xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ?ตอน ดาบยาวราวสองศอก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

1
“เห็นสิ เห็น...นักดาบหนุ่มต่างถิ่นหน้าตาหล่อเหลา
รูปทรงสง่างามแต่งกายทันสมัยไม่แพ้ชาวกรุง
มีเจ้าลิงตัวกระจ้อยเกาะอยู่บนบ่าน่ารักน่าเอ็นดู เดินผ่านไปเมื่อกี้นี้เอง สาว ๆ
ยังกิ๊กกั๊กกันไม่จบเลย”
“ไหน ๆ ไปทางไหน”
“เดินลงเนินชินงงตรงโคซุไปทางสะพานโนจิน
ไม่ข้ามไปฝั่งโน้นแต่หยุดอยู่หน้าร้านดาบตรงนั้น”

ได้ยินดังนั้นชายฉกรรจ์ที่ยืนเกาะกลุ่มอยู่
ก็พยักหน้าให้กันเป็นเชิงว่า
ใช่แล้ว
คนนี้แหละ ไม่ผิดตัวแน่

แล้ววิ่งกรูตามกันไปตามทางที่ชาวบ้านชี้ให้
ด้วยท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนจะยกพวกไปตีกับใคร
ทำเอาผู้คนที่เดินผ่านไปมาในยามเย็นตกใจเบิกตาโตไปตาม ๆ กัน
ร้านดาบที่เชิงสะพานกำลังจะปิดร้าน
คนหนึ่งในกลุ่มเร่งฝีเท้านำหน้าเข้าไปได้ทันที่ประตูจะปิด ส่งเสียงตะคอกถามคนในร้านอยู่เป็นครู่ใหญ่ก็เดินหน้าขมึงทึงออกมาตะโกนบอกพรรคพวก

“เจ้านั่นไปทางเท็มมะ
ตามไปเร็ว”
แล้ววิ่งนำหน้าไปทันที
“ใช่จริง
ๆ รึ”
คนหนึ่งวิ่งพลางตะโกนถาม
“ข้าว่าใช่แน่นอน”
ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้กันแล้วว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ก็คือศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะ
ซึ่งออกตามหาตัวนักดาบหนุ่มรูปงามมีลิงน้อยเกาะอยู่บนบ่าลงจากเรือเข้าไปในเมือง
ความที่ได้จากร้านดาบทำให้ศิษย์สำนักดาบที่โยชิโอกะวิ่งลงเนินชินงงมาแน่ใจว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นจะต้องเป็นคนเดียวกับที่พวกตนตามหา
ลูกจ้างร้านดาบเล่าว่าหนุ่มรูปงามคนหนึ่งมีลิงน้อยเกาะอยู่บนบ่า
ท่าทางเป็นนักดาบแต่ไว้ผมปรกหน้าผากไม่มัดเป็นฟ่อนเหมือนพวกซามูไร
มาที่ร้านเมื่อตนกำลังจะเก็บผ้าบังตาเตรียมปิดร้าน และถามว่า
เจ้าของร้านอยู่ไหม
และพอตอบว่าไม่อยู่
เจ้าหนุ่มก็บอกว่า
ข้ามีดาบที่อยากให้ช่วยลับ
แต่เมื่อเจ้าของร้านไม่อยู่
ข้าก็ไม่อาจวางใจทิ้งเอาไว้ได้เพราะเป็นดาบระดับปรมาจารย์และมีความสำคัญมาก
อีกทั้งยังอยากดูให้เห็นกับตาเสียก่อนที่จะขอให้ลับดาบของข้าเล่มนี้
ว่าฝีมือการลับดาบและดูแลดาบของช่างที่นี่เป็นเช่นไร...ถ้ายังไง ก็ขอให้ข้าดูดาบที่นายของเจ้าลับเสร็จแล้วสักหน่อยจะได้ไหม”

ลูกจ้างร้านดาบ
เอาดาบที่นายลับเรียบร้อยแล้วออกมาให้ดู เจ้าหนุ่มพิศดูแล้วก็ชายตาคล้ายดูแคลนและบอกว่า
รู้สึกว่าร้านดาบของเจ้าจะมีแต่ของพื้น ๆ
ดูจากฝีมือการลับดาบของนายเจ้าแล้วดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจลงไปสักเท่าไร
ดาบของข้าเป็นดาบเลื่องชื่อฝีมือช่างตีดาบระดับอัจฉริยะแห่งแคว้นบิเซ็น
ได้รับสมญาว่าคันไม้ตากผ้าจากความตรงและยาวของดาบต้องสะพายคาดไว้กับหลัง
จะให้ทิ้งเอาไว้ก็กระไรอยู่

ว่าแล้วก็ชักดาบออกมาให้ดูเป็นขวัญตาและสาธยายความดีงามของดาบให้ฟังอีกยืดยาว
จนลูกจ้างร้านดาบชักจะเบื่อและพึมพำขึ้นมาว่า ที่ว่าดีก็เห็นจะมีแค่ดมดาบตรงแน่วไม่มีโค้งงอและยาวเกือบสามศอกนั่นละมัง
เจ้าหนุ่มรูปงามได้ยินเข้าก็อารมณ์เสียผลุดลุกขึ้นแล้วถามทางไปท่าเรือข้ามฟากจากเท็มมะไปเกียวโต
“ข้าจะเอาดาบไปลับที่เกียวโต
ช่างดาบที่โอซากาไม่ว่าร้านไหน ลับแต่ดาบของพวกนักรบชั้นสวะ
ไม่คู่ควรกับดาบของข้าเอาเสียเลย”
เจ้าหนุ่มเชิดหน้าหยิ่งเดินออกไปจากร้าน
บรรดาศิษย์สำนักโยชิโอกะฟังแล้วรู้สึกได้เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างอวดดีนัก
และคงจะยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นอีกเมื่อได้ตัดมัดผมของกิองโทจิเสียขาดกระเด็นอย่างนั้น
“อวดดีนักรึ
แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
“เรารู้ที่ไปของมันแล้วอย่างนี้ไม่รอดแน่
รีบไปกันเถอะ”
ศิษย์สำนักโยชิโอกะต่างคนต่างเหนื่อยอ่อนจากการเที่ยวเดินตามหาเจ้าหนุ่มรูปงามมาตั้งแต่เช้า
แต่ก็ยังเร่งกันไล่ล่าต่อไป
“เราจะมัวชักช้าอยู่ไม่ได้ แต่เฮ้ย...
เรือข้ามฟากเที่ยวสุดท้ายออกจากท่าไปแล้ว”
2
ทุกคนมองไปที่ท่าเทียบเรือข้ามฟากที่เท็มมะเป็นตนเดียวกัน

คนหนึ่งร้องออกมา
“เฮ้ย”
“ทำไมรึ”
“ก็ดูนั่นสิ
ร้านน้ำชาเก็บร้านกันหมดแล้ว ที่แม่น้ำก็ไม่มีเรือด้วย”
“เรือออกไปแล้วจริง
ๆ รึ”
นักดาบทั้งกลุ่มหยุดยืนตะลึงมองไปที่ลำน้ำอยู่อึดใจหนึ่งและพอรวบรวมสติได้ก็วิ่งลงไปที่ร้านน้ำชาบนท่าเทียบเรือ
ได้ความว่าเจ้าหนุ่มรูปงามมีลิงน้อยอยู่บนบ่าลงเรือข้ามฟากที่เพิ่งออกจากท่าไปเดี๋ยวนี้เอง
และจะไม่ย้อนกลับมาจนกว่าจะถึงท่าที่โทโยซากิ
กระแสน้ำขาลงอาจเร็วและเรือที่ไปทางเกียวโตต้องแล่นทวนน้ำจึงช้า
คนเรือบอกว่าถ้าตามไปทางบกก็จะทันกันได้สบาย
“จริงด้วย
เรายังมีทางจับตัวมันได้ พลาดเรือเราก็ไปทางบก และยังมีเวลาเหลือเฟือด้วย
พักกันสักหน่อยดีกว่า”
ว่าแล้วก็ชวนกันนั่งดื่มน้ำชา
กินขนมกันจนอิ่มหนำสำราญ ก่อนออกวิ่งกวดตามเรือไปบนทางเลียบฝั่งแม่น้ำที่มืดมิด
ลำน้ำโยโดคาวะคดเคี้ยวเหมือนงูสีเงินเลื้อยไปข้างหน้า
และไปแยกเป็นสองแควคือแม่น้ำนากาซุกับแม่น้ำเท็มมะ
ตรงนั้นเองที่ทุกคนเห็นแสงวิบวับ
“เฮ้ย...เรือ”
“เราตามมาทันแล้ว”
นักดาบทั้งเจ็ดดีใจจนลืมความเย็นเยียบของสายลมที่พัดผ่านทุ่งหญ้าริมฝั่งน้ำ
น้ำค้างแข็งตามกิ่งก้านในสุมทุมพุ่มไม้เป็นประกายเฉียบราวคมดาบ
“เสร็จเราแน่”
ชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มวิ่งกวดใกล้เข้าไปทุกที
และพอคิดว่าใกล้พอแล้วคนหนึ่งจึงวิ่งนำหน้าออกไปและกู่ตะโกนไปที่เรือ
“หยุดก่อน
เรือลำนั้นหยุดเดี๋ยวนี้”
“จะทำไม” คนในเรือร้องถาม
“เจ้าตะโกนเรียกมันทำไม”
นักดาบในกลุ่มรุมกันต่อว่าคนตะโกน...”ไม่เห็นจะต้องตะโกนเลย
อีกไม่นานเรือก็จะจอดที่ท่าระหว่างทาง และก็จะมีคนขึ้นลง เจ้าเอะอะอย่างนี้ศัตรูของเราที่อยู่ในเรือก็จะรู้ตัวและเตรียมตัวรับมือกับเราแน่
บ้า แท้ ๆ อุตส่าห์วิ่งตามมาถึงนี่”
“เอาเถอะ
เอาเถอะ” คนหนึ่งไกล่เกลี่ยไม่ให้แตกคอกัน
“ศัตรูของเรามีอยู่คนเดียว
ถึงไม่ตะโกนเรียกชื่อมันก็ย่อมรู้ตัวอยู่ ที่ต้องระวังให้ดีคือมันอาจกระโดดน้ำหนีก็ได้”
“ใช่ ๆ เจ้าพูดถูก”
ศิษย์สำนักโยชิโอกะทั้งเจ็ดวิ่งกวดเรือลำนั้นใกล้เข้าไปอีก
“เฮ้ย
เฮ้ย”
ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นอีก
“อะไร”
คนขานตอบดูเหมือนจะเป็นคนเรือไม่ใช่ผู้โดยสาร
“จอดเรือเทียบฝั่งหน่อย”
“จะบ้ารึ”
คนในเรือหัวเราะกันเกรียว
“จอดเสียดี
ๆ”
“ไม่จอด”
คนที่ตะโกนล้อเลียนมาดูเหมือนจะเป็นผู้โดยสาร
ศิษย์สำนักดาบทั้งเจ็ดหายใจหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย
หายใจออกมาเป็นไอหมอกขาว

“ไม่จอดใช่ไหม งั้นเจอกันที่ท่าเทียบเรือข้างหน้านี้
ข้ารู้ว่ามีเจ้าหนุ่มปล่อยผมปรกหน้าผากกับเจ้าลิงน้อยอยู่ในเรือ
ช่วยบอกด้วยว่าหากยังมีเกียรติภูมิของนักดาบอยู่ละก็ให้ออกมายืนแสดงตัวที่กราบเรือ
และคนในเรือลำนี้จงรู้เอาไว้ว่า ถ้าปล่อยให้เจ้าหนุ่มหนีไปได้ ข้าจะลากตัวทุกคนขึ้นมาจัดการบนบกให้สาสมกับที่เป็นคนสมรู้ร่วมคิด”


3
คนบนบกมองเห็นความโกลาหลในเรือข้ามฟากลำนั้นได้ชัดเจน
แทบจะเห็นหลายคนหน้าซีดด้วยความหวาดกลัวด้วยซ้ำ
ส่วนคนในเรือก็เห็นนักดาบทั้งเจ็ดบนบกชัดเจนเช่นกัน แต่ละคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม
มือกุมด้ามดาบ ทำให้แน่ใจว่าถ้านายเรือนำเรือเข้าฝั่งจะต้องเกิดเรื่องใหญ่
“นายเรือ
อย่าตอบ”
“พวกนั้นจะพูดอะไร
ก็เงียบเอาไว้ อย่าไปพูดด้วย”
“อย่าจอดจนโทริงูจิ
ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ดูแลลำน้ำอยู่ พวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไร”
ผู้โดยสารกระซิบกระซาบกันและต่างหายใจไม่ทั่วท้องด้วยความกลัว
คนที่ร้องตอบโต้เมื่อครู่ก่อนตอนนี้เงียบกริบตาตก
ทุกคนนั่งเบียดเนื้อเบียดตัว
ภาวนาขออย่าให้เรือเข้าใกล้ฝั่งไปกว่านั้นอีกเลย
นักดาบทั้งเจ็ดบนบกเงียบคอยคำตอบจากบนเรือขณะที่กวดตามเรือไปอย่างไม่ลดละ
แต่เมื่อไม่มีคำตอบจึงร้องสำทับไปว่า
“...ได้ยินข้าหรือเปล่า
เจ้าหนุ่มที่มากับลิงน้อย ออกมายืนที่กราบเรือเดี๋ยวนี้”
เท่านั้นเองก็มีเสียงสวนกลับจากมาเรือ
“หมายถึงข้ารึ”
ขณะที่คนในเรือทำอะไรไม่ถูกมองหน้ากันนั้นเอง
เจ้าหนุ่มคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนที่กราบเรือ
“เฮ้ย...”
“อยู่นั่นเอง”
“ไอ้เด็กอมมือ”
พอเห็นชัดว่าเป็นใคร
นักดาบทั้งเจ็ดก็ตาตื่น ชี้มือชี้ไม้เป็นพัลวัน
ทำท่าคล้ายกับว่าถ้าเรือใกล้ฝั่งอีกสักหน่อย
คงจะบุกทะลวงเข้าไปให้ถึงตัวเลยทีเดียว
เจ้าหนุ่มปล่อยผมปรกหน้าผาก สะพายดาบยาวราวสามศอกคาดหลัง
ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่กราบเรือ ประกายพรายน้ำสะท้อนขึ้นมาให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“หนุ่มผมประหน้าผากที่มากับลิงน้อย
ในเรือลำนี้เห็นจะมีแต่ข้าคนเดียว พวกเจ้าคือใคร นักดาบพเนจรตกงาน
หรือว่านักแสดงละครเร่ที่ไม่มีจะกิน”
เสียงดังกังวานสะท้อนก้องผ่านแม่น้ำขึ้นไปบนฝั่ง
“อะไรนะ
?”
นักดาบทั้งเจ็ดบนฝั่งกัดฟันกรอด
“ปากดีนักนะไอ้นักเล่นละครลิง
เดี๋ยวจะได้เห็นกัน”
คำก่นด่าหยาบคายพรั่งพรูผ่านแม่น้ำมาไม่ขาดสาย
“โธ่เอ๋ย
ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่รู้จักเจียมตัวเผยอหน้าขึ้นมาเห่าหอน
ถ้าไม่อยากมีเรื่อง ก็ขอโทษพวกเราเสียดี ๆ”
“รู้หรือเปล่าว่าพวกข้าเป็นใคร
ศิษย์สำนักดาบที่มีโยชิโอกะ เซอิจูโรเป็นเจ้าสำนักรู้จักไหม
รู้แล้วก็อย่ามาทำสามหาวกับเรา”
“พอดีเลย
ถ้างั้นก็ช่วยทำขัดถูคอระหงของอาจารย์เจ้าสำนัก
เตรียมไว้รับคมดาบของข้าด้วยก็แล้วกัน”
ขณะที่กำลังตะโกนขู่ขวัญกันอย่างเผ็ดร้อนนั้นเอง
เรือก็แล่นมาถึงทำนบของหมู่บ้านเคมะที่มีเสาและกระท่อมเล็ก ๆ เป็นท่าเทียบเรือ
นักดาบทั้งเจ็ดเห็นดังนั้นจึงกระจายกำลังเข้าอุดช่องทางขึ้นลงเรือดักหน้าเอาไว้
แต่เรือกลับหยุดอยู่กลางน้ำไกลออกไป
ลำเรือหมุนไปรอบ ๆ ดูเหมือนทั้งนายเรือและผู้โดยสารเห็นพ้องกันว่าไม่เข้าเทียบท่าน่าจะปลอดภัยกว่า
นักดาบสำนักโยชิโอกะเห็นดังนั้นก็เดือดดาล
“อะไรวะ
ทำไมไม่เข้าเทียบท่า”
“จะลอยเรืออยู่จนถึงพรุ่งนี้
มะรืนนี้ได้ก็ให้มันรู้ไป แล้วจะเสียใจภายหลัง”
“ถ้าไม่เข้ามาจอด
ข้าจะตามไปฟาดฟัน ให้กระจุยไม่ไว้หน้า
คอยดูก็แล้วกัน”
“เอาเรือเล็กออกดีกว่าไหม
ถึงตัวได้ละก็จะฟันให้เรียบเลย”
นักดาบทั้งเจ็ดสรรหาคำมาขู่ไม่หยุดปากต่อไปได้ไม่นาน
หัวเรือก็เริ่มเบนมาทางท่าและแล่นตรงเข้ามา
“หยุดได้แล้ว”
เสียงเฉียบคมทรงพลังดังกังวานผ่านอากาศเย็นเยียบเหนือลำน้ำก้องเข้ามาที่ท่าเทียบเรือ
“ข้ากำลังเข้าฝั่งตามที่พวกเจ้าต้องการ
เตรียมตั้งท่าอย่างที่คิดว่าจะรับมือข้าได้เอาไว้ให้ดี”
ศิษย์สำนักดาบทั้งเจ็ดจ้องมองตามกระแสเสียง
ไปที่เรือข้ามฟากลำใหญ่เป็นตาเดียว

อะไรกันนั่น...เจ้าหนุ่มหน้ามนผมปรกหน้าผากยืนเด่นอยู่ที่หัวเรือ
ถือถ่อพาเรือพุ่งเข้าใส่กระท่อมน้อยท่าเทียบเรือ
น้ำที่หัวเรือแตกเป็นฟองกระเซ็นกระจายด้วยพลังแรงอย่างน่ากลัว
ท่ามกลางเสียงห้ามของนายเรือระคนวิงวอนของผู้โดยสารที่ต่างอกสั่นขวัญแขวน


กำลังโหลดความคิดเห็น