นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ใบหน้า หัวหู แม้จนรูจมูกของนักดาบผู้เป็นบริวารขุนนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าน้ำมันคบเพลิงที่ตนถือเดินไปทั่ว ผ้าผ่อนก็โดนน้ำค้างกลางดึกเปียกปอนและเลอะเทอะขี้โคลนมอมแมมดูไม่ได้ไปทั้งตัว
โอ๊ะ พอส่องไฟประจันหน้าเคร่งและบึกบึนของนักดาบพเนจรเข้าก็ร้องลั่นแล้วผงะออกไปหลายก้าว
มูซาชิจ้องเขม็งด้วยตาเหยี่ยวที่พร้อมตะปบเหยื่อ ทั้งที่ใจเต้นอยู่เหมือนกันกับการปรากฏตัวอย่างไม่ชอบมาพากลของนักดาบคลุกขี้โคลนคนนี้
“เอ่อ...ท่าน”
นักดาบที่เดิมทีคงจะภูมิฐานก้มศรีษะลงทำความเคารพอย่างต่ำและถามอย่างเกรง ๆ ว่า
“ท่านคือมิยาโมโตะ มุซาชิใช่หรือไม่”
ดวงตาคมกริบของมูซาชิเป็นประกายขึ้นมาในแสงแดงฉานของคบไฟ กายตัวเกร็งแข็งขึ้นด้วยสันชาตญาณป้องกันตัว
“ต้องใช่ท่านมิยาโมโนะแน่”
ชายแปลกหน้าถามซ้ำ หางเสียงสั่นนิด ๆ ด้วยความหวาดหวั่นกับความนิ่งของมูซาชิซึ่งนิ่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ถามแต่ก็ดูเหมือนจะกลัวคำตอบ
“ท่านเป็นใคร มาจากที่ใด”
“อ๋อ เอ่อ...ข้า”
“ก็บอกว่าสิว่าเป็นใคร”
เสียงนั้นไม่ได้กราดเกรี้ยววางอำนาจแต่ว่าห้าวหาญนัก
“เอ่อ คือข้าเป็นซามูไรของตระกูลคาราซุมารุ”
“อะไรนะ ท่านคาราซุมารุรึ ข้าคือมูซาชิ ว่าแต่ค่ำมือป่านนี้แล้วบริวารของท่านคาราซุมารุขึ้นมาทำอะไรในป่าเขาเช่นนี้ฮึ”
“ท่านคือมูซาชิจริง ๆ ด้วย เปล่าหรอกนะ ไม่มีอะไร แค่รู้ว่าข้าทักไม่ผิดคนเท่านั้นเอง”
ว่าแล้วชายแปลกหน้าก็วิ่งลงเขาไปโดยไม่เหลียวหลัง เห็นแต่เปลวไฟที่ลู่ไปตามแรงหายลับไปทางเชิงเขา
มูซาชินิ่วหน้ามองตามไปได้แค่อึดใจเดียวก็เบิกตาโตคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วออกเดินก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินข้ามเขา และพอตัดผ่านสันเขาภูเขาชิงะก็ยิ่งฝีเท้าลัดเลาะเรื่อยไปทางด้านข้าง
ส่วนนักดาบผู้ถือคบไฟวิ่งเตลิดอย่างไม่คิดชีวิตลงเขาไปจนถึงกินกากุจิจึงผ่อนฝีเท้าลง แล้วยกมือข้างที่ ว่างอยู่ป้องปากส่งเสียงเรียกเพื่อนที่นัดหมายกันไว้
“วู้ ท่านคุระ ท่านคุระ อยู่ที่ไหน”
แต่คนที่ส่งเสียงขานตอบเรียกกลับไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นเจ้าหนุ่มน้อยโจทาโรที่เข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ คาราซุมารูนานวันเต็มทีแล้ว
“ท่านน้าร้องโหวกเหวก เรียกหาใครกัน”
เจ้าหนุ่มน้อยร้องถามมาไกล ๆ จากประตูวัดด้านตะวันตก
“เจ้าโจทาโรเองรึ”
“ก็ใช่นะซี มีอะไรรึท่านน้า”
“ร้องตะโกนอยู่ทำไม มานี่สิ”
“จะให้ไปได้ยังไงล่ะ โอซือมาได้แค่นี้ก็หมดแรงล้มตัวลงนอนเสียแล้ว ข้าทิ้งนางไปไม่ได้หรอก”
นักดาบบริวารของตระกูลคาราซุมารูทำเสียงจึ๊จ๊ะขัดใจ ก่อนตะเบ็งเสียงดังขึ้นไปอีก
“ถ้าไม่รีบมา ท่านมูซาชิไปไกลจนตามไม่ทันแล้วไม่รู้ด้วย เร็ว ๆ เข้าสิ ข้าเพิ่งเห็นท่านมูซาชิเดินอยู่ตรงโน้นเมื่อกี้นี้เอง”
“... ... ...”
นักดาบผู้สื่อข่าวกำลังคิดว่าทำไมเจ้าหนุ่มน้อยเงียบไป ก็พอดีมองไปเห็นโจทาโรจูงมือโอซือจนเกือบเรียกได้ว่าฉุดลากตรงเข้ามาอย่างรีบเร่ง
“ทางนี้”
นักดาบโบกคบไฟเร่งเมื่อเห็นคนทั้งสองเดินกระย่องกระแย่งไม่ทันใจ ก็จะให้เร็วได้ยังไงเพราะโอซือป่วยหนักปานนั้น ขนาดอยู่ไกลถึงตรงนี้ยังได้ยินเสียงหายใจหอบจนแทบจะขาดใจของนางเลย
และยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งเห็นสภาพทรุดโทรมของสาวแสนงามผู้นั้นได้ชัด ใบหน้าของโอซือไร้สีเลือดขาวซีดยิ่งกว่าดวงจันทร์ยามรุ่งสาง แขนขาผ่ายผอมไม่เข้ากับชุดเดินทางที่สวมใส่น่าห่วงว่าจะเดินไปไหนได้สักกี่ก้าว แต่พอเข้ามาใกล้คบไฟเท่านั้นแหละ แก้มของโอซือก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที
“จริงหรือเจ้าคะ ท่านพบกับมูซาชิจริงหรือ”
“จริงสิ เมื่อกี้นี้เอง”
นักดาบเจ้าของคบไฟตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“ถ้าเรารีบตามไปเดี๋ยวนี้จะต้องได้พบกันแน่ เร็วเข้าเถิด”
โจทาโรตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
“จะให้ไปทางไหน ไปทางไหนฮึ บอกอยู่ได้ว่าให้รีบ ให้รีบ ท่านน้านี่”
หนุ่มน้อยกระทืบเท้าเร่าๆ อยู่ตรงกลางระหว่างคนป่วยกับท่านน้านักดาบ
2
อาการของโอซือมีแต่ทรุด และที่ออกเดินทางมาทั้งที่อ่อนแรงเต็มนี้นั้นก็เพราะตัดใจได้เด็ดขาดแล้วว่าจะต้องตามหาชายอันเป็นที่รักสุดหัวใจจนพบให้ได้ แล้วยิ่งได้ยินโจทาโรเล่าถึงการประลองยุทธ์ให้ฟังเมื่อคืนนี้ด้วยแล้ว นางก็ไม่อาจนอนซมอยู่ที่คฤหาสน์คาราซุมารูต่อไปได้
ครั้งนี้มูซาชิใจเด็ดยิ่งนักบุกเดี่ยวด้วยความหาญกล้าเข้าไปในหมู่ศัตรูที่รุมล้อมหมายพิฆาตให้สิ้นเสี้ยนหนาม และถ้าเป็นจริงดังนั้นแล้วเราจะมีชีวิตยืนยาวไปใย
บอกกับโจทาโรไปเช่นนั้นแล้วก็ถอนใจยืดยาวก่อนกระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
แต่ก่อนตายขอเห็นหน้าเขาสักครั้งหนึ่งเถิด
โอซือหยิบผ้าชุบน้ำลดไข้ที่วางไว้บนหน้าผากออกวางไว้ทางหนึ่งแล้วรวบรวมกำลังยันตัวลุกขึ้นนั่ง เกล้าผมที่หลุดรุ่ยให้เข้าที่ ใส่รองเท้าฟางเซซังออกจากเรือนไปที่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์คาราซุมารู ไม่ฟังเสียงห้ามเสียง ทัดทานของใครทั้งสิ้น
ฝ่ายคนในคฤหาสน์ทั้ผู้เฒ่าผู้แก่และหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เมื่อเห็นว่ายั้งไว้ไม่หยุดก็หันหน้าเข้าปรึกษากันเสียงขรม บ้างก็ยังจะยื้อยุดบ้างก็เห็นใจในความมุ่งมั่นปรารถนาของแม่สาวงาม ยังไม่ทันที่จะตกลงกันว่าอย่างไรเรื่องก็ล่วงรู้ไปถึงหูคาราซุมารู มิตสึฮิโระผู้เป็นประมุขแห่งตระกูล
ท่านประมุขเห็นใจโอซือยิ่งนักที่รักของนางทำท่าว่าจะจบลงด้วยความรันทด จึงจะคิดช่วยเหลือสุดเท่าที่คนนอกอย่างตนสามารถทำได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น มิตสึฮิโระจึงสั่งให้บริวารกลุ่มหนึ่งตามไปดูแลโอซือไปจนถึงหน้าซุ้มประตูวัดบุตสึเก็นจิที่อยู่ด้านล่างของกินกากุจิ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้แยกย้ายกันตามหามูซาชิ
บรรดานักดาบของตระกูลคาราซุมารูต่างรู้กันทั่วแล้วว่าการประลองยุทธ์จะมีขึ้นที่อิจิโจจิ แต่ไม่มีใครรู้ชัดว่าตรงไหนเพราะหมู่บ้านอิจิโจจินั้นครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวางและมีทางเข้าถึงหลายทางนัก หลายคนกังวลจึงว่าหากมูซาชิไปถึงที่นัดหมายก่อนก็เป็นอันว่าหมดโอกาสที่โอซือกับมูซาชิจะได้พบกัน ดังนั้นจึงแยกย้ายกันวิ่งไปทางละคนสองคนซึ่งก็ได้ผลดีเกินคาด นักดาบคนหนึ่งพบมูซาชิเข้าอย่างจังจึงวิ่งมาบอกพรรคพวกเพื่อจะได้ช่วยกันพาโอซือไปพบกับมูซาชิสมใจหมาย
ทันทีที่รู้ว่ามูซาชิกำลังเดินลัดเลาะลงมาที่คิตาโนซาวะทางด้านเหนือ โอซือก็สลัดมือจากคนที่ช่วยประคองโลดแล่นไปข้างหน้าโดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น
“ไหวเหรอโอซือ ระวัง ๆ เดี๋ยวได้หกล้มหรอก จะไหวไหมเนี่ย”
โจทาโรเดินระวังระไวอยู่ข้าง ๆ และร้องเตือนอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง แต่โอซือไม่มีทีท่าว่าจะฟัง
ไม่ใช่สิ...ไม่ได้ยินต่างหาก เพราะใจของโอซือแล่นลิ่วไปที่มูซาชิ เป็นตายยังไงก็ต้องพบหน้าชายอันเป็นที่รักของนางคนเดียวนี้ให้ได้ แม้ได้เห็นเพียงแวบเดียวแล้วต้องตายก็ยอม หายใจหอบแรงทั้งทางจมูกและปากจนลำคอนางแห้งผาก เหงื่อเย็น ๆ ไหลจากโคนผมลงมาชุ่มหน้าผากขาวซีด แต่โอซือก็ยังก้าวเดินต่อไป
“โอซือมาทางนี้ เดินเลียบไปข้าง ๆ ผ่านไหล่เขาไปเดี๋ยวก็ไปออกที่เอซันเองแหละ ทางจากตรงนี้เรียบดีไม่ต้องปีนป่ายอีกแล้ว พักนิดนึงดีไหม”
โอซือส่ายหน้า จับปลายไม้ที่โจทาโรใช้ช่วยจูงเอาไว้แน่น และตั้งหน้าตั้งตาเดินพลางหอบพลาง ราวกับกำลังพยายามเอาชนะชีวิตที่ลำเค็ญไปสุดเส้นชัยให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ครู...ครู ท่านมูซาชิ วู้...”
โจทาโรกู่ตะโกนสุดเสียงไปตลอดทาง ไม่มีอะไรที่จะเป็นกำลังใจให้โอซือได้มากไปกว่านี้แล้ว
แต่อยู่ ๆ นางก็หมดแรงไปเสียเฉย ๆ
“จ...โจทาโร”
ยังไม่ทันที่หนุ่มน้อยจะเหลียวมา นางก็ปล่อยปลายไม้ช่วยจูง ทรุดลงไปฟุบนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าคละก้อนกรวดตรงนั้นเอง
ยกมือทั้งสองขึ้นปิดปากกับจมูกไว้แน่น ไหล่สั่นไหวคล้ายสะอื้น
“เฮ้ย นั่นมันเลือดนี่ แย่แล้ว โอซือ...โอซือ อาเจียนเป็นเลือด”
โจทาโรร้องเสียงสั่นเครือ ตรงเข้าไปพยุงร่างบอบบางเอาไว้
3
โอซือส่ายหน้าน้อย ๆ อยู่กับพื้นตรงนั้น
“โอซือ เป็นอะไรไป ไหวรึเปล่า”
โจทาโรถามพลางลูบหลังลูบไหล่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้มากไปกว่านั้น
“หายใจไม่ออกเหรอ”
“... ... ...”
“รู้แล้ว น้ำใช่ไหม โอซือ หิวน้ำละซี”
โอซือพยักหน้า
“งั้นรอแป๊บนะ”
โจทาโรมองไปรอบ ๆ และพอเห็นจุดหมายก็ผลุดลุกขึ้น เดินตรงไปยังทางเดินลงหุบเขาที่มีเสียงน้ำไหลผ่านพงหญ้าและแมกไม้คล้ายบอกทางให้ว่าอยู่ตรงนี้...อยู่ตรงนี้ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหนุ่มน้อยก็พบตาน้ำผุดขึ้นมาระหว่างโขดหินจึงนั่งยอง ๆ ลงสำรวจดู
น้ำใสแจ๋วจนเห็นปูตัวเล็กที่ก้นแอ่ง ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยไปแล้วเห็นแต่หมู่เมฆสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ งดงามและเย็นตากว่าที่เห็นบนท้องฟ้าหลายเท่า
โจทาโรคงจะกระหายน้ำมากจนลืมไปว่าน่าจะตักไปให้คนป่วยดื่มก่อน หนุ่มน้อยกระเถิบเข้าไปใกล้ตาน้ำแล้วยื่นคอลงไปที่แอ่งเหมือนเป็ดกำลังจะกินน้ำ
แต่แล้วก็ต้องอุทานออกมาดัง ๆ ขนหัวลุกชัน ตัวแข็งทื่อไปหมด
พื้นน้ำในแอ่งสะท้อนให้เห็นต้นไม้ห้าหกต้นที่อยู่บนฝั่งลำธารด้านโน้น และเงาของใครคนหนึ่งที่แฝกอยู่ในหมู่ไม้
โจทาโรเห็นเงาของมูซาชิสะท้อนอยู่ตรงนั้น
หนุ่มน้อยผงะแทบหงายหลังด้วยความตกใจที่เห็นเงาของมูซาชิในน้ำ แน่นอนถ้าได้เห็นตัวจริงจะต้องตกใจและดีใจเหลือประมาณ แต่นี่มันเงาในน้ำ หรือว่าจะถูกผีป่าหลอกเอาก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก
เมื่อมีเงาก็ต้องมีเจ้าของเงา
โจทาโรคิดแล้วเบนสายตาจากผิวน้ำมองไปทางแมกไม้อย่างหวาด ๆ แล้วก็ต้องตกใจอีกตลบเมื่อเห็นมูซาชิยืนเด่นเป็นสว่าอยู่ตรงนั้น
“ครู ครูจริง ๆ ด้วย”
ผิวน้ำเรียบที่สะท้อนหมู่เมฆงดงามขุ่นดำไปทันควันเพราะโจทาโรกระโจนลงวิ่งฝ่าไปด้วยกำลังแรง แทนที่จะอ้อมไปตามชายน้ำ น้ำกระเซ็นขึ้นมาเต็มหน้าเต็มตา สาดไปถึงมูซาชิที่ยืนอยู่ไกลออกไป
“เฮ้ย อะไรกัน เจ็บนะ”
มูซาชิร้องลั่นเมื่อถูกโจทาโรดึงแขนเอาไว้สุดแรงเกิดด้วยพลังของนายพรานที่จับเหยื่อตัวโตเอาไว้ได้
“ช้าก่อน โจทาโร”
เจ้าหนุ่มนักดาบเบนสายตาไปทางหนึ่งอย่างระแวดระวัง ยกนิ้วขึ้นแตะหลังตาและบอกว่า
“เบา ๆ หน่อย”
“ไม่เอา ข้าไม่ปล่อยให้ครูไปไหนอีกแล้ว”
“สบายใจเถิด ข้าได้ยินเสียงเจ้ากู่เรียกมาแต่ไกลถึงได้ยืนคอยอยู่ไง อย่ามัวพิร้พิไรอยู่กับข้าเลย รีบตักน้ำไปให้โอซือเร็ว ๆ เถอะ”
“แต่น้ำมันขุ่นหมดแล้วละครู”
“ไปตักน้ำใส ๆ ในลำธารตรงโน้นซิ เอ้า...เอานี่ไป”
มูซาชิปลดกระบอกไม้ไผ่จากเอวส่งให้ โจทาโรชักมือกลับและจ้องหน้ามูซาชิ
“ครู...ครูวักน้ำไปป้อนโอซือเองสิ จะมาใช้ข้าทำไม”
4
“จริงด้วย”
มูซาชิพยักหน้าและเอากระบอกไม้ไผ่ของตนไปตักน้ำจากลำธารไปให้โอซือ ตามที่โจทาโรบอกอย่างว่าง่าย
พอไปถึงเจ้าหนุ่มนักดาบก็เข้าไปประคองให้โอซือลุกขึ้นมาและป้อนน้ำให้
โจทาโรตามมายืนดูอยู่ข้าง ๆ
“โอซือ รู้ไหมว่าใคร นี่ท่านมูซาชิ ท่านมูซาชิไง ดูซิ เห็นรึยัง”
หนุ่มน้อยที่คอยให้กำลังใจมาตลอด พลอยปลาบปลื้มยินดีไปกับโอซือที่ได้พบกับมูซาชิในที่สุด
น้ำเย็น ๆ ช่วยให้โอซือดีขึ้นบ้างแต่กายยังอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของมูซาชิ และตายังเหม่อลอยไปไกล
“ลืมดูดี ๆ ซิโอซือ คนที่พยุงเจ้าอยู่ไม่ใช่โจทาโร แต่เป็นมูซาชิต่างหาก”
โอซือได้ยินโจทาโรพร่ำบอกซ้ำหลายครั้ง น้ำตาที่คลอคลองอยู่เปี่ยมตาค่อย ๆ หลั่งลงมาเป็นสายบนแก้มนวล
นางพยักหน้าแทนคำตอบว่ารู้แล้ว
“เฮ้อ โล่งอกไปที”
โจทาโรถอนใจ
“ว่ายังไงโอซือ ทีนี้ก็สมปรารถนาแล้วใช่ไหม”
หนุ่มน้อยดีใจอย่างบอกไม่ถูก และหันไปทางมูซาชิ
“ครูรู้ไหม ตั้งแต่จากกันครั้งนั้นโอซือร่ำร้องแทบทุกวันว่าอยากพบท่านอีกครั้งให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และพอได้ข่าวว่ามีคนพบครูท่านในละแวกนี้ ก็รีบรุดมาทั้งที่เจ็บหนัก ใครห้ามก็ไม่ฟัง ขืนดื้อดึงอย่างนี้อาการต้องกำเริบถึงตายได้สักวัน ครูท่านช่วยห้ามปรามด้วยเถิด โจทาโรคนนี้พูดอะไรนางไม่เคยสนใจฟัง”
“จริงรึ”
มูซาชิยังโอบกอดโอซือเอาไว้ในอ้อมแขนเมื่อพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าคนเดียว ข้าจะขอให้โอซือยกโทษให้แล้วจะขอให้นางรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีด้วย...โจทาโร”
“อะไรรึ”
“เจ้าเลี่ยงไปทางโน้นสักครู่หนึ่งได้ไหม”
“ทำไมต้องไป” หนุ่มน้อยทำปากยื่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ มีปัญหาอะไรรึครู”
โจทาโรยืนนิ่ง ทำหน้าบึ้งตึงด้วยความน้อยใจระคนเคลือบแคลงสงสัย
มูซาชิเองไม่นึกว่าหนุ่มน้อยจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นจึงหมดปัญญา โอซือเห็นดังนั้นจึงช่วยพูดให้ด้วยเสียงอ่อนระโหย
“โจทาโร พูดอะไรอย่างนั้น ช่วยไปทางโน้นหน่อยเถิดนะ เด็กดี”
เท่านั้นเองโจทาโรก็ยอมทำตามโดยดี
“ช่วยไม่ได้ งั้นข้าจะขึ้นไปบนโน้น เสร็จธุระแล้วร้องเรียกข้านะ”
ว่าแล้วเจ้าหนุ่มน้อยก็เดินไปที่หน้าผาทางด้านโน้นแล้วปีนขึ้นไป
ไม่นานโอซือก็มีแรงยันตัวลุกขึ้นนั่งเองได้ และมองตามโจทาโรที่ปีนขึ้นไปบนหน้าผาเหมือนกวางหนุ่ม
“โจทาโร โจทาโร ไม่ต้องไปไกลนักก็ได้”
แต่โจทาโรไม่หันมาตอบ ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินหรือว่ายังงอนอยู่
โอซือไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงร้องบอกโจทาโรไปอย่างนั้น และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมจึงนั่งหันหลังให้มูซาชิอย่างนั้น ความจริงแล้วน่าจะโล่งใจที่โจทาโรไปเสียได้ แต่พอได้อยู่กันสองต่อสองกับชายอันเป็นที่รักและเฝ้ารอ ทำไมใจคอถึงได้อึดอัดขัดข้องเช่นนี้ ทำไมถึงพูดอะไรไม่ออก แล้วมือไม้แขนขาเล่า ทำไมถึงได้เกะกะอย่างนี้
หรือว่าความเจ็บไข้จะทำให้ความเขินอายทับทวีขึ้น
เพราะโอซือนั่งหันหลังก้มหน้ามองพื้น
จึงไม่เห็นมูซาชิเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยความเก้อเขินเยี่ยงกัน
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ใบหน้า หัวหู แม้จนรูจมูกของนักดาบผู้เป็นบริวารขุนนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าน้ำมันคบเพลิงที่ตนถือเดินไปทั่ว ผ้าผ่อนก็โดนน้ำค้างกลางดึกเปียกปอนและเลอะเทอะขี้โคลนมอมแมมดูไม่ได้ไปทั้งตัว
โอ๊ะ พอส่องไฟประจันหน้าเคร่งและบึกบึนของนักดาบพเนจรเข้าก็ร้องลั่นแล้วผงะออกไปหลายก้าว
มูซาชิจ้องเขม็งด้วยตาเหยี่ยวที่พร้อมตะปบเหยื่อ ทั้งที่ใจเต้นอยู่เหมือนกันกับการปรากฏตัวอย่างไม่ชอบมาพากลของนักดาบคลุกขี้โคลนคนนี้
“เอ่อ...ท่าน”
นักดาบที่เดิมทีคงจะภูมิฐานก้มศรีษะลงทำความเคารพอย่างต่ำและถามอย่างเกรง ๆ ว่า
“ท่านคือมิยาโมโตะ มุซาชิใช่หรือไม่”
ดวงตาคมกริบของมูซาชิเป็นประกายขึ้นมาในแสงแดงฉานของคบไฟ กายตัวเกร็งแข็งขึ้นด้วยสันชาตญาณป้องกันตัว
“ต้องใช่ท่านมิยาโมโนะแน่”
ชายแปลกหน้าถามซ้ำ หางเสียงสั่นนิด ๆ ด้วยความหวาดหวั่นกับความนิ่งของมูซาชิซึ่งนิ่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ถามแต่ก็ดูเหมือนจะกลัวคำตอบ
“ท่านเป็นใคร มาจากที่ใด”
“อ๋อ เอ่อ...ข้า”
“ก็บอกว่าสิว่าเป็นใคร”
เสียงนั้นไม่ได้กราดเกรี้ยววางอำนาจแต่ว่าห้าวหาญนัก
“เอ่อ คือข้าเป็นซามูไรของตระกูลคาราซุมารุ”
“อะไรนะ ท่านคาราซุมารุรึ ข้าคือมูซาชิ ว่าแต่ค่ำมือป่านนี้แล้วบริวารของท่านคาราซุมารุขึ้นมาทำอะไรในป่าเขาเช่นนี้ฮึ”
“ท่านคือมูซาชิจริง ๆ ด้วย เปล่าหรอกนะ ไม่มีอะไร แค่รู้ว่าข้าทักไม่ผิดคนเท่านั้นเอง”
ว่าแล้วชายแปลกหน้าก็วิ่งลงเขาไปโดยไม่เหลียวหลัง เห็นแต่เปลวไฟที่ลู่ไปตามแรงหายลับไปทางเชิงเขา
มูซาชินิ่วหน้ามองตามไปได้แค่อึดใจเดียวก็เบิกตาโตคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วออกเดินก้าวยาว ๆ ไปตามทางเดินข้ามเขา และพอตัดผ่านสันเขาภูเขาชิงะก็ยิ่งฝีเท้าลัดเลาะเรื่อยไปทางด้านข้าง
ส่วนนักดาบผู้ถือคบไฟวิ่งเตลิดอย่างไม่คิดชีวิตลงเขาไปจนถึงกินกากุจิจึงผ่อนฝีเท้าลง แล้วยกมือข้างที่ ว่างอยู่ป้องปากส่งเสียงเรียกเพื่อนที่นัดหมายกันไว้
“วู้ ท่านคุระ ท่านคุระ อยู่ที่ไหน”
แต่คนที่ส่งเสียงขานตอบเรียกกลับไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นเจ้าหนุ่มน้อยโจทาโรที่เข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ คาราซุมารูนานวันเต็มทีแล้ว
“ท่านน้าร้องโหวกเหวก เรียกหาใครกัน”
เจ้าหนุ่มน้อยร้องถามมาไกล ๆ จากประตูวัดด้านตะวันตก
“เจ้าโจทาโรเองรึ”
“ก็ใช่นะซี มีอะไรรึท่านน้า”
“ร้องตะโกนอยู่ทำไม มานี่สิ”
“จะให้ไปได้ยังไงล่ะ โอซือมาได้แค่นี้ก็หมดแรงล้มตัวลงนอนเสียแล้ว ข้าทิ้งนางไปไม่ได้หรอก”
นักดาบบริวารของตระกูลคาราซุมารูทำเสียงจึ๊จ๊ะขัดใจ ก่อนตะเบ็งเสียงดังขึ้นไปอีก
“ถ้าไม่รีบมา ท่านมูซาชิไปไกลจนตามไม่ทันแล้วไม่รู้ด้วย เร็ว ๆ เข้าสิ ข้าเพิ่งเห็นท่านมูซาชิเดินอยู่ตรงโน้นเมื่อกี้นี้เอง”
“... ... ...”
นักดาบผู้สื่อข่าวกำลังคิดว่าทำไมเจ้าหนุ่มน้อยเงียบไป ก็พอดีมองไปเห็นโจทาโรจูงมือโอซือจนเกือบเรียกได้ว่าฉุดลากตรงเข้ามาอย่างรีบเร่ง
“ทางนี้”
นักดาบโบกคบไฟเร่งเมื่อเห็นคนทั้งสองเดินกระย่องกระแย่งไม่ทันใจ ก็จะให้เร็วได้ยังไงเพราะโอซือป่วยหนักปานนั้น ขนาดอยู่ไกลถึงตรงนี้ยังได้ยินเสียงหายใจหอบจนแทบจะขาดใจของนางเลย
และยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งเห็นสภาพทรุดโทรมของสาวแสนงามผู้นั้นได้ชัด ใบหน้าของโอซือไร้สีเลือดขาวซีดยิ่งกว่าดวงจันทร์ยามรุ่งสาง แขนขาผ่ายผอมไม่เข้ากับชุดเดินทางที่สวมใส่น่าห่วงว่าจะเดินไปไหนได้สักกี่ก้าว แต่พอเข้ามาใกล้คบไฟเท่านั้นแหละ แก้มของโอซือก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที
“จริงหรือเจ้าคะ ท่านพบกับมูซาชิจริงหรือ”
“จริงสิ เมื่อกี้นี้เอง”
นักดาบเจ้าของคบไฟตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“ถ้าเรารีบตามไปเดี๋ยวนี้จะต้องได้พบกันแน่ เร็วเข้าเถิด”
โจทาโรตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
“จะให้ไปทางไหน ไปทางไหนฮึ บอกอยู่ได้ว่าให้รีบ ให้รีบ ท่านน้านี่”
หนุ่มน้อยกระทืบเท้าเร่าๆ อยู่ตรงกลางระหว่างคนป่วยกับท่านน้านักดาบ
2
อาการของโอซือมีแต่ทรุด และที่ออกเดินทางมาทั้งที่อ่อนแรงเต็มนี้นั้นก็เพราะตัดใจได้เด็ดขาดแล้วว่าจะต้องตามหาชายอันเป็นที่รักสุดหัวใจจนพบให้ได้ แล้วยิ่งได้ยินโจทาโรเล่าถึงการประลองยุทธ์ให้ฟังเมื่อคืนนี้ด้วยแล้ว นางก็ไม่อาจนอนซมอยู่ที่คฤหาสน์คาราซุมารูต่อไปได้
ครั้งนี้มูซาชิใจเด็ดยิ่งนักบุกเดี่ยวด้วยความหาญกล้าเข้าไปในหมู่ศัตรูที่รุมล้อมหมายพิฆาตให้สิ้นเสี้ยนหนาม และถ้าเป็นจริงดังนั้นแล้วเราจะมีชีวิตยืนยาวไปใย
บอกกับโจทาโรไปเช่นนั้นแล้วก็ถอนใจยืดยาวก่อนกระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น
แต่ก่อนตายขอเห็นหน้าเขาสักครั้งหนึ่งเถิด
โอซือหยิบผ้าชุบน้ำลดไข้ที่วางไว้บนหน้าผากออกวางไว้ทางหนึ่งแล้วรวบรวมกำลังยันตัวลุกขึ้นนั่ง เกล้าผมที่หลุดรุ่ยให้เข้าที่ ใส่รองเท้าฟางเซซังออกจากเรือนไปที่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์คาราซุมารู ไม่ฟังเสียงห้ามเสียง ทัดทานของใครทั้งสิ้น
ฝ่ายคนในคฤหาสน์ทั้ผู้เฒ่าผู้แก่และหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เมื่อเห็นว่ายั้งไว้ไม่หยุดก็หันหน้าเข้าปรึกษากันเสียงขรม บ้างก็ยังจะยื้อยุดบ้างก็เห็นใจในความมุ่งมั่นปรารถนาของแม่สาวงาม ยังไม่ทันที่จะตกลงกันว่าอย่างไรเรื่องก็ล่วงรู้ไปถึงหูคาราซุมารู มิตสึฮิโระผู้เป็นประมุขแห่งตระกูล
ท่านประมุขเห็นใจโอซือยิ่งนักที่รักของนางทำท่าว่าจะจบลงด้วยความรันทด จึงจะคิดช่วยเหลือสุดเท่าที่คนนอกอย่างตนสามารถทำได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น มิตสึฮิโระจึงสั่งให้บริวารกลุ่มหนึ่งตามไปดูแลโอซือไปจนถึงหน้าซุ้มประตูวัดบุตสึเก็นจิที่อยู่ด้านล่างของกินกากุจิ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้แยกย้ายกันตามหามูซาชิ
บรรดานักดาบของตระกูลคาราซุมารูต่างรู้กันทั่วแล้วว่าการประลองยุทธ์จะมีขึ้นที่อิจิโจจิ แต่ไม่มีใครรู้ชัดว่าตรงไหนเพราะหมู่บ้านอิจิโจจินั้นครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวางและมีทางเข้าถึงหลายทางนัก หลายคนกังวลจึงว่าหากมูซาชิไปถึงที่นัดหมายก่อนก็เป็นอันว่าหมดโอกาสที่โอซือกับมูซาชิจะได้พบกัน ดังนั้นจึงแยกย้ายกันวิ่งไปทางละคนสองคนซึ่งก็ได้ผลดีเกินคาด นักดาบคนหนึ่งพบมูซาชิเข้าอย่างจังจึงวิ่งมาบอกพรรคพวกเพื่อจะได้ช่วยกันพาโอซือไปพบกับมูซาชิสมใจหมาย
ทันทีที่รู้ว่ามูซาชิกำลังเดินลัดเลาะลงมาที่คิตาโนซาวะทางด้านเหนือ โอซือก็สลัดมือจากคนที่ช่วยประคองโลดแล่นไปข้างหน้าโดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น
“ไหวเหรอโอซือ ระวัง ๆ เดี๋ยวได้หกล้มหรอก จะไหวไหมเนี่ย”
โจทาโรเดินระวังระไวอยู่ข้าง ๆ และร้องเตือนอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง แต่โอซือไม่มีทีท่าว่าจะฟัง
ไม่ใช่สิ...ไม่ได้ยินต่างหาก เพราะใจของโอซือแล่นลิ่วไปที่มูซาชิ เป็นตายยังไงก็ต้องพบหน้าชายอันเป็นที่รักของนางคนเดียวนี้ให้ได้ แม้ได้เห็นเพียงแวบเดียวแล้วต้องตายก็ยอม หายใจหอบแรงทั้งทางจมูกและปากจนลำคอนางแห้งผาก เหงื่อเย็น ๆ ไหลจากโคนผมลงมาชุ่มหน้าผากขาวซีด แต่โอซือก็ยังก้าวเดินต่อไป
“โอซือมาทางนี้ เดินเลียบไปข้าง ๆ ผ่านไหล่เขาไปเดี๋ยวก็ไปออกที่เอซันเองแหละ ทางจากตรงนี้เรียบดีไม่ต้องปีนป่ายอีกแล้ว พักนิดนึงดีไหม”
โอซือส่ายหน้า จับปลายไม้ที่โจทาโรใช้ช่วยจูงเอาไว้แน่น และตั้งหน้าตั้งตาเดินพลางหอบพลาง ราวกับกำลังพยายามเอาชนะชีวิตที่ลำเค็ญไปสุดเส้นชัยให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ครู...ครู ท่านมูซาชิ วู้...”
โจทาโรกู่ตะโกนสุดเสียงไปตลอดทาง ไม่มีอะไรที่จะเป็นกำลังใจให้โอซือได้มากไปกว่านี้แล้ว
แต่อยู่ ๆ นางก็หมดแรงไปเสียเฉย ๆ
“จ...โจทาโร”
ยังไม่ทันที่หนุ่มน้อยจะเหลียวมา นางก็ปล่อยปลายไม้ช่วยจูง ทรุดลงไปฟุบนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าคละก้อนกรวดตรงนั้นเอง
ยกมือทั้งสองขึ้นปิดปากกับจมูกไว้แน่น ไหล่สั่นไหวคล้ายสะอื้น
“เฮ้ย นั่นมันเลือดนี่ แย่แล้ว โอซือ...โอซือ อาเจียนเป็นเลือด”
โจทาโรร้องเสียงสั่นเครือ ตรงเข้าไปพยุงร่างบอบบางเอาไว้
3
โอซือส่ายหน้าน้อย ๆ อยู่กับพื้นตรงนั้น
“โอซือ เป็นอะไรไป ไหวรึเปล่า”
โจทาโรถามพลางลูบหลังลูบไหล่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้มากไปกว่านั้น
“หายใจไม่ออกเหรอ”
“... ... ...”
“รู้แล้ว น้ำใช่ไหม โอซือ หิวน้ำละซี”
โอซือพยักหน้า
“งั้นรอแป๊บนะ”
โจทาโรมองไปรอบ ๆ และพอเห็นจุดหมายก็ผลุดลุกขึ้น เดินตรงไปยังทางเดินลงหุบเขาที่มีเสียงน้ำไหลผ่านพงหญ้าและแมกไม้คล้ายบอกทางให้ว่าอยู่ตรงนี้...อยู่ตรงนี้ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหนุ่มน้อยก็พบตาน้ำผุดขึ้นมาระหว่างโขดหินจึงนั่งยอง ๆ ลงสำรวจดู
น้ำใสแจ๋วจนเห็นปูตัวเล็กที่ก้นแอ่ง ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยไปแล้วเห็นแต่หมู่เมฆสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ งดงามและเย็นตากว่าที่เห็นบนท้องฟ้าหลายเท่า
โจทาโรคงจะกระหายน้ำมากจนลืมไปว่าน่าจะตักไปให้คนป่วยดื่มก่อน หนุ่มน้อยกระเถิบเข้าไปใกล้ตาน้ำแล้วยื่นคอลงไปที่แอ่งเหมือนเป็ดกำลังจะกินน้ำ
แต่แล้วก็ต้องอุทานออกมาดัง ๆ ขนหัวลุกชัน ตัวแข็งทื่อไปหมด
พื้นน้ำในแอ่งสะท้อนให้เห็นต้นไม้ห้าหกต้นที่อยู่บนฝั่งลำธารด้านโน้น และเงาของใครคนหนึ่งที่แฝกอยู่ในหมู่ไม้
โจทาโรเห็นเงาของมูซาชิสะท้อนอยู่ตรงนั้น
หนุ่มน้อยผงะแทบหงายหลังด้วยความตกใจที่เห็นเงาของมูซาชิในน้ำ แน่นอนถ้าได้เห็นตัวจริงจะต้องตกใจและดีใจเหลือประมาณ แต่นี่มันเงาในน้ำ หรือว่าจะถูกผีป่าหลอกเอาก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก
เมื่อมีเงาก็ต้องมีเจ้าของเงา
โจทาโรคิดแล้วเบนสายตาจากผิวน้ำมองไปทางแมกไม้อย่างหวาด ๆ แล้วก็ต้องตกใจอีกตลบเมื่อเห็นมูซาชิยืนเด่นเป็นสว่าอยู่ตรงนั้น
“ครู ครูจริง ๆ ด้วย”
ผิวน้ำเรียบที่สะท้อนหมู่เมฆงดงามขุ่นดำไปทันควันเพราะโจทาโรกระโจนลงวิ่งฝ่าไปด้วยกำลังแรง แทนที่จะอ้อมไปตามชายน้ำ น้ำกระเซ็นขึ้นมาเต็มหน้าเต็มตา สาดไปถึงมูซาชิที่ยืนอยู่ไกลออกไป
“เฮ้ย อะไรกัน เจ็บนะ”
มูซาชิร้องลั่นเมื่อถูกโจทาโรดึงแขนเอาไว้สุดแรงเกิดด้วยพลังของนายพรานที่จับเหยื่อตัวโตเอาไว้ได้
“ช้าก่อน โจทาโร”
เจ้าหนุ่มนักดาบเบนสายตาไปทางหนึ่งอย่างระแวดระวัง ยกนิ้วขึ้นแตะหลังตาและบอกว่า
“เบา ๆ หน่อย”
“ไม่เอา ข้าไม่ปล่อยให้ครูไปไหนอีกแล้ว”
“สบายใจเถิด ข้าได้ยินเสียงเจ้ากู่เรียกมาแต่ไกลถึงได้ยืนคอยอยู่ไง อย่ามัวพิร้พิไรอยู่กับข้าเลย รีบตักน้ำไปให้โอซือเร็ว ๆ เถอะ”
“แต่น้ำมันขุ่นหมดแล้วละครู”
“ไปตักน้ำใส ๆ ในลำธารตรงโน้นซิ เอ้า...เอานี่ไป”
มูซาชิปลดกระบอกไม้ไผ่จากเอวส่งให้ โจทาโรชักมือกลับและจ้องหน้ามูซาชิ
“ครู...ครูวักน้ำไปป้อนโอซือเองสิ จะมาใช้ข้าทำไม”
4
“จริงด้วย”
มูซาชิพยักหน้าและเอากระบอกไม้ไผ่ของตนไปตักน้ำจากลำธารไปให้โอซือ ตามที่โจทาโรบอกอย่างว่าง่าย
พอไปถึงเจ้าหนุ่มนักดาบก็เข้าไปประคองให้โอซือลุกขึ้นมาและป้อนน้ำให้
โจทาโรตามมายืนดูอยู่ข้าง ๆ
“โอซือ รู้ไหมว่าใคร นี่ท่านมูซาชิ ท่านมูซาชิไง ดูซิ เห็นรึยัง”
หนุ่มน้อยที่คอยให้กำลังใจมาตลอด พลอยปลาบปลื้มยินดีไปกับโอซือที่ได้พบกับมูซาชิในที่สุด
น้ำเย็น ๆ ช่วยให้โอซือดีขึ้นบ้างแต่กายยังอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของมูซาชิ และตายังเหม่อลอยไปไกล
“ลืมดูดี ๆ ซิโอซือ คนที่พยุงเจ้าอยู่ไม่ใช่โจทาโร แต่เป็นมูซาชิต่างหาก”
โอซือได้ยินโจทาโรพร่ำบอกซ้ำหลายครั้ง น้ำตาที่คลอคลองอยู่เปี่ยมตาค่อย ๆ หลั่งลงมาเป็นสายบนแก้มนวล
นางพยักหน้าแทนคำตอบว่ารู้แล้ว
“เฮ้อ โล่งอกไปที”
โจทาโรถอนใจ
“ว่ายังไงโอซือ ทีนี้ก็สมปรารถนาแล้วใช่ไหม”
หนุ่มน้อยดีใจอย่างบอกไม่ถูก และหันไปทางมูซาชิ
“ครูรู้ไหม ตั้งแต่จากกันครั้งนั้นโอซือร่ำร้องแทบทุกวันว่าอยากพบท่านอีกครั้งให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และพอได้ข่าวว่ามีคนพบครูท่านในละแวกนี้ ก็รีบรุดมาทั้งที่เจ็บหนัก ใครห้ามก็ไม่ฟัง ขืนดื้อดึงอย่างนี้อาการต้องกำเริบถึงตายได้สักวัน ครูท่านช่วยห้ามปรามด้วยเถิด โจทาโรคนนี้พูดอะไรนางไม่เคยสนใจฟัง”
“จริงรึ”
มูซาชิยังโอบกอดโอซือเอาไว้ในอ้อมแขนเมื่อพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าคนเดียว ข้าจะขอให้โอซือยกโทษให้แล้วจะขอให้นางรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีด้วย...โจทาโร”
“อะไรรึ”
“เจ้าเลี่ยงไปทางโน้นสักครู่หนึ่งได้ไหม”
“ทำไมต้องไป” หนุ่มน้อยทำปากยื่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ มีปัญหาอะไรรึครู”
โจทาโรยืนนิ่ง ทำหน้าบึ้งตึงด้วยความน้อยใจระคนเคลือบแคลงสงสัย
มูซาชิเองไม่นึกว่าหนุ่มน้อยจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นจึงหมดปัญญา โอซือเห็นดังนั้นจึงช่วยพูดให้ด้วยเสียงอ่อนระโหย
“โจทาโร พูดอะไรอย่างนั้น ช่วยไปทางโน้นหน่อยเถิดนะ เด็กดี”
เท่านั้นเองโจทาโรก็ยอมทำตามโดยดี
“ช่วยไม่ได้ งั้นข้าจะขึ้นไปบนโน้น เสร็จธุระแล้วร้องเรียกข้านะ”
ว่าแล้วเจ้าหนุ่มน้อยก็เดินไปที่หน้าผาทางด้านโน้นแล้วปีนขึ้นไป
ไม่นานโอซือก็มีแรงยันตัวลุกขึ้นนั่งเองได้ และมองตามโจทาโรที่ปีนขึ้นไปบนหน้าผาเหมือนกวางหนุ่ม
“โจทาโร โจทาโร ไม่ต้องไปไกลนักก็ได้”
แต่โจทาโรไม่หันมาตอบ ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินหรือว่ายังงอนอยู่
โอซือไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงร้องบอกโจทาโรไปอย่างนั้น และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมจึงนั่งหันหลังให้มูซาชิอย่างนั้น ความจริงแล้วน่าจะโล่งใจที่โจทาโรไปเสียได้ แต่พอได้อยู่กันสองต่อสองกับชายอันเป็นที่รักและเฝ้ารอ ทำไมใจคอถึงได้อึดอัดขัดข้องเช่นนี้ ทำไมถึงพูดอะไรไม่ออก แล้วมือไม้แขนขาเล่า ทำไมถึงได้เกะกะอย่างนี้
หรือว่าความเจ็บไข้จะทำให้ความเขินอายทับทวีขึ้น
เพราะโอซือนั่งหันหลังก้มหน้ามองพื้น
จึงไม่เห็นมูซาชิเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยความเก้อเขินเยี่ยงกัน