xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน แว่วเสียงห่านป่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


นานนักหนากว่าจะได้พบกัน หลายเดือนหลายปีอย่าได้นับเป็นวันมันจะยิ่งนานโข หลายครั้งหลายคราเจ้าเดินเฉียดเฉี่ยวเห็นแต่เงาให้เอะใจ แต่เมื่อเหลียวหลังมองก็ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วหายและลมไหววูบไปตามแมกไม้
ครานี้วิถีแห่งชีวิตชักพาให้มาพบกันก่อนวิกฤติที่อาจคร่าชีวิตชั่วนิรันดร์ แค่เคลื่อนกายอีกสักนิดก็จะได้แอบอิงแต่ไฉนจึงหันหลังให้กันคล้ายหมางเมินหรือว่าแค่แง่งอน
โอซือนั่งก้มหน้าไม่เหลียวมามอง
มูซาชิเบือนหน้าไปทางหนึ่ง และเมื่อหาที่วางสายตาไม่ได้จึงแหงนมองไปทางฟากฟ้า
จะทักทายนางว่ากระไรดี
เจ้าหนุ่มนักดาบครุ่นคิดหาถ้อยคำมาเจรจา ได้มาคำหนึ่งแล้วก็ปัดทิ้งไป อีกคำหนึ่งก็ปัดทิ้งอยู่อย่างนั้น
น้ำคำล้วนแต่ตื้นเขิน จะมาแทนความรู้สึกลึกล้ำในใจข้าได้เยี่ยงใด
คืนนั้นยังจำได้ ต้นซูงิพันปีต้นใหญ่ กิ่งใบไหวลู่ลม ฝนตกกระหน่ำ ยามราตรีที่มืดมิด และความรู้สึกอันแสนบริสุทธิ์ที่เรามีต่อกัน
หลังจากนั้นข้ากับเจ้าต้องพรากจากกัน ห้าปีแล้วสินะ...โอซือที่เจ้าเดินทางรอนแรมอยู่เดียวดาย
ข้าเชื่อในความมั่นคงของใจเจ้าและไม่เคยลืมเลือน
โอซือ...ห้าปีที่ผ่านมาข้ารู้ว่าเจ้าต้องเผชิญกับความยากลำบากมามากเพียงใด แม้เมื่อมีความสุขอยู่กับผู้อารีมีน้ำใจ แต่พอให้ข่าวข้ามาใกล้คราใดเจ้าก็ละทิ้งวันคืนอันเป็นสุขออกตามหา ด้วยพลังแรงร้อนแห่งความรักอันบริสุทธิ์ เจ้าแข็งแกร่งนักนะโอซือ แล้วข้าเล่า...ข้าเองก็ต้องทุกข์ระทมไม่แพ้กันที่ต้องพรากจากเจ้า ต่างกันแต่ว่าข้า ซ่อนไฟรักไว้เงียบกริบภายใต้ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ซ่อนไว้เหมือนไฟที่คุปะทุอยู่ใต้เถ้าถ่านที่ใคร ๆ คิดว่ามอดแล้วและเยียบเย็น
มูซาคิดอยู่ข้างเดียวว่าใจตนนั้นทุกข์ระทมกว่า คิดเสมอและทุกวันนี้ก็ยังคิด
แต่เมื่อมาเห็นสภาพอ่อนระโหยอย่างน่าเวทนาของโอซือเช่นนี้ มีหรือที่นักดาบผู้เก่งกล้าจะยังขืนคิดเอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ได้ ผู้หญิงร่างบางผู้มีความรักเป็นชีวิตคนนี้ ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานทั้งกายใจ ที่แม้แต่ชายแข็งแรงอย่างตนยังต้องยอมรับว่าหนักหนาสาหัสเหลือทน โอซือแข็งแกร่งด้วยความรักเดียวใจเดียวโดยแท้
อีกไม่นานก็จะได้เวลา
มูซาชิเบนสายตาไปทางดวงจันทร์ที่เคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกบนฟ้าขาวเมื่อใกล้รุ่งสาง พร้อมกับนึกถึงช่วงเวลาที่ตนจะยังมีชีวิตอยู่
อีกไม่นานทั้งดวงจันทร์และชีวิตของตนก็จะลอยลับไปเบื้องหลังขุนเขาแห่งความตาย ในช่วงเวลาอันน้อยนิดนี้เจ้าหนุ่มอยากหันหน้าเข้าหาโอซือ และบอกความจริงแก่นาง แม้จะคิดว่าคำพูดเพียงคำสองคำของตนไม่อาจตอบแทนความรักและความภักดีอันทรงคุณค่าของโอซือได้
ความจริง
แต่มูซาชิก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้
ความจริงที่อยากเผยต่อโอซือนั้นอัดอั้นอยู่เต็มอก ยิ่งพยายามจะพูดออกมาปากก็ยิ่งเม้มสนิท จึงได้แต่จ้องมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น
โอซือนั่งก้มหน้าปล่อยหยาดน้ำตาร่วงลงดินอยู่ทางหนึ่ง
ก่อนมาถึงที่นี่อกใจนางร้อนรุ่มไปด้วยไฟรักที่โหมแรงไล่ทุกสิ่งทุกอย่างให้กระเจิดกระเชิงไป ทั้งความจริง พระพุทธพระธรรม หรือแม้แต่เวรกรรม ไม่สนใจชายใด ไม่สนใจเรื่องอะไรของใครทั้งสิ้น ในใจนางมีแต่รักและรักเท่านั้น
โอซือเชื่อว่าด้วยอานุภาพแห่งรักและน้ำตา จะเป็นพลังให้นางเจรจาจูงใจอันแข็งกร้าวของมูซาชิ ชายอันเป็นสุดที่รักให้ตามมาอยู่ด้วยกันตามลำพังเพียงสองคน ละห่างออกมาจากโลกของคนทั้งปวง
ทว่าเมื่อได้พบกับมูซาชิสมดังที่ได้เฝ้าคอยมานาน นางกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำทั้งที่คำพูดมากมายมาจ่อรออยู่ที่ริมฝีปาก...ความคิดถึงใจจะขาด ความว้าเหว่ที่ต้องจากไกล การที่ต้องโศกาอาดูรเมื่อคลาดกันไปคนละทาง อยากต่อว่ามูซาชิที่ใจร้ายปล่อยให้นางร่อนเร่ผจญโลกไปตามลำพัง อยากจะปล่อยความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในอกทั้งหมดนั้นให้พรั่งพรูลงมาราวทำนบแตก แต่ปากเจ้ากรรมกลับปิดสนิทสกัดกั้นเอาไว้ กลายเป็นน้ำตาไหลหลั่งลงดิน
ถ้าเป็นคืนวันเพ็ญยามซากุระบานและตรงนี้ไม่มีมูซาชิ โอซือจะร้องไห้โฮและล้มตัวลงเกลือกกลิ้งไปมาเหมือนเด็กน้อย เรียกร้องให้แม่ช่วยยามเจ็บป่วยไม่สบายตัว อยากจะร้อง ร้องให้หนำใจเผื่อว่าความทุกข์จะบรรเทา
โอซือก็เงียบ มูซาชิก็เงียบ ซ้ำยังหันหลังให้กัน
เวลาที่ใฝ่หากันนักกว่าจะได้พบกันเคลื่อนไปไม่หยุดยั้งหรือแม้แต่จะชะลอรอ
ใกล้รุ่งเต็มที เสียงห่านป่าที่บินมาเป็นฝูงหกเจ็ดตัวส่งเสียงเรียกกันและโผบินผ่านฟ้าไปทางหลังเขา


2
“ห่านป่า”
มูซาชิเอ่ยขึ้นด้วยกระซิบ ทั้งที่รู้ตัวว่าพูดแก้เก้อ
“พวกมันพากันบินกลับไปทางเหนือ โอซือจำได้ไหม”
แม้ไม่น่าใช่เรื่องที่จะมาคุยกันตอนนี้ แต่ก็เป็นโอกาสให้โอซือเปิดปากพูดออกมาได้
“มูซาชิ”
ทั้งสองสบตากันเป็นครั้งแรก เสียงห่านป่าเตือนความทรงจำให้หนุ่มสาวนึกถึงฝูงนกอพยพที่พากันโผบินข้ามทิวเขาที่บ้านเกิดในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ
สมัยนั้นทั้งสองยังเป็นสาวหนุ่มแรกรุ่นที่ใสซื่อ
โอซือสนิทกับมาตาฮาจิ และบอกว่าเกลียดมูซาชิเพราะเป็นเด็กเกเรชอบใช้กำลังรุนแรง เวลาทะเลาะกันมูซาชิจะด่าว่านางหยาบ ๆ คาย ๆ แต่โอซือก็ตีฝีปากด้วยไม่ยอมแพ้ ภาพชีวิตวัยเด็กยามเล่นซนด้วยกันบนที่ภูเขาหลังวัดชิปโปจิแจ่มชัดขึ้นมาในห้วงคิด ชวนให้นึกถึงทุ่งหญ้าริมฝั่งน้ำโยชิโนะ
ทั้งสองต่างปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับอดีตในวัยเยาว์อันแสนสุขที่ไม่วันหวนกลับอยู่นาน จนมูซาชิรูสึกตัวและทำลายความเงียบขึ้น
“โอซือ เจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอะไรไปรึถึงได้ดูอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง เช่นนี้”
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“หายดีแล้วรึ”
“เรื่องนั้นช่างเถิด ที่สำคัญกว่านั้น คือข้าได้ยินมาว่าท่านจะไปประลองยุทธ์ที่อิจิโจจิ โดยทำใจไว้แล้วว่าจะไปตายอย่างนั้นรึ”
“อืม”
“ถ้าท่านตาย ข้าก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยเหตุนี้ฉันจึงลืมความป่วยไข้หมดสิ้น รู้สึกปกติดีเหมือนไม่เป็นอะไรเลย”
ดวงตาของโอซือเป็นประกายสุกใสเสียจนทำให้มูซาชิรู้สึกว่าการทำใจน้อมรับความตายของตนเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับความใจเด็ดของผู้หญิงคนนี้
มูซาชินึกถึงตนเองที่ต้องตั้งปัญหาถามตอบเรื่องความเป็นความตาย ฝึกวินัยในการดำรงชีวิตประจำวันในฐานะนักดาบมานานหลายปี กว่าจะสามารถควบคุมความรู้สึกของตนเองได้ในระดับหนึ่ง และทำใจให้น้อมรับความตายได้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับพูดออกมาได้ง่าย ๆ ว่าพร้อมที่จะตาย”
ถ้าท่านตาย ข้าก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
โอซือพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำจนมูซาชิแทบไม่เชื่อหู
มูซาชิจ้องหน้าโอซือราวเจาะลึกเข้าไปอ่านใจจริงของนาง แล้วก็แน่ใจว่าที่นางพูดออกมาเช่นนั้นไม่ใช่เพราะอารามที่ใจเพริดเพราะตื่นเต้นหรือว่ามุสา ดวงตาที่สุกใสยามกล่าวออกมานั้นสะท้อนความรู้สึกปิติที่จะได้ตายพร้อมไปกับตน โอซือมองความตายด้วยใจที่สงบอย่างที่นักรบแม้จะใจเด็ดเพียงใดก็ไม่อาจทำใจน้อมรับความตายได้เท่านาง
นักดาบหนุ่มนึกฉงนระคนทึ่ง
ทำไมผู้หญิงถึงได้แกร่งเช่นนี้
และอีกใจหนึ่งก็กลัวขึ้นมาถ้าจะต้องอยู่กับผู้หญิงไปชั่วชีวิต
“พูดอะไรบ้า ๆ”
มูซาชิเกรี้ยวกราดจนตนเองก็ยังประหลาดใจ
“ความตายของข้ามีความหมายลึกล้ำกว่าจะเอามาพูดกันเล่น ๆ ชายผู้ใช้ชีวิตอยู่บนวิถีแห่งดาบย่อมปรารถนาที่จะตายด้วยคมดาบก็จริง แต่สำหรับข้าไม่ใช่เพียงเท่านั้น ข้าน้อมรับความตายเพื่อประจานความ ชั่วร้ายของศัตรูที่ใช้ตำราพิชัยสงครามอันล้ำค่าของนักรบไปในทางเสื่อมทรามอย่างที่สุด หลังจากนั้นหากเจ้าจะตายตามไปข้าก็ยินดียิ่งนัก แต่อยากถามเจ้าหน่อยเถิดว่าการทำเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด เกิดมาอย่างแมลงที่น่าเวทนาและตายไปอย่างแมลงตัวหนึ่งนั้น มันจะได้อะไรขึ้นมารึ”
พอเห็นโอซือก้มหน้าลงร้องไห้อีก มูซาชิก็สำนึกได้ว่าตนพูดแรงเกินไปจึงคุกเข่าลงและพูดด้วยเสียงอ่อนโยนขึ้น
“แต่โอซือ คิดอีกทีข้าลวงเจ้ามาตลอดโดยที่ไม่รู้ตัว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เข้าช่วยข้าให้พ้นมาจากต้นซูงิพันปี แล้วหนีมาด้วยกัน และที่สะพานฮานาดะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเย็นชาหรือหมางเมินต่อเจ้าแม้แต่น้อย แต่กิริยาท่าทีของข้าและภาวะแวดล้อมทำให้เป็นไปเช่นนั้น ข้าแกล้งทำเป็นเย็นชากับเจ้ามาตลอด
โอซือ ในเมื่ออีกไม่กี่ครู่ยามข้าก็จะลาจากโลกนี้ไปแล้ว ข้าจะพูดความจริงกับเจ้า คำพูดต่อไปนี้ของข้าไม่ใช่คำลวงไม่ใช่คำเสแสร้ง โอซือข้ารักเจ้า รักอย่างที่ไม่มีวันใดจะไม่รัก เจ้ารู้ไหมว่าทุกวันนี้ข้าต้องทนทรมานเพียงไรกับความปรารถนาที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้นและใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าตลอดไป...แต่ก็ไม่อาจตัดใจได้ตราบที่ยังมีดาบที่ข้ารักเหนืออื่นใด


กำลังโหลดความคิดเห็น