MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศว
1
“รู้สิเพราะข้าเองก็อยู่ในกองทัพที่เซกิงาฮาระเหมือนกัน”
ได้ยินดังนั้นมูซาชิก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้พบเพื่อนเก่าขึ้นมาทันที ส่วนไบเก็นก็เปลี่ยนท่าทีดูมีไมตรีขึ้น
“นึกแล้วเชียวว่าเคยเห็นหน้าที่ไหนคงจะเคยเจอหน้ากันในสนามรบ”
“ท่านคงอยู่ในกองทัพของตระกูลอูกิตะ”
“ตอนนั้นข้าอยู่ที่ยาซูงาวะในแคว้นโคชู ก็เลยไปกับกองทัพของที่นั่น บอยู่ในแนวหน้าเลยละเจ้า”
“ถ้างั้นก็คงได้เห็นหน้ากันบ้างเป็นแน่”
“มาตาฮาจิ คู่หูของเจ้าเล่าเป็นตายร้ายดียังไง”
“หลัง ๆ นี่ไม่ได้เจอเลย”
“หลัง ๆ ที่เจ้าว่าน่ะมันตั้งแต่เมื่อไร”
“หลังสงคราม เราซ่อนตัวรักษาแผลอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งแถวอิบูกิจนหายดี และหลังแยกทางกันที่บ้านนั้นแล้วก็ไม่ได้พบกันอีก”
ไบเก็นหันไปส่งเสียงสั่งนางเมียที่นอนกกลูกอยู่ให้เอาเหล้าสาเกมาเพิ่ม
“พอได้แล้ว”
“ข้าอยากดื่มอีก”
“คืนนี้ เกิดอะไรขึ้นมาถึงได้อยากดื่มนัก”
“ก็กำลังคุยกันสนุกนี่”
“เหล้าหมดแล้ว”
พออาศัยนางเมียไม่ได้ ไบเค็นก็หันไปเรียกเจ้าหนุ่มลูกมือตีเหล็กที่นั่งซุกอยู่ตรงมุมห้องดิน
“เจ้าอิวะ”
เจ้าหนุ่มหนุ่มนั่งพิงฝาอยู่กำลังจะเคลิ้มหลับ พอถูกเรียกก็สะดุ้งตะกุยตะกายฟางที่ปูพื้นอยู่ราวกับลูกหมา ลุกขึ้นมาชะโงกหน้าถาม
“นายจะเอาอะไร”
“ไปที่บ้านโอโนซากุ ขอยืมสาเกมาให้ข้าไหหนึ่งเร็ว”
มูซาชิยกถ้วยข้าวสวยขึ้นมาพร้อมกับบอกตามธรรมเนียมว่าจะกินแล้ว แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้
“คอยเดี๋ยว”
ไบเก็นยื่นมือมาจับแขนข้างที่จับตะเกียบเอาไว้ทันควัน
“ข้าอุตส่าห์ให้เด็กไปเอาเหล้ามาทั้งที”
“ถ้าจะไปเอามาให้ข้าละก็ พอเถอะ เพราะข้าดื่มมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“เอาเถอะน่า”
นักรบช่างตีเหล็กไม่ยอมง่าย ๆ
“ใช่ ๆ เจ้าบอกว่าอยากถามข้าเรื่องเคียวโซ่ไม่ใช่รึ ถามมาเลยข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างรู้ และจะให้ดี มันต้องดื่มไปคุยไปใช่ไหมล่ะ”
เจ้าอิวะหายไปไม่กี่อึดใจก็กลับมาพร้อมกับไหสาเก
ไบเก็นตักสาเกจากไหใส่กระปุกและอุ่นให้ร้อนที่เตาผิง พลางเริ่มสาธยายถึงวิทยายุทธเคียวโซ่และความได้เปรียบเมื่อใช้อาวุธคู่ใจนี้ในสงคราม
---เมื่อเราใช้เคียวโซ่ในการต่อสู้ ข้อดีของมันคือสามารถจู่โจมศัตรูได้อย่างฉับไวโดยที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว ต่างจากดาบที่ต้องจดจ้องกันหาจังหวะทะลวงฟัน ก่อนเข้าประชิดตัวและลงเคียวสังหาร เราจะเหวี่ยงสายโซ่ไปพันอาวุธในมือศัตรู ตวัดให้กระเด็นไปทางหนึ่งทำให้หมดทางสู้
“ทำอย่างนี้ มือซ้ายถือเคียว มือขวาถือลูกตุ้มเตรียมเหวี่ยงสายโซ่”
ไบเก็นตั้งท่าให้ดูทั้งที่นั่งอยู่
“หากศัตรูหลบทันและถลันเข้ามา เราก็ยกเคียวขึ้นรับ แล้วปาลูกตุ้มใส่หน้า นี่ก็เป็นอีกท่าหนึ่ง”
ว่าแล้วก็ตั้งท่าให้ดูอีก
“กรณีที่เรากับคู่ต่อสู้ประจันหน้ากันในระยะห่างพอควร เป้าหมายของเราคือโซ่ปลดอาวุธของศัตรู ไม่ว่าจะเป็นดาบ หอก ง้าว ท่อนไม้ หรืออะไรที่ถืออยู่ในมือ”
จากนั้นก็เริ่มสอนวิธีปาลูกตุ้มประกอบเรื่องเล่าจากประสบการณ์ที่ตื่นเต้นเฉียดตายหลายช่วงตอน ยิ่งเล่าไฟของความเป็นนักสู้อยู่หยิ่งผยองในกายตัวก็ยิ่งลุกโชน ทำเอามูซาชิเจ้าหนุ่มนักดาบที่ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้นแทบจะลืมหายใจ เห็นภาพการต่อสู้ด้วยเคียวโซกระจ่างชัดด้วยแสงและเสียงอยู่ตรงหน้า
...โซ่ที่มีลูกตุ้มถ่วงอยู่ตรงปลายวาดแหวกอากาศเป็นเส้นทรงพลังราวจิตรกรเอกตวัดพู่กันวาดงูตัวยาวพุ่งเข้าฉกศัตรู แสงสะท้อนเฉียบวาวของคมเคียว ประสานกับลำแสงของสายโซ่ที่พุ่งเข้ามา สะกดให้ศัตรูชะงักงันเหมือนต้องมนต์ดำบรรดาลให้เห็นภาพลวงตา และเมื่อใดที่คิดสู้เมื่อนั้นชีวิตก็สิ้น
เมื่อใดที่ได้ยินได้ฟังคำสาธยายเช่นนี้ มูซาชิจะดื่มด่ำลงไปในคำพูดทุกถ้อยคำ สะกดจิตใจให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายทำหน้าที่เป็นหู เป็นถุงที่จะกอบโกยความรู้ได้ไม่มีวันเต็มล้น และเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงการต่อสู้เจ้าหนุ่มก็จะฝังตัวลงไปราวกับตนอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย...อย่างการประจันหน้าศัตรูด้วยเคียวโซ่
เคียวกับโซ่...โซ่กับเคียว
มือหนึ่งเคียว อีกมือหนึ่งโซ่...มือทั้งคู่
มูซาชิฟัง คิดตามและวาดภาพ
ความคิดของเจ้าหนุ่มนักดาบแตกฉานขยายข้ามมิติกว้างไกลออกไป
สู้ด้วยดาบใช้มือเดียว แต่มนุษย์มีสองมือ
มูซาชิกระซิบบอกตัวเองอยู่ในใจ
2
ไม่นาน สาเกก็เหลือติดก้นไหที่สองไม่กี่หยด ไบเก็นพูดไปดื่มไปก็จริงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการคะยั้นคะยอให้มูซาชิดื่มเสียมากกว่า เจ้าหนุ่มดื่มเข้าไปมากจนเกินประมาณโดยไม่รู้ตัว และเมามายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไบเก็นร้องบอกนางเมียว่า
“เราเข้าไปนอนด้วยกันด้านใน แล้วเอาฟูกนั่นให้เจ้าหนุ่มนอนตรงนี้แหละ”
ปกตินางเมียคงจะนอนตรงนี้ และระหว่างที่ไบเก็นกับมูซาชิดื่มกันอยู่ นางก็ปูฟูกนอนกกลูกอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะเขินอายอะไร
“เจ้าหนุ่มท่าทางจะเหนื่อย ปล่อยให้ไปนอนได้แล้ว”
นางเมียอิดออดไม่ยอมลุกง่าย ๆ เพราะมือเท้ากำลังอุ่นดีไม่อยากลุกขึ้นอุ้มลูกเข้าไปข้างใน ทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ ผัวถึงได้เปลี่ยนท่าทางมาทำดีกับเจ้าหนุ่มถึงกับบอกให้สละฟูก
“ข้าว่าให้เจ้าหนุ่มไปนอนกับเจ้าอิวะที่โรงเก็บเครื่องมือดีกว่า”
“บ้า”
ไบเก็นหันไปถลึงตากับนางเมีย
“จะให้ใครนอนที่ไหนมันขึ้นกับคน เจ้าไม่ต้องพูดมาก เข้าไปเตรียมที่นอนข้างในไว้ให้ข้าเร็ว ๆ”
นางเมียลุกขึ้นจากฟูกสะบัดหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน ไบเก็นเข้าไปอุ้มลูกน้อยที่กำลังหลับพริ้มอยู่ขึ้นมานอนบนตัก
“บ้านเราไม่มีฟูกดี ๆ สำหรับรับแขก แต่ตรงนี้สบายหน่อยเพราะมีเตาผิง ดึก ๆ คอแห้งขึ้นมาก็กินน้ำชาที่อุ่นอยู่ได้ ห่มผ้านอนเสียเถิด”
มูซาชิรับคำอย่างว่าง่าย และครู่หนึ่งต่อมานางเมียก็เอาหมอนมาเปลี่ยนให้และบอกด้วยสุ้มเสียงแสดงความอารีว่า
“ผัวข้าเมาจัด และเดินทางมาเหนื่อยล้า พรุ่งนี้คงจะตื่นสาย เจ้านอนหลับให้สบายเถิดนะ พรุ่งนี้เช้ากินข้าวกินปลาเสียก่อนค่อยออกเดินทาง”
“ขอบใจเจ้ามาก”
มูซาชิพูดได้แค่นั้น ความเมามายทำให้อยากล้มตัวลงนอนทั้งเสื้อคลุมและรองเท้าฟาง
เจ้าหนุ่มนักดาบซุกตัวเข้าไปในฟูกที่ยังอบไออุ่นของนางเมียและลูกน้อย แต่กายตัวนั้นร้อนผ่าวกว่า
นางเมียมองลงมาบอกลาก่อนนอนเบา ๆ ตามธรรมเนียม พร้อมกับดับตะเกียง
หัวของมูซาชิเริ่มปวดเหมือนถูกบีบด้วยคีมเหล็ก ขมับเต้นแรงจนได้ยินเสียงตุบ ๆ
ความขัดเคืองตนเองที่ปล่อยตัวให้เมามาย ทำให้เจ้าหนุ่มตั้งสติวิเคราะห์ตนเองว่าทำไมถึงได้ดื่มจนเกินขีดที่จำกัดเอาไว้ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นค่ำคืนนี้...สาเหตุหลักเป็นเพราะไบเก็นคะยั้นคะยอจนไม่อาจขัดได้
แต่ทำไม...ไบเก็นถึงกับต้องลงทุนไปยืมเหล้าจากเพื่อนบ้านทั้งที่ดูแล้วไม่น่าเป็นคนใจกว้างขนาดนั้น
นางเมียก็เหมือนกันอยู่ ๆ ก็เปลี่ยนจากท่าทีหมางเมินมาเป็นโอบอ้อมอารี ถึงขนาดสละที่นอนอบอุ่นข้างเตาผิง
ทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจนรู้สึกได้ชัด
แปลก น่าฉงน...น่าสงสัย ขณะที่คลางแคลงใจและหาคำตอบไม่ได้อยู่นั้น ความง่วงงุนก็จู่โจมเข้ามาจนลืมตาไม่ขึ้น เจ้าหนุ่มถอนใจใหญ่สองครั้งดึงผ้านวมห่มขึ้นมาจนถึงตา เพราะรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมานิด ๆ
ฟืนที่ยังคุอยู่ในเตาผิงนาน ๆ ทีจะส่งเสียงปะทุขึ้นมาเบา ๆ สะท้อนแสงวาบวิบมาที่หน้าผากของเจ้าหนุ่ม
ไม่นานก็แว่วเสียงกรนเบา ๆ ของคนที่หลับลึก
ใบหน้าขาว ๆ ของนางเมียที่ซุ่มดูอยู่ตรงนั้นผลุบหายเข้าไป พร้อมกับเสียงย่องหนับบนพื้นเสื้อชื้น ๆ ดังไกลออกไปทางห้องด้านในที่ไบเก็นนอนอยู่
3
มูซาชิฝันเวียนวนพอจะจบก็ย้อนกลับไปใหม่ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว น่าจะเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่คืบคลานยุบยิบเหมือนตัวหนอนออกมาสะกิดปลายประสาท เรืองแสงขึ้นมาให้เห็นเป็นภาพลวงตา
ในฝัน เจ้าหนุ่มได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็ก
หลับเสียเถิดลูกน้อยยามหลับเจ้าน่ารักนักหนา
ยามตื่นเจ้าช่างซนจนระอา แม่ต้องมาร้องไห้ไปด้วยกัน
เพลงนี้มูซาชิได้ยินครั้งหนึ่งแล้วเมื่อคราวที่มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก และพบนางเมียไบเก็นเฝ้าบ้านอยู่ แม้นางร้องเพลงนี้ด้วยสำเนียงของคนอิเซะ แต่ก็กล่อมให้เจ้าหนุ่มเคลิบเคลิ้มคล้ายกำลังฟังอยู่ที่หมู่บ้านโยชิโนะ ในแคว้นมิมาซากะ อันเป็นบ้านเกิดเมื่อนานมาแล้ว
เมื่อครั้งที่ยังเป็นลูกน้อยอยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงหน้าขาวนวลในวัยสามสิบ...ทาเกโซ...ลูกน้อยเอื้อมมือไขว่คว้าเต้านมมาดูดพลางช้อนสายตาไร้เดียงสาขึ้นไปมองหน้าขาวนวลของนางผู้เป็นแม่
จนระอา...จนระอา แม่ต้องมาร้องไห้ไปด้วยกัน
แม่ร้องเพลงกล่อมพลางโยกตัวไปมา ใบหน้างามและมีสง่าราศีของแม่ซูบซีดราวดอกต้นนาชิในเงาบัง ไกลออกไปคือแนวกำแพงหินที่มีตะไคร่ขึ้นเต็ม และไกลออกไปอีกคือกำแพงดินที่ปกคลุมไปด้วยหมู่ไม้ที่เริ่มมืดครึ้มเมื่อพลบค่ำ คนในเรือนเริ่มจุดไฟหริบหรี่
น้ำตาแม่ร่วงลงมานองหน้า ทาเกโซลูกน้อยมองขึ้นไปอย่างฉงน
ไป...
กลับไปเลย
พ่อกำลังไล่แม่...เสียงของมุนิไซผู้เป็นพ่อของลูกน้อยดังสนั่นจนเรือนสะเทือน แต่ไม่เห็นตัว แม่ตื่นตระหนก...อุ้มลูกน้อยลุกขึ้นตาลีตาลาน เหลียวซ้ายแลขวาทำอะไรไม่ถูก ออกไปวิ่งวนอยู่ภายในกำแพงหินที่ล้อมรอบตัวเรือน จนในที่สุดก็วิ่งพลางร้องไห้พลางลงไปที่ทุ่งหญ้าริมแม่น้ำไอดางาวะ แล้วเดินดุ่มลงไปในลำน้ำ
อย่านะแม่...
ลูกน้อยหวังจะเตือนให้แม่ระวังอันตรายจึงดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด แต่แม่ก็ยังเดินลงไปในลำน้ำลึกขึ้นทุกที เด็กน้อยยิ่งดิ้นแม่ก็จึงกอดรัดแน่นขึ้น ก้มหน้าลงแนบแก้มชุ่มน้ำตากับแก้มนุ่มนิ่มของลูกน้อย
“ทาเกโซ ทาเกโซ เจ้าเป็นลูกพ่อ หรือลูกแม่”
มุนิไซตะโกนเสียงเกรี้ยวกราดด้วยโทสะมาจากฝั่งแม่น้ำ พอได้ยินแม่ก็ตื่นตระหนกรีบหลบลงไปตรงซอกโขดหิน โยนทาเกโซลูกน้อยขึ้นไปนอนร้องไห้งอหายอยู่ในดงดอกสึกิมิโซ
“โอ๊ะ”
มูซาชิสะดุ้งตื่นด้วยเสียงร้องไห้ด้วยความเสียขวัญของตนเอง ลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าขาวนวลกำลังมองลงมา แต่ไม่รู้ว่ายังฝันอยู่หรือเป็นความจริงกันแน่
มูซาชิจำหน้าแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองไม่ได้ แม่อยู่ในความทรงจำแต่ก็ไม่อาจวาดภาพออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ เวลาเห็นแม่คนอื่นก็ได้แต่คิดว่าแม่ของตนเองก็คงเป็นเช่นเดียวกันนั้น
“ทำไมคืนนี้ถึงได้ฝันถึงแม่”
มูซาชิส่างเมาแล้วสมองก็แจ่มใสดังเดิม
และขณะที่นอนลืมตามองเพดานที่คราบเขม่าจับอยู่จนดำคล้ำสะท้อนแสงเรือง ๆ จากถ่านในเตาผิงอยู่นั้นเอง เจ้าหนุ่มนักดาบก็เหลือบไปเห็นกังหันลมห้อยจากเพดานลงมาตรงหน้าตนพอดี
กังหันที่ไบเก็นซื้อมาฝากลูกน้อยนั่นเอง และไม่ใช่แค่นั้น ผ้าห่มที่ตนดึงขึ้นมาคลุมหน้าคลุมตานั้นยังมีกลิ่นหอมหวานของน้ำนมแม่กรุ่นอยู่
อย่างนี้นี่เอง...เจ้าหนุ่มนักดาบยิ้มกับตัวเองอยู่ในความมืดสลัว สภาพแวดล้อมเช่นนี้เองที่ทำให้ฝันถึงแม่ซึ่งวัน ๆ ไม่เคยที่จะนึกถึง
มูซาชิมองกังหันลมเหมือนกับได้พบกับสิ่งที่ไม่ได้เจอะเจอมานาน
4
ระหว่างที่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นเอง มูซาชิก็ต้องเบิกตาที่หรี่อยู่โพลงขึ้นทันทีเมื่อมองไปที่กังหันลม
“เอ๊ะ”
จะไม่ให้ประหลาดใจได้ยังไง เพราะกังหันลมกำลังเริ่มหมุน
ปกติก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะกังหันลมเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อให้หมุนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ตอนนี้
มูซาชิตื่นตัวผลุดลุกขึ้นนั่งทันทีและเงี่ยหูฟัง
เสียงประตูตรงไหนสักแห่งเลื่อนปิดเบา ๆ และทันทีที่ปิดสนิทกังหันลมก็หยุดหมุน
เข้าใจละ เมื่อกี้มีคนเข้าออกบ้านนี้ทางประตูหลัง และต้องเข้ามาด้วยความระมัดระวังไม่ให้ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงเลื่อนประตูปิดเปิด ลมที่เล็ดลอดเข้ามาตอนเปิดปิดประตู พัดผ่านผ้าบังตาในห้องด้านในมาหมุนกังหันที่ทำเป็นดอกไม้ห้าสีหมุนอย่างที่เห็น
มูซาชิค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนนิ่งและรวบรวมความรู้สึกสัมผัสทั้งหมดในกายตัวสำรวจความเคลื่อนไหวของอากาศภายในบ้าน สมองของเจ้าหนุ่มนักดาบปลอดโปร่งแจ่มใสพร้อมรับมือกับการคุกตามรอบด้าน เหมือนตัวแมลงที่คุ้นกับดินฟ้าอากาศรีบเข้าไปแฝงตัวใต้ใบไม้เมื่อรู้ตัวว่าฝนจะมา
มูซาชิพอจะรู้ว่าอันตรายที่กำลังจะเกิดแก่ตนนั้นคืออะไร แต่ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมชิชิโดะ ไบเก็น ผู้เจ้าของบ้านหลังนี้จึงมุ่งเอาชีวิตตนซึ่งเป็นคนไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
หรือว่าที่นี่จะเป็นซ่องโจร
แต่แรกก็คิดเช่นนั้น
ทว่าหากเป็นโจรจริงก็น่าจะมองออกว่าใครน่าจะมีสมบัติอะไรให้ปล้นบ้าง และเมื่อมองสารรูปตนแล้วก็คงไม่คิดที่ลงไม้ลงมือให้เหนื่อยเปล่า
ความแค้นหรือ
ไม่น่าใช่...
นึกไม่ออกว่าทำไม แต่ที่แน่ ๆ คือเนื้อหนังกำลังเต้นระริกเตือนว่าอันตรายกำลังคืบใกล้เข้ามาคุกคามชีวิตตนอยู่ทุกขณะจิต แล้วจะทำยังไงดีนิ่งอยู่คอยรับมือหรือว่าคิดหากลวิธีตลบหลัง...ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งภายในอึดใจนี้
มูซาชิเอื้อมมือลงไปควานหารองเท้าแตะฟางที่ห้องดินเอาขึ้นมาไว้ใต้ผ้าห่มทีละข้าง ยังไม่ทันเสร็จดีกังหันลมก็หมุนติ้ว สะท้อนแสงจากกองถ่านเตาผิงดูสยองราวดอกไม้ปีศาจ
เจ้าหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่องกริบอยู่ทั้งข้างนอกและข้างในบ้าน จึงขยุ้มผ้าห่มขึ้นมาพรางตาให้เห็นว่าตนนอนหลับอยู่บนฟูก...ไม่นานดวงตาคู่หนึ่งก็เป็นประกายวาวออกมาจากใต้บังตา คนหนึ่งถือดาบคลานเข่าเข้ามา อีกคนถือทวนเคลื่อนตัวแนบหลังกับผนังห้องเข้ามาที่ฟูก
พอถึงก็มองไปที่ผ้าห่มซึ่งถูกขยุ้มให้ฟูอยู่บนฟูกและเงี่ยหูฟังเสียงหายใจ
ทันใดนั้นเอง ชิชิโดะ ไบเก็น ก็เลิกผ้าบังตาเข้ามายืนเด่นอยู่ตรงนั้น มือซ้ายถือเคียว มือขวาถือลูกตุ้ม
ชายทั้งสามสบตากัน และผ่อนหายใจให้เป็นจังหวะเดียวกันเป็นสัญญาณพิฆาต
คนนำหน้าโผนเข้าเตะหมอนเต็มแรง คนหนึ่งโดดลงไปที่ห้องดินเงื้อทวนขึ้นอยู่ในท่าพร้อมพุ่งลงไปที่ฟูกสุดแรง
“ตื่นเดี๋ยวนี้ มูซาชิ”
ไบเก็นกำลูกตุ้มดึงสายโซ่ไปข้างหลังในท่าเตรียมขว้าง