นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทว่า ไม่มีเสียงตอบจากฟูก
ไบเค็นควงลูกโซ่ดังเฟี้ยวฟ้าว เจ้าคนถือทวนก็ทิ่มแทงไปที่พื้นเสื่อ ส่งเสียงตวาดข่มขวัญ คิดว่าเหยื่อคงจะนอนตัวสั่นเทา ขนหัวลุกชันด้วยความกลัวสุดขีดอยู่ในนั้น แต่ฟูกก็ยังเป็นฟูก มูซาชิหรือจะนอนรอให้มาข่มขวัญกันง่าย ๆ
เจ้าคนถือทวนชักจะสงสัยจึงเอาปลายทวนเขี่ยผ้านวมที่ขยุ้มเป็นลำตัวอยู่บนฟูกออกไป
“เฮ้ย ไอ้ชาติชั่วหนีไปแล้ว”
เจ้าคนถือทวนร้องลั่น หันรีหันขวางมองหาไปรอบด้านทันที
ตอนนั้นเองที่ไบเค็นเพิ่งสังเกตเห็นกังหันลมของเล่นลูกหมุนติ้วอยู่ตรงหน้า
“ประตูเปิดอยู่โว้ย ดูสิว่าช่องไหน”
นักสู้เคียวโซ่ตะโกนสั่งเสียงก้องพร้อมกับกระโจนลงไปที่ห้องดิน พอดีกับที่ลูกน้องอีกคนร้องบอกมา
“เสร็จมันแล้วลูกพี่”
เจ้านั้นพบประตูครัวที่เปิดออกไปที่ตรอกด้านหลังเรือนแง้มอยู่พอที่คนตัวโต ๆ คนหนึ่งจะผ่านออกไปได้
คืนในฤดูหนาวเมื่อพระจันทร์เต็มดวงหนาวเหน็บ แม้น้ำค้างก็ยังแข็ง ลมหนาวที่โหมกระหน่ำพอได้ช่องก็พรูเข้ามา แล้วกังหันน้อยหรือจะทานแรงลมได้
“มันหนีไปทางนี้”
“แล้วไอ้พวกที่ข้าให้เฝ้าดูอยู่ข้างนอก หายไปไหน ปล่อยมันไปได้ยังไง”
ไบเค็นระล่ำระลัก สบถด่าเสียงขรม ออกไปยืนจังก้าตาขวางหน้าประตูครัว
เงาดำ ๆ ที่ตะคุ่มอยู่ใต้ชายคา และพุ่มไม้ใกล้เคียงไหววูบ เงาหนึ่งคลานเข่าเข้ามากระซิบถาม
“นาย เรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อยบ้าอะไร”
ไบเค็นตวาดเสียงเกรี้ยว หน้าแดงด้วยความโกรธจัด
“พวกเอ็งมัวทำอะไรกันอยู่ ข้าสั่งแล้วใช่ไหมว่าคอยเฝ้าระวังให้ดี แล้วทำไมมันถึงหนีไปได้”
“เอ๊ะ หนีไป หนีไปได้ยังไงนาย หนีไปเมื่อไหร่กัน”
“ยังจะมาถาม ใช้ไม่ได้เลย โง่ชะมัด”
ไบเค็นก่นด่าลูกน้องเป็นชุด ยิ่งโกรธก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก ก้าวเข้าก้าวออกเรือนไปมาอยู่อย่างนั้น
พอตั้งสติได้ก็เรียกลูกน้องเข้ามาพร้อมหน้า
“ทางที่มันจะหนีไปได้มีอยู่แค่สองทาง ข้ามเขาซูซูกะไปหรือไม่ก็ย้อนกลับไปที่ทางหลวงเมืองสึ คงยังไปได้ไม่ไกล พวกเอ็งแยกย้ายกันตามไปจัดการมันเดี๋ยวนี้”
เหล่าลูกน้องหันหน้าเข้าปรึกษากันว่าจะแยกย้ายอย่างไรดี สุดท้ายไบเค็นก็เป็นคนชี้ขาด
“ข้าจะไปทางภูเขาซูซูกะ ส่วนพวกเอ็งรีบลงไปทางด้านทางหลวง”
ลูกน้องที่ไบเค็นระดมมาแบ่งเป็นพวกบุกกับพวกซุ่มรวมสิบกว่าคนและมีคนหนึ่งพกปืน
ช้าก่อน...อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นกลุ่มนักสู้ระดับเซียนถึงขนาดมีปืนพก เพราะความจริงแล้วเจ้านั่นเป็นแค่นายพรานล่าสัตว์ ส่วนคนอื่นที่พกมีดด้ามใหญ่ดูขึงขังราวกับแม่ทัพที่แท้ก็คือช่างไม้ และคนอื่น ๆ ก็เป็นพวกช่างนั่นช่างนี่ระดับเดียวกันทั้งนั้น
มองจากการที่ไบเค็นสามารถระดมชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านมาใช้ได้ และดวงตาที่แข็งกร้าวดุร้ายยามบรรดาลโทสะแล้ว เห็นได้ชัดว่านักสู้เคียวโซ่ผู้นี้ต้องไม่ใช่ชาวนาช่างตีเหล็กธรรมดา
กองทัพช่างแยกออกเป็นสองหมู่
“ถ้าเจอมัน เอ็งยิงปืนเป็นสัญญาณนะ พวกเราจะได้เข้าไปรุมล้อม”
ตกลงกันไว้ดิบดีแล้วต่างก็ออกวิ่งกวดเหยื่อที่ไม่เห็นแม้แต่เงาไปคนละทิศทาง
ทว่าไม่นานก็ทยอยกันกะปรกกะเปรี้ยกลับมาทีละคนสองคน และซุบซิบปรับทุกข์กันความกลัวลูกพี่จนลืมความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องวิ่งกวดขึ้นเขาลงเนินไปตลอดทาง
แต่พอมาถึงหมู่บ้านก็พบว่าไบเค็นกลับมาก่อนแล้วและนั่งคอตกอยู่ที่ห้องดินของโรงตีเหล็ก สิ้นแรงที่จะก่นด่าลูกน้อง
“ขอโทษนะลูกพี่ พวกเราตามมันไปไม่ทัน”
“ข้าผิดเองที่ไม่รอบคอบ”
ไบเค็นได้ยินลูกน้องพิรี้พิไร และทำหน้าเห็นใจตนก็กลับปลอบเสียเองว่า
“พวกเอ็งไม่ต้องเสียใจไปหรอก”
ว่าแล้วก็ฉวยไม้ฟืนท่อนหนึ่งขึ้นมาหักด้วยเข่าดังกร็อบ เพื่อระบายอารมณ์ที่อึดอัดอยู่ในอก
“แม่ไอ้หนู เอาเหล้ามา เหล้าน่ะมีไหม”
ไบเค็นร้องสั่งเข้าไปในบ้าน ก่อนโยนไม้ฟืนลงไปในกองไฟในเตาผิงที่ยังคุอยู่ แรงจนขี้เถ้าฟุ้งกระจาย
2
เสียงเอะยามดึกปลุกลูกน้อยให้ตื่นขึ้นมาร้องไห้จ้า นางเมียปลอบลูกพลางตะโกนตอบออกมาจากห้องด้านในว่าเหล้าไม่มีแล้ว ได้ยินดังนั้นลูกน้องคนหนึ่งก็ลุกขึ้นบอกว่าที่บ้านมี จะกลับไปเอามาให้แล้วก็ผลุนผลันออกไป
หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ทุกคนอยู่บ้านติด ๆ กัน คนไปหยิบเหล้าจึงมาถึงโดยเร็วและรีบรินใส่ถ้วยดื่มแจกจ่ายกันไปทั่ววงกันโดยไม่ต้องอุ่นให้เสียเวลา
ดื่มพลางสบถสาบาน สาปแช่งเหยื่อที่เป็นศัตรูตัวร้ายของลูกพี่ สรรหาถ้อยคำหยาบคายมาด่าทอกันอย่างคะนองปากแทนกับแกล้มเหล้า และพอมึนได้ที่ก็เริ่มพร่ำรำพัน
“ลูกพี่ อย่าคิดมากไปเลย ที้เป็นอย่างนี้ก็เพราะไอ้พวกที่ซุ่มดูอยู่ข้างนอกมันไม่ได้เรื่อง”
ว่าแล้วก็เติมเหล้าให้อีก หวังว่าจะได้เมาหลับไปเสียที
“ข้าไม่ดีเอง”
ไบเค็นกระดกเหล้าที่ได้มาเปล่า ๆ ลงคอจนเกลี้ยงถ้วย ทำหน้าเครียดเมื่อระบายความในใจออกมาว่า
“ความจริงแล้วแค่จัดการกับไอ้หนุ่มอ่อนหัด ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียว ข้าไม่น่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงกับต้องเกณฑ์พวกเอ็งให้เดือดร้อนด้วยเลย ข้าคนเดียวก็น่าจะเอาอยู่ ...แต่เอ็งรู้ไหมว่าเมื่อสี่ปีก่อน ตอนที่มันอายุแค่สิบเจ็ด ไอ้หนุ่มคนนี้แหละที่ฟันสึจิคาเซะ เท็มมะ พี่ชายของข้าตายคาที่ ทั้งที่พี่ชายของข้าคนนี้ก็เป็นคนมีฝีมือคนหนึ่งในยุทธจักร และเมื่อมันดั้นด้นขึ้นมาที่นี่ ข้าจึงประมาทไม่ได้”
“ลูกพี่หมายความว่า เจ้านักดาบฝึกหัดร่างใหญ่ที่มาขอนอนค้างที่บ้านนี้ คือไอ้หนุ่มน้อยที่มาซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน โอโค แม่ค้าขายโยโมงิ (โกศจุฬาลัมพา) ที่อิบุกิ เมื่อสี่ปีก่อนคนนั้นน่ะรึ”
ลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามกันมานานถามขึ้น
“ใช่ ดวงวิญญาณของเท็มมะพี่ชายข้าคงจะดลบรรดาลให้มันมาเป็นเหยื่อเซ่นสังเวยคมเคียวของข้า แรกพบข้าก็ไม่รู้ว่ามันคือใคร แต่พอดื่มสาเกไปได้จอกสองจอกและเริ่มคุยกัน มันก็แนะนำตัวเองว่าชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ เดิมชื่อ ทาเกโซ เคยออกรบที่เซกิงาฮาระ โดยไม่รู้ว่าข้าคือสึจิคาเซะ โคเฮ นักรบแห่งลุ่มแม่น้ำยาซูงาวะ น้องชายของสึจิคาเซะ เท็มมะ...ดูจากอายุอานาม รูปร่างหน้าตาแล้วข้าแน่ใจว่าต้องเป็นเจ้าทาเกโซที่ใช้ดาบไม้สังหารพี่ชายแน่นอน”
“ลูกพี่ เราต้องเอาคืนให้ได้ โธ่ ไม่น่าปล่อยให้มันหลุดมือไปเลย”
“ยุคนี้สมัยนี้บ้านเมืองสงบราบคาบ ถึงเท็มมะพี่ชายข้าจะยังมีชีวิตอยู่ก็คงมีสภาพไม่ผิดอะไรกับข้า ไร้ที่ซุกหัวนอนไม่มีจะกิน ต้องปลอมตัวเป็นชาวนาช่างตีเหล็กเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน หรือไม่ก็เป็นโจรป่าต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นคนอย่างสึจิคาเซะ เท็มมะก็ไม่น่าต้องมาจบชีวิตลงด้วยคมดาบไม้ของไอ้ทหารเลวไร้นามที่ไม่ต่างกับธุลีดินบนสนามรบ เซกิงาฮาระ คิดขึ้นมาทีไรข้าปวดใจจนแทบอกจะระเบิดทุกครั้งไป"
“ตอนนั้นข้าจำได้ว่า นอกจากเจ้าหนุ่มที่ชื่อทาเกโซแล้วยังมีเพื่อนของมันอีกคนหนึ่ง”
“มาตาฮาจิ”
“ใช่ ๆ มาตาฮาจิ เจ้าหนุ่มนั่นพาโอโคแม่ค้าขายโยโมงิกับอาเกมิลูกสาวของนางหนีไปในคืนวันเกิดเหตุ ป่านนี้จะเป็นยังไงไม่รู้นะ”
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนางโอโคเป็นเหตุ นางยั่วยวนเท็มมะพี่ข้าให้หลงเสน่ห์ แต่กลับสลัดทิ้งหันไปยุ่งกับได้หนุ่มทหารเลวที่แตกทัพมาจากเซกิงาฮาระ นางคนนี้ร้ายนัก เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน อาจมีวันหนึ่งที่พบเจอนางเจ้าที่ไหนสักแห่งก็ได้”
ไบเค็นเมามากแล้ว นั่งสัปหงกอยู่ข้างเตาผิง
“ลูกพี่นอนเถอะ”
“นอนดีกว่านะ”
เหล่าลูกน้องว่าพลางช่วยกันลากตัวไบเค็นเข้าไปนอนบนฟูกเดียวกับที่มูซะชินอนอยู่ก่อนหนีไป คนหนึ่งเก็บหมอนที่ถูกเตะกระเด็นลงไปที่ห้องดินขึ้นมาหนุนหัว คนหนึ่งเอาผ้านวมมาห่มให้ เท่านั้นเองไบเค็นก็กรนออกมาทั้งที่ยังไม่ทันหลับตา ทุกคนเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าให้กัน
“กลับกันเถอะพวกเรา”
“กลับไปนอนกันดีกว่า”
ชายฉกรรจ์ที่มาตั้งรกรากกันอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นพวกนักรบอิสระที่หากินอยู่บนสนามรบ หลังสงครามสิ้นสุดลงท้องทุ่งเซกิงาฮาระหลายเป็นขุมสมบัติมหาศาล สึจิคาเซะ เท็มมะกับโคเฮนักดาบสองพี่น้องแห่งลุ่มแม่น้ำยาซูงาวะตั้งตนเป็นเจ้าพ่อ รวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าเก็บสรรพาวุธ อันได้แก่ดาบ เสื้อเกราะ อานม้า และของมีค่าจากศพซามูไรที่ทับถมกันเกลื่อนกลาด ไปขายในตลาดมืด แล้วยังดักปล้นสะดมบรรดาซามูไรแตกทัพเป็นงานเสริม
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป และต้องผันตัวมาหาเลี้ยงชีพอย่างสงบด้วยการเป็นชาวไร่ชาวนาและนายพราน แต่ก็ยังไม่ทิ้งเคี้ยวเล็บที่พร้อมสู้เมื่อถึงคราวจวนตัว
ชายฉกรรจ์ตาเป็นประกายวาวเมื่อนึกถึงเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน ขณะแยกย้ายกันออกจากโรงตีเหล็กเดินฝ่าความหนาวเย็นยามดึกกลับเรือนตน
3
ความเงียบสงบปกคลุมไปทั่วเรือนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่เสียงหายใจของคนนอนหลับสนิท กับเสียงฟันของหนูนากัดอะไรกรอด ๆ อยู่ที่ไหนสักแห่ง
เสียงลูกน้อยละเมอขึ้นมาไขว่หาเต้านมอยู่ในห้องข้างในนิดหนึ่งแล้วก็เงียบไป
พริบตานั้นเอง
เสื้อคลุมฟางที่แขวนเคียงอยู่กับหมวกฟางกันฝนอยู่บนผนังครัวข้างเตาที่มีฟืนวางซ้อนอยู่
ก็เคลื่อนขยับ ลอยตัวขึ้นและกลับไปแขวนที่เดิมราวกับมีชีวิต
และในพริบตาต่อมานั้นเอง เงาดำทมึนก็เคลื่อนตัวราวกับกลุ่มควันออกมาจากผนังตรงนั้น
มูซาชิ...เจ้าหนุ่มนักดาบนั่นเอง
มูซาชิไม่ได้ก้าวออกไปจาเรือนช่างตีเหล็กแม้แต่ก้าวเดียว
พอกระโจนออกมาจากฟูกได้ ก็ตรงไปเปิดประตูครัวแง้มเอาไว้เป็นกลลวง แล้วกลับมาใส่เสื้อคลุมฟางกันฝนซ่อนตัวอยู่ที่กองฟืนข้างเตานั้นเอง
เจ้าหนุ่มนักดาบย่องจากครัวออกมาที่ห้องดินซึ่งเชื่อมกันอยู่ เสียงกรนดังสนั่นเป็นจังหวะบ่งบอกว่าชิชิโดะ ไบเค็นกำลังเริงสำราญอยู่บนวิมานชั้นฟ้า และเสียงกรนที่ดังสนั่นนั้นยังบ่งบอกด้วยว่าชาวนาช่างตีดาบผู้เก่งกล้าเชิงเคียวโซ่ผู้นี้ น่าจะเป็นโรคทางจมูก มูซาชินึกขำจึงยิ้มนิด ๆ อยู่ในความมืด
“... ... ...”
เอาละ...มูซาชิฟังเสียงกรนพลางคิดว่าจะดำเนินกลยุทธ์ต่อไปอย่างไรดี
การประลองยุทธครั้งนี้ข้าชนะชิชิโด ไบเก็น ชนะอย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ
แต่เจ้าหนุ่มเพิ่งรู้ความจริงจากการสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อน ว่าชิชิโด ไบเก็นนั้นเดิมชื่อสึจิคาเซะ โคเฮ นักรบอิสระแห่งลุ่มแม่น้ำยาซูงาวะ และเป็นพี่น้องกับสึจิคาเซะ เท็มมะที่ถูกตนปลิดชีวิตด้วยคมดาบไม้ ดังนั้นพอรู้ว่าตนเป็นใครจึงมุ่งสังหารเสียในคืนนี้เพื่อล้างแค้นแทนพี่ชาย คิดแล้วก็อดนับถือความมีใจเป็นลูกผู้ชายของนักรบอิสระผู้นี้ไม่ได้
ทว่า หากไว้ชีวิตในวันนี้ ไบเค็นก็ต้องคิดล้างแค้นต่อไปและวันหนึ่งอาจบรรลุความสำเร็จก็ได้
เพื่อความปลอดภัยของชีวิตก็ต้องฆ่าอย่างเดียว แต่...ชีวิตไบเค็นจะมีค่าควรแก่การที่ตนจะลงดาบสังหารละหรือ
“... ... ...? ”
มูซาชิไตร่ตรองอยู่ไม่นานก็ตัดใจได้
เจ้าหนุ่มนักดาบย่างเท้าเข้าไปใกล้ที่นอนของไบเค็น เดินอ้อมไปหยิบเคียวโซ่ที่แขวนอยู่บนผนังมากระชับไว้ในมือ
ไบเค็นไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่น
มูซาชิก้มลงไปพิจารณาใบหน้าของคู่อริ พร้อมกับง้างใบมีดคมปราบออกมาเป็นเคียว เสร็จแล้วจึงเอากระดาษเปียกน้ำพันใบมีดและค่อย ๆ วางคมเคียวลงตรงคอของไบเค็น
ได้การละ
กังหันลมอันน้อยที่ห้อยลงมาจากเพดานหลับสนิทเช่นเดียวกับทุกคนในเรือน
เจ้าหนุ่มนักดาบคิดว่า ถ้าไม่เอากระดาษเปียกพันคมมีดเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาเห็นหัวพ่อตกลงจากหมอน กังหันลมคงต้องหมุนติ้วเป็นบ้าไปแน่ ๆ
มูซาชิฆ่าสึจิคาเซะ เท็มมะเพราะมีเหตุที่ทำให้ต้องฆ่า ทั้งเลือดยังร้อนใจยังคุกรุ่นไปด้วยไฟสงคราม แต่ครั้งนี้การคร่าชีวิตชิชิโด ไบเค็นไม่ทำให้เกิดประโยชน์อันใด นอกจากไม่มีแล้วยังจะก่อให้เกิดความแค้นขึ้นในใจลูกน้อยที่เป็นเจ้าของกังหันลมอันนี้ และวงจรอุบาทของการล้างแค้นก็จะหมุนไปไม่รู้จบสิ้น
ขณะที่ยืนคิดอยู่ตรงนั้น มูซาชิอดหวนคิดไปถึงพ่อกับแม่ที่ตายจากไปแล้วขึ้นมาไม่ได้ และในเวลาเดียวกันก็นึกอิจฉาพ่อแม้ลูกที่นอนหลับสนิทคล้ายกำลังฝันดี กลิ่นหอมหวานของน้ำนมแม่ที่โชยมาแทบจะทำให้ต้องยั้งใจจาก
ขอบใจนะทุกคนที่มีน้ำใจต้อนรับขับสู้ นอนหลับให้สบายจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้เถิด
มูซาชิกล่าวคำอำลาอยู่ในใจ ค่อย ๆ เปิดประตูเรือนออกไปแล้วปิดเข้ามา
หันหลังให้เรือนพ่อแม่ลูก มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปท่ามกลางความมืดมิดในยามดึก
อีกนานกว่าอรุณจะรุ่ง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทว่า ไม่มีเสียงตอบจากฟูก
ไบเค็นควงลูกโซ่ดังเฟี้ยวฟ้าว เจ้าคนถือทวนก็ทิ่มแทงไปที่พื้นเสื่อ ส่งเสียงตวาดข่มขวัญ คิดว่าเหยื่อคงจะนอนตัวสั่นเทา ขนหัวลุกชันด้วยความกลัวสุดขีดอยู่ในนั้น แต่ฟูกก็ยังเป็นฟูก มูซาชิหรือจะนอนรอให้มาข่มขวัญกันง่าย ๆ
เจ้าคนถือทวนชักจะสงสัยจึงเอาปลายทวนเขี่ยผ้านวมที่ขยุ้มเป็นลำตัวอยู่บนฟูกออกไป
“เฮ้ย ไอ้ชาติชั่วหนีไปแล้ว”
เจ้าคนถือทวนร้องลั่น หันรีหันขวางมองหาไปรอบด้านทันที
ตอนนั้นเองที่ไบเค็นเพิ่งสังเกตเห็นกังหันลมของเล่นลูกหมุนติ้วอยู่ตรงหน้า
“ประตูเปิดอยู่โว้ย ดูสิว่าช่องไหน”
นักสู้เคียวโซ่ตะโกนสั่งเสียงก้องพร้อมกับกระโจนลงไปที่ห้องดิน พอดีกับที่ลูกน้องอีกคนร้องบอกมา
“เสร็จมันแล้วลูกพี่”
เจ้านั้นพบประตูครัวที่เปิดออกไปที่ตรอกด้านหลังเรือนแง้มอยู่พอที่คนตัวโต ๆ คนหนึ่งจะผ่านออกไปได้
คืนในฤดูหนาวเมื่อพระจันทร์เต็มดวงหนาวเหน็บ แม้น้ำค้างก็ยังแข็ง ลมหนาวที่โหมกระหน่ำพอได้ช่องก็พรูเข้ามา แล้วกังหันน้อยหรือจะทานแรงลมได้
“มันหนีไปทางนี้”
“แล้วไอ้พวกที่ข้าให้เฝ้าดูอยู่ข้างนอก หายไปไหน ปล่อยมันไปได้ยังไง”
ไบเค็นระล่ำระลัก สบถด่าเสียงขรม ออกไปยืนจังก้าตาขวางหน้าประตูครัว
เงาดำ ๆ ที่ตะคุ่มอยู่ใต้ชายคา และพุ่มไม้ใกล้เคียงไหววูบ เงาหนึ่งคลานเข่าเข้ามากระซิบถาม
“นาย เรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อยบ้าอะไร”
ไบเค็นตวาดเสียงเกรี้ยว หน้าแดงด้วยความโกรธจัด
“พวกเอ็งมัวทำอะไรกันอยู่ ข้าสั่งแล้วใช่ไหมว่าคอยเฝ้าระวังให้ดี แล้วทำไมมันถึงหนีไปได้”
“เอ๊ะ หนีไป หนีไปได้ยังไงนาย หนีไปเมื่อไหร่กัน”
“ยังจะมาถาม ใช้ไม่ได้เลย โง่ชะมัด”
ไบเค็นก่นด่าลูกน้องเป็นชุด ยิ่งโกรธก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก ก้าวเข้าก้าวออกเรือนไปมาอยู่อย่างนั้น
พอตั้งสติได้ก็เรียกลูกน้องเข้ามาพร้อมหน้า
“ทางที่มันจะหนีไปได้มีอยู่แค่สองทาง ข้ามเขาซูซูกะไปหรือไม่ก็ย้อนกลับไปที่ทางหลวงเมืองสึ คงยังไปได้ไม่ไกล พวกเอ็งแยกย้ายกันตามไปจัดการมันเดี๋ยวนี้”
เหล่าลูกน้องหันหน้าเข้าปรึกษากันว่าจะแยกย้ายอย่างไรดี สุดท้ายไบเค็นก็เป็นคนชี้ขาด
“ข้าจะไปทางภูเขาซูซูกะ ส่วนพวกเอ็งรีบลงไปทางด้านทางหลวง”
ลูกน้องที่ไบเค็นระดมมาแบ่งเป็นพวกบุกกับพวกซุ่มรวมสิบกว่าคนและมีคนหนึ่งพกปืน
ช้าก่อน...อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นกลุ่มนักสู้ระดับเซียนถึงขนาดมีปืนพก เพราะความจริงแล้วเจ้านั่นเป็นแค่นายพรานล่าสัตว์ ส่วนคนอื่นที่พกมีดด้ามใหญ่ดูขึงขังราวกับแม่ทัพที่แท้ก็คือช่างไม้ และคนอื่น ๆ ก็เป็นพวกช่างนั่นช่างนี่ระดับเดียวกันทั้งนั้น
มองจากการที่ไบเค็นสามารถระดมชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านมาใช้ได้ และดวงตาที่แข็งกร้าวดุร้ายยามบรรดาลโทสะแล้ว เห็นได้ชัดว่านักสู้เคียวโซ่ผู้นี้ต้องไม่ใช่ชาวนาช่างตีเหล็กธรรมดา
กองทัพช่างแยกออกเป็นสองหมู่
“ถ้าเจอมัน เอ็งยิงปืนเป็นสัญญาณนะ พวกเราจะได้เข้าไปรุมล้อม”
ตกลงกันไว้ดิบดีแล้วต่างก็ออกวิ่งกวดเหยื่อที่ไม่เห็นแม้แต่เงาไปคนละทิศทาง
ทว่าไม่นานก็ทยอยกันกะปรกกะเปรี้ยกลับมาทีละคนสองคน และซุบซิบปรับทุกข์กันความกลัวลูกพี่จนลืมความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องวิ่งกวดขึ้นเขาลงเนินไปตลอดทาง
แต่พอมาถึงหมู่บ้านก็พบว่าไบเค็นกลับมาก่อนแล้วและนั่งคอตกอยู่ที่ห้องดินของโรงตีเหล็ก สิ้นแรงที่จะก่นด่าลูกน้อง
“ขอโทษนะลูกพี่ พวกเราตามมันไปไม่ทัน”
“ข้าผิดเองที่ไม่รอบคอบ”
ไบเค็นได้ยินลูกน้องพิรี้พิไร และทำหน้าเห็นใจตนก็กลับปลอบเสียเองว่า
“พวกเอ็งไม่ต้องเสียใจไปหรอก”
ว่าแล้วก็ฉวยไม้ฟืนท่อนหนึ่งขึ้นมาหักด้วยเข่าดังกร็อบ เพื่อระบายอารมณ์ที่อึดอัดอยู่ในอก
“แม่ไอ้หนู เอาเหล้ามา เหล้าน่ะมีไหม”
ไบเค็นร้องสั่งเข้าไปในบ้าน ก่อนโยนไม้ฟืนลงไปในกองไฟในเตาผิงที่ยังคุอยู่ แรงจนขี้เถ้าฟุ้งกระจาย
2
เสียงเอะยามดึกปลุกลูกน้อยให้ตื่นขึ้นมาร้องไห้จ้า นางเมียปลอบลูกพลางตะโกนตอบออกมาจากห้องด้านในว่าเหล้าไม่มีแล้ว ได้ยินดังนั้นลูกน้องคนหนึ่งก็ลุกขึ้นบอกว่าที่บ้านมี จะกลับไปเอามาให้แล้วก็ผลุนผลันออกไป
หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ทุกคนอยู่บ้านติด ๆ กัน คนไปหยิบเหล้าจึงมาถึงโดยเร็วและรีบรินใส่ถ้วยดื่มแจกจ่ายกันไปทั่ววงกันโดยไม่ต้องอุ่นให้เสียเวลา
ดื่มพลางสบถสาบาน สาปแช่งเหยื่อที่เป็นศัตรูตัวร้ายของลูกพี่ สรรหาถ้อยคำหยาบคายมาด่าทอกันอย่างคะนองปากแทนกับแกล้มเหล้า และพอมึนได้ที่ก็เริ่มพร่ำรำพัน
“ลูกพี่ อย่าคิดมากไปเลย ที้เป็นอย่างนี้ก็เพราะไอ้พวกที่ซุ่มดูอยู่ข้างนอกมันไม่ได้เรื่อง”
ว่าแล้วก็เติมเหล้าให้อีก หวังว่าจะได้เมาหลับไปเสียที
“ข้าไม่ดีเอง”
ไบเค็นกระดกเหล้าที่ได้มาเปล่า ๆ ลงคอจนเกลี้ยงถ้วย ทำหน้าเครียดเมื่อระบายความในใจออกมาว่า
“ความจริงแล้วแค่จัดการกับไอ้หนุ่มอ่อนหัด ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียว ข้าไม่น่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงกับต้องเกณฑ์พวกเอ็งให้เดือดร้อนด้วยเลย ข้าคนเดียวก็น่าจะเอาอยู่ ...แต่เอ็งรู้ไหมว่าเมื่อสี่ปีก่อน ตอนที่มันอายุแค่สิบเจ็ด ไอ้หนุ่มคนนี้แหละที่ฟันสึจิคาเซะ เท็มมะ พี่ชายของข้าตายคาที่ ทั้งที่พี่ชายของข้าคนนี้ก็เป็นคนมีฝีมือคนหนึ่งในยุทธจักร และเมื่อมันดั้นด้นขึ้นมาที่นี่ ข้าจึงประมาทไม่ได้”
“ลูกพี่หมายความว่า เจ้านักดาบฝึกหัดร่างใหญ่ที่มาขอนอนค้างที่บ้านนี้ คือไอ้หนุ่มน้อยที่มาซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน โอโค แม่ค้าขายโยโมงิ (โกศจุฬาลัมพา) ที่อิบุกิ เมื่อสี่ปีก่อนคนนั้นน่ะรึ”
ลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามกันมานานถามขึ้น
“ใช่ ดวงวิญญาณของเท็มมะพี่ชายข้าคงจะดลบรรดาลให้มันมาเป็นเหยื่อเซ่นสังเวยคมเคียวของข้า แรกพบข้าก็ไม่รู้ว่ามันคือใคร แต่พอดื่มสาเกไปได้จอกสองจอกและเริ่มคุยกัน มันก็แนะนำตัวเองว่าชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ เดิมชื่อ ทาเกโซ เคยออกรบที่เซกิงาฮาระ โดยไม่รู้ว่าข้าคือสึจิคาเซะ โคเฮ นักรบแห่งลุ่มแม่น้ำยาซูงาวะ น้องชายของสึจิคาเซะ เท็มมะ...ดูจากอายุอานาม รูปร่างหน้าตาแล้วข้าแน่ใจว่าต้องเป็นเจ้าทาเกโซที่ใช้ดาบไม้สังหารพี่ชายแน่นอน”
“ลูกพี่ เราต้องเอาคืนให้ได้ โธ่ ไม่น่าปล่อยให้มันหลุดมือไปเลย”
“ยุคนี้สมัยนี้บ้านเมืองสงบราบคาบ ถึงเท็มมะพี่ชายข้าจะยังมีชีวิตอยู่ก็คงมีสภาพไม่ผิดอะไรกับข้า ไร้ที่ซุกหัวนอนไม่มีจะกิน ต้องปลอมตัวเป็นชาวนาช่างตีเหล็กเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน หรือไม่ก็เป็นโจรป่าต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นคนอย่างสึจิคาเซะ เท็มมะก็ไม่น่าต้องมาจบชีวิตลงด้วยคมดาบไม้ของไอ้ทหารเลวไร้นามที่ไม่ต่างกับธุลีดินบนสนามรบ เซกิงาฮาระ คิดขึ้นมาทีไรข้าปวดใจจนแทบอกจะระเบิดทุกครั้งไป"
“ตอนนั้นข้าจำได้ว่า นอกจากเจ้าหนุ่มที่ชื่อทาเกโซแล้วยังมีเพื่อนของมันอีกคนหนึ่ง”
“มาตาฮาจิ”
“ใช่ ๆ มาตาฮาจิ เจ้าหนุ่มนั่นพาโอโคแม่ค้าขายโยโมงิกับอาเกมิลูกสาวของนางหนีไปในคืนวันเกิดเหตุ ป่านนี้จะเป็นยังไงไม่รู้นะ”
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนางโอโคเป็นเหตุ นางยั่วยวนเท็มมะพี่ข้าให้หลงเสน่ห์ แต่กลับสลัดทิ้งหันไปยุ่งกับได้หนุ่มทหารเลวที่แตกทัพมาจากเซกิงาฮาระ นางคนนี้ร้ายนัก เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน อาจมีวันหนึ่งที่พบเจอนางเจ้าที่ไหนสักแห่งก็ได้”
ไบเค็นเมามากแล้ว นั่งสัปหงกอยู่ข้างเตาผิง
“ลูกพี่นอนเถอะ”
“นอนดีกว่านะ”
เหล่าลูกน้องว่าพลางช่วยกันลากตัวไบเค็นเข้าไปนอนบนฟูกเดียวกับที่มูซะชินอนอยู่ก่อนหนีไป คนหนึ่งเก็บหมอนที่ถูกเตะกระเด็นลงไปที่ห้องดินขึ้นมาหนุนหัว คนหนึ่งเอาผ้านวมมาห่มให้ เท่านั้นเองไบเค็นก็กรนออกมาทั้งที่ยังไม่ทันหลับตา ทุกคนเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าให้กัน
“กลับกันเถอะพวกเรา”
“กลับไปนอนกันดีกว่า”
ชายฉกรรจ์ที่มาตั้งรกรากกันอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นพวกนักรบอิสระที่หากินอยู่บนสนามรบ หลังสงครามสิ้นสุดลงท้องทุ่งเซกิงาฮาระหลายเป็นขุมสมบัติมหาศาล สึจิคาเซะ เท็มมะกับโคเฮนักดาบสองพี่น้องแห่งลุ่มแม่น้ำยาซูงาวะตั้งตนเป็นเจ้าพ่อ รวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าเก็บสรรพาวุธ อันได้แก่ดาบ เสื้อเกราะ อานม้า และของมีค่าจากศพซามูไรที่ทับถมกันเกลื่อนกลาด ไปขายในตลาดมืด แล้วยังดักปล้นสะดมบรรดาซามูไรแตกทัพเป็นงานเสริม
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป และต้องผันตัวมาหาเลี้ยงชีพอย่างสงบด้วยการเป็นชาวไร่ชาวนาและนายพราน แต่ก็ยังไม่ทิ้งเคี้ยวเล็บที่พร้อมสู้เมื่อถึงคราวจวนตัว
ชายฉกรรจ์ตาเป็นประกายวาวเมื่อนึกถึงเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน ขณะแยกย้ายกันออกจากโรงตีเหล็กเดินฝ่าความหนาวเย็นยามดึกกลับเรือนตน
3
ความเงียบสงบปกคลุมไปทั่วเรือนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่เสียงหายใจของคนนอนหลับสนิท กับเสียงฟันของหนูนากัดอะไรกรอด ๆ อยู่ที่ไหนสักแห่ง
เสียงลูกน้อยละเมอขึ้นมาไขว่หาเต้านมอยู่ในห้องข้างในนิดหนึ่งแล้วก็เงียบไป
พริบตานั้นเอง
เสื้อคลุมฟางที่แขวนเคียงอยู่กับหมวกฟางกันฝนอยู่บนผนังครัวข้างเตาที่มีฟืนวางซ้อนอยู่
ก็เคลื่อนขยับ ลอยตัวขึ้นและกลับไปแขวนที่เดิมราวกับมีชีวิต
และในพริบตาต่อมานั้นเอง เงาดำทมึนก็เคลื่อนตัวราวกับกลุ่มควันออกมาจากผนังตรงนั้น
มูซาชิ...เจ้าหนุ่มนักดาบนั่นเอง
มูซาชิไม่ได้ก้าวออกไปจาเรือนช่างตีเหล็กแม้แต่ก้าวเดียว
พอกระโจนออกมาจากฟูกได้ ก็ตรงไปเปิดประตูครัวแง้มเอาไว้เป็นกลลวง แล้วกลับมาใส่เสื้อคลุมฟางกันฝนซ่อนตัวอยู่ที่กองฟืนข้างเตานั้นเอง
เจ้าหนุ่มนักดาบย่องจากครัวออกมาที่ห้องดินซึ่งเชื่อมกันอยู่ เสียงกรนดังสนั่นเป็นจังหวะบ่งบอกว่าชิชิโดะ ไบเค็นกำลังเริงสำราญอยู่บนวิมานชั้นฟ้า และเสียงกรนที่ดังสนั่นนั้นยังบ่งบอกด้วยว่าชาวนาช่างตีดาบผู้เก่งกล้าเชิงเคียวโซ่ผู้นี้ น่าจะเป็นโรคทางจมูก มูซาชินึกขำจึงยิ้มนิด ๆ อยู่ในความมืด
“... ... ...”
เอาละ...มูซาชิฟังเสียงกรนพลางคิดว่าจะดำเนินกลยุทธ์ต่อไปอย่างไรดี
การประลองยุทธครั้งนี้ข้าชนะชิชิโด ไบเก็น ชนะอย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ
แต่เจ้าหนุ่มเพิ่งรู้ความจริงจากการสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อน ว่าชิชิโด ไบเก็นนั้นเดิมชื่อสึจิคาเซะ โคเฮ นักรบอิสระแห่งลุ่มแม่น้ำยาซูงาวะ และเป็นพี่น้องกับสึจิคาเซะ เท็มมะที่ถูกตนปลิดชีวิตด้วยคมดาบไม้ ดังนั้นพอรู้ว่าตนเป็นใครจึงมุ่งสังหารเสียในคืนนี้เพื่อล้างแค้นแทนพี่ชาย คิดแล้วก็อดนับถือความมีใจเป็นลูกผู้ชายของนักรบอิสระผู้นี้ไม่ได้
ทว่า หากไว้ชีวิตในวันนี้ ไบเค็นก็ต้องคิดล้างแค้นต่อไปและวันหนึ่งอาจบรรลุความสำเร็จก็ได้
เพื่อความปลอดภัยของชีวิตก็ต้องฆ่าอย่างเดียว แต่...ชีวิตไบเค็นจะมีค่าควรแก่การที่ตนจะลงดาบสังหารละหรือ
“... ... ...? ”
มูซาชิไตร่ตรองอยู่ไม่นานก็ตัดใจได้
เจ้าหนุ่มนักดาบย่างเท้าเข้าไปใกล้ที่นอนของไบเค็น เดินอ้อมไปหยิบเคียวโซ่ที่แขวนอยู่บนผนังมากระชับไว้ในมือ
ไบเค็นไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่น
มูซาชิก้มลงไปพิจารณาใบหน้าของคู่อริ พร้อมกับง้างใบมีดคมปราบออกมาเป็นเคียว เสร็จแล้วจึงเอากระดาษเปียกน้ำพันใบมีดและค่อย ๆ วางคมเคียวลงตรงคอของไบเค็น
ได้การละ
กังหันลมอันน้อยที่ห้อยลงมาจากเพดานหลับสนิทเช่นเดียวกับทุกคนในเรือน
เจ้าหนุ่มนักดาบคิดว่า ถ้าไม่เอากระดาษเปียกพันคมมีดเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาเห็นหัวพ่อตกลงจากหมอน กังหันลมคงต้องหมุนติ้วเป็นบ้าไปแน่ ๆ
มูซาชิฆ่าสึจิคาเซะ เท็มมะเพราะมีเหตุที่ทำให้ต้องฆ่า ทั้งเลือดยังร้อนใจยังคุกรุ่นไปด้วยไฟสงคราม แต่ครั้งนี้การคร่าชีวิตชิชิโด ไบเค็นไม่ทำให้เกิดประโยชน์อันใด นอกจากไม่มีแล้วยังจะก่อให้เกิดความแค้นขึ้นในใจลูกน้อยที่เป็นเจ้าของกังหันลมอันนี้ และวงจรอุบาทของการล้างแค้นก็จะหมุนไปไม่รู้จบสิ้น
ขณะที่ยืนคิดอยู่ตรงนั้น มูซาชิอดหวนคิดไปถึงพ่อกับแม่ที่ตายจากไปแล้วขึ้นมาไม่ได้ และในเวลาเดียวกันก็นึกอิจฉาพ่อแม้ลูกที่นอนหลับสนิทคล้ายกำลังฝันดี กลิ่นหอมหวานของน้ำนมแม่ที่โชยมาแทบจะทำให้ต้องยั้งใจจาก
ขอบใจนะทุกคนที่มีน้ำใจต้อนรับขับสู้ นอนหลับให้สบายจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้เถิด
มูซาชิกล่าวคำอำลาอยู่ในใจ ค่อย ๆ เปิดประตูเรือนออกไปแล้วปิดเข้ามา
หันหลังให้เรือนพ่อแม่ลูก มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปท่ามกลางความมืดมิดในยามดึก
อีกนานกว่าอรุณจะรุ่ง