นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เรือประจำทางลำนี้ขึ้นล่องระหว่างแคว้นอาวะบนเกาะชิโกกุกับโอซากาเดือนละหลายเที่ยว บรรทุกสินค้าซึ่งได้แก่ครามกับกระดาษเป็นส่วนใหญ่ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าลักลอบขนยาสูบซึ่งเป็นของต้องห้ามซุกซ่อนมาที่ก้นเรือ นัยว่าเป็นความลับแต่กลิ่นมันฟ้อง ส่วนผู้โดยสารในเที่ยวเรือนี้หนึ่งในแปดหรือเก้าเป็นพ่อค้าโอซากาที่เดินทางไปกลับ เพื่อติดต่อธุระในช่วงสิ้นปี
“ว่าไงท่าน ท่าทางดูเหมือนว่าจะกำลังทำมาค้าขึ้น”
“อะไรได้ ใคร ๆ ก็พูดกันว่าซาไกกำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่ลองมาค้าขายกันดูเองก็จะรู้”
“ได้ยินมาว่า ที่นั่นกำลังแย่เพราะขาดแคลนช่างหล่อเหล็กสำหรับทำปืนไม่ใช่รึ”
พ่อค้าอีกคนรอจังหวะอยู่นานแล้ว พอได้ช่องก็สอดขึ้น
“ก็ใช่น่ะซี ข้าเป็นพ่อค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งรวมทั้งธงศึกให้แก่กองทัพของแคว้นต่าง ๆ แต่รายได้ก็ไม่เป็นกอบเป็นกำเหมือนแต่ก่อน”
“จริงรึ”
“แต่ก่อนมา พอรบแพ้ชนะเด็ดขาดกันไปคราวใด พวกซามูไรแตกทัพจะกลับไปที่สนามรบและเก็บรวบรวมเสื้อผ้าและยุทโธปกรณ์มาขายเรา เราก็จะรับซื้อ เสื้อผ้าก็เอามาย้อมเสีย พวกเสื้อเกราะและอาวุธก็เอามาขัดล้างเสียให้ดูเป็นของใหม่เอาไปขายให้กองทัพอีกที วนเวียนไปเรื่อย ๆ ก็ได้สตางค์โขอยู่ ไม่ต้องลงแรงอะไรมาก”
คำสนทนาในหมู่ผู้โดยสารเรือประจำทางก็จะเป็นไปในทำนองนี้
บางครั้ง ถ้าบังเอิญมีพ่อค้าที่หูตากว้างขวางหน่อยโดยสารมาด้วย เขาก็จะมองออกไปในทิศทางของดินแดนที่มั่งคั่งรุ่งเรืองทางฟากโน้นของท้องทะเล และบอกว่า
“การค้าขายในญี่ปุ่นเห็นทีจะคาดหวังอะไรไม่ได้ ตอนนี้มีอยู่สองทางเท่านั้นเอง คือจะเห็นด้วยหรือคัดค้านการออกไปค้าขายกับต่างชาติ อย่างท่านนายา ซูกาเอมอน หรือท่านชายะ ซูเกจิโร”
และบางคนที่ได้ยินก็จะเสริมว่า
“ถึงช่วงนี้พวกเราชาวเมืองจะรู้สึกว่าการค้าการขายฝืดเคืองไม่รุ่งเรืองเฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีกว่าพวกนักรบมากนัก บางครั้งข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกนั้นเคยรู้รสชาติความเอร็ดอร่อยของอาหารกันบ้างหรือเปล่า
ใช่ เราอาจมองกันว่าพวกผู้ครองแคว้นและนักรบใหญ่ ๆ โต ๆ ต่างก็อยู่ดีกินดีกันก็จริง แต่วัน ๆ ก็จะอยู่กับกลิ่นเหล็กและเกราะหนัง คิดถึงแต่เรื่องเกียรติยศเกียรติศักดิ์และวิถีแห่งนักรบ พอมีสงครามก็ต้องออกรบไม่รู้ว่าไปตายหรือรอดกลับมา คิดแล้วก็เห็นใจที่ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามใจชอบ”
“นักรบซามูไรก็รับผิดชอบเรื่องการรบทัพจับศึกกันไป ส่วนพวกเราชางบ้านชาวเมืองก็มีหน้าที่ค้าขาย รายเล็กบ้างใหญ่บ้างก็ว่ากันไป”
“แต่เราก็มีอิสรเสรี หาของที่ตลาดต้องการมาขายและก็คิดหากำรี้กำไรกันตามธรรมเนียม”
“แล้วก็ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูงกันหน่อย รู้จักก้มหัวคำนับเจ้าหน้าที่และนักรบในปราสาท เท่านี้ทุกอย่างก็ไปได้สวย”
“พ่อค้าอย่างเราจะรื่นเริงสุขสำราญกันได้ก็เมื่อทำมาค้าคล่อง และรู้ลู่ทางเข้านอกออกในกันเช่นนี้แหละนะ”
“พูดไปก็สงสารพวกนักรบซามูไรที่ปราสาท อยากถามพวกเขานักว่าเกิดมาเพื่ออะไรกัน”
พ่อค้ากลุ่มนี้ดูเหมือนจะฐานะดีไม่ใช่เล่น แค่พรมของนอกชั้นหนึ่งที่ใช้ปูนั่งกันบนพื้นเรือก็ชี้ชัดแล้วว่า ต้องเป็นคหบดีระดับเศรษฐีเลยทีเดียว หลังจากที่โทโยโทมิ ฮิเดโยชิจอมทัพผู้มีแสนยานุภาพเหนือแว่นแคว้นภาคตะวันตกสูญสิ้นอำนาจ ความโอ่อ่าอลังการของสังคมยุคโมโมยามะก็ตกไปอยู่ในมือชนชั้นพ่อค้าเป็นส่วนใหญ่ ระยะนี้พวกพ่อค้ามีถ้วยโถโอชาม จอกและกระปุกสาเกหรูหรางดงามใช้กันเกร่อ เครื่องใช้และเครื่องแต่งกายชุดเดินทางก็เป็นของดีมีราคา แม้พอค้าที่ขึ้นชื่อว่าตระหนี่ถี่เหนียวก็ยังมีของใช้ดี ๆ กว่านักรบซามูไรที่มีเบี้ยหวัดเงินปีสูง ๆ บางคนเสียอีก
“ชักเบื่อ”
“งั้นก็เล่นแก้เบื่อกันสักหน่อยดีไหม”
“ตกลง งั้นแม่หนู ช่วยกั้นม่านตรงนั้นที”
กลุ่มพ่อค้าเศรษฐีชวนกันเล่นไพ่อุนซุมที่ลูกเรือโปรตุเกสนำเข้ามาเผยแพร่ พลางจิบเหล้าสาเกที่สาวใช้นำมาปรนเปรอ โปรยเหรียญทองพนันขันต่อกันราวกับเป็นของเล่น จำนวนเหรียญทองที่โปะลงไปพนันกันมากมายพอจะเลี้ยงหมู่บ้านแร้นแค้นได้ทุกหลังคาเรือน
ผู้โดยสารเรือลำนี้นอกจากพ่อค้าเศรษฐีที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว ยังมีคนอื่น ๆ อีกมากหน้าหลายตา มีทั้งพระธุดงค์ ซามูไรไร้นาย คนที่ท่าทางเป็นนักปราชญ์ นักดาบ และอีกหลายสาขาอาชีพ ส่วนใหญ่พอเห็นพวกเศรษฐีตั้งวงเล่นไพ่กันอย่างครึกครื้น ต่างก็ทำหน้าเบื่อหน่าย บางคนนั่งพิงหีบห่อสัมพาระ บางคนเบือนหน้าหนีไปดูทะเลดูฟ้ายามหน้าหนาวกันไปตามเรื่อง
2
เจ้าหนุ่มคนหนึ่งนั่งพิงหีบห่อสัมภาระรวมอยู่ในกลุ่มคนที่ทำหน้าเบื่อหน่ายกับพวกเศรษฐีในวงไพ่ อุ้มตัวอะไรสักอย่างเป็นก้อนกลมนิ่ม ๆ ไว้บนตัก
“นิ่ง บอกให้นิ่งไง”
“โอ๊ะ ลูกลิงตัวนิดเดียวน่ารักจัง”
ชายที่นั่งข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้ามามอง
“เชื่องดีนะ”
“ฮะ”
“คงจะเลี้ยงมานานแล้วละซี”
“เปล่าขอรับ เพิ่งได้มาไม่นานมานี้เอง ตอนข้ามภูเขาจากโทสะมาแคว้นอาวะ”
“จับมารึ”
“ขอรับ แต่ถูกฝูงลิงพวกของแม่มันไล่ตาม กว่าจะหนีมาได้แทบแย่”
ตลอดเวลาที่สนทนากัน เจ้าหนุ่มก้มหน้างุดเพราะกำลังง่วนอยู่กับการหาเห็บให้เจ้าลิงน้อยที่เอาขาหนีบเอาไว้
เจ้าหนุ่มคนนี้ใส่กิโมโนสีฉูดฉาดทับด้วยเสื้อคลุมสีแดง รวบผมหน้ามัดไว้ด้วยเชือกสีม่วงดูเหมือนเด็กชาย ดูจากเครื่องแต่งตัวและทรงผมออกจะคะเนอายุยากอยู่ เพราะชาวเมืองสมัยนี้แต่งกายกันอย่างอิสระไม่ยึดติดอยู่ในกรอบ ความหรูหราของชนชั้นขุนนางแพร่เข้ามาในหมู่ชาวเมืองอย่างรวดเร็ว ชายวัยเกินยี่สิบจนยี่สิบห้ายี่สิบหกนิยมใส่เสื้อผ้ามีสีสันมีลูกเล่นเฟี้ยวฟ้าวเหมือนเด็กวัยรุ่นกันมาก ผมเผ้าก็เกล้าและผูกเชือกเงินเชือกทองเหมือนเด็ก ๆ ไม่โกนและเกล้าเรียบร้อยเหมือนแต่ก่อน เรียกได้ว่าแต่งตัวประกวดประขันกันเต็มที่
เจ้าหนุ่มคนนี้ก็เช่นกันการแต่งตัวตามสมัยนิยมแม้จะทำให้ดูเยาว์วัยแต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเด็กชาย เพราะรูปทรงสูงสง่าเป็นหนุ่มเต็มตัว ใบหน้าคมสันประกอบด้วยดวงตาคมเป็นประกาย หางตาเฉี่ยวขึ้นนิด ๆ และคิ้วหนา จมูกได้รูป ปากแดงด้วยเลือดฝาดและผิวขาวผ่อง
แต่กริยาท่าทียังดูเป็นเด็ก
“กระดุกกระดิกทำไม”
เจ้าหนุ่มตบหัวเจ้าลิงน้อยอย่างหมดความอดทนที่มันไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้หาเห็บ ท่าทางยามหาเห็บให้ลิงแม้จะดูไร้เดียงสาแต่มองรวม ๆ แล้วน่าจะประมาณสิบเก้าหรือยี่สิบ
สถานภาพของเจ้าหนุ่มคนนี้ก็เดายากไม่แพ้อายุ ที่แน่ ๆ คือเป็นนักเดินทางเพราะใส่ถุงเท้าหนังและสวมรองเท้าฟางเหมือนกับคนเดินทางทั่วไป ไม่น่าเป็นคนชั้นสูงในตระกูลผู้ครองแคว้น อย่างดีก็เป็นพวกซามูไรไร้นายเพราะเห็นเข้ากับผู้โดยสารเรือคนอื่นๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นพวกพระธุดงค์ พวกนักปราชญ์ หรือชาวเมืองจน ๆ แต่งตัวสกปรกไม่ผิดอะไรกับขอทาน
แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวออกจะดูดีกว่าซามูไรไร้นายทั่วไปอยู่สักหน่อย และที่สะดุดตาก็คือดาบยาวที่มีสายหนังสะพายเฉียงไว้ข้างหลัง เป็นดาบตรงแน่วเหมือนไม้ถ่อเรือ ไม่มีส่วนที่งอนขึ้นเหมือนดาบซามูไรทั่วไป ความแปลกของดาบเล่มนี้ทำให้คนที่เข้ามาใกล้และได้เห็นจะต้องทักกันทุกคนว่า...ดาบของท่านสง่างามเหลือเกิน
กิอง โทจิ ก็เป็นคนหนึ่งที่มองดาบเล่มนี้อยู่ห่าง ๆ มานานแล้ว เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ที่เกียวโต และเมื่อเห็นดาบที่ดูล้ำเลิศเช่นนั้นก็ยิ่งอยากรู้ความเป็นมาของเจ้าของ จึงตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหนุ่มคนนี้
หมอกลงจาง ๆ ยามเที่ยง บดบังทิวทัศน์ที่มองเห็นจากกราบเรือให้ลางเลือนขณะที่เรือแล่นห่างจากเกาะออกมาทุกที ลมพัดกระพือใบเรือใหญ่โตเหมือนมีชีวิตอยู่เหนือหัวผู้โดยสารเรือ เสียงดังผับ ๆ แทบจะกลบเสียงคลื่น
กิอง โทจิหาวแล้วหาวอีกด้วยความเบื่อหน่ายกับการเดินทางอันยาวนานอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย นักดาบหนุ่มเดินทางมาได้สิบสี่วันแล้วก่อนที่จะมาลงเรือลำนี้
“ไม่รู้ว่าคนหามแคร่จะมารับทันเวลาหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าทันก็คงได้พบหน้านางที่ท่าเรือโอซากา”
กิอง โทจิค่อยหายเบื่อเมื่อนึกถึงหน้าโอโค
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เรือประจำทางลำนี้ขึ้นล่องระหว่างแคว้นอาวะบนเกาะชิโกกุกับโอซากาเดือนละหลายเที่ยว บรรทุกสินค้าซึ่งได้แก่ครามกับกระดาษเป็นส่วนใหญ่ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าลักลอบขนยาสูบซึ่งเป็นของต้องห้ามซุกซ่อนมาที่ก้นเรือ นัยว่าเป็นความลับแต่กลิ่นมันฟ้อง ส่วนผู้โดยสารในเที่ยวเรือนี้หนึ่งในแปดหรือเก้าเป็นพ่อค้าโอซากาที่เดินทางไปกลับ เพื่อติดต่อธุระในช่วงสิ้นปี
“ว่าไงท่าน ท่าทางดูเหมือนว่าจะกำลังทำมาค้าขึ้น”
“อะไรได้ ใคร ๆ ก็พูดกันว่าซาไกกำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่ลองมาค้าขายกันดูเองก็จะรู้”
“ได้ยินมาว่า ที่นั่นกำลังแย่เพราะขาดแคลนช่างหล่อเหล็กสำหรับทำปืนไม่ใช่รึ”
พ่อค้าอีกคนรอจังหวะอยู่นานแล้ว พอได้ช่องก็สอดขึ้น
“ก็ใช่น่ะซี ข้าเป็นพ่อค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งรวมทั้งธงศึกให้แก่กองทัพของแคว้นต่าง ๆ แต่รายได้ก็ไม่เป็นกอบเป็นกำเหมือนแต่ก่อน”
“จริงรึ”
“แต่ก่อนมา พอรบแพ้ชนะเด็ดขาดกันไปคราวใด พวกซามูไรแตกทัพจะกลับไปที่สนามรบและเก็บรวบรวมเสื้อผ้าและยุทโธปกรณ์มาขายเรา เราก็จะรับซื้อ เสื้อผ้าก็เอามาย้อมเสีย พวกเสื้อเกราะและอาวุธก็เอามาขัดล้างเสียให้ดูเป็นของใหม่เอาไปขายให้กองทัพอีกที วนเวียนไปเรื่อย ๆ ก็ได้สตางค์โขอยู่ ไม่ต้องลงแรงอะไรมาก”
คำสนทนาในหมู่ผู้โดยสารเรือประจำทางก็จะเป็นไปในทำนองนี้
บางครั้ง ถ้าบังเอิญมีพ่อค้าที่หูตากว้างขวางหน่อยโดยสารมาด้วย เขาก็จะมองออกไปในทิศทางของดินแดนที่มั่งคั่งรุ่งเรืองทางฟากโน้นของท้องทะเล และบอกว่า
“การค้าขายในญี่ปุ่นเห็นทีจะคาดหวังอะไรไม่ได้ ตอนนี้มีอยู่สองทางเท่านั้นเอง คือจะเห็นด้วยหรือคัดค้านการออกไปค้าขายกับต่างชาติ อย่างท่านนายา ซูกาเอมอน หรือท่านชายะ ซูเกจิโร”
และบางคนที่ได้ยินก็จะเสริมว่า
“ถึงช่วงนี้พวกเราชาวเมืองจะรู้สึกว่าการค้าการขายฝืดเคืองไม่รุ่งเรืองเฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีกว่าพวกนักรบมากนัก บางครั้งข้ายังอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกนั้นเคยรู้รสชาติความเอร็ดอร่อยของอาหารกันบ้างหรือเปล่า
ใช่ เราอาจมองกันว่าพวกผู้ครองแคว้นและนักรบใหญ่ ๆ โต ๆ ต่างก็อยู่ดีกินดีกันก็จริง แต่วัน ๆ ก็จะอยู่กับกลิ่นเหล็กและเกราะหนัง คิดถึงแต่เรื่องเกียรติยศเกียรติศักดิ์และวิถีแห่งนักรบ พอมีสงครามก็ต้องออกรบไม่รู้ว่าไปตายหรือรอดกลับมา คิดแล้วก็เห็นใจที่ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามใจชอบ”
“นักรบซามูไรก็รับผิดชอบเรื่องการรบทัพจับศึกกันไป ส่วนพวกเราชางบ้านชาวเมืองก็มีหน้าที่ค้าขาย รายเล็กบ้างใหญ่บ้างก็ว่ากันไป”
“แต่เราก็มีอิสรเสรี หาของที่ตลาดต้องการมาขายและก็คิดหากำรี้กำไรกันตามธรรมเนียม”
“แล้วก็ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูงกันหน่อย รู้จักก้มหัวคำนับเจ้าหน้าที่และนักรบในปราสาท เท่านี้ทุกอย่างก็ไปได้สวย”
“พ่อค้าอย่างเราจะรื่นเริงสุขสำราญกันได้ก็เมื่อทำมาค้าคล่อง และรู้ลู่ทางเข้านอกออกในกันเช่นนี้แหละนะ”
“พูดไปก็สงสารพวกนักรบซามูไรที่ปราสาท อยากถามพวกเขานักว่าเกิดมาเพื่ออะไรกัน”
พ่อค้ากลุ่มนี้ดูเหมือนจะฐานะดีไม่ใช่เล่น แค่พรมของนอกชั้นหนึ่งที่ใช้ปูนั่งกันบนพื้นเรือก็ชี้ชัดแล้วว่า ต้องเป็นคหบดีระดับเศรษฐีเลยทีเดียว หลังจากที่โทโยโทมิ ฮิเดโยชิจอมทัพผู้มีแสนยานุภาพเหนือแว่นแคว้นภาคตะวันตกสูญสิ้นอำนาจ ความโอ่อ่าอลังการของสังคมยุคโมโมยามะก็ตกไปอยู่ในมือชนชั้นพ่อค้าเป็นส่วนใหญ่ ระยะนี้พวกพ่อค้ามีถ้วยโถโอชาม จอกและกระปุกสาเกหรูหรางดงามใช้กันเกร่อ เครื่องใช้และเครื่องแต่งกายชุดเดินทางก็เป็นของดีมีราคา แม้พอค้าที่ขึ้นชื่อว่าตระหนี่ถี่เหนียวก็ยังมีของใช้ดี ๆ กว่านักรบซามูไรที่มีเบี้ยหวัดเงินปีสูง ๆ บางคนเสียอีก
“ชักเบื่อ”
“งั้นก็เล่นแก้เบื่อกันสักหน่อยดีไหม”
“ตกลง งั้นแม่หนู ช่วยกั้นม่านตรงนั้นที”
กลุ่มพ่อค้าเศรษฐีชวนกันเล่นไพ่อุนซุมที่ลูกเรือโปรตุเกสนำเข้ามาเผยแพร่ พลางจิบเหล้าสาเกที่สาวใช้นำมาปรนเปรอ โปรยเหรียญทองพนันขันต่อกันราวกับเป็นของเล่น จำนวนเหรียญทองที่โปะลงไปพนันกันมากมายพอจะเลี้ยงหมู่บ้านแร้นแค้นได้ทุกหลังคาเรือน
ผู้โดยสารเรือลำนี้นอกจากพ่อค้าเศรษฐีที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว ยังมีคนอื่น ๆ อีกมากหน้าหลายตา มีทั้งพระธุดงค์ ซามูไรไร้นาย คนที่ท่าทางเป็นนักปราชญ์ นักดาบ และอีกหลายสาขาอาชีพ ส่วนใหญ่พอเห็นพวกเศรษฐีตั้งวงเล่นไพ่กันอย่างครึกครื้น ต่างก็ทำหน้าเบื่อหน่าย บางคนนั่งพิงหีบห่อสัมพาระ บางคนเบือนหน้าหนีไปดูทะเลดูฟ้ายามหน้าหนาวกันไปตามเรื่อง
2
เจ้าหนุ่มคนหนึ่งนั่งพิงหีบห่อสัมภาระรวมอยู่ในกลุ่มคนที่ทำหน้าเบื่อหน่ายกับพวกเศรษฐีในวงไพ่ อุ้มตัวอะไรสักอย่างเป็นก้อนกลมนิ่ม ๆ ไว้บนตัก
“นิ่ง บอกให้นิ่งไง”
“โอ๊ะ ลูกลิงตัวนิดเดียวน่ารักจัง”
ชายที่นั่งข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้ามามอง
“เชื่องดีนะ”
“ฮะ”
“คงจะเลี้ยงมานานแล้วละซี”
“เปล่าขอรับ เพิ่งได้มาไม่นานมานี้เอง ตอนข้ามภูเขาจากโทสะมาแคว้นอาวะ”
“จับมารึ”
“ขอรับ แต่ถูกฝูงลิงพวกของแม่มันไล่ตาม กว่าจะหนีมาได้แทบแย่”
ตลอดเวลาที่สนทนากัน เจ้าหนุ่มก้มหน้างุดเพราะกำลังง่วนอยู่กับการหาเห็บให้เจ้าลิงน้อยที่เอาขาหนีบเอาไว้
เจ้าหนุ่มคนนี้ใส่กิโมโนสีฉูดฉาดทับด้วยเสื้อคลุมสีแดง รวบผมหน้ามัดไว้ด้วยเชือกสีม่วงดูเหมือนเด็กชาย ดูจากเครื่องแต่งตัวและทรงผมออกจะคะเนอายุยากอยู่ เพราะชาวเมืองสมัยนี้แต่งกายกันอย่างอิสระไม่ยึดติดอยู่ในกรอบ ความหรูหราของชนชั้นขุนนางแพร่เข้ามาในหมู่ชาวเมืองอย่างรวดเร็ว ชายวัยเกินยี่สิบจนยี่สิบห้ายี่สิบหกนิยมใส่เสื้อผ้ามีสีสันมีลูกเล่นเฟี้ยวฟ้าวเหมือนเด็กวัยรุ่นกันมาก ผมเผ้าก็เกล้าและผูกเชือกเงินเชือกทองเหมือนเด็ก ๆ ไม่โกนและเกล้าเรียบร้อยเหมือนแต่ก่อน เรียกได้ว่าแต่งตัวประกวดประขันกันเต็มที่
เจ้าหนุ่มคนนี้ก็เช่นกันการแต่งตัวตามสมัยนิยมแม้จะทำให้ดูเยาว์วัยแต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเด็กชาย เพราะรูปทรงสูงสง่าเป็นหนุ่มเต็มตัว ใบหน้าคมสันประกอบด้วยดวงตาคมเป็นประกาย หางตาเฉี่ยวขึ้นนิด ๆ และคิ้วหนา จมูกได้รูป ปากแดงด้วยเลือดฝาดและผิวขาวผ่อง
แต่กริยาท่าทียังดูเป็นเด็ก
“กระดุกกระดิกทำไม”
เจ้าหนุ่มตบหัวเจ้าลิงน้อยอย่างหมดความอดทนที่มันไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้หาเห็บ ท่าทางยามหาเห็บให้ลิงแม้จะดูไร้เดียงสาแต่มองรวม ๆ แล้วน่าจะประมาณสิบเก้าหรือยี่สิบ
สถานภาพของเจ้าหนุ่มคนนี้ก็เดายากไม่แพ้อายุ ที่แน่ ๆ คือเป็นนักเดินทางเพราะใส่ถุงเท้าหนังและสวมรองเท้าฟางเหมือนกับคนเดินทางทั่วไป ไม่น่าเป็นคนชั้นสูงในตระกูลผู้ครองแคว้น อย่างดีก็เป็นพวกซามูไรไร้นายเพราะเห็นเข้ากับผู้โดยสารเรือคนอื่นๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นพวกพระธุดงค์ พวกนักปราชญ์ หรือชาวเมืองจน ๆ แต่งตัวสกปรกไม่ผิดอะไรกับขอทาน
แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวออกจะดูดีกว่าซามูไรไร้นายทั่วไปอยู่สักหน่อย และที่สะดุดตาก็คือดาบยาวที่มีสายหนังสะพายเฉียงไว้ข้างหลัง เป็นดาบตรงแน่วเหมือนไม้ถ่อเรือ ไม่มีส่วนที่งอนขึ้นเหมือนดาบซามูไรทั่วไป ความแปลกของดาบเล่มนี้ทำให้คนที่เข้ามาใกล้และได้เห็นจะต้องทักกันทุกคนว่า...ดาบของท่านสง่างามเหลือเกิน
กิอง โทจิ ก็เป็นคนหนึ่งที่มองดาบเล่มนี้อยู่ห่าง ๆ มานานแล้ว เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ที่เกียวโต และเมื่อเห็นดาบที่ดูล้ำเลิศเช่นนั้นก็ยิ่งอยากรู้ความเป็นมาของเจ้าของ จึงตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหนุ่มคนนี้
หมอกลงจาง ๆ ยามเที่ยง บดบังทิวทัศน์ที่มองเห็นจากกราบเรือให้ลางเลือนขณะที่เรือแล่นห่างจากเกาะออกมาทุกที ลมพัดกระพือใบเรือใหญ่โตเหมือนมีชีวิตอยู่เหนือหัวผู้โดยสารเรือ เสียงดังผับ ๆ แทบจะกลบเสียงคลื่น
กิอง โทจิหาวแล้วหาวอีกด้วยความเบื่อหน่ายกับการเดินทางอันยาวนานอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย นักดาบหนุ่มเดินทางมาได้สิบสี่วันแล้วก่อนที่จะมาลงเรือลำนี้
“ไม่รู้ว่าคนหามแคร่จะมารับทันเวลาหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าทันก็คงได้พบหน้านางที่ท่าเรือโอซากา”
กิอง โทจิค่อยหายเบื่อเมื่อนึกถึงหน้าโอโค