นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทะเลที่โยชิอุระสาดคลื่นงดงามตระการตาราวสายมาลัยกุหลาบขาวเข้าฝั่งแล้วเคลื่อนถอยออกไปและรับมาลัยอีกสายหนึ่งเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมของท้องทะเล อวลใจจนแทบไม่รู้สึกถึงความเยียบเย็นยามฤดูหนาว
สาวน้อยอาเกมิยกชายกิโมโนขึ้นมาเหน็บ ยืนให้เกลียวคลื่นสัดเข้ามาล้อเล่นกับขาเรียวยาวผ่อง พลางก้มลงหยิบอะไรขึ้นมาดูแล้วโยนทิ้งไปเป็นครั้งคราว
แต่แล้วก็ต้องหยุดยืน เบิกตากลมโตด้วยความฉงนปนสนใจใคร่รู้ เมื่อเห็นกลุ่มศิษย์สำนักโยชิโอกะที่วิ่งตามกันมาดี ๆ ชักดาบออกออกพร้อมเพรียงกันแล้วออกวิ่งไปคนละทิศละทาง
“เอ๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
พอดีศิษย์สำนักคนหนึ่งวิ่งชูดาบโร่เฉียดมาพอดี นางจึงเรียกเอาไว้
“จะไปไหนกันหรือ”
“อ้าว อาเกมิเองรึ”
นักดาบหยุดฝีเท้าทันควันจนทรายกระจาย
“ใคร ๆ เขาช่วยกันตามหากันให้วุ่นออกอย่างนี้ เจ้าไม่ออกไปตามหาด้วยหรอกรึ”
“จะให้ไปด้วยยังไง ข้ายังไม่รู้เลยว่าพวกท่านตามหาใคร”
“เจ้าหนุ่มไว้ผมปรกหน้าผาก และมีลูกลิงเกาะไหล่”
“แล้วพวกท่านจะไปตามหาเขาทำไม”
“ข้ารู้แต่ว่าต้องหาให้เจอ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของอาจารย์น้อยจะต้องถูกเหยียบย่ำป่นปี้”
ว่าแล้วศิษย์สำนักดาบก็เล่าเรื่องที่กิองโทจิถูกหยามน้ำหน้าบนเรือข้ามฟากให้สาวน้อยฟังคร่าว ๆ พอเข้าใจ แต่แทนที่จะ
เออออไปด้วย อาเกมิกลับไม่สนใจแถมเชิดหน้าต่อว่าเอาเสียอีก
“พวกท่านก็ดีแต่หาเรื่องทะเลาะวิวาท”
“เราไม่ได้อยากหาเรื่องทะเลาะวิวาท แต่ถ้าปล่อยให้เจ้าหนุ่มอันธพาลคนนั้นให้ลอยนวลไปก็จะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติภูมิของสำนักดาบโยชิโอกะแห่งเกียวโตที่ยิ่งใหญ่ในปฐพี”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ อาเกมิ”
“มาว่าข้าทำไม พวกผู้ชายสิน่าเบื่อ วัน ๆ เอาแต่หาเรื่องไร้สาระไม่รู้จักหยุดหย่อน”
“แล้วเจ้าล่ะดีนักรึ ออกมาเที่ยวหาอะไรอยู่เป็นนาน ไม่เห็นจะได้เรื่อง”
สาวน้อยอาเกมิ มองไปที่ทรายละเอียดสวยสะอาดที่แทบเท้า”
“ข้าก็หาเปลือกหอยน่ะซี”
“หาเปลือกหอยรึไม่เห็นจะได้เรื่อง อย่ามาทำปากดีว่าพวกเราเลย หันไปเบิ่งตาดูผู้หญิงกันเองเสียบ้างสิ ไร้สาระไม่มีดี แค่เปลือกหอยทำไมต้องเสียเวลาหา ดูสิเกลื่อนกลาดเต็มหาดทรายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า”
“ต้องหาสิ เปลือกหอยที่ข้าหาไม่ได้มีอยู่ดาษดื่น แต่เป็นเปลือกหอยที่ถูกลืม”
“เปลือกหอยที่ถูกลืม มีด้วยรึ ข้าไม่เคยได้ยิน”
“มีสิ และบนหาดทรายที่ไหนก็ไม่มี นอกจากที่หาดซูมิโยชิแห่งนี้”
“หาเท่าไรก็ไม่เจอหรอก ข้าขอบอกให้เอาบุญ”
“มีสิ” สาวน้อยอาเกมิเถียงด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“ไม่เชื่อก็มาตรงนี้สิ ข้าจะให้ดูหลักฐานที่แสดงว่ามีจริง”
ว่าแล้วสาวน้อยโฉมงามก็ฉุดมือศิษย์สำนักไปยังแนวต้นสนที่อยู่ไม่ไกลนัก และชี้ไปที่แผ่นศิลาที่จารึกบทกวีโบราณเอาไว้บทหนึ่งอ่านได้ความว่า
หากมีเวลาขอให้ไปที่หาดทรายซูมิโยชิแล้วจะได้พบกับหอยที่ถูกลืม
สาวน้อยอาเกมิยืดอกอย่างภาคภูมิ
“เห็นไหม เชื่อหรือยังว่าข้าไม่ได้โกหก”
“นั่นมันเรื่องเล่าในตำนาน เจ้าจะไปเอาอะไรกับบทกวีที่มีแต่เพ้อฝันทั้งเพ”
“ท่านรู้หรือเปล่า ที่ซูมิโยชินอกจากหอยที่ถูกลืมแล้ว ยังมีน้ำที่ถูกลืม ต้นหญ้าที่ถูกลืมด้วยนะ”
“เอาละ ๆ เชื่อก็ได้ แต่เปลือกหอยที่ถูกลืมของเจ้าน่ะมีดีอะไรนักรึถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาหาอย่างนี้”
“มีสิ ถ้าท่านเอาเปลือกหอยที่ถูกลืมพกติดตัวไปด้วย เหน็บผ้าคาดเอวหรือใส่ไว้ในอกเสื้อก็ได้ ท่านจะลืมอะไร ๆ ได้ง่าย”
“อะไรนะ เจ้ายังอยากเป็นคนขี้ลืมมากไปกว่านี้รึ” นักดาบหัวเราะ
“ใช้ ข้าอยากลืมอะไร ๆ ให้หมด อะไร ๆ ที่ข้าอยากลืมแต่ลืมไม่ลงมันรบกวนใจข้า กลางคืนก็นอนไม่หลับ กลางวันก็ทุกข์ทรมาน ข้าถึงมาหาเปลือกหอยที่ถูกลืมที่นี่ไงล่ะ ท่านช่วยข้าหาหน่อยสิ”
“ข้าไม่มีเวลามามาเล่นกับเด็กอย่างเจ้าหรอกนะ”
ว่าแล้วลูกศิษย์สำนักก็ยืดตัวตัวตรงหันหน้าไปทางหนึ่งแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้าหายลับไปในหมู่ไม้
2
...อยากลืม
คราใดที่ทุกข์ใจขึ้นมาสาวน้อยอาเกมิก็ได้แต่คิดว่าความทุกข์นั้นจะผ่านไปถ้าหักใจลืมเรื่องราวในอดีตเสียให้หมด แต่จะทำยังไงได้
ก็ข้าไม่อยากลืมนี่
สาวน้อยโฉมงามยืนกอดอกจิตใจวกวนอยู่กับความคิดที่ขัดแย้งกันเอง อาเกมิตั้งใจไว้ว่าถ้าพบเปลือกหอยที่ถูกลืมเธอจะเก็บมันไปใส่ไว้ในอกเสื้อของอาจารย์น้อยเซอิจูโร เพราะอยากให้นักดาบผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นลืมเสียให้หมดว่านางเป็นใคร
คิดขึ้นมาก็ได้แต่ทอดถอนใจ
นางระอาอาจารย์น้อยเต็มทนที่ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชีวิตนาง ถึงจะยังไม่ถึงกับทำลายความสาวแต่ก็ลวนลามเรือนกายจนหนำใจทุกครั้ง แล้วยังก้าวก่ายเข้ามาบงการไม่ให้นางได้ใช้ชีวิตอิสระเช่นสาวแรกรุ่นวัยเดียวกัน ทำไมถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้
สิ่งเดียวที่ช่วยชโลมใจสาวไม่ให้เหี่ยวเฉาลงไปก็คือความคิดคำนึงถึงมูซาชิ...ชายในดวงใจ
ทุกครั้งที่ถูกเซอิจูโรเล้าโลมหนักหน่วงไม่ยั้งมือ อาเกมิจะนึกถึงใบหน้าของมูซาชิที่มองมาด้วยสายตาอ่อนโยนเสมอ แต่แม้ความเจ็บที่เรือนกายจะบรรเทาแต่ใจกลับทุกข์ระทมด้วยความโหยหา อยากวิ่งฝ่าผ่านเส้นกั้นมิติจากความเป็นจริงเข้าไปในโลกของความฝัน
“แต่”
ความคิดของสาวน้อยอาเกมิต้องมาหยุดชะงักลงที่ตรงนี้ทุกครั้งไป เมื่อตระหนักว่าตนคิดเองอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่เคยล่วงรู้เลยว่ามูซาชิคิดอย่างไรกับตน
“ข้าอยากลืม...อยากลืมเสียให้หมด”
อาเกมิมองออกไปยังท้องทะเลสีครามและอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนทะเลกำลังเรียกหา สาวน้อยนึกกลัวขึ้นมาจับใจเมื่อเห็นว่ามันช่างง่ายเหลือเกินถ้านางจะก้าวตรงเข้าไปในอ้อมกอดของเกลียวคลื่น
โอโคแม่บุญธรรมเองก็ไม่รู้หรอกว่าใจของนางดิ้นรนทุกข์ทรมานจนมาถึงทางตันเช่นนี้ เซอิจูโรก็ยิ่งไม่รู้ ใครก็ตามที่อยู่กับอาเกมิล้วนแต่หลงคิดว่านางเป็นสาวรุ่นที่ปราดเปรียวและซุกซน ร่างกายยังไม่พร้อมที่จะรับรักจากบุรุษผู้ใด
อาเกมิมองแม่บุญธรรมและบรรดาแขกที่มาเที่ยวโรงน้ำชาเป็นคนอื่น ไม่มีใจที่จะรักเคารพหรือแม้แต่จะชอบพอ นางบริการลูกค้าให้รื่นเริงบันเทิงใจด้วยการพูดตลกก็ได้ เดินย่างกรายใส่จริตให้ลูกกระพรวนที่ชายกิโมโนดังกรุ๋งกริ๋งยั่วยวนใจชายก็ได้ จะให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่พอมาอยู่คนเดียวเช่นนี้สาวน้อยโฉมงามก็ได้แต่ถอนใจอุ่น ๆ ด้วยความร้อนรุ่มด้วยความทุกข์ที่สุมอยู่ในใจ
“แม่หนู แม่หนู อยู่ตรงนี้นี่เองท่านอาจารย์น้อยเรียกหาอยู่นานแล้ว ท่านเป็นห่วงมาก ถามไม่หยุดปากว่าหายไปไหน”
เจ้าของโรงเตี๊ยมออกมาตามหา และเมื่อเห็นยืนชมทะเลอยู่ข้างแผ่นศิลาจารึกจึงวิ่งเข้ามาใกล้
อาเกมิกลับมาที่โรงเตี๊ยมก็พบเซอิจูโรอาจารย์น้อยเจ้าสำนักนั่งฟังเสียงลมพัดผ่านยอดสนอยู่คนเดียวในห้อง ซุกมือเข้าไปใต้ผ้านวมสีแดงที่คลุมโต๊ะคร่อมเตาผิง
“ไปไหนมาอาเกมิ หนาวจะตายไป”
อาจารย์น้อยทักเมื่อสาวน้อยก้าวเข้าไปในห้อง
“ไม่หนาวเลยสักนิด แดดที่ชายหาดอุ่นดีออกเจ้าค่ะ”
“ไปทำอะไรที่ชายหาด”
“เก็บเปลือกหอยเจ้าค่ะ”
“เหมือนเด็ก ๆ”
“ก็ข้าเป็นเด็กนี่เจ้าคะ”
“เด็กรึ ข้ารู้นะว่าปีใหม่นี้เจ้าจะอายุเท่าไร”
“อายุเท่าไรก็เป็นเด็กได้ไม่ใช่รึเจ้าคะ”
“ไม่ได้ เจ้าจะต้องทำตามที่แม่บอกเข้าใจไหม”
“แม่หรือเจ้าค่ะ แม่ไม่ได้คิดอะไรหรอก และข้าก็ยังเป็นเด็ก”
“เข้ามาที่เตาผิงนี่สิ จะได้อุ่น ๆ”
“ข้าไม่ชอบเตาผิง นั่งนาน ๆ จะเป็นลม แล้วข้าก็ไม่ใช่หญิงชราด้วยถึงต้องเข้าไปนั่งซุกอยู่ในโปง”
“อาเกมิ” เซอิจูโรจับข้อมือสาวน้อยดึงตัวเข้าไปที่ตัก
“วันนี้ไม่มีใครอยู่ แม่เจ้าก็ระริกระรี้กลับไปเกียวโตแล้วด้วย”
3
อะเกมิตัวแข็งเมื่อเห็นเซอิจูโรทำตาวาวเป็นประกายด้วยความหื่นกระหาย
“... ... ...”
สาวน้อยขืนด้วยด้วยสัญชาตญาณ พยายามดึงมือที่ถูกจับไว้แน่นจนเจ็บแต่ก็ไม่สำเร็จ
“หนีทำไม”
เซอิจูโรเค้นเสียง ทำหน้าเครียดจนเส้นเลือดที่หน้าผากโปนออกมา
“ข้าไม่ได้หนี”
“วันนี้ไม่มีใครอยู่ โอกาสเช่นนี้หายากนัก จริงไหมอาเกมิ”
“โอกาสอะไรกัน”
“อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสาหน่อยเลย สนิทสนมคุ้นเคยกันมาเป็นปีเจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้าต้องการอะไร โอโคแม่ของเจ้าก็รับรู้แล้วด้วย โอโคเป็นคนบอกเองว่าที่เจ้าไม่ยอมเป็นของข้าจนแล้วจนรอดก็เพราะข้าไม่เอาจริง แต่วันนี้เป็นทีของข้าแล้ว”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” อาเกมิฟุบลงไปแล้วดึงมือกลับสุดแรง
“ปล่อยเจ้าค่ะ ปล่อย”
“ข้าไม่ปล่อย”
“อย่านะ อย่า บอกว่าอย่า”
ข้อมือของอาเกมิถูกบิดไปมาด้วยแรงขัดขืนจนแดงไปหมดแต่เซอิจูโรก็ไม่ปล่อย สาวน้อยตัวเล็ก ๆ อย่างอาเกมิย่อมพ่ายแพ้ต่อพลังนักดาบผู้ผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชนแน่นอน และเซอิจูโรวันนี้ก็ไม่ใช่อาจารย์น้อยคนเดิมที่สรวลเสเฮฮา พูดโวโอ้อวดอภินิหารอยู่ในวงเหล้า
“อาเกมิ เจ้าขัดขืนทำไม อยากทำให้ข้าได้อายอย่างนั้นรึ”
เซอิจูโรหน้าขาวซีดเหมือนคนเมาทั้งที่ไม่ดื่มสาเกแม้แต่หยดเดียว
“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ปล่อยนะ ถ้าไม่ปล่อยข้าจะร้องให้คนช่วยเดี๋ยวนี้เลย ปล่อยสิ”
“ร้องสิ ร้องเลย ที่นี่ห่างจากเรือนใหญ่ ร้องเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน แล้วข้าก็สั่งไว้แล้วด้วยว่าอย่าให้ใครเข้ามา”
“ข้าจะกลับ”
“ไม่ให้กลับ”
“นี่มันเนื้อตัวของข้า ไม่ใช่ของท่าน”
“บ้าหรือเปล่า ไปถามแม่เจ้าก่อนดีไหม จะได้รู้ว่าโอโคได้ค่าตัวเจ้าไปจากข้าเท่าไร”
“ถึงท่านจะบอกว่าแม่ขายข้า แต่ข้าจำไม่ได้ว่าข้าขายตัวให้ท่านตั้งแต่เมื่อไร ถึงจะตายข้าก็ไม่ยอมขายตัวให้กับผู้ชายที่น่ารังเกียจอย่างท่าน”
“หนอยแน่ะ”
เซอิจูโรหมดความอดทน ถลกผ้านวมขึ้นมาโปะลงไปบนหน้าอาเกมิ สาวน้อยกรีดร้องเสียงแหลมแทบขาดใจขณะที่ปากถูกผ้านวมอุดเอาไว้
อาเกมิกรีดสุดเสียง แต่ก็ไม่มีใครมาช่วย
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านประตูเลื่อนเข้ามาในห้อง เสียงลมทะเลพัดผ่านยอดสนหวีดหวิว
มองจากภายนอกดูปกติดี เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ เรียกหากัน แว่วมาแต่ไกล
วันในฤดูหนาววันนี้จะสงบสุข หากไม่มีคนก่อเรื่องอุบาทขึ้นในเรือนที่ห่างออกมาจากเรือนใหญ่ของโรงเตี๊ยมริมทะเล แห่งนี้
เงียบไปได้ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงอาเกมิร้องไห้โฮออกมาแล้วเงียบไป
และอึดใจต่อมาเซอิจูโรก็เดินหน้าซีดกุมมือซ้ายที่ถูกข่วนด้วยเล็บจนเลือดโชกเดินโผเผออกมาจากห้องที่เกิดเหตุ
ตามมาด้วยเสียงประตูเลื่อนถูกเปิดออกด้วยกำลังแรง เสียงดังคล้ายกับจะทลายลงมาทั้งบาน และอาเกมิวิ่งถลาออกไปจากเรือนสุดฝีเท้าด้วยท่าทางเหมือนคนเสียสติ
“เฮ้ย”
เซอิจูโรขยับตัวจะคว้าเอาไว้แต่ก็ไม่ทันจึงได้แต่ยืนกุมมือซ้ายมองตามไปอย่างกังวลนิด ๆ โดยไม่กวดตาม
และพอเห็นอาเกมิวิ่งเข้าไปในสวนของโรงเตี๊ยมแล้วหายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งก็ถอนใจด้วยความโล่งอก มุมปากเผยอยิ้ม นิด ๆ ด้วยความพึงพอใจ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทะเลที่โยชิอุระสาดคลื่นงดงามตระการตาราวสายมาลัยกุหลาบขาวเข้าฝั่งแล้วเคลื่อนถอยออกไปและรับมาลัยอีกสายหนึ่งเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมของท้องทะเล อวลใจจนแทบไม่รู้สึกถึงความเยียบเย็นยามฤดูหนาว
สาวน้อยอาเกมิยกชายกิโมโนขึ้นมาเหน็บ ยืนให้เกลียวคลื่นสัดเข้ามาล้อเล่นกับขาเรียวยาวผ่อง พลางก้มลงหยิบอะไรขึ้นมาดูแล้วโยนทิ้งไปเป็นครั้งคราว
แต่แล้วก็ต้องหยุดยืน เบิกตากลมโตด้วยความฉงนปนสนใจใคร่รู้ เมื่อเห็นกลุ่มศิษย์สำนักโยชิโอกะที่วิ่งตามกันมาดี ๆ ชักดาบออกออกพร้อมเพรียงกันแล้วออกวิ่งไปคนละทิศละทาง
“เอ๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
พอดีศิษย์สำนักคนหนึ่งวิ่งชูดาบโร่เฉียดมาพอดี นางจึงเรียกเอาไว้
“จะไปไหนกันหรือ”
“อ้าว อาเกมิเองรึ”
นักดาบหยุดฝีเท้าทันควันจนทรายกระจาย
“ใคร ๆ เขาช่วยกันตามหากันให้วุ่นออกอย่างนี้ เจ้าไม่ออกไปตามหาด้วยหรอกรึ”
“จะให้ไปด้วยยังไง ข้ายังไม่รู้เลยว่าพวกท่านตามหาใคร”
“เจ้าหนุ่มไว้ผมปรกหน้าผาก และมีลูกลิงเกาะไหล่”
“แล้วพวกท่านจะไปตามหาเขาทำไม”
“ข้ารู้แต่ว่าต้องหาให้เจอ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของอาจารย์น้อยจะต้องถูกเหยียบย่ำป่นปี้”
ว่าแล้วศิษย์สำนักดาบก็เล่าเรื่องที่กิองโทจิถูกหยามน้ำหน้าบนเรือข้ามฟากให้สาวน้อยฟังคร่าว ๆ พอเข้าใจ แต่แทนที่จะ
เออออไปด้วย อาเกมิกลับไม่สนใจแถมเชิดหน้าต่อว่าเอาเสียอีก
“พวกท่านก็ดีแต่หาเรื่องทะเลาะวิวาท”
“เราไม่ได้อยากหาเรื่องทะเลาะวิวาท แต่ถ้าปล่อยให้เจ้าหนุ่มอันธพาลคนนั้นให้ลอยนวลไปก็จะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติภูมิของสำนักดาบโยชิโอกะแห่งเกียวโตที่ยิ่งใหญ่ในปฐพี”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ อาเกมิ”
“มาว่าข้าทำไม พวกผู้ชายสิน่าเบื่อ วัน ๆ เอาแต่หาเรื่องไร้สาระไม่รู้จักหยุดหย่อน”
“แล้วเจ้าล่ะดีนักรึ ออกมาเที่ยวหาอะไรอยู่เป็นนาน ไม่เห็นจะได้เรื่อง”
สาวน้อยอาเกมิ มองไปที่ทรายละเอียดสวยสะอาดที่แทบเท้า”
“ข้าก็หาเปลือกหอยน่ะซี”
“หาเปลือกหอยรึไม่เห็นจะได้เรื่อง อย่ามาทำปากดีว่าพวกเราเลย หันไปเบิ่งตาดูผู้หญิงกันเองเสียบ้างสิ ไร้สาระไม่มีดี แค่เปลือกหอยทำไมต้องเสียเวลาหา ดูสิเกลื่อนกลาดเต็มหาดทรายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า”
“ต้องหาสิ เปลือกหอยที่ข้าหาไม่ได้มีอยู่ดาษดื่น แต่เป็นเปลือกหอยที่ถูกลืม”
“เปลือกหอยที่ถูกลืม มีด้วยรึ ข้าไม่เคยได้ยิน”
“มีสิ และบนหาดทรายที่ไหนก็ไม่มี นอกจากที่หาดซูมิโยชิแห่งนี้”
“หาเท่าไรก็ไม่เจอหรอก ข้าขอบอกให้เอาบุญ”
“มีสิ” สาวน้อยอาเกมิเถียงด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“ไม่เชื่อก็มาตรงนี้สิ ข้าจะให้ดูหลักฐานที่แสดงว่ามีจริง”
ว่าแล้วสาวน้อยโฉมงามก็ฉุดมือศิษย์สำนักไปยังแนวต้นสนที่อยู่ไม่ไกลนัก และชี้ไปที่แผ่นศิลาที่จารึกบทกวีโบราณเอาไว้บทหนึ่งอ่านได้ความว่า
หากมีเวลาขอให้ไปที่หาดทรายซูมิโยชิแล้วจะได้พบกับหอยที่ถูกลืม
สาวน้อยอาเกมิยืดอกอย่างภาคภูมิ
“เห็นไหม เชื่อหรือยังว่าข้าไม่ได้โกหก”
“นั่นมันเรื่องเล่าในตำนาน เจ้าจะไปเอาอะไรกับบทกวีที่มีแต่เพ้อฝันทั้งเพ”
“ท่านรู้หรือเปล่า ที่ซูมิโยชินอกจากหอยที่ถูกลืมแล้ว ยังมีน้ำที่ถูกลืม ต้นหญ้าที่ถูกลืมด้วยนะ”
“เอาละ ๆ เชื่อก็ได้ แต่เปลือกหอยที่ถูกลืมของเจ้าน่ะมีดีอะไรนักรึถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาหาอย่างนี้”
“มีสิ ถ้าท่านเอาเปลือกหอยที่ถูกลืมพกติดตัวไปด้วย เหน็บผ้าคาดเอวหรือใส่ไว้ในอกเสื้อก็ได้ ท่านจะลืมอะไร ๆ ได้ง่าย”
“อะไรนะ เจ้ายังอยากเป็นคนขี้ลืมมากไปกว่านี้รึ” นักดาบหัวเราะ
“ใช้ ข้าอยากลืมอะไร ๆ ให้หมด อะไร ๆ ที่ข้าอยากลืมแต่ลืมไม่ลงมันรบกวนใจข้า กลางคืนก็นอนไม่หลับ กลางวันก็ทุกข์ทรมาน ข้าถึงมาหาเปลือกหอยที่ถูกลืมที่นี่ไงล่ะ ท่านช่วยข้าหาหน่อยสิ”
“ข้าไม่มีเวลามามาเล่นกับเด็กอย่างเจ้าหรอกนะ”
ว่าแล้วลูกศิษย์สำนักก็ยืดตัวตัวตรงหันหน้าไปทางหนึ่งแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้าหายลับไปในหมู่ไม้
2
...อยากลืม
คราใดที่ทุกข์ใจขึ้นมาสาวน้อยอาเกมิก็ได้แต่คิดว่าความทุกข์นั้นจะผ่านไปถ้าหักใจลืมเรื่องราวในอดีตเสียให้หมด แต่จะทำยังไงได้
ก็ข้าไม่อยากลืมนี่
สาวน้อยโฉมงามยืนกอดอกจิตใจวกวนอยู่กับความคิดที่ขัดแย้งกันเอง อาเกมิตั้งใจไว้ว่าถ้าพบเปลือกหอยที่ถูกลืมเธอจะเก็บมันไปใส่ไว้ในอกเสื้อของอาจารย์น้อยเซอิจูโร เพราะอยากให้นักดาบผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นลืมเสียให้หมดว่านางเป็นใคร
คิดขึ้นมาก็ได้แต่ทอดถอนใจ
นางระอาอาจารย์น้อยเต็มทนที่ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชีวิตนาง ถึงจะยังไม่ถึงกับทำลายความสาวแต่ก็ลวนลามเรือนกายจนหนำใจทุกครั้ง แล้วยังก้าวก่ายเข้ามาบงการไม่ให้นางได้ใช้ชีวิตอิสระเช่นสาวแรกรุ่นวัยเดียวกัน ทำไมถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้
สิ่งเดียวที่ช่วยชโลมใจสาวไม่ให้เหี่ยวเฉาลงไปก็คือความคิดคำนึงถึงมูซาชิ...ชายในดวงใจ
ทุกครั้งที่ถูกเซอิจูโรเล้าโลมหนักหน่วงไม่ยั้งมือ อาเกมิจะนึกถึงใบหน้าของมูซาชิที่มองมาด้วยสายตาอ่อนโยนเสมอ แต่แม้ความเจ็บที่เรือนกายจะบรรเทาแต่ใจกลับทุกข์ระทมด้วยความโหยหา อยากวิ่งฝ่าผ่านเส้นกั้นมิติจากความเป็นจริงเข้าไปในโลกของความฝัน
“แต่”
ความคิดของสาวน้อยอาเกมิต้องมาหยุดชะงักลงที่ตรงนี้ทุกครั้งไป เมื่อตระหนักว่าตนคิดเองอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่เคยล่วงรู้เลยว่ามูซาชิคิดอย่างไรกับตน
“ข้าอยากลืม...อยากลืมเสียให้หมด”
อาเกมิมองออกไปยังท้องทะเลสีครามและอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนทะเลกำลังเรียกหา สาวน้อยนึกกลัวขึ้นมาจับใจเมื่อเห็นว่ามันช่างง่ายเหลือเกินถ้านางจะก้าวตรงเข้าไปในอ้อมกอดของเกลียวคลื่น
โอโคแม่บุญธรรมเองก็ไม่รู้หรอกว่าใจของนางดิ้นรนทุกข์ทรมานจนมาถึงทางตันเช่นนี้ เซอิจูโรก็ยิ่งไม่รู้ ใครก็ตามที่อยู่กับอาเกมิล้วนแต่หลงคิดว่านางเป็นสาวรุ่นที่ปราดเปรียวและซุกซน ร่างกายยังไม่พร้อมที่จะรับรักจากบุรุษผู้ใด
อาเกมิมองแม่บุญธรรมและบรรดาแขกที่มาเที่ยวโรงน้ำชาเป็นคนอื่น ไม่มีใจที่จะรักเคารพหรือแม้แต่จะชอบพอ นางบริการลูกค้าให้รื่นเริงบันเทิงใจด้วยการพูดตลกก็ได้ เดินย่างกรายใส่จริตให้ลูกกระพรวนที่ชายกิโมโนดังกรุ๋งกริ๋งยั่วยวนใจชายก็ได้ จะให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่พอมาอยู่คนเดียวเช่นนี้สาวน้อยโฉมงามก็ได้แต่ถอนใจอุ่น ๆ ด้วยความร้อนรุ่มด้วยความทุกข์ที่สุมอยู่ในใจ
“แม่หนู แม่หนู อยู่ตรงนี้นี่เองท่านอาจารย์น้อยเรียกหาอยู่นานแล้ว ท่านเป็นห่วงมาก ถามไม่หยุดปากว่าหายไปไหน”
เจ้าของโรงเตี๊ยมออกมาตามหา และเมื่อเห็นยืนชมทะเลอยู่ข้างแผ่นศิลาจารึกจึงวิ่งเข้ามาใกล้
อาเกมิกลับมาที่โรงเตี๊ยมก็พบเซอิจูโรอาจารย์น้อยเจ้าสำนักนั่งฟังเสียงลมพัดผ่านยอดสนอยู่คนเดียวในห้อง ซุกมือเข้าไปใต้ผ้านวมสีแดงที่คลุมโต๊ะคร่อมเตาผิง
“ไปไหนมาอาเกมิ หนาวจะตายไป”
อาจารย์น้อยทักเมื่อสาวน้อยก้าวเข้าไปในห้อง
“ไม่หนาวเลยสักนิด แดดที่ชายหาดอุ่นดีออกเจ้าค่ะ”
“ไปทำอะไรที่ชายหาด”
“เก็บเปลือกหอยเจ้าค่ะ”
“เหมือนเด็ก ๆ”
“ก็ข้าเป็นเด็กนี่เจ้าคะ”
“เด็กรึ ข้ารู้นะว่าปีใหม่นี้เจ้าจะอายุเท่าไร”
“อายุเท่าไรก็เป็นเด็กได้ไม่ใช่รึเจ้าคะ”
“ไม่ได้ เจ้าจะต้องทำตามที่แม่บอกเข้าใจไหม”
“แม่หรือเจ้าค่ะ แม่ไม่ได้คิดอะไรหรอก และข้าก็ยังเป็นเด็ก”
“เข้ามาที่เตาผิงนี่สิ จะได้อุ่น ๆ”
“ข้าไม่ชอบเตาผิง นั่งนาน ๆ จะเป็นลม แล้วข้าก็ไม่ใช่หญิงชราด้วยถึงต้องเข้าไปนั่งซุกอยู่ในโปง”
“อาเกมิ” เซอิจูโรจับข้อมือสาวน้อยดึงตัวเข้าไปที่ตัก
“วันนี้ไม่มีใครอยู่ แม่เจ้าก็ระริกระรี้กลับไปเกียวโตแล้วด้วย”
3
อะเกมิตัวแข็งเมื่อเห็นเซอิจูโรทำตาวาวเป็นประกายด้วยความหื่นกระหาย
“... ... ...”
สาวน้อยขืนด้วยด้วยสัญชาตญาณ พยายามดึงมือที่ถูกจับไว้แน่นจนเจ็บแต่ก็ไม่สำเร็จ
“หนีทำไม”
เซอิจูโรเค้นเสียง ทำหน้าเครียดจนเส้นเลือดที่หน้าผากโปนออกมา
“ข้าไม่ได้หนี”
“วันนี้ไม่มีใครอยู่ โอกาสเช่นนี้หายากนัก จริงไหมอาเกมิ”
“โอกาสอะไรกัน”
“อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสาหน่อยเลย สนิทสนมคุ้นเคยกันมาเป็นปีเจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้าต้องการอะไร โอโคแม่ของเจ้าก็รับรู้แล้วด้วย โอโคเป็นคนบอกเองว่าที่เจ้าไม่ยอมเป็นของข้าจนแล้วจนรอดก็เพราะข้าไม่เอาจริง แต่วันนี้เป็นทีของข้าแล้ว”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” อาเกมิฟุบลงไปแล้วดึงมือกลับสุดแรง
“ปล่อยเจ้าค่ะ ปล่อย”
“ข้าไม่ปล่อย”
“อย่านะ อย่า บอกว่าอย่า”
ข้อมือของอาเกมิถูกบิดไปมาด้วยแรงขัดขืนจนแดงไปหมดแต่เซอิจูโรก็ไม่ปล่อย สาวน้อยตัวเล็ก ๆ อย่างอาเกมิย่อมพ่ายแพ้ต่อพลังนักดาบผู้ผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชนแน่นอน และเซอิจูโรวันนี้ก็ไม่ใช่อาจารย์น้อยคนเดิมที่สรวลเสเฮฮา พูดโวโอ้อวดอภินิหารอยู่ในวงเหล้า
“อาเกมิ เจ้าขัดขืนทำไม อยากทำให้ข้าได้อายอย่างนั้นรึ”
เซอิจูโรหน้าขาวซีดเหมือนคนเมาทั้งที่ไม่ดื่มสาเกแม้แต่หยดเดียว
“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ปล่อยนะ ถ้าไม่ปล่อยข้าจะร้องให้คนช่วยเดี๋ยวนี้เลย ปล่อยสิ”
“ร้องสิ ร้องเลย ที่นี่ห่างจากเรือนใหญ่ ร้องเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน แล้วข้าก็สั่งไว้แล้วด้วยว่าอย่าให้ใครเข้ามา”
“ข้าจะกลับ”
“ไม่ให้กลับ”
“นี่มันเนื้อตัวของข้า ไม่ใช่ของท่าน”
“บ้าหรือเปล่า ไปถามแม่เจ้าก่อนดีไหม จะได้รู้ว่าโอโคได้ค่าตัวเจ้าไปจากข้าเท่าไร”
“ถึงท่านจะบอกว่าแม่ขายข้า แต่ข้าจำไม่ได้ว่าข้าขายตัวให้ท่านตั้งแต่เมื่อไร ถึงจะตายข้าก็ไม่ยอมขายตัวให้กับผู้ชายที่น่ารังเกียจอย่างท่าน”
“หนอยแน่ะ”
เซอิจูโรหมดความอดทน ถลกผ้านวมขึ้นมาโปะลงไปบนหน้าอาเกมิ สาวน้อยกรีดร้องเสียงแหลมแทบขาดใจขณะที่ปากถูกผ้านวมอุดเอาไว้
อาเกมิกรีดสุดเสียง แต่ก็ไม่มีใครมาช่วย
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านประตูเลื่อนเข้ามาในห้อง เสียงลมทะเลพัดผ่านยอดสนหวีดหวิว
มองจากภายนอกดูปกติดี เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ เรียกหากัน แว่วมาแต่ไกล
วันในฤดูหนาววันนี้จะสงบสุข หากไม่มีคนก่อเรื่องอุบาทขึ้นในเรือนที่ห่างออกมาจากเรือนใหญ่ของโรงเตี๊ยมริมทะเล แห่งนี้
เงียบไปได้ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงอาเกมิร้องไห้โฮออกมาแล้วเงียบไป
และอึดใจต่อมาเซอิจูโรก็เดินหน้าซีดกุมมือซ้ายที่ถูกข่วนด้วยเล็บจนเลือดโชกเดินโผเผออกมาจากห้องที่เกิดเหตุ
ตามมาด้วยเสียงประตูเลื่อนถูกเปิดออกด้วยกำลังแรง เสียงดังคล้ายกับจะทลายลงมาทั้งบาน และอาเกมิวิ่งถลาออกไปจากเรือนสุดฝีเท้าด้วยท่าทางเหมือนคนเสียสติ
“เฮ้ย”
เซอิจูโรขยับตัวจะคว้าเอาไว้แต่ก็ไม่ทันจึงได้แต่ยืนกุมมือซ้ายมองตามไปอย่างกังวลนิด ๆ โดยไม่กวดตาม
และพอเห็นอาเกมิวิ่งเข้าไปในสวนของโรงเตี๊ยมแล้วหายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งก็ถอนใจด้วยความโล่งอก มุมปากเผยอยิ้ม นิด ๆ ด้วยความพึงพอใจ