1
“อากง”
“อะไรรึนายแม่ เรียกข้าทำไม”
“เจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือไร”
“เหนื่อยสิถามได้ แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว”
“ว่าแล้วเชียว ข้าเองก็เมื่อยขาเต็มที แต่ศาลเจ้าซูมิโยชิแห่งนี้งดงามเหลือเกิน ดูนั่นสิ...ต้นส้มนั่นใช่ไหมคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพวากามิยะฮาจิมัน”
“คิดว่าใช่”
“ถ้าใช่ ก็ต้องเป็นต้นส้มที่เป็นเครื่องบรรณาการชิ้นแรก ในบรรดาสิ่งของเต็มแปดสิบลำเรือที่พระจักรพรรดินีจิงงูทรงได้รับเมื่อครั้งที่เดินทางข้ามทะเลไปยังซัมฮัน”
“นายแม่ดูม้าเทพในคอกนั่นเสียบ้าง ท่วงท่าพ่วงพีฝีเท้าจัด เอาไปเข้าแข่งที่สนามคาโมะละก็รับรองเต็งหนึ่งแน่นอน”
“หือ...ตัวสีขาวนั่นน่ะรึ”
“ใช่ มีป้ายติดอยู่ตรงนั้น เขียนว่ายังไง นายแม่อ่านสิ”
“เขาบอกว่าถ้าเอาถั่วที่เป็นอาหารม้าเทพตัวนี้ไปคั่วแล้วชงดื่ม เจ้าจะไม่ละเมอขึ้นมาร้องไห้กลางดึกและไม่นอนกัดฟันด้วย เหมาะกับเจ้าเลย...อากง”
“พูดบ้า ๆ “ อากงหัวเราะชอบใจแล้วมองไปรอบ ๆ “อ้าว แล้วเจ้ามาตาฮาจิหายหัวไปไหน”
“จริงด้วย ข้ามัวแต่ดูนั่นดูนี่ หายไปไหนไม่รู้”
“เจอแล้ว นั่งพักอยู่ใต้เวทีนั่งไง”
“มาตาฮาจิ มานี่เร็ว แม่กับอาอยู่ตรงนี้”
แม่เฒ่าโอซูงิกวักมือพลางส่งเสียงเอะอะร้องเรียกลูกชาย
“ขืนเดินไปทางโน้นก็จะกลับไปทางซุ้มประตูศาลเจ้าอีก มาทางนี้สิจะได้ไปทากาโทโรกัน”
เจ้าหนุ่มมาตาฮาจิค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เดินเข้ามาตามเสียงเรียกด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย หลายวันมาแล้วที่ต้องพาพ่อเฒ่าแม่เฒ่าไปโน่นไปนี่ทั้งวันจนเบื่อแทบแย่อยู่แล้ว ถ้าจะให้พาเที่ยวแถวนี้สักห้าวันสิบวันก็พอทน แต่พอคิดว่าจะต้องตามแม่กับอาเดินทางไกลไปจนกว่าจะตามตัวมิยาโมโต มูซาชิและแก้แค้นได้สำเร็จ เจ้าหนุ่มก็ อยากจะหนีไปเสียให้พ้น ๆ
มาตาฮาจิเจรจากับแม่และลุงหลายครั้งแล้วว่าเดินทางตามกันไปเป็นพรวนอย่างนี้มีแต่จะเสียงแรงเสียเวลาไปเปล่า ๆ และรับอาสาออกเดินทางตามหามูซาชิคนเดียว แต่แม่เฒ่าก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมท่าเดียว และเลี่ยงว่า
“นี่ก็จะขึ้นไปใหม่แล้ว แม่ลูกและญาติพี่น้องควรจะอยู่พร้อมหน้าและดื่มฉลองกัน เจ้าเองก็จากแม่ไปนานไม่ได้ฉลองปีใหม่กันไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว แม่แก่แล้วไม่รู้ว่าจะอยู่ฉลองกับเจ้าต่อไปได้อีกสักกี่ปี ข้าไม่อยากแยกกันไปไหนอีกเลย”
มาตาฮาจิได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่อาจขัดใจแม่ จึงตัดใจว่าจะอยู่ด้วยสักสองสามวันแค่ช่วงปีใหม่ และจากนั้นจะหาจังหวะแยกทางไปให้พ้น
แม่กับอาคงรู้ตัวว่าตนเฒ่าชรามากแล้วคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานจึงเร่งทำบุญทำกุศล ไม่ว่าจะเข้าวัดใดศาลเจ้าใดเป็นต้องใส่เหรียญลงในกล่องทำบุญและสวดภาวนายืดยาว วันนี้ก็เช่นกันผู้เฒ่าทั้งสองเวียนเข้าวัดเข้าศาลเจ้าที่ซูมิโยชิแทบทั้งวันตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ
“เดินเร็ว ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
แม่เฒ่าโอซูงิเร่ง มองลูกชายที่เดินอืดอาดทำหน้างอเข้ามาแล้วค้อนให้อย่างขวาง ๆ
“อยากเร็วก็เดินล่วงหน้าไปก่อนสิ” มาตาฮาจิค้อนตอบและไม่ยอมเร่งฝีเท้า “บอกให้คอย ข้าก็คอย คอย ไม่รู้จักเสร็จเสียที คราวนี้ทำมาเร่ง”
“เอ๊ะ ไอ้ลูกคนนี้ พูดอะไรเหมือนคนโฉดเขลาเบาปัญญา ใครมาวัดมาศาลเจ้าเขาก็ต้องทำบุญไหว้พระบูชาเทพกันทั้งนั้น เจ้าเองข้าไม่เห็นเคยพนมมือไหว้พระไหว้เจ้าเลยสักครั้ง คงจะได้ดีหรอก”
“อย่ามายุ่ง
มาตาฮาจิตวาดให้
“ยุ่งอะไร ข้ายุ่งอะไรฮึ”
น้ำผึ้งว่าหวานแล้วแต่ความรักของแม่กับลูกชายยังหวานเข้มข้นกว่า แต่ก็ในชั่วสองสามวันแรก จากนั้นความคุ้นเคยก็กลับคืนมาดังเดิมราวกับไม่ได้จากกันไปไหนเป็นแรมปี เจ้าหนุ่มมาตาฮาจิเริ่มรำคาญเมื่อถูกแม่บ่นว่าและเถียงคำไม่ตกฟาก คัดค้านทุกเรื่องระหว่างทางที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน ส่วนแม่เฒ่าโอซูงิที่สงบปากสงบเสียงตลอดทั้งวันเพราะต้องอาศัยลูกชายให้คอยดูแล พอกลับถึงที่พักก็แผลงฤทธิ์ทันที เรียกลูกชายมานั่งตรงหน้าและด่าไม่ยั้งทุกคืน
อากงผู้อยู่ในเหตุการณ์มาตลอด วาดภาพในยามค่ำคืนนี้ได้ชัดเจนจึงพูดปลอบโยนทั้งสองฝ่ายแต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล
2
แม่ลูกคู่นี้ช่างน่าระอาใจเสียจริง
อากงเดินพลางคิดหาทางทำให้ญาติผู้พี่อารมณ์ดีขึ้น และให้หลานชายหายขุ่นเคือง
“โอ๊ะ ได้กลิ่นอะไรไหมหอมน่ากินจังเลย นั่นไง...ร้านน้ำชาที่ชายหาดกำลังย่างหอยกาบกันอยู่ นายแม่...ล่อสาเกกันสักจอกสองจอกถ้าจะดี ไปกันเถอะ”
สองแม่ลูกยังไม่หายเคืองกัน แต่อากงไม่สนใจพอเอ่ยชวนแล้วดึงมือแม่เฒ่ากะย่องกะแย่งไปที่ร้านน้ำชา บนชายหาดใกล้กับละแวกทากาโทโร
“มีสาเกไหมน้องชาย”
อากงเลิกผ้าบังตาสีแดงนำหน้าพร้อมกับร้องทักเข้าไปในร้าน
“มานี่ มานี่ มาตาฮาจิเลิกโกรธแม่เขาได้แล้ว นายแม่ก็เกินไปอย่าไปบ่นว่าลูกมันมากนักเลย”
อากงว่าพลางเลื่อนจอกสาเกให้แม่เฒ่า
“ข้าไม่เอาอะไรทั้งนั้น”
แม่เฒ่าเบือนหน้าไปทางหนึ่ง อากงจึงเลื่อนจอกไปให้หลานชายแทน
“งั้นเจ้าดื่มเสีย มาตาฮาจิ”
มาตาฮาจิยกจอกสาเกขึ้นซดทั้งที่ยังหน้างอ และดื่มติด ๆ จนอากงเติมให้แทบไม่ทันรวดเดียวหมดไปสามกระปุก แม่เฒ่าไม่หันมามองแต่เห็นได้ว่ากำลังโกรธขึ้นทุกที และพอองกงร้องขอเป็นกระปุกที่สี่
“น้องชาย ขออีกกระปุกนึง”
แม่เฒ่าก็ตวาดเสียงแหลมแล้วด่ากราด
“พอได้แล้ว ข้าไม่ได้พาพวกเจ้ามาเที่ยวเล่นสัมมะเลเทเมานะเว้ย อากงก็เหมือนกันได้ทีล่ะก็เอาใหญ่ทีเดียว ไม่รู้จักเจียมสังขารเสียเลยว่าเฒ่าชราจะตายอยู่แล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
อากงถูกด่า หน้าแดงเหมือนดื่มสาเกคนเดียวทั้งสี่กระปุก
“จริงของนายแม่”
พ่อเฒ่าพึมพำเสียอ่อย ลุกขึ้นเดินย่องแย่งออกไปจากร้าน
แม่เฒ่าโอซูงิระงับอารมณ์เอาไว้ระเบิดที่โรงเตี๊ยมไม่ไหวแล้ว นางดึงตัวมาตาฮาจิให้มานั่งตรงหน้าแล้วชี้หน้าชี้ตาด่าทอยืดยาว ขุดความชั่วความเลวตั้งแต่ครั้งไหน ๆ ครั้งไหนขึ้นมาประจาน ยิ่งด่าก็ยิ่งโกรธจนหน้ามืดตามัวไม่สนใจว่าใครจะได้ยินได้ฟัง ส่วนมาตาฮาจิได้แต่นั่งกัดฟันทำหน้าบึ้งตึงและจ้องตาตอบโดยไม่แสดงว่ากลัวเกรง
เจ้าหนุ่มปล่อยให้แม่พูดจนพอใจและจับจังหวะที่แม่เฒ่าหายใจหอบ สวนขึ้นว่า
“แม่ ที่พูดมาทั้งหมดนี่แม่ตั้งใจจะบอกว่า ข้า...มาตาฮาจิลูกของแม่คนนี้ เป็นคนไม่เอาไหน ไม่มีอะไรดีสักอย่าง และที่ร้ายที่สุดคือเป็นลูกอกตัญญู ใช่ไหม”
“ข้าพูดผิดตรงไหน ที่ผ่านมาเจ้าเคยทำอะไรที่แสดงให้ใคร ๆ เขาเห็นว่าเป็นคนมีศักดิ์ศรี เป็นคนหยิ่งในเกียรติของตนเองและวงศ์ตระกูลบ้างไหม”
“ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าข้าไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างที่แม่คิด แต่ถ้ายังคิดฝังหัวอยู่อย่างนั้น แม่ก็ไม่มีวันเข้าใจข้าหรอก”
“ไม่เข้าใจได้ยังไง คนที่เข้าใจลูกดีก็เห็นจะมีแต่พ่อแม่เท่านั้น ข้ารู้ตัวดีว่าข้าโชคร้ายที่มีลูกอย่างเจ้า ลูกที่ทำความเสื่อมเสียให้แก่ตระกูลฮนอิเด็นมาตั้งแต่เกิด”
“แม่คอยดูก็แล้วกัน ข้ายังหนุ่มมีเวลาอีกมากมายในภายภาคหน้า แม่แก่ชราแล้ววันหนึ่งก็จะต้องตายไป และวิญญาณของแม่ที่เฝ้าดูข้าอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ จะต้องเสียใจที่ได้แช่งด่าข้าวันนี้”
“โอ๊ย...ข้ายอมเสียใจถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ข้าว่าคงจะต้องคอยเป็นร้อยปี คิดแล้วเวทนาตัวเองเหลือเกิน”
“ถ้าข้าเป็นลูกที่ทำให้แม่น่าเวทนาอย่างนั้น ข้าจะอยู่ให้รกหูรกตาไปทำไม ควรไปให้พ้น ๆ ดีกว่า”
ว่าแล้วมาตาฮาจิก็ลุกขึ้น สะบัดหน้าก่อนก้าวยาว ๆ ออกไป
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน”
แม่เฒ่าระล่ำระลักร้องเรียกเสียงสั่นแต่มาตาฮาจิเดินดุ่มไปข้างหน้าไม่เหลียวมามอง อากงก็อยู่ตรงนั้นน่าจะเรียกเอาไว้แต่ก็คงไม่เห็นจึงไม่เรียก เพราะกำลังเบิกตาจ้องเขม็งออกไปในทะเล
แม่เฒ่าทรุดตัวลงนั่งแผละไปบนพื้นตามเติม
“อากง ไม่ต้องไปเรียกมันไว้หรอก ช่างมันเถิด”
3
“นายแม่”
แม่เฒ่าคิดว่าอากงได้ยินเสียงของนางจึงหันมาตอบ แต่ไม่ใช่
“นายแม่ เด็กผู้หญิงคนนั้นท่าทางแปลก ๆ คอยข้าเดี๋ยวนะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ อากงก็เหวี่ยงหมวกฟางไปทางหนึ่ง แล้วออกวิ่งจากร้านน้ำชาปิ้งหอยกาบทางทางทะเลราวกับลูกธนูพุ่งจากคันศร
แม่เฒ่าโอซูงิตกใจ
“อากง เจ้าบ้าไปแล้วรึ จะไปไหน มาตาฮาจิมันวิ่งไปทางโน้น”
ร้องเรียกพลางวิ่งตามไปได้สองสามก้าวก็สะดุดกอสาหร่ายเสียหลักล้มลงไม่เป็นท่า
“บ้า บ้าที่สุด” แม่เฒ่าสบถพร้อมกับตะกายลุกขึ้นมา ทรายเปื้อนตัวเปื้อนหน้าเต็มไปหมด และพอลืมตาได้และมองตามหลังอากงไปอย่างโกรธจัด นางก็ต้องเบิกตาโตขึ้นอีกหลายเท่า และสบถเสียงดังขึ้นไปอีก
“บ้า อากงบ้า อากง อากง”
แม่เฒ่าเลิกสบถเปลี่ยนเป็นเรียกอากงเสียงหลง
“อากง บ้าไปแล้วหรือ แกจะไปไหน อากง อากง”
แม่เฒ่าโอซูงิกรีดร้องราวกับคนเสียสติเมื่อเห็นอากงวิ่งออกไปในทะเล และหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูกจนใจที่สุดก็ออกวิ่งตามไป
อากงลงไปในทะเลแล้ว หาดทรายตรงนั้นลาดไกลออกไปในทะเล แม้จะอากงวิ่งลงไปไกลแล้วแต่น้ำก็ยังอยู่แค่หน้าแข้ง พ่อเฒ่าวิ่งออกอย่างลืมตัวลืมวัย น้ำทะเลกระจายขึ้นมาเป็นละอองขาวรอบตัว
พ่อเฒ่ากำลังวิ่งตามเด็กสาวคนหนึ่งที่วิ่งสุดแรงลงไปในทะเล ไกลออกไป ไกลออกไป
ตอนแรกที่อากงเห็น เด็กสาวคนนั้นยืนแฝงเงาต้นสนมองออกไปทางทะเล แล้วทันใดนั้นเองนางก็ออกวิ่งผมดำกระจายตามแรงลม ตรงออกไปในทะเล ไกลออกไป ไกลมากแต่น้ำทะเลยังอยู่ระดับครึ่งหน้าแข้ง น้ำทะเลกระจายเป็นละอองขาว เห็นสีแดงของกิโมโนและเส้นไหมสีทองของโอบิรำไร มองไปเหมือนภาพนักรบโบราณในตำนานที่กำลังจะจมน้ำ
“แม่หนู แม่หนู เฮ้ย...”
อากงกวดเข้าไปจนใกล้ตัวแล้วจึงร้องเรียกเสียงดังลั่น แต่เด็กสาวก็ไม่หยุดหรือแม้แต่หันมามอง และคงจะวิ่งออกถึงช่วงที่น้ำลึกลงทันควัน เพราะอยู่ ๆ ก็มีเสียงดัง...บุ๋ม แล้วร่างของเด็กสาวก็จมหายลงไปเหลือระลอกเป็นวงอยู่บนพื้นน้ำ
“เด็กบ้า เจ้าคิดฆ่าตัวตายจริง ๆ หรือ”
อากงร้องออกมายังไม่ทันขาดคำ ตัวแกเองก็จมลงจนมิดหัวไปอีกคน
แม่เฒ่าโอซูงิทำอะไรไม่ถูกได้แต่วิ่งไปมาอยู่ที่ชายน้ำ และพอเห็นร่างเด็กสาวกับอากงจมลงไปต่อหน้าต่อตา นางก็กรีดร้องขอความช่วยเหลือดังก้องไปทั้งหาด
“ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วย เร็วเข้า เร็วเข้าสิ ช่วยด้วย สองคนกำลังจะจมน้ำตาย”
กรีดร้องพลาง วิ่งขึ้นไปบนหาด โบกไม้โบกมือเรียกหาคนช่วย ราวกับว่าตนเป็นคนที่กำลังจะจมน้ำ
4
“คู่รักกอดคอกันตายเหรอ”
“เป็นไปได้ไง”
หนุ่มชาวประมงมองร่างสองร่างที่นอนนิ่งเคียงกันอยู่บนพื้นทรายแล้วหัวเราะกันคิกคัก
อากงจับโอบิที่คาดกิโมโนของเด็กสาวเอาไว้ได้และยังจับแน่นอยู่อย่างนั้น ทั้งสองคนไม่หายใจแต่เด็กสาวดูปกติดีแม้ว่าผมจะยุ่งเหยิงแต่หน้าที่ผัดแป้งไว้ขาวและริมฝีปากที่ทางไว้แดงก็ยังดูดี ฟันซี่เล็ก ๆ ขบริมฝีปากไว้ทำให้ดูคล้ายกำลังยิ้มนิด ๆ ด้วยซ้ำ
“เฮ้ย แก ผู้หญิงคนนี้ข้าเคยเห็น”
“คนนั้นไง เมื่อกี้ยังเก็บเปลือกหอยอยู่ที่ชายหาดเลย”
“ใช่ ๆ หล่อนพักที่โรงเตี๊ยมตรงโน้น”
ยังไม่ทันที่จะมีใครวิ่งไปแจ้งข่าว คนจากโรงเตี๊ยมสี่ห้าคนก็วิ่งลงมา
โยชิโอกะ เซอิจูโร วิ่งกระหืดกระหอบตามมาติด ๆ และพอมาถึงก็แหวกกลุ่มคนเข้าไปดู
“อาเกมิ”
เซอิจูโร ยืนตลึงตัวแข็ง หน้าซีดขาว
“ท่านซามูไร ท่านรู้จักแม่คนนี้รึ”
“ช...ใช่”
“ต้องรีบทำให้นางสำรอกน้ำออกมาทันทีเลย”
“จะรอดไหม”
“ไม่มั๊ง ถ้ามัวแต่ยืนงงกันอยู่อย่างนี้”
ว่าแล้วชาวประมงหนุ่มก็ช่วยกันผายปอด ตบหลัง อากงกับอาเกมิกันเป็นพัลวัน
อาเกมิฟื้นขึ้นมาหายใจเป็นปกติได้ในไม่ช้า เซอิจูโรรีบปลีกตัวหลบสายตาผู้คนกลับที่พัก ปล่อยให้คนของโรงเตี๊ยมอุ้ม อาเกมิกลับไป
“อากง อากง”
แม่เฒ่าโอซูงิร้องไห้พลางพร่ำเรียกที่ข้างหูอากงไม่หยุดตั้งแต่พวกหนุ่มชาวประมงช่วยนำร่างขึ้นมาจากทะเล
อาเกมิยังสาวจึงฟื้นขึ้นมาในไม่ช้า แต่อากงแก่มากแล้วซ้ำยังดื่มสุราเข้าไปอีกจึงสิ้นใจเสียแล้ว ไม่ว่าแม่เฒ่าจะเรียกเท่าไรก็ไม่มีวันลืมตาขึ้นมาขานตอบได้อีก
“พ่อเฒ่าสิ้นใจเสียแล้ว”
พวกหนุ่มชาวประมงพยายามช่วยกันอย่างสุดกำลังแล้วแต่ก็ไม่อาจยื้อชีวิตอากงเอาไว้ได้
“อากง”
“อะไรรึนายแม่ เรียกข้าทำไม”
“เจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือไร”
“เหนื่อยสิถามได้ แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว”
“ว่าแล้วเชียว ข้าเองก็เมื่อยขาเต็มที แต่ศาลเจ้าซูมิโยชิแห่งนี้งดงามเหลือเกิน ดูนั่นสิ...ต้นส้มนั่นใช่ไหมคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพวากามิยะฮาจิมัน”
“คิดว่าใช่”
“ถ้าใช่ ก็ต้องเป็นต้นส้มที่เป็นเครื่องบรรณาการชิ้นแรก ในบรรดาสิ่งของเต็มแปดสิบลำเรือที่พระจักรพรรดินีจิงงูทรงได้รับเมื่อครั้งที่เดินทางข้ามทะเลไปยังซัมฮัน”
“นายแม่ดูม้าเทพในคอกนั่นเสียบ้าง ท่วงท่าพ่วงพีฝีเท้าจัด เอาไปเข้าแข่งที่สนามคาโมะละก็รับรองเต็งหนึ่งแน่นอน”
“หือ...ตัวสีขาวนั่นน่ะรึ”
“ใช่ มีป้ายติดอยู่ตรงนั้น เขียนว่ายังไง นายแม่อ่านสิ”
“เขาบอกว่าถ้าเอาถั่วที่เป็นอาหารม้าเทพตัวนี้ไปคั่วแล้วชงดื่ม เจ้าจะไม่ละเมอขึ้นมาร้องไห้กลางดึกและไม่นอนกัดฟันด้วย เหมาะกับเจ้าเลย...อากง”
“พูดบ้า ๆ “ อากงหัวเราะชอบใจแล้วมองไปรอบ ๆ “อ้าว แล้วเจ้ามาตาฮาจิหายหัวไปไหน”
“จริงด้วย ข้ามัวแต่ดูนั่นดูนี่ หายไปไหนไม่รู้”
“เจอแล้ว นั่งพักอยู่ใต้เวทีนั่งไง”
“มาตาฮาจิ มานี่เร็ว แม่กับอาอยู่ตรงนี้”
แม่เฒ่าโอซูงิกวักมือพลางส่งเสียงเอะอะร้องเรียกลูกชาย
“ขืนเดินไปทางโน้นก็จะกลับไปทางซุ้มประตูศาลเจ้าอีก มาทางนี้สิจะได้ไปทากาโทโรกัน”
เจ้าหนุ่มมาตาฮาจิค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เดินเข้ามาตามเสียงเรียกด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย หลายวันมาแล้วที่ต้องพาพ่อเฒ่าแม่เฒ่าไปโน่นไปนี่ทั้งวันจนเบื่อแทบแย่อยู่แล้ว ถ้าจะให้พาเที่ยวแถวนี้สักห้าวันสิบวันก็พอทน แต่พอคิดว่าจะต้องตามแม่กับอาเดินทางไกลไปจนกว่าจะตามตัวมิยาโมโต มูซาชิและแก้แค้นได้สำเร็จ เจ้าหนุ่มก็ อยากจะหนีไปเสียให้พ้น ๆ
มาตาฮาจิเจรจากับแม่และลุงหลายครั้งแล้วว่าเดินทางตามกันไปเป็นพรวนอย่างนี้มีแต่จะเสียงแรงเสียเวลาไปเปล่า ๆ และรับอาสาออกเดินทางตามหามูซาชิคนเดียว แต่แม่เฒ่าก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมท่าเดียว และเลี่ยงว่า
“นี่ก็จะขึ้นไปใหม่แล้ว แม่ลูกและญาติพี่น้องควรจะอยู่พร้อมหน้าและดื่มฉลองกัน เจ้าเองก็จากแม่ไปนานไม่ได้ฉลองปีใหม่กันไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว แม่แก่แล้วไม่รู้ว่าจะอยู่ฉลองกับเจ้าต่อไปได้อีกสักกี่ปี ข้าไม่อยากแยกกันไปไหนอีกเลย”
มาตาฮาจิได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่อาจขัดใจแม่ จึงตัดใจว่าจะอยู่ด้วยสักสองสามวันแค่ช่วงปีใหม่ และจากนั้นจะหาจังหวะแยกทางไปให้พ้น
แม่กับอาคงรู้ตัวว่าตนเฒ่าชรามากแล้วคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานจึงเร่งทำบุญทำกุศล ไม่ว่าจะเข้าวัดใดศาลเจ้าใดเป็นต้องใส่เหรียญลงในกล่องทำบุญและสวดภาวนายืดยาว วันนี้ก็เช่นกันผู้เฒ่าทั้งสองเวียนเข้าวัดเข้าศาลเจ้าที่ซูมิโยชิแทบทั้งวันตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ
“เดินเร็ว ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
แม่เฒ่าโอซูงิเร่ง มองลูกชายที่เดินอืดอาดทำหน้างอเข้ามาแล้วค้อนให้อย่างขวาง ๆ
“อยากเร็วก็เดินล่วงหน้าไปก่อนสิ” มาตาฮาจิค้อนตอบและไม่ยอมเร่งฝีเท้า “บอกให้คอย ข้าก็คอย คอย ไม่รู้จักเสร็จเสียที คราวนี้ทำมาเร่ง”
“เอ๊ะ ไอ้ลูกคนนี้ พูดอะไรเหมือนคนโฉดเขลาเบาปัญญา ใครมาวัดมาศาลเจ้าเขาก็ต้องทำบุญไหว้พระบูชาเทพกันทั้งนั้น เจ้าเองข้าไม่เห็นเคยพนมมือไหว้พระไหว้เจ้าเลยสักครั้ง คงจะได้ดีหรอก”
“อย่ามายุ่ง
มาตาฮาจิตวาดให้
“ยุ่งอะไร ข้ายุ่งอะไรฮึ”
น้ำผึ้งว่าหวานแล้วแต่ความรักของแม่กับลูกชายยังหวานเข้มข้นกว่า แต่ก็ในชั่วสองสามวันแรก จากนั้นความคุ้นเคยก็กลับคืนมาดังเดิมราวกับไม่ได้จากกันไปไหนเป็นแรมปี เจ้าหนุ่มมาตาฮาจิเริ่มรำคาญเมื่อถูกแม่บ่นว่าและเถียงคำไม่ตกฟาก คัดค้านทุกเรื่องระหว่างทางที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน ส่วนแม่เฒ่าโอซูงิที่สงบปากสงบเสียงตลอดทั้งวันเพราะต้องอาศัยลูกชายให้คอยดูแล พอกลับถึงที่พักก็แผลงฤทธิ์ทันที เรียกลูกชายมานั่งตรงหน้าและด่าไม่ยั้งทุกคืน
อากงผู้อยู่ในเหตุการณ์มาตลอด วาดภาพในยามค่ำคืนนี้ได้ชัดเจนจึงพูดปลอบโยนทั้งสองฝ่ายแต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล
2
แม่ลูกคู่นี้ช่างน่าระอาใจเสียจริง
อากงเดินพลางคิดหาทางทำให้ญาติผู้พี่อารมณ์ดีขึ้น และให้หลานชายหายขุ่นเคือง
“โอ๊ะ ได้กลิ่นอะไรไหมหอมน่ากินจังเลย นั่นไง...ร้านน้ำชาที่ชายหาดกำลังย่างหอยกาบกันอยู่ นายแม่...ล่อสาเกกันสักจอกสองจอกถ้าจะดี ไปกันเถอะ”
สองแม่ลูกยังไม่หายเคืองกัน แต่อากงไม่สนใจพอเอ่ยชวนแล้วดึงมือแม่เฒ่ากะย่องกะแย่งไปที่ร้านน้ำชา บนชายหาดใกล้กับละแวกทากาโทโร
“มีสาเกไหมน้องชาย”
อากงเลิกผ้าบังตาสีแดงนำหน้าพร้อมกับร้องทักเข้าไปในร้าน
“มานี่ มานี่ มาตาฮาจิเลิกโกรธแม่เขาได้แล้ว นายแม่ก็เกินไปอย่าไปบ่นว่าลูกมันมากนักเลย”
อากงว่าพลางเลื่อนจอกสาเกให้แม่เฒ่า
“ข้าไม่เอาอะไรทั้งนั้น”
แม่เฒ่าเบือนหน้าไปทางหนึ่ง อากงจึงเลื่อนจอกไปให้หลานชายแทน
“งั้นเจ้าดื่มเสีย มาตาฮาจิ”
มาตาฮาจิยกจอกสาเกขึ้นซดทั้งที่ยังหน้างอ และดื่มติด ๆ จนอากงเติมให้แทบไม่ทันรวดเดียวหมดไปสามกระปุก แม่เฒ่าไม่หันมามองแต่เห็นได้ว่ากำลังโกรธขึ้นทุกที และพอองกงร้องขอเป็นกระปุกที่สี่
“น้องชาย ขออีกกระปุกนึง”
แม่เฒ่าก็ตวาดเสียงแหลมแล้วด่ากราด
“พอได้แล้ว ข้าไม่ได้พาพวกเจ้ามาเที่ยวเล่นสัมมะเลเทเมานะเว้ย อากงก็เหมือนกันได้ทีล่ะก็เอาใหญ่ทีเดียว ไม่รู้จักเจียมสังขารเสียเลยว่าเฒ่าชราจะตายอยู่แล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
อากงถูกด่า หน้าแดงเหมือนดื่มสาเกคนเดียวทั้งสี่กระปุก
“จริงของนายแม่”
พ่อเฒ่าพึมพำเสียอ่อย ลุกขึ้นเดินย่องแย่งออกไปจากร้าน
แม่เฒ่าโอซูงิระงับอารมณ์เอาไว้ระเบิดที่โรงเตี๊ยมไม่ไหวแล้ว นางดึงตัวมาตาฮาจิให้มานั่งตรงหน้าแล้วชี้หน้าชี้ตาด่าทอยืดยาว ขุดความชั่วความเลวตั้งแต่ครั้งไหน ๆ ครั้งไหนขึ้นมาประจาน ยิ่งด่าก็ยิ่งโกรธจนหน้ามืดตามัวไม่สนใจว่าใครจะได้ยินได้ฟัง ส่วนมาตาฮาจิได้แต่นั่งกัดฟันทำหน้าบึ้งตึงและจ้องตาตอบโดยไม่แสดงว่ากลัวเกรง
เจ้าหนุ่มปล่อยให้แม่พูดจนพอใจและจับจังหวะที่แม่เฒ่าหายใจหอบ สวนขึ้นว่า
“แม่ ที่พูดมาทั้งหมดนี่แม่ตั้งใจจะบอกว่า ข้า...มาตาฮาจิลูกของแม่คนนี้ เป็นคนไม่เอาไหน ไม่มีอะไรดีสักอย่าง และที่ร้ายที่สุดคือเป็นลูกอกตัญญู ใช่ไหม”
“ข้าพูดผิดตรงไหน ที่ผ่านมาเจ้าเคยทำอะไรที่แสดงให้ใคร ๆ เขาเห็นว่าเป็นคนมีศักดิ์ศรี เป็นคนหยิ่งในเกียรติของตนเองและวงศ์ตระกูลบ้างไหม”
“ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าข้าไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างที่แม่คิด แต่ถ้ายังคิดฝังหัวอยู่อย่างนั้น แม่ก็ไม่มีวันเข้าใจข้าหรอก”
“ไม่เข้าใจได้ยังไง คนที่เข้าใจลูกดีก็เห็นจะมีแต่พ่อแม่เท่านั้น ข้ารู้ตัวดีว่าข้าโชคร้ายที่มีลูกอย่างเจ้า ลูกที่ทำความเสื่อมเสียให้แก่ตระกูลฮนอิเด็นมาตั้งแต่เกิด”
“แม่คอยดูก็แล้วกัน ข้ายังหนุ่มมีเวลาอีกมากมายในภายภาคหน้า แม่แก่ชราแล้ววันหนึ่งก็จะต้องตายไป และวิญญาณของแม่ที่เฝ้าดูข้าอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ จะต้องเสียใจที่ได้แช่งด่าข้าวันนี้”
“โอ๊ย...ข้ายอมเสียใจถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ข้าว่าคงจะต้องคอยเป็นร้อยปี คิดแล้วเวทนาตัวเองเหลือเกิน”
“ถ้าข้าเป็นลูกที่ทำให้แม่น่าเวทนาอย่างนั้น ข้าจะอยู่ให้รกหูรกตาไปทำไม ควรไปให้พ้น ๆ ดีกว่า”
ว่าแล้วมาตาฮาจิก็ลุกขึ้น สะบัดหน้าก่อนก้าวยาว ๆ ออกไป
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน”
แม่เฒ่าระล่ำระลักร้องเรียกเสียงสั่นแต่มาตาฮาจิเดินดุ่มไปข้างหน้าไม่เหลียวมามอง อากงก็อยู่ตรงนั้นน่าจะเรียกเอาไว้แต่ก็คงไม่เห็นจึงไม่เรียก เพราะกำลังเบิกตาจ้องเขม็งออกไปในทะเล
แม่เฒ่าทรุดตัวลงนั่งแผละไปบนพื้นตามเติม
“อากง ไม่ต้องไปเรียกมันไว้หรอก ช่างมันเถิด”
3
“นายแม่”
แม่เฒ่าคิดว่าอากงได้ยินเสียงของนางจึงหันมาตอบ แต่ไม่ใช่
“นายแม่ เด็กผู้หญิงคนนั้นท่าทางแปลก ๆ คอยข้าเดี๋ยวนะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ อากงก็เหวี่ยงหมวกฟางไปทางหนึ่ง แล้วออกวิ่งจากร้านน้ำชาปิ้งหอยกาบทางทางทะเลราวกับลูกธนูพุ่งจากคันศร
แม่เฒ่าโอซูงิตกใจ
“อากง เจ้าบ้าไปแล้วรึ จะไปไหน มาตาฮาจิมันวิ่งไปทางโน้น”
ร้องเรียกพลางวิ่งตามไปได้สองสามก้าวก็สะดุดกอสาหร่ายเสียหลักล้มลงไม่เป็นท่า
“บ้า บ้าที่สุด” แม่เฒ่าสบถพร้อมกับตะกายลุกขึ้นมา ทรายเปื้อนตัวเปื้อนหน้าเต็มไปหมด และพอลืมตาได้และมองตามหลังอากงไปอย่างโกรธจัด นางก็ต้องเบิกตาโตขึ้นอีกหลายเท่า และสบถเสียงดังขึ้นไปอีก
“บ้า อากงบ้า อากง อากง”
แม่เฒ่าเลิกสบถเปลี่ยนเป็นเรียกอากงเสียงหลง
“อากง บ้าไปแล้วหรือ แกจะไปไหน อากง อากง”
แม่เฒ่าโอซูงิกรีดร้องราวกับคนเสียสติเมื่อเห็นอากงวิ่งออกไปในทะเล และหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูกจนใจที่สุดก็ออกวิ่งตามไป
อากงลงไปในทะเลแล้ว หาดทรายตรงนั้นลาดไกลออกไปในทะเล แม้จะอากงวิ่งลงไปไกลแล้วแต่น้ำก็ยังอยู่แค่หน้าแข้ง พ่อเฒ่าวิ่งออกอย่างลืมตัวลืมวัย น้ำทะเลกระจายขึ้นมาเป็นละอองขาวรอบตัว
พ่อเฒ่ากำลังวิ่งตามเด็กสาวคนหนึ่งที่วิ่งสุดแรงลงไปในทะเล ไกลออกไป ไกลออกไป
ตอนแรกที่อากงเห็น เด็กสาวคนนั้นยืนแฝงเงาต้นสนมองออกไปทางทะเล แล้วทันใดนั้นเองนางก็ออกวิ่งผมดำกระจายตามแรงลม ตรงออกไปในทะเล ไกลออกไป ไกลมากแต่น้ำทะเลยังอยู่ระดับครึ่งหน้าแข้ง น้ำทะเลกระจายเป็นละอองขาว เห็นสีแดงของกิโมโนและเส้นไหมสีทองของโอบิรำไร มองไปเหมือนภาพนักรบโบราณในตำนานที่กำลังจะจมน้ำ
“แม่หนู แม่หนู เฮ้ย...”
อากงกวดเข้าไปจนใกล้ตัวแล้วจึงร้องเรียกเสียงดังลั่น แต่เด็กสาวก็ไม่หยุดหรือแม้แต่หันมามอง และคงจะวิ่งออกถึงช่วงที่น้ำลึกลงทันควัน เพราะอยู่ ๆ ก็มีเสียงดัง...บุ๋ม แล้วร่างของเด็กสาวก็จมหายลงไปเหลือระลอกเป็นวงอยู่บนพื้นน้ำ
“เด็กบ้า เจ้าคิดฆ่าตัวตายจริง ๆ หรือ”
อากงร้องออกมายังไม่ทันขาดคำ ตัวแกเองก็จมลงจนมิดหัวไปอีกคน
แม่เฒ่าโอซูงิทำอะไรไม่ถูกได้แต่วิ่งไปมาอยู่ที่ชายน้ำ และพอเห็นร่างเด็กสาวกับอากงจมลงไปต่อหน้าต่อตา นางก็กรีดร้องขอความช่วยเหลือดังก้องไปทั้งหาด
“ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วย เร็วเข้า เร็วเข้าสิ ช่วยด้วย สองคนกำลังจะจมน้ำตาย”
กรีดร้องพลาง วิ่งขึ้นไปบนหาด โบกไม้โบกมือเรียกหาคนช่วย ราวกับว่าตนเป็นคนที่กำลังจะจมน้ำ
4
“คู่รักกอดคอกันตายเหรอ”
“เป็นไปได้ไง”
หนุ่มชาวประมงมองร่างสองร่างที่นอนนิ่งเคียงกันอยู่บนพื้นทรายแล้วหัวเราะกันคิกคัก
อากงจับโอบิที่คาดกิโมโนของเด็กสาวเอาไว้ได้และยังจับแน่นอยู่อย่างนั้น ทั้งสองคนไม่หายใจแต่เด็กสาวดูปกติดีแม้ว่าผมจะยุ่งเหยิงแต่หน้าที่ผัดแป้งไว้ขาวและริมฝีปากที่ทางไว้แดงก็ยังดูดี ฟันซี่เล็ก ๆ ขบริมฝีปากไว้ทำให้ดูคล้ายกำลังยิ้มนิด ๆ ด้วยซ้ำ
“เฮ้ย แก ผู้หญิงคนนี้ข้าเคยเห็น”
“คนนั้นไง เมื่อกี้ยังเก็บเปลือกหอยอยู่ที่ชายหาดเลย”
“ใช่ ๆ หล่อนพักที่โรงเตี๊ยมตรงโน้น”
ยังไม่ทันที่จะมีใครวิ่งไปแจ้งข่าว คนจากโรงเตี๊ยมสี่ห้าคนก็วิ่งลงมา
โยชิโอกะ เซอิจูโร วิ่งกระหืดกระหอบตามมาติด ๆ และพอมาถึงก็แหวกกลุ่มคนเข้าไปดู
“อาเกมิ”
เซอิจูโร ยืนตลึงตัวแข็ง หน้าซีดขาว
“ท่านซามูไร ท่านรู้จักแม่คนนี้รึ”
“ช...ใช่”
“ต้องรีบทำให้นางสำรอกน้ำออกมาทันทีเลย”
“จะรอดไหม”
“ไม่มั๊ง ถ้ามัวแต่ยืนงงกันอยู่อย่างนี้”
ว่าแล้วชาวประมงหนุ่มก็ช่วยกันผายปอด ตบหลัง อากงกับอาเกมิกันเป็นพัลวัน
อาเกมิฟื้นขึ้นมาหายใจเป็นปกติได้ในไม่ช้า เซอิจูโรรีบปลีกตัวหลบสายตาผู้คนกลับที่พัก ปล่อยให้คนของโรงเตี๊ยมอุ้ม อาเกมิกลับไป
“อากง อากง”
แม่เฒ่าโอซูงิร้องไห้พลางพร่ำเรียกที่ข้างหูอากงไม่หยุดตั้งแต่พวกหนุ่มชาวประมงช่วยนำร่างขึ้นมาจากทะเล
อาเกมิยังสาวจึงฟื้นขึ้นมาในไม่ช้า แต่อากงแก่มากแล้วซ้ำยังดื่มสุราเข้าไปอีกจึงสิ้นใจเสียแล้ว ไม่ว่าแม่เฒ่าจะเรียกเท่าไรก็ไม่มีวันลืมตาขึ้นมาขานตอบได้อีก
“พ่อเฒ่าสิ้นใจเสียแล้ว”
พวกหนุ่มชาวประมงพยายามช่วยกันอย่างสุดกำลังแล้วแต่ก็ไม่อาจยื้อชีวิตอากงเอาไว้ได้