นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิหันมาพยักหน้ารับคำท้วงติงโดยดี แต่มิได้ทำตาม
โคจิโรเห็นเจ้าหนุ่มยังทำท่าว่าเลี้ยวมุมถนนไปอีกทางหนึ่ง จึงส่งเสียงไล่หลังไปอีก
“ไม่ใช่ทางนั้น”
มูซาชิก็หันมาพยักหน้าและส่งเสียงขานตอบมาสั้นแสดงว่าเข้าใจแต่ก็ยังเดินดุ่มไปทางเดิม
โคจิโรมองตามหลังมูซาชิที่เดินผ่านแนวแมกไม้เลียบไหล่เขาบริเวณที่ลาดลงไปเป็นแอ่งใหญ่ และก้าวลงไปตามคันนาขั้นบันไดมุ่งไปทางด้านที่มีบ้านหลังคามุงต้นหญ้าอัดหนาอยู่ชายทุ่ง และเห็นเจ้าหนุ่มนักดาบหยุดยืนมองขึ้นไปชมจันทร์
โคจิโรหัวเราะออกมาคนเดียว
“นึกว่าอะไร ที่แท้ก็แอบไปยิงกระต่าย”
นักดาบหนุ่มสำอางพึมพำพร้อมกับแหงนชมจันทร์ด้วย
“พระจันทร์คล้อยดวงไปทางตะวันตกมากแล้ว และเมื่อถึงคราที่ลับดวงจะต้องมีหลายชีวิตลับตามไป”
โคจิโรยืนชมจันทร์พลางจินตนาการไปต่าง ๆ นานา
การประลองยุทธ์ระหว่างสำนักดาบโยชิโอกะกับมูซาชินักดาบผู้บุกเดี่ยวครั้งนี้ มองจากสถานการณ์ทางด้าน โยชิโอกะที่ได้ประสบมาด้วยตนเองแล้ว แน่ใจเกือบเต็มร้อยว่าสุดท้ายแล้วมูซาชิจะต้องถูกรุมสังหารสิ้นชื่อแน่นอน แต่กว่าจะดับดิ้นสิ้นชีพ ก็ไม่รู้ว่าจะมีศิษย์สำนักโยชิโอกะสักกี่คนต้องตกเป็นเหยื่อคมดาบของมูซาชินักดาบ ไร้เทียมทานผู้นี้
คงจะดุเดือดน่าดู
เพียงแค่ลองวาดภาพการประลองยุทธ์ดูเท่านั้นโคจิโรใจก็เต้นระทึก ขนลุกซู่ เลือดฉีดแรงจนร้อนรุ่มไปทั่วทั้งตัวแทบจะทนรอให้ถึงเวลาที่เขานัดหมายต่อสู้กันไม่ไหว
โอกาสที่จะได้ชมการประลองยุทธ์ระหว่างนักดาบจากสำนักโยชิโอกะกับมูซาชินั้นหายากมาก ข้าพลาดมาแล้วเมื่อครั้งที่ทุ่งเร็นไดโนะและครั้งต่อมา รุ่งสางวันนี้แหละข้าจะได้เห็นเป็นบุญตาสักที แต่เออ...ทำไมมูซาชิถึงได้ถ่ายเบานานนัก ไม่กลับมาเสียที
โคจิโรนึกฉงนจึงเดินไปชะโงกมองที่ทางลาดเนินแต่ไม่ก็ไม่เห็นวี่แววว่ามูซาชิจะกลับมา จึงทรุดตัวลงนั่งบนรากไม้แล้ววาดภาพการประลองยุทธ์ต่อไปด้วยอารมณ์คึกคะนอง
มูซาชิดูสงบมาก คงปลงตกตามชะตากรรมแล้วว่าคราวนี้ตายแน่ แต่คนอย่างมูซาชิก่อนตายจะต้องสู้สุดฤทธิ์ เราจะได้เห็นฝีมือดาบไร้เทียมทานของนักดาบผู้นี้เต็มตา...ตระหวัดดาบฟันซ้ายป่ายขวา เงื้อง่าเผ่นโผน ฟาดฟันลงมาปลิดชีวิตศัตรูด้วยดาบสังหาร...จะตื่นตาระทึกใจแค่ไหน อีกไม่ช้าไม่นานก็จะได้เห็น
แต่อนิจจา...ฝีมือดาบขั้นเทพหรือจะทัดทานแผนรับมือตลบหลังที่เตรียมพร้อมถึงขนาดจัดศิษย์สำนักผู้ฉมังธนูซุ่มยิงหมายเผด็จศึกด้วยลูกธนูดอกเดียวเสียบดวงใจ...ไม่ได้นะ อย่างนี้ไม่สนุกแน่ ใช่...แผนอื่นจะยังไงก็ช่าง แต่เฉพาะตรงนี้ เราจะต้องเตือนให้มูซาชิรู้ตัวไว้
หมอกยามเช้าเยียบเย็นจนหนาว โคจิโรรออยู่นานโขแต่มูซาชิก็ยังไม่เสร็จธุระกลับมา จึงลุกขึ้นส่งเสียงเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ
ถ้าจะไม่ได้การเสียแล้ว
นักดาบหนุ่มสำอางกระสับกระส่ายและหวั่นใจขึ้นมาจนทนนิ่งอยู่ต่อไปไม่ไหว จึงก้าวยาว ๆ ไปตรงนาขั้นบันไดที่เห็นมูซาชิก้าวลงไปพร้อมกับร้องเรียกซ้ำ
“ท่านมูซาชิ”
ที่ชายทุ่งยังมืดมิด เห็นแต่บ้านชาวไร่ชาวนาห้อมล้อมด้วยดงไผ่ ได้ยินเสียงกังหันทดน้ำดังอยุ่ตรงไหนสักแห่งแต่มองไม่เห็นทางน้ำ เจ้าหนุ่มเดินไปทางต้นเสียงที่อยู่เหนือนาขั้นบันไดอีกด้านหนึ่งใกล้จนน้ำกระเซ็นถูกตัว มองลงไปไม่เห็นใครสักคนนอกจากหลังคาวัดตะคุ่มอยู่บนฝั่งลำธาร ไกลออกไปจากแนวแมกไม้และไร่หัวไชเท้ากว้างใหญ่ คือเทือกเขาอันมีภูเขาไดมงจิ ภูเขาเนียวงะดาเกะ ภูเขาอิจิโจและภูเขาเอซันที่สลับซับซ้อนกันอยู่
ดวงจันทร์ยังทอแสงอยู่บนฟากฟ้า
“โธ่เอ๋ย ที่แท้ก็ขี้ขลาด”
โคจิโรร้องออกมาด้วยความผิดหวัง เพราะปักใจเชื่อว่ามูซาชิหนีการประลองยุทธ์ไปด้วยความรักตัวกลัวตาย เพิ่งรู้ว่าที่ทำเงียบ ๆ นิ่ง ๆ นั้นที่แท้ก็ซ่อนแผนหนีไว้แนบเนียนอยู่ในใจ
จะมัวชักช้าร่ำไรอยู่ไม่ได้แล้ว
พอคิดได้ดังนั้นโคจิโรก็ดีดตัวขึ้นมาที่ทางถนน สอดส่ายสายตาหามูซาชิอีกครั้งให้มั่นใจ แล้วออกวิ่งสุดฝีเท้าตรงไปยังซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวที่อิจิโจจิทันใด
2
มูซาชิอดยิ้มไม่ได้ขณะมองตามหลังซาซากิโคจิโรนักดาบหนุ่มรูปงามที่วิ่งตัวปลิวไกลออกไปไกลออกไปจนลับสายตา
เจ้าหนุ่มนักดาบยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับที่โคจิโรยืนอยู่เมื่อกี้นี้เองแต่ทำไมโคจิโรจึงหามูซาชิเท่าไร ๆ ก็ไม่พบ...
ตอบได้ไม่ยาก ที่หาไม่พบก็เพราะโคจิโรปักใจเชื่อว่ามูซาชิหนีไป จึงละจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ไปเที่ยวตามหาที่อื่นให้ควั่กโดยไม่ได้หารอบ ๆ บริเวณให้ทั่วเสียก่อน จึงไม่พบมูซาชิซึ่งที่แท้ก็ซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ข้างหลังนั้นเอง
ไปเสียได้ก็ดี
คนอะไร...แค่มองก็รู้ว่ากระเหี้ยนกระหือรือนักที่จะได้เห็นความตายของคนอื่น...เห็นความตายของคนที่จำเป็น ต้องสู้เพื่อเกียรติภูมิเป็นเรื่องสนุกเหมือนดูมหรสพ ทำตัวเป็นคนกลางไม่เข้าใครออกใคร ทำเป็นว่าการได้เห็นการ ประลองยุทธ์ของยอดนักดาบนั้นเหมือนได้รับวิทยาทานเพื่อการศึกษาวิชาดาบของตน เท่านั้นไม่พอเจ้านักดาบหน้ามนที่ชื่อซาซากิ โคจิโรคนนี้ยังทำตัวเป็นเด็กดี นำความไปบอกทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อสร้างบุญคุญทั้งสองฝักสองฝ่าย
ใครจะยังไงก็ตามใจ แต่ข้าไม่เอาด้วย
มูซาชิคิดแล้วก็หัวเราะด้วยความสมเพทอยู่ในใจ
การที่เจ้านักดาบแสนกลคนนี้มาแจ้งเราว่าฝ่ายตรงข้ามยกกองกำลังมามากมายมหาศาล และมาทำเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่าเราเตรียมนักดาบมือรองไว้รับมือยามเพลี้ยงพล้ำแก่ศัตรูหรือไม่นั้น อาจเป็นเพราะคิดว่าเราคงจะคุกเข่าลงขอร้องให้ตนช่วยมาเป็นนักดาบมือรองละมัง เมินเสียเถิด คนอย่างเราไม่มีวันหลงคารมใครง่าย ๆ
ถ้าคิดว่าข้าต้องชนะ และยืนยงคงชีวิตอยู่ให้ได้
มูซาชิอาจอยากมีนักดาบมือรองสักคน แต่เจ้าหนุ่มนักดาบไม่ได้คิดที่จะเอาชนะ ไม่ได้คิดที่จะมีชีวิตยืนยาวไปถึงพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไป หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะหรือรอดชีวิตมาได้
มูซาชิรู้ดีก่อนที่โคจิโรจะมาบอกเสียอีกว่า สำนักโยชิโอกะจะยกขบวนนักดาบมาในการประลองยุทธ์เช้าตรู่วันนี้ เป็นร้อยกับอีกหลายสิบคน เพราะแฝงตัวเข้าไปสอดแนมกองกำลังของอีกฝ่ายมาแล้วระหว่างมาที่นี่ และยอมรับว่าตนนั้นตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจหยุดยั้งการพาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด
คิด ๆ อยู่ก็อดแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมจึงมีเวลาปริวิตกกับความเป็นความตายมาถึงเพียงนี้
มูซาชิไม่เคยลืมคำของหลวงพี่ทากูอันที่ว่า ผู้รักชีวิตสุดใจคือผู้กล้าหาญที่แท้จริง
ใช่ ข้าถนอมรักษาร่างกายอันมีอวัยวะทั้งห้ามาตลอดเพื่อให้ชีวิตนี้...ชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่งมีได้เพียงชีวิตเดียวนี้ได้ยืนยงคงอยู่ แต่การกินอยู่ให้มีชีวิตไปวัน ๆ นั้นแตกต่างจากการรักชีวิตมากมายนัก จะกินดีอยู่ดีให้อายุยืนยาวอย่างเดียวไม่พอ คนรักชีวิตคือคนที่พยายามทำให้ชีวิตตนมีความหมายคุ้มค่ากับที่มีได้เพียงชีวิตเดียว แล้วอย่างนี้ข้า...มูซาชิจะทำให้ชีวิตนี้มีความหมาย มีคุณค่าคุ้มกับที่ได้เกิดมาได้อย่างไร หรือว่าคุณค่าและความหมายของชีวิตข้านั้นจะต้องแลกกับความตาย
อายุขัยของคนเราเจ็ดสิบปีแปดสิบปีนั้นเป็นแค่อึดใจเดียวในกระแสของกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านมาและผ่านไปไม่เคยหยุดยั้งไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี คนที่เกิดมาทำประโยชน์มากมายให้แก่มวลมนุษย์แม้ตายไปเมื่ออายุยี่สิบก็นับว่าอายุยืนยาวคุ้มกับที่ได้เกิดมาและเรียกได้ว่าเป็นคนรักชีวิตอย่างแท้จริง
คนเราไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ช่วงเริ่มแรกจะต้องลำบากยากเย็นกันทั้งนั้น แต่ก็ยังดีกว่าชีวิตที่ยากเย็นตั้งแต่เกิดและเมื่อถึงวาระสุดท้ายก็ยิ่งลำบากเป็นที่สุดเมื่อต้องตัดใจจากโลกนี้ไป คนเรามีทั้งอายุยืนและอายุสั้นคละกันไป แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าในช่วงชีวิตนั้นมีแต่ฟองสบู่ หรือมีเกียรติภูมิที่จะยั่งยืนอยู่ชั่วกาลนาน
มูซาชิมองว่าความรักชีวิตนั้น พวกชาวเมืองต่างมีความรักชีวิตตามแนววิถีแห่งตน ส่วนนักรบก็รักชีวิตตามแนววิถีแห่งนักรบ สำหรับตนที่ดำเนินชีวิตมาบนวิถีแห่งนักรบก็ควรตายเยี่ยงนักรบ
3
มูซาชิเดินมาหยุดอยู่ตรงทางสามแพร่งที่ทุกสายตัดไปยังซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวที่อิจิโจจิ
แพร่งหนึ่งคือเส้นทางเอซันซึ่งเป็นทางสายหลักที่โคจิโรวิ่งผ่านไปเมื่อครู่ก่อน เส้นทางนี้ใกล้ที่สุดและทางเรียบดีจนถึงอิจิโจจิอันเป็นจุดหมาย
อีกแพร่งหนึ่งเป็นทางค่อนข้างอ้อมผ่านหมู่บ้านทานากะและเลี้ยวไปตามทางเลียบแม่น้ำทากาโนะ เข้าสู่ทางข้ามทุ่งโอมิยะโอฮาระ ขึ้นไปทางโรงเรียนชูกักคุอินของราชสำนัก แล้วลงไปยังซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียว
ส่วนอีกแพร่งหนึ่งเป็นทางตัดตรงจากที่มูซาชิยืนอยู่ไปทางตะวันออก แยกเข้าทางลัดข้ามภูเขาชิงะผ่านต้นน้ำ ชิราคาวะไปออกที่เชิงเขาอุริว และเดินจากแถว ๆ ยากูชิโดไปถึงจุดหมาย...นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวอยู่ในหุบเขาซึ่งมีลำธารหลายสายมาบรรจบกัน ระยะทางจากจุดแยกของทางแต่ละแพร่งไปถึงที่นั่นไม่ต่างกันมากนัก
แต่ไม่ว่าจะมองจากสายตาของมูซาชิผู้เปรียบเสมือนกองทัพมดที่ยกไปปะทะกองทัพยักษ์ใหญ่ในบริเวณ หรือมองในแง่ของตำรับพิชัยสงคราม ทางสามแพร่งนั้นแตกต่างกันอย่างมาก...การเลือกถูกผิดกำหนดแพ้ชนะ
ทางสามแพร่ง
แน่นอนว่ามูซาชิจะต้องคิดอย่างสุขุมรอบคอบมาก่อนแล้ว จึงหยุดอยู่แค่อึดใจสั้น ๆ แล้วเดินตัวปลิวไปบนทางที่เลือกอย่างไม่แสดงว่าต้องคิดหนักด้วยความลังเลแต่อย่างใด
เจ้าหนุ่มนักดาบเร่งฝีเท้าเดินบ้างวิ่งบ้างลดเลี้ยวไประหว่างต้นไม้ในป่า ชายกิโมโนไหวหวิวไปตามแรงลมและแรงกายเมื่อกระโดดข้ามก้อนหินในลำธาร ผ่านหน้าผาและกระโจนข่ามร่องน้ำตามคันนาภายใต้แสงของดวงจันทร์ที่ยังอ้อยอิ่งอยู่บนฟากฟ้า มุ่งไปยังจุดหมายที่ปักหมุดไว้ในใจ
ทางสามแพร่ง...มูซาชิเลือกทางไหนหรือ
เปล่าเลยทางที่เจ้าหนุ่มนักดาบเดินตัวปลิวไปนั้นเป็นทางตรงกันข้ามไปคนละทิศละทางกับจิโจจิ
มูซาชิไม่ได้เลือกหนึ่งในทางสามแพร่งนั้น เจ้าหนุ่มเดินบ้างวิ่งบ้างกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางบ้าง ไปตามทาง เล็ก ๆ ตัดข้ามไร่นา ไม่รู้ว่ามุ่งหน้าไปที่ใด จะว่าไปหาใครละแวกนั้นก็ไม่เห็นมีหมู่บ้าน
และไม่รู้ว่าทำไมถึงอุตส่าห์เดินข้ามชายเนินคางุระโอกะไปออกที่ด้านหลังโกะอิจิโจสุสานสมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งเป็นดงไผ่หนาทึบ จากนั้นจึงเดินฝ่าดงไผ่ออกมาที่แม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ตรงที่ไหล่เขาด้านเหนือของภูเขา ไดมงจิตระหง่านง้ำอยู่สูงลิ่วขึ้นไป
มูซาชิปีนขึ้นไปในความมืดสลัวที่เชิงเขา
มองลงไปทางขวาของทางที่เพิ่งผ่านมาเห็นสวนและหลังคาอาคารตะคุ่มอยู่ในความมืด ดูจากทิศทางแล้วน่าจะเป็นกินคาคุจิของท่านฮิงาชิยามะ และเมื่อมองตรงลงไปข้างล่างก็เห็นบ่อน้ำรูปกลมรีใสแจ๋วราวกระจกเงา
พอปีนสูงขึ้นไปต้นไม้สูง ๆ ก็บังบ่อน้ำเสียหมด มีสายน้ำไหลเอื่อยของแม่น้ำคาโมะเข้ามาแทนที่ มูซาชิขึ้นมาอยู่บนที่สูงจนมองเห็นทั้งด้านล่างและด้านบนของเกียวโตอยู่ในอาณาบริเวณที่คล้ายกับจะใช้มือทั้งสองโอบเอาไว้ได้
มองไกลออกไปจากจุดนี้
ซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวอยู่ตรงนั้นเอง
มูซาชิชี้มือออกไปที่จุดนั้น
จากตรงนี้จะสังเกตความเป็นไปในบริเวณนั้นได้สบาย
มูซาชิตรวจดูชัยภูมิที่ตนยืนอยู่และคาดคะเนระยะทางแล้วจึงรู้ว่า ถ้าเดินเลียบสันเขาของภูเขาทั้งสี่ในเทือก เขาซันจูโรกุไปทางภูเขาเอ็นซัน ก็จะไปถึงยอดเขาที่อยู่ตรงด้านหลังของซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวพอดี โดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก
ดูเหมือนว่ามูซาชิจะคิดแผนนี้ไว้ในใจก่อนแล้ว โดยเอาแผนยุทธศาสตร์มองศัตรูด้วยสายตาของนกที่จอมทัพ โนบุนางะใช้ในศึกโอเกฮาซามะมาปรับใช้ ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เจ้าหนุ่มทิ้งทางเลือกสามแพร่งที่ควรเลือกเพื่อไปถึงจุดนัดหมายนั้นเสีย แล้วใช้ทางที่มุ่งไปยังทิศตรงข้ามซึ่งเป็นทางวิบากทั้งต้องปีนเขาและเดินเสี่ยงอันตรายไปตาม สันเขา
“นั่นใคร”
เจ้าหนุ่มนักดาบสะดุ้งเพราะไม่นึกว่าจะเจอใครในที่เปลี่ยวเช่นนี้ เมื่อมองเขม้นไปจึงเห็นชายคนหนึ่งแต่งกายคล้ายนักดาบที่เป็นบริวารของขุนนางถือคบไฟเดินเข้ามาใกล้ และยื่นคบไฟเข้ามาส่องจนแทบติดหน้ามูซาชิ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิหันมาพยักหน้ารับคำท้วงติงโดยดี แต่มิได้ทำตาม
โคจิโรเห็นเจ้าหนุ่มยังทำท่าว่าเลี้ยวมุมถนนไปอีกทางหนึ่ง จึงส่งเสียงไล่หลังไปอีก
“ไม่ใช่ทางนั้น”
มูซาชิก็หันมาพยักหน้าและส่งเสียงขานตอบมาสั้นแสดงว่าเข้าใจแต่ก็ยังเดินดุ่มไปทางเดิม
โคจิโรมองตามหลังมูซาชิที่เดินผ่านแนวแมกไม้เลียบไหล่เขาบริเวณที่ลาดลงไปเป็นแอ่งใหญ่ และก้าวลงไปตามคันนาขั้นบันไดมุ่งไปทางด้านที่มีบ้านหลังคามุงต้นหญ้าอัดหนาอยู่ชายทุ่ง และเห็นเจ้าหนุ่มนักดาบหยุดยืนมองขึ้นไปชมจันทร์
โคจิโรหัวเราะออกมาคนเดียว
“นึกว่าอะไร ที่แท้ก็แอบไปยิงกระต่าย”
นักดาบหนุ่มสำอางพึมพำพร้อมกับแหงนชมจันทร์ด้วย
“พระจันทร์คล้อยดวงไปทางตะวันตกมากแล้ว และเมื่อถึงคราที่ลับดวงจะต้องมีหลายชีวิตลับตามไป”
โคจิโรยืนชมจันทร์พลางจินตนาการไปต่าง ๆ นานา
การประลองยุทธ์ระหว่างสำนักดาบโยชิโอกะกับมูซาชินักดาบผู้บุกเดี่ยวครั้งนี้ มองจากสถานการณ์ทางด้าน โยชิโอกะที่ได้ประสบมาด้วยตนเองแล้ว แน่ใจเกือบเต็มร้อยว่าสุดท้ายแล้วมูซาชิจะต้องถูกรุมสังหารสิ้นชื่อแน่นอน แต่กว่าจะดับดิ้นสิ้นชีพ ก็ไม่รู้ว่าจะมีศิษย์สำนักโยชิโอกะสักกี่คนต้องตกเป็นเหยื่อคมดาบของมูซาชินักดาบ ไร้เทียมทานผู้นี้
คงจะดุเดือดน่าดู
เพียงแค่ลองวาดภาพการประลองยุทธ์ดูเท่านั้นโคจิโรใจก็เต้นระทึก ขนลุกซู่ เลือดฉีดแรงจนร้อนรุ่มไปทั่วทั้งตัวแทบจะทนรอให้ถึงเวลาที่เขานัดหมายต่อสู้กันไม่ไหว
โอกาสที่จะได้ชมการประลองยุทธ์ระหว่างนักดาบจากสำนักโยชิโอกะกับมูซาชินั้นหายากมาก ข้าพลาดมาแล้วเมื่อครั้งที่ทุ่งเร็นไดโนะและครั้งต่อมา รุ่งสางวันนี้แหละข้าจะได้เห็นเป็นบุญตาสักที แต่เออ...ทำไมมูซาชิถึงได้ถ่ายเบานานนัก ไม่กลับมาเสียที
โคจิโรนึกฉงนจึงเดินไปชะโงกมองที่ทางลาดเนินแต่ไม่ก็ไม่เห็นวี่แววว่ามูซาชิจะกลับมา จึงทรุดตัวลงนั่งบนรากไม้แล้ววาดภาพการประลองยุทธ์ต่อไปด้วยอารมณ์คึกคะนอง
มูซาชิดูสงบมาก คงปลงตกตามชะตากรรมแล้วว่าคราวนี้ตายแน่ แต่คนอย่างมูซาชิก่อนตายจะต้องสู้สุดฤทธิ์ เราจะได้เห็นฝีมือดาบไร้เทียมทานของนักดาบผู้นี้เต็มตา...ตระหวัดดาบฟันซ้ายป่ายขวา เงื้อง่าเผ่นโผน ฟาดฟันลงมาปลิดชีวิตศัตรูด้วยดาบสังหาร...จะตื่นตาระทึกใจแค่ไหน อีกไม่ช้าไม่นานก็จะได้เห็น
แต่อนิจจา...ฝีมือดาบขั้นเทพหรือจะทัดทานแผนรับมือตลบหลังที่เตรียมพร้อมถึงขนาดจัดศิษย์สำนักผู้ฉมังธนูซุ่มยิงหมายเผด็จศึกด้วยลูกธนูดอกเดียวเสียบดวงใจ...ไม่ได้นะ อย่างนี้ไม่สนุกแน่ ใช่...แผนอื่นจะยังไงก็ช่าง แต่เฉพาะตรงนี้ เราจะต้องเตือนให้มูซาชิรู้ตัวไว้
หมอกยามเช้าเยียบเย็นจนหนาว โคจิโรรออยู่นานโขแต่มูซาชิก็ยังไม่เสร็จธุระกลับมา จึงลุกขึ้นส่งเสียงเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ
ถ้าจะไม่ได้การเสียแล้ว
นักดาบหนุ่มสำอางกระสับกระส่ายและหวั่นใจขึ้นมาจนทนนิ่งอยู่ต่อไปไม่ไหว จึงก้าวยาว ๆ ไปตรงนาขั้นบันไดที่เห็นมูซาชิก้าวลงไปพร้อมกับร้องเรียกซ้ำ
“ท่านมูซาชิ”
ที่ชายทุ่งยังมืดมิด เห็นแต่บ้านชาวไร่ชาวนาห้อมล้อมด้วยดงไผ่ ได้ยินเสียงกังหันทดน้ำดังอยุ่ตรงไหนสักแห่งแต่มองไม่เห็นทางน้ำ เจ้าหนุ่มเดินไปทางต้นเสียงที่อยู่เหนือนาขั้นบันไดอีกด้านหนึ่งใกล้จนน้ำกระเซ็นถูกตัว มองลงไปไม่เห็นใครสักคนนอกจากหลังคาวัดตะคุ่มอยู่บนฝั่งลำธาร ไกลออกไปจากแนวแมกไม้และไร่หัวไชเท้ากว้างใหญ่ คือเทือกเขาอันมีภูเขาไดมงจิ ภูเขาเนียวงะดาเกะ ภูเขาอิจิโจและภูเขาเอซันที่สลับซับซ้อนกันอยู่
ดวงจันทร์ยังทอแสงอยู่บนฟากฟ้า
“โธ่เอ๋ย ที่แท้ก็ขี้ขลาด”
โคจิโรร้องออกมาด้วยความผิดหวัง เพราะปักใจเชื่อว่ามูซาชิหนีการประลองยุทธ์ไปด้วยความรักตัวกลัวตาย เพิ่งรู้ว่าที่ทำเงียบ ๆ นิ่ง ๆ นั้นที่แท้ก็ซ่อนแผนหนีไว้แนบเนียนอยู่ในใจ
จะมัวชักช้าร่ำไรอยู่ไม่ได้แล้ว
พอคิดได้ดังนั้นโคจิโรก็ดีดตัวขึ้นมาที่ทางถนน สอดส่ายสายตาหามูซาชิอีกครั้งให้มั่นใจ แล้วออกวิ่งสุดฝีเท้าตรงไปยังซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวที่อิจิโจจิทันใด
2
มูซาชิอดยิ้มไม่ได้ขณะมองตามหลังซาซากิโคจิโรนักดาบหนุ่มรูปงามที่วิ่งตัวปลิวไกลออกไปไกลออกไปจนลับสายตา
เจ้าหนุ่มนักดาบยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับที่โคจิโรยืนอยู่เมื่อกี้นี้เองแต่ทำไมโคจิโรจึงหามูซาชิเท่าไร ๆ ก็ไม่พบ...
ตอบได้ไม่ยาก ที่หาไม่พบก็เพราะโคจิโรปักใจเชื่อว่ามูซาชิหนีไป จึงละจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ไปเที่ยวตามหาที่อื่นให้ควั่กโดยไม่ได้หารอบ ๆ บริเวณให้ทั่วเสียก่อน จึงไม่พบมูซาชิซึ่งที่แท้ก็ซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ข้างหลังนั้นเอง
ไปเสียได้ก็ดี
คนอะไร...แค่มองก็รู้ว่ากระเหี้ยนกระหือรือนักที่จะได้เห็นความตายของคนอื่น...เห็นความตายของคนที่จำเป็น ต้องสู้เพื่อเกียรติภูมิเป็นเรื่องสนุกเหมือนดูมหรสพ ทำตัวเป็นคนกลางไม่เข้าใครออกใคร ทำเป็นว่าการได้เห็นการ ประลองยุทธ์ของยอดนักดาบนั้นเหมือนได้รับวิทยาทานเพื่อการศึกษาวิชาดาบของตน เท่านั้นไม่พอเจ้านักดาบหน้ามนที่ชื่อซาซากิ โคจิโรคนนี้ยังทำตัวเป็นเด็กดี นำความไปบอกทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อสร้างบุญคุญทั้งสองฝักสองฝ่าย
ใครจะยังไงก็ตามใจ แต่ข้าไม่เอาด้วย
มูซาชิคิดแล้วก็หัวเราะด้วยความสมเพทอยู่ในใจ
การที่เจ้านักดาบแสนกลคนนี้มาแจ้งเราว่าฝ่ายตรงข้ามยกกองกำลังมามากมายมหาศาล และมาทำเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่าเราเตรียมนักดาบมือรองไว้รับมือยามเพลี้ยงพล้ำแก่ศัตรูหรือไม่นั้น อาจเป็นเพราะคิดว่าเราคงจะคุกเข่าลงขอร้องให้ตนช่วยมาเป็นนักดาบมือรองละมัง เมินเสียเถิด คนอย่างเราไม่มีวันหลงคารมใครง่าย ๆ
ถ้าคิดว่าข้าต้องชนะ และยืนยงคงชีวิตอยู่ให้ได้
มูซาชิอาจอยากมีนักดาบมือรองสักคน แต่เจ้าหนุ่มนักดาบไม่ได้คิดที่จะเอาชนะ ไม่ได้คิดที่จะมีชีวิตยืนยาวไปถึงพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไป หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะหรือรอดชีวิตมาได้
มูซาชิรู้ดีก่อนที่โคจิโรจะมาบอกเสียอีกว่า สำนักโยชิโอกะจะยกขบวนนักดาบมาในการประลองยุทธ์เช้าตรู่วันนี้ เป็นร้อยกับอีกหลายสิบคน เพราะแฝงตัวเข้าไปสอดแนมกองกำลังของอีกฝ่ายมาแล้วระหว่างมาที่นี่ และยอมรับว่าตนนั้นตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจหยุดยั้งการพาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด
คิด ๆ อยู่ก็อดแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมจึงมีเวลาปริวิตกกับความเป็นความตายมาถึงเพียงนี้
มูซาชิไม่เคยลืมคำของหลวงพี่ทากูอันที่ว่า ผู้รักชีวิตสุดใจคือผู้กล้าหาญที่แท้จริง
ใช่ ข้าถนอมรักษาร่างกายอันมีอวัยวะทั้งห้ามาตลอดเพื่อให้ชีวิตนี้...ชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่งมีได้เพียงชีวิตเดียวนี้ได้ยืนยงคงอยู่ แต่การกินอยู่ให้มีชีวิตไปวัน ๆ นั้นแตกต่างจากการรักชีวิตมากมายนัก จะกินดีอยู่ดีให้อายุยืนยาวอย่างเดียวไม่พอ คนรักชีวิตคือคนที่พยายามทำให้ชีวิตตนมีความหมายคุ้มค่ากับที่มีได้เพียงชีวิตเดียว แล้วอย่างนี้ข้า...มูซาชิจะทำให้ชีวิตนี้มีความหมาย มีคุณค่าคุ้มกับที่ได้เกิดมาได้อย่างไร หรือว่าคุณค่าและความหมายของชีวิตข้านั้นจะต้องแลกกับความตาย
อายุขัยของคนเราเจ็ดสิบปีแปดสิบปีนั้นเป็นแค่อึดใจเดียวในกระแสของกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านมาและผ่านไปไม่เคยหยุดยั้งไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี คนที่เกิดมาทำประโยชน์มากมายให้แก่มวลมนุษย์แม้ตายไปเมื่ออายุยี่สิบก็นับว่าอายุยืนยาวคุ้มกับที่ได้เกิดมาและเรียกได้ว่าเป็นคนรักชีวิตอย่างแท้จริง
คนเราไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ช่วงเริ่มแรกจะต้องลำบากยากเย็นกันทั้งนั้น แต่ก็ยังดีกว่าชีวิตที่ยากเย็นตั้งแต่เกิดและเมื่อถึงวาระสุดท้ายก็ยิ่งลำบากเป็นที่สุดเมื่อต้องตัดใจจากโลกนี้ไป คนเรามีทั้งอายุยืนและอายุสั้นคละกันไป แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าในช่วงชีวิตนั้นมีแต่ฟองสบู่ หรือมีเกียรติภูมิที่จะยั่งยืนอยู่ชั่วกาลนาน
มูซาชิมองว่าความรักชีวิตนั้น พวกชาวเมืองต่างมีความรักชีวิตตามแนววิถีแห่งตน ส่วนนักรบก็รักชีวิตตามแนววิถีแห่งนักรบ สำหรับตนที่ดำเนินชีวิตมาบนวิถีแห่งนักรบก็ควรตายเยี่ยงนักรบ
3
มูซาชิเดินมาหยุดอยู่ตรงทางสามแพร่งที่ทุกสายตัดไปยังซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวที่อิจิโจจิ
แพร่งหนึ่งคือเส้นทางเอซันซึ่งเป็นทางสายหลักที่โคจิโรวิ่งผ่านไปเมื่อครู่ก่อน เส้นทางนี้ใกล้ที่สุดและทางเรียบดีจนถึงอิจิโจจิอันเป็นจุดหมาย
อีกแพร่งหนึ่งเป็นทางค่อนข้างอ้อมผ่านหมู่บ้านทานากะและเลี้ยวไปตามทางเลียบแม่น้ำทากาโนะ เข้าสู่ทางข้ามทุ่งโอมิยะโอฮาระ ขึ้นไปทางโรงเรียนชูกักคุอินของราชสำนัก แล้วลงไปยังซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียว
ส่วนอีกแพร่งหนึ่งเป็นทางตัดตรงจากที่มูซาชิยืนอยู่ไปทางตะวันออก แยกเข้าทางลัดข้ามภูเขาชิงะผ่านต้นน้ำ ชิราคาวะไปออกที่เชิงเขาอุริว และเดินจากแถว ๆ ยากูชิโดไปถึงจุดหมาย...นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวอยู่ในหุบเขาซึ่งมีลำธารหลายสายมาบรรจบกัน ระยะทางจากจุดแยกของทางแต่ละแพร่งไปถึงที่นั่นไม่ต่างกันมากนัก
แต่ไม่ว่าจะมองจากสายตาของมูซาชิผู้เปรียบเสมือนกองทัพมดที่ยกไปปะทะกองทัพยักษ์ใหญ่ในบริเวณ หรือมองในแง่ของตำรับพิชัยสงคราม ทางสามแพร่งนั้นแตกต่างกันอย่างมาก...การเลือกถูกผิดกำหนดแพ้ชนะ
ทางสามแพร่ง
แน่นอนว่ามูซาชิจะต้องคิดอย่างสุขุมรอบคอบมาก่อนแล้ว จึงหยุดอยู่แค่อึดใจสั้น ๆ แล้วเดินตัวปลิวไปบนทางที่เลือกอย่างไม่แสดงว่าต้องคิดหนักด้วยความลังเลแต่อย่างใด
เจ้าหนุ่มนักดาบเร่งฝีเท้าเดินบ้างวิ่งบ้างลดเลี้ยวไประหว่างต้นไม้ในป่า ชายกิโมโนไหวหวิวไปตามแรงลมและแรงกายเมื่อกระโดดข้ามก้อนหินในลำธาร ผ่านหน้าผาและกระโจนข่ามร่องน้ำตามคันนาภายใต้แสงของดวงจันทร์ที่ยังอ้อยอิ่งอยู่บนฟากฟ้า มุ่งไปยังจุดหมายที่ปักหมุดไว้ในใจ
ทางสามแพร่ง...มูซาชิเลือกทางไหนหรือ
เปล่าเลยทางที่เจ้าหนุ่มนักดาบเดินตัวปลิวไปนั้นเป็นทางตรงกันข้ามไปคนละทิศละทางกับจิโจจิ
มูซาชิไม่ได้เลือกหนึ่งในทางสามแพร่งนั้น เจ้าหนุ่มเดินบ้างวิ่งบ้างกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางบ้าง ไปตามทาง เล็ก ๆ ตัดข้ามไร่นา ไม่รู้ว่ามุ่งหน้าไปที่ใด จะว่าไปหาใครละแวกนั้นก็ไม่เห็นมีหมู่บ้าน
และไม่รู้ว่าทำไมถึงอุตส่าห์เดินข้ามชายเนินคางุระโอกะไปออกที่ด้านหลังโกะอิจิโจสุสานสมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งเป็นดงไผ่หนาทึบ จากนั้นจึงเดินฝ่าดงไผ่ออกมาที่แม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ตรงที่ไหล่เขาด้านเหนือของภูเขา ไดมงจิตระหง่านง้ำอยู่สูงลิ่วขึ้นไป
มูซาชิปีนขึ้นไปในความมืดสลัวที่เชิงเขา
มองลงไปทางขวาของทางที่เพิ่งผ่านมาเห็นสวนและหลังคาอาคารตะคุ่มอยู่ในความมืด ดูจากทิศทางแล้วน่าจะเป็นกินคาคุจิของท่านฮิงาชิยามะ และเมื่อมองตรงลงไปข้างล่างก็เห็นบ่อน้ำรูปกลมรีใสแจ๋วราวกระจกเงา
พอปีนสูงขึ้นไปต้นไม้สูง ๆ ก็บังบ่อน้ำเสียหมด มีสายน้ำไหลเอื่อยของแม่น้ำคาโมะเข้ามาแทนที่ มูซาชิขึ้นมาอยู่บนที่สูงจนมองเห็นทั้งด้านล่างและด้านบนของเกียวโตอยู่ในอาณาบริเวณที่คล้ายกับจะใช้มือทั้งสองโอบเอาไว้ได้
มองไกลออกไปจากจุดนี้
ซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวอยู่ตรงนั้นเอง
มูซาชิชี้มือออกไปที่จุดนั้น
จากตรงนี้จะสังเกตความเป็นไปในบริเวณนั้นได้สบาย
มูซาชิตรวจดูชัยภูมิที่ตนยืนอยู่และคาดคะเนระยะทางแล้วจึงรู้ว่า ถ้าเดินเลียบสันเขาของภูเขาทั้งสี่ในเทือก เขาซันจูโรกุไปทางภูเขาเอ็นซัน ก็จะไปถึงยอดเขาที่อยู่ตรงด้านหลังของซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวพอดี โดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก
ดูเหมือนว่ามูซาชิจะคิดแผนนี้ไว้ในใจก่อนแล้ว โดยเอาแผนยุทธศาสตร์มองศัตรูด้วยสายตาของนกที่จอมทัพ โนบุนางะใช้ในศึกโอเกฮาซามะมาปรับใช้ ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เจ้าหนุ่มทิ้งทางเลือกสามแพร่งที่ควรเลือกเพื่อไปถึงจุดนัดหมายนั้นเสีย แล้วใช้ทางที่มุ่งไปยังทิศตรงข้ามซึ่งเป็นทางวิบากทั้งต้องปีนเขาและเดินเสี่ยงอันตรายไปตาม สันเขา
“นั่นใคร”
เจ้าหนุ่มนักดาบสะดุ้งเพราะไม่นึกว่าจะเจอใครในที่เปลี่ยวเช่นนี้ เมื่อมองเขม้นไปจึงเห็นชายคนหนึ่งแต่งกายคล้ายนักดาบที่เป็นบริวารของขุนนางถือคบไฟเดินเข้ามาใกล้ และยื่นคบไฟเข้ามาส่องจนแทบติดหน้ามูซาชิ