xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ ตอน ลิงจ๋อจอมซน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


ภาค 3 ไฟ ตอน ลิงจ๋อจอมซน

...ลิงจริง ๆ ด้วย

ผู้โดยสารเรือทั้งชายหญิงที่ยังไม่ทันจะหายตื่นเต้นกับฝีดาบพิฆาตนกของนักดาบรูปงาม
ส่งเสียงเอะอะขึ้นอีกครั้งพลางชี้ชวนกันมองสูงขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ

“คาบอะไรขึ้นไปด้วยก็ไม่รู้”

“ไพ่น่ะซี”

“ฮะ
ฮะ ฮะ สำคัญนักเจ้าลิงน้อย ขโมยไพ่ของพวกพ่อค้าเศรษฐีขึ้นไปเป็นปึกเลยรึนั่น”

“ดูมัน ดูมัน
เจ้าตัวแสบขึ้นไปคลี่ไพ่เอาอย่างพ่อค้านักพนันอยู่บนเสากระโดง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

หัวเราะยังไม่ทันขาดเสียง
ไพ่ใบหนึ่งก็ปลิวตกลงมาแปะกลางหน้าพอดี

“เฮ้ย
ไอ้ลิงบ้า”

พ่อค้าเศรษฐีเมืองซาไก
ปราดเข้าไปเก็บไพ่ใบนั้นมาเข้าสำรับทันที พร้อมกับด่าขรม

“ยังไม่ครบ
มันยังยึดไว้อีกสามสี่ใบ”

คนอื่นในวงไพ่ร้องอุทธรณ์เสียงขรม

“เร็วเข้า
ใครก็ได้ช่วยแย่งไพ่คืนมาจากเจ่าลิงจ๋อตัวนั้นที พวกข้ากำลังพนันกันค้างอยู่
ยังไม่รู้ว่าใครจะได้กินตานี้”

“ใครจะปีนขึ้นไปแย่งมาได้
เสากระโดงไม่ได้สูงแค่ศอกสองศอก”

“เรียกกัปตันมาสิ”

“กัปตันต้องปีนขึ้นไปได้แน่”

“นายแน่ะ
ช่วยเอาเงินไปจ้างกัปตัน ให้ขึ้นไปแย่งไพ่ของพวกเรามาจากเจ้าลิงจ๋อนั่นทีเถิด”

กัปตันเรือรับเงินเอาไว้ก่อนและตกลงที่จะปีนขึ้นไปแย่งไพ่จากลิงบนเสากระโดงเรือ
แต่ด้วยสำนึกถึงความเป็นผู้อยู่ในฐานะที่มีอำนาจเต็มและต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรือลำนี้
กัปตันจึงตีหน้าเครียดกระโดดขึ้นไปยืนเด่นเป็นสง่าเหนือกองสัมภาระ
กวาดตามองไปยังผู้โดยสารที่ยืนอยู่โดยรอบพร้อมกับเปล่งวาจาว่า

“ขอให้ผู้โดยสารทั้งหลายจงอยู่ในความสงบ
และเจ้าของลิงตัวนี้กรุณาแสดงตัวด้วย”

ไม่ใครก้าวออกมาแสดงตัว
แต่ผู้โดยสารทุกคนต่างรู้กันดีและจับตามองมาที่เจ้าหนุ่มรูปงามแทบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

กัปตันเองก็รู้ดีและน่าจะเดือดดาลที่เจ้าหนุ่มนั่งเงียบอยู่
จึงคาดคั้นขึ้นเสียงดังเกือบเป็นตวาด

“ว่าไง ใครเป็นเจ้าของลิง
ถ้าไม่มีข้าก็จะจัดการตามที่เห็นสมควร แล้วขอบอกไว้ก่อนเลยว่า
จะมาร้องเรียนที่หลังไม่ได้เป็นอันขาด”

ผู้โดยสารโดยรอบขมวดคิ้วนิ่วหน้าพยักหน้าให้กันเป็นเชิงว่า...ไม่มีเจ้าของได้ยังไง
พลางชำเลืองไปที่เจ้าหนุ่มหน้ามนที่นั่งพิงหีบห่อสัมภาระคิดอะไรอยู่คนเดียว

“หนอยแน่ะ
ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน”

ใครคนหนึ่งทำตาประหลับประเหลือกกระซิบกับเพื่อน
กัปตันเองก็ชำเลืองไปที่เจ้าหนุ่ม
นักพนันก่นด่าและสาปแช่งกันขรมถมเถที่ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของลิง

แต่เจ้าหนุ่มรูปงามก็ยังนิ่งเฉยได้แต่ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง
ไม่สนใจกับความเคลื่อนไหวรอบข้าง

“เอาละ
เป็นอันว่าลิงที่ไม่มีเจ้าของได้พลัดขึ้นมาอยู่บนเรือลำนี้
และในเมื่อเป็นสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของเราก็จะจัดการกับมันอย่างไรก็ได้
ผู้โดยสารทั้งหลายช่วยเป็นพยานให้ข้าในฐานะที่เป็นกัปตันเรือลำนี้ด้วยว่า
ข้าได้พยายามประกาศหาเจ้าของหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีใครแสดงตัว
จะมาอ้างว่าหูไม่ดีไม่ได้ยินไม่ได้”

“แน่นอน กัปตัน
พวกข้าจะเป็นพยานให้”

พ่อค้าเศรษฐีคนหนึ่งในวงไพ่รับคำ
หน้าตาถมึงทึงด้วยความโกรธจัด

กัปตันประกาศจบก็กระโดดลงจากกองสัมภาระแล้วเดินกึง
ๆ ลงบันไดไปที่ท้องเรือ และกลับขึ้นมาพร้อมปืนไฟที่ชนวนติดไฟพร้อมยิง

กัปตันเลือดเดือดแล้ว

ผู้โดยสารเรือสบตากันแล้วมองไปยังเจ้าหนุ่มรูปงามที่ใคร
ๆ ก็รู้ว่าเป็นเจ้าของลิง ต่างคนต่างใจเต้นระทึก
เดาไม่ออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกอึดใจข้างหน้า

2

เจ้าลิงน้อยบนเสากระโดงเรือนั่งดูไพ่ในมือตากลมทะเลเย็นสบาย
โดยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับใคร แต่ในสายตาของมนุษย์ที่มองขึ้นมากลับเห็นว่ามันกำลังเย้ยหยัน

แต่อยู่ดี ๆ มันก็แยกเขี้ยวขาว
ร้องเจี๊ยก ๆ แล้วกระโดดลงไปที่ไม้คานใบเรือ
วิ่งไปจนสุดปลายด้านหนึ่งแล้วลังเลไม่รู้จะไปไหนต่อ

“...
... ...”

กัปตันยกปืนที่ชนวนติดไฟเกือบถึงจุดระเบิดอยู่แล้วขึ้นเล็งไปที่เจ้าลิงน้อย

“เห็นไหม
รู้ตัวแล้วละซี ถึงได้เผ่นไปโน่น”

นักพนันคนหนึ่งที่คงดื่มสาเกเข้าไปพอดูแล้วชี้โบ้ชี้เบ้ขึ้นไป

“จุ๊
ๆ อย่าเอะอะไป”

พ่อค้าจากซาไกดึงแขนเสื้อเอาไว้

ตอนนั้นเองที่เจ้าหนุ่มรูปงามที่นั่งเบือนหน้าไปทางอื่นนิ่งเงียบเหมือนเป็นใบ้
ผลุดลุกขึ้นยืน

“กัปตัน”

เจ้าหนุ่มเรียก
แต่กัปตันทำเป็นไม่ได้ยินและเหนี่ยวไกปืนทันที

ปัง

เฮ้ย

เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
ผู้โดยสารอุดหู ร้องลั่นพร้อมทิ้งตัวหลบลงนอนราบ
ได้ยินเสียงกระสุนผ่านหวิวเหนือหัวไปตกลงในทะเลนอกลำเรือ

“แก
แก กล้าดียังไง”

กัปตันโกรธจัดตัวสั่นเสียงสั่นเมื่อถูกเจ้าหนุ่มหน้ามนปัดปืนพลาดเป้าไปทางหนึ่ง
และพอตั้งตัวได้ก็กระโจนเข้าไปขยุ้มคอเสื้อเจ้าหนุ่ม
ทำให้เกิดภาพหน้าขันเหมือนคนแคระห้อยโหนลงมาจากอกยักษ์
กัปตันเป็นชาวทะเลรูปร่างกำยำก็จริงแต่พอมายืนประจันหน้ากันแล้ว
จึงเห็นว่าเจ้าหนุ่มรูปงามทั้งสูงทั้งล่ำสันกว่าเป็นเท่าตัว

“แกนั่นแหละทำบ้าอะไร คิดยังไงถึงกับไปเอาปืนมายิงลิงตัวเล็ก ๆ
ไร้เดียงสาอย่างนั้น”

“เออซิ
ข้าจะยิงมัน”

“มันไม่มากไปรึ”

“ข้าเตือนแล้วไม่ได้ยินรึไง”

“เตือนว่าไง”

“เอ๊ะ
เอ็งนี่ไม่มีหูไม่มีตาเลยรึ”

“หยุด
ข้าเป็นผู้โดยสารเรือลำนี้ และยิ่งกว่านั้นข้าเป็นซามูไร
กัปตันเป็นใหญ่ในเรือก็จริง แต่ไม่ควรบังอาจขึ้นไปยืนบนที่สูงเหนือผู้โดยสาร
พูดวางอำนาจราวกับพวกเขาเป็นบริวารของตน และยังมาตั้งคำถามรดหัวซามูไรอย่างข้า
มีหรือที่ข้าจะเงยหน้าขึ้นตอบ”

“อย่ามาแถ
ข้าประกาศเตือนซ้ำแล้วหลายครั้ง ถึงจะไม่พอใจท่าทีของข้า
ก็ควรพูดอะไรออกมาก่อนที่ข้าจะตัดสินใจทำอะไร
อย่างน้อยก็ควรคิดถึงผู้โดยสารคนอื่นเขาบ้างว่าเดือดร้อนแค่ไหน
ไม่ใช่นั่งเงียบทำไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้น”

“ที่ว่าผู้โดยสารคนอื่นน่ะใคร
อ๋อ เจ้าหมายถึงพวกพ่อค้าที่สุมหัวเล่นการพนันอยู่หลังม่านกั้นนั่นใช่ไหม”

“อย่ามาทำปากดี
เจ้าไม่รู้รึว่าผู้โดยสารพวกนั้นจ่ายค่าโดยสารแพงกว่าผู้โดยสารคนอื่นถึงสามเท่า”

“ถึงจะจ่ายค่าโดยสารแพงกว่าคนอื่น
แต่ก็ไม่ได้ช่วยยกระดับให้คนพวกนี้สูงขึ้นมาได้ ยังไงก็เป็นพ่อค้าชั้นเลวอยู่ดี
เล่นการพนันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดื่มกินเสียงขรมถมเถไม่เกรงใจใคร ราวกับว่าเรือทั้งลำเป็นของตัวเอง
ข้านั่งหันหน้ามองทะเลเสียเพราะรำคาญตาเต็มที
เจ้าลิงน้อยแย่งไพ่หนีขึ้นไปบนเสากระโดงแล้วยังไง ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งสักหน่อย
มันเห็นพวกนั้นเล่นการพนันดูสนุกดีก็เลยเลียนแบบ
ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องขอโทษใคร”

เจ้าหนุ่มรูปงามเบนสายตาไปทางกลุ่มพ่อค้าเมืองซาไกและโอซากาตั้งแต่พูดไปได้ครึ่ง
ๆ และหัวเราะเย้ยหยันให้ได้ยินไปถึงตรงนั้น


3
เรือใกล้ถึงฝั่งแล้ว แสงไฟสีแดงจากท่าเรือคิซูกาวะวิบวับอยู่ในความสลัวของท้องทะเลยามเย็น
กลิ่นคาวปลาล่องลอยอยู่ทั่วไป เสียงกู่เรียกจากเรือและเสียงขานรับเอะอะของคนบนฝั่งดังใกล้กันเข้ามาทุกสี สมอถูกทิ้งลงดังตูม น้ำทะเลแตกฟองกระเพื่อมขึ้นมากระทบท้องเรือและกระเซ็นขึ้นมา กลาสีเรือเหวี่ยงห่วงเชือกไปคล้องเสาและทอดสะพานพาดฝั่ง
“ข้ามารับแขกที่ของคาชิวายะ”
“คุณชายน้อยของศาลเจ้าซูมิโยชิโดยสารมาด้วยหรือเปล่าขอรับ”
“แถวนี้มีคานหามรับจ้างบ้างไหม”
“นายขอรับ ข้าอยู่ทางนี้”
ขบวนคนมารับถือโคมกรูเข้ามาที่สะพานเทียบเรือส่งเสียงเรียกขานกันเซ็งแซ่
เจ้าหนุ่มรูปงามเดินลงจากเรือมาพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ มีเจ้าลิงตัวน้อยเกาะอยู่บนบ่า คนเรียกแขกจากโรงเตี๊ยมสองสามคนเห็นเข้าก็รีบแข่งกันเข้ามาเสนอตัว
“พ่อหนุ่ม โรงเตี๊ยมเราไม่คิดค่าพักสำหรับสัตว์เลี้ยง ตามข้ามาได้เลย”
“โรงเตี๊ยมเราอยู่หน้าศาลเจ้าซูมิโยชิ ไปสักการะได้สะดวกมาก ห้องพักก็สวยและวิวดีด้วย”
เจ้าหนุ่มรูปงามที่มีเจ้าลิงน้อยเกาะบ่าอยู่ ไม่สนใจคำชวนเชิญของบรรดาโรงเตี๊ยมและไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมารับ เดินตรงเข้าไปที่ท่าเรือแล้วหายไปในความมืดสลัวของยามเย็น
หนึ่งในบรรดาพ่อค้าเมืองซาไกและโอซากามองตามไปพลางบ่นกับเพื่อน
“เจ้านี่อวดดีชะมัด ไม่เห็นจะมีอะไรดีนักหนา แค่มีฝีมือดาบนิด ๆ หน่อย ๆ แค่นั้นเอง”
“จริง เพราะเจ้านี่แท้ ๆ ทำเอาทุกคนในเรืออารมณ์เสียไปครึ่งค่อนวัน”
“นี่ถ้าข้าเป็นซามูไรด้วยกัน มีหวังไม่ได้ลงจากเรือดี ๆ แน่”
“เฉยไว้น่ะดีแล้ว พวกซามูไรก็ชอบเบ่งอย่างนี้แหละ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วมีความสุขก็ปล่อยไปเถิดอย่าเอามาเป็นอารมณ์เลย ชาวเมืองอย่างเราเป็นพวกมอบดอกไม้ให้คนอื่นชื่นชมส่วนตนคอยกินผล เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นวันนี้มันก็แค่เป็นเหตุสุดวิสัยเท่านั้นเอง”
คนพูดเฝ้าดูคนงานขนสัมภาระมากมายของตนมารวมกันครบถ้วนก่อนเดินตามคนอื่น ๆ ลงจากเรือ ตรงไปที่กลุ่มคนที่มารับถือโคมไฟวอมแววพร้อมพาหนะ แต่ละคนมีผู้หญิงเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังคนหนึ่งหรือมากกว่านั้น
กิองโทจิเดินลงจากเรือมาเงียบ ๆ และขึ้นฝั่งเป็นคนสุดท้าย
ใบหน้าของนักดาบหนุ่มเหยเกอย่างบอกไม่ถูก เท่าที่ผ่านมาไม่มีวันใดที่เขาอารมณ์เสียมากไปกว่านี้อีกแล้ว มัดผมถูกคมดาบตัดขาดกระเด็นผมสยายกระจายหมดรูปทรงต้องเอาผ้าคลุมเอาไว้ คิ้วขมวดและริมฝีปากเม้มสนิทด้วยความขัดเคือง
เงาของใครคนหนึ่งไหววูบอยู่ตรงนั้น
“ท่าน ท่านโทจิ ฉันอยู่ตรงนี้”
ผู้หญิงคนนั้นมีผ้าคลุมผมเอาไว้ด้วยเหมือนกัน ความหนาวเย็นของลมทะเลที่เข้ามาที่ท่าเรือ ทำให้นางต้องนิ่วหน้าที่เคลือบแป้งขาวผ่องปิดรอยย่นให้ดูอ่อนกว่าวัย
“โอโค เจ้านั่นเอง มารับข้ารึ”
“แหม ทำมาถาม ก็ท่านเองไม่ใช่รึที่เป็นคนเขียนจดหมายมาบอกให้มารับที่นี่”
“ก็ห่วงอยู่ว่าจะมารับทันหรือเปล่า”
“เอ๊ะ ท่านเป็นอะไรไปหรือเปล่า ดูเนือย ๆ ชอบกล”
“เปล่านี่ ไม่มีอะไร อ๋อ...เมาเรือนิดหน่อย เราไปหาที่พักกันแถวซูมิโยชิดีกว่า”
“เจ้าค่ะ คานหามรออยู่ตรงโน้นแล้ว”
“ขอบใจนะ เจ้าจองโรงเตี๊ยมไว้แล้วหรือนี่”
“เจ้าค่ะ ทุกคนคอยท่านอยู่”
“อะไรนะ”
กิองโทจิเลิกคิ้ว
“เดี๋ยวก่อนโอโค นี่มันไม่ใช่ที่เราวางแผนไว้นี่ ข้าคิดจะพบกับเจ้าที่นี่ หาโรงเตี๊ยมอยู่ด้วยกันสองคนเงียบสักสองสามวันให้หายคิดถึง แต่นี่มันไม่ใช่ เจ้าบอกว่าทุกคนคอยข้าอยู่...ทุกคนของเจ้าน่ะ มีใครบ้างฮึ”

4
“ไม่เอา ข้าไม่ขึ้น”
กิองโทจิโกรธไม่ยอมขึ้นคานหามที่โอโคจ้างมาแล้วออกเดินดุ่ม ๆ ไปข้างหน้า พอโอโคฉุดรั้งเอาไว้ก็โดนตวาดว่าบ้า และไม่พูดด้วย สาเหตุที่ทำให้นักดาบหนุ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนี้ คือความไม่พอใจที่ได้ยินโอโครายงานกับเหตุการณ์บนเรือระเบิดขึ้นมาพร้อมกัน
“ข้าจะพักคนเดียว ไล่เจ้าคานหามนี่กลับไป คนอะไรไม่รู้ใจกันกันเลย บ้า บ้าชะมัด”
ว่าพลางสะบัดชายเสื้อออกจากมืองโอโคที่เกาะกุมอยู่
ตลาดปลาริมแม่น้ำว่างเปล่าไร้ผู้คน ร้านค้าปิดประตูเงียบกันหมดแล้ว เกล็ดปลาเกลื่อนอยู่บนตามหน้าร้านมืด ๆ สะท้อนแสงเรือง ๆ คล้ายเปลือกหอย พอเดินมาถึงตรงนี้โอโคก็โผเข้ากอดกิองโทจิเอาไว้แน่น
“อย่าไปเลยท่าน มันจะดูไม่ดี”
“ปล่อย บอกให้ปล่อย”
“ขืนท่านแยกออกไปพักคนเดียว คนอื่นจะสงสัยได้นะ”
“ช่างประไร”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิเจ้าคะ”
โอโคแนบแก้มเย็นเยียบกับแก้มของกิองโทจิ กลิ่นหอมของแป้งและกลิ่นผมยวนใจให้ชายหนุ่มคลายความโกรธขึ้ง ความเปล่าเปลี่ยวใจระหว่างการเดินทางอันยาวนานค่อย ๆ มลายหายไป
“ได้โปรดเถอะ อย่าไปเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมากรู้ไหม”
“จริงรึเจ้าคะ แต่เราสองคนยังมีโอกาสดี ๆ ที่จะอยู่ด้วยอีกมากมาย”
“ข้าตั้งตาคอยมาตลอดทางว่าพอขึ้นฝั่งที่โอซากา จะได้อยู่ด้วยกันสองคนกับเจ้าสักสองสามวัน”
“เข้าใจเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้วทำไมถึงไปเรียกคนอื่นมาด้วย ข้ารู้แล้ว เจ้าไม่ได้รู้สึกกับข้าอย่างที่ข้าคิด”
กิองโทจิต่อว่าต่อขาน
“เอาอีกแล้ว ท่านละก็ชอบพูดอย่างนี่เรื่อยเชียว”
โอโคตาละห้อยทำหน้าเศร้าคล้ายจะร้องไห้ และชี้แจงว่า...
เมื่อได้รับจดหมายจากกิองโทจิ นางก็ตั้งใจที่จะมารอรับที่โอซากาคนเดียว แต่จังหวะไม่ดีที่วันนั้นโอชิโอกะ เซอิจูโรพาลูกศิษย์หกเจ็ดคนมาดื่มโรงน้ำชาโยโมงิของเธอ และระหว่างที่สนุกกันอยู่นั้นอาเกมินางลูกสาวของเธอก็พลั้งพูดออกไป
ถ้ากิองโทจิมาขึ้นท่าเรือโอซากา เราก็ต้องไปรับกันน่ะซี จริงไหม
และเมื่ออาจารย์น้อยเจ้าสำนักเอ่ยปากขึ้นเช่นนั้น ลูกศิษย์ก็เห็นพ้องกันเป็นแถว
อาเกมิก็ต้องไปรับด้วย
เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าโอโคจะทัดทานได้ สุดท้ายก็เลยมากันเป็นขบวนรวมโอโคด้วยราวสิบคน เข้าพักที่โรงเตี๊ยมในย่านซูมิโยชิ และระหว่างที่ทุกคนกำลังดื่มกินกันอย่างครึกครื้น โอโคก็แยกตัวขึ้นคานหามมารอรับกิองโทจิคนเดียวอย่างที่เห็น
ฟังแล้วก็น่าเห็นใจเพราะโอโคต้องจำยอมให้มาด้วยกันเป็นขบวนเพราะไม่มีทางปฏิเสธ แต่กิองโทจิไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมารับสถานการณ์อย่างทันทีทันควันเช่นนี้ รู้สึกถึงลางร้ายว่าวันนี้และวันต่อ ๆ ไปจะต้องมีแต่เรื่องร้อนรุ่มกลุ้มใจ
ใช่...เขาจะต้องรายงานผลการเดินทางไปหาทุนมาช่วยกิจการของสำนักดาบให้อาจารย์น้อยและบรรดาศิษย์ร่วมสำนักรับรู้ แต่ไม่ใช่ทันทีที่ก้าวขึ้นบกเช่นนี้ เขาต้องการสองสามวันอยู่กับโอโคที่นีเข้าใจไหม
นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่แย่กว่านั้นคือการถอดผ้าคลุมผม...
จะบอกพวกนั้นว่ายังไงดี
การสูญเสียมัดผมอันเป็นสัญลักษณ์ของนักรบซามูไรไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้กิองโทจิเสียหน้าอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมต้องอายก็แล้วไป แต่ที่แย่ก็คือทุกคนที่นี้รู้กันทั้งนั้นว่าการถูกตัดมัดผมเป็นเรื่องน่าอาย แค่คิดก็อายมากแล้วและถ้าต้องเล่าล่ะจะยังไง
“ไปก็ไป ช่วยไม่ได้ เรียกคานหามมาสิข้าจะไปซูมิโยชิ”
“ตกลงไปนะเจ้าคะ”
โอโครับวิ่งกลับไปเรียกคานหามที่ท่าเรือ


กำลังโหลดความคิดเห็น