนารามาใส่ แล้วโผล่ออกมายกมือสองข้างขึ้นโจ๊ะตรงหน้า
หน้ากากอันนี้โอซือเห็นโจทาโรเอาติดตัวมาอย่างทนุถนอมตอนออกจากคฤหาสน์คาราซุมารุเพราะคงคิดว่าจะไม่กลับไปอีก
“เล่นอะไรไม่รู้ ตกใจหมดเลย”
โอซือค้อน
“เกิดอะไรขึ้นรึ โจทาโร”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน โอซือก็ได้ยินใช่ไหมเสียงผู้หญิงร้องกรี๊ดเมื่อกี้”
“เจ้าใส่หน้ากากนี่ไปทำอะไรมารึ”
“ข้าปีนขึ้นไปบนหน้าผา ข้างบนนั่นมีทางแยกไปทางโน้นทางนี้ ข้าเห็นแท่นหินใหญ่ที่น่าจะนั่งสบายอยู่สูงขึ้นไปก็เลยปีนขึ้นไปนั่งชมจันทร์”
“ทั้งที่ใส่หน้ากากน่ะรึ”
“ใช่ ก็ข้าได้ยินเสียงหมาป่าหอน แล้วยังมีสัตว์ป่าไม่รู้อะไรทำเสียงแกรกกรากอยู่ตามพุ่มไม้ ข้าก็เลยใส่หน้ากากเอาไว้ ขู่ให้พวกมันกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ไง แล้วอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงใครไม่รู้ร้องกรี๊ดเสียงแหลมแสบหู ยังกับเสียงปีศาจปีนต้นงิ้วในนรกแน่ะ โอซือก็ได้ยินใช่ไหม”