xs
xsm
sm
md
lg

นักเขียน “ซีไรต์” คมกริบ “สู้ให้เป็นเผด็จการ” “อุ๊” ฟาด “รุ้ง” ฝืนใจคนนับล้าน “ไตรรงค์” ใครคือ เปรต-อสุรกาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ การต่อสู้ของม็อบ 3 นิ้ว ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน จากแฟ้ม
วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียน “ซีไรต์” ฉีกหน้ากากนักเสพอำนาจ อ้าง “ปชต.” ไร้สำนึก ยิ่งสู้ ยิ่ง “เป็นเผด็จการ” อย่างเจ็บ “อุ๊ หฤทัย” ฟาดไม่ยั้ง “3 นิ้ว” บังคับคนนับล้านให้เชื่อตาม “ดร.ไตรรงค์” เล่าเป็นนัย ใคร “เปรต-อสุรกาย-เดรัจฉาน”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (13 ส.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก วิมล ไทรนิ่มนวล โพสต์เรื่อง “สู้ให้เป็นเผด็จการ”

โดยระบุว่า “เมื่อมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของคำว่า “ประชาธิปไตย” จนถึงวันนี้ พวกนักเสพอำนาจไม่ได้ต่อสู้เพื่อ “ความเป็นประชาธิปไตย” หรือ “สำนึกประชาธิปไตย” เลย

เขาต่อสู้เพื่ออำนาจของตัวเองโดยใช้คำว่า ประชาธิปไตย
ทุกวันนี้ประชาชนจำนวนมาก ก็ยังต่อสู้เพื่อ “ถ้อยค่า” ประชาธิปไตย ที่มีเพียงพิธีกรรมเลือกตั้งเท่านั้น เพราะถ้ามีความเป็นประชาธิปไตย หรือสำนึกประชาธิปไตยจริง การต่อสู้จะไม่เป็นดังที่เห็นมานับแต่ 24 มิ.ย. 2475 จนถึงปัจจุบัน

ภาพ วิมล ไทรนิ่มนวล จากแฟ้ม
ตราบใดที่ยังต่อสู้กันเพื่ออำนาจในนามประชาธิปไตย หรือเพื่อถ้อยคำ... ความขัดแย้งและการต่อสู้จะยังคงอยู่ต่อไป

ความเป็นเผด็จการจะยิ่งมากขึ้น เพราะการต่อสู้ย่อมต้องการชัยชนะ ชัยชนะย่อมต้องการอำนาจเป็นเครื่องมือ เมื่อต่างก็ใช้อำนาจมากขึ้นเพื่อเผด็จอำนาจ หรือเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ความเป็นเผด็จการก็ถูกสถาปนาขึ้น

แต่ก็ยังเรียกมันว่า ประชาธิปไตย!”

สำหรับ วิมล ไทรนิ่มนวล เคยรับราชการครูถึง 10 ปี ก่อนลาออก เคยทำงานเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์ทานตะวัน และเป็นบรรณาธิการสมทบบริษัท ต้นอ้อ จำกัด พร้อมกับสร้างสรรค์งานวรรณกรรม และต่อมาเขาได้เบนชีวิตของเขาเข้าสู่การเมือง โดยครั้งแรกอยู่ในทีมกลุ่มมดงาน ดร.พิจิตต รัตตกุล ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในสังกัดพรรคถิ่นไทย เมื่อ พ.ศ. 2539-2543 จนเมื่อปลายปี 2550 เขาก็ประกาศตั้งพรรคการเมือง ชื่อพรรคดุลยภาพ

ด้านวรรณกรรม เริ่มมีผลงานการประพันธ์เมื่อยังศึกษาอยู่ และผลงานเล่มแรกที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่ออายุ 27 ปี นับแต่นั้น เขาก็มีผลงานทั้งประเภทนวนิยายและเรื่องสั้น ผลงานเรืองเด่นคือ งู, คนทรงเจ้า (ได้สร้างเป็นภาพยนตร์) และ อมตะ ซึ่งเป็นนวนิยายรางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2543

ภาพ นางหฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ “อุ๊”  จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นางหฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ “อุ๊” นักร้องชื่อดัง กลุ่มไทยภักดี แชร์โพสต์ของ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำกลุ่มราษฎร พร้อมโพสต์เพจเฟซบุ๊ก หฤทัย ม่วงบุญศรี ระบุว่า

“จะเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องพร้อมใจกันเปลี่ยนแปลงทั้ง 70 ล้านคน ไม่ใช่ขู่เข็ญบังคับจิตใจคนให้เปลี่ยนแปลงตามใจพวกคุณ ใครไม่เห็นด้วยกับพวกคุณ พวกคุณจะตามระรานเค้า แล้วก็สร้างศัตรูไปทั่ว วิธีการข่มขู่บังคับมันไม่เป็นประชาธิปไตยนะ ถึงแม้คุณจะพยายามอ้างว่าคุณเป็นฝ่ายประชาธิปไตย (พูดอยู่ฝ่ายเดียว) พวกคุณคิดว่าคนอื่นๆ โง่
แต่จริงๆ คุณนะโง่มาก ประชาธิปไตยทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อ เคารพ นับถือ ศรัทธา นี่คือ “สิทธิเสรีภาพ”

ภาพ โพสต์ของ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล จากเฟซบุ๊ก “อุ๊”
ใช่คะ คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่เคารพนับถือสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ระรานข่มเหง ด่าทอ ละเมิดผู้อื่นที่เค้าศรัทธา

ตามกฎหมายสากลของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย คือ คนมีสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียม แต่ต้องไม่ใช้สิทธิเสรีภาพนั้นไปละเมิดผู้อื่น

พวกคุณด่าทอคนไทยที่มีความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นั้น เท่ากับด่าทอข่มเหงจิตใจคนจำนวนหลายสิบล้านคน แต่คนไทยก็อดทน เพราะคนไทยรู้ว่า การพัฒนาประเทศให้เจริญได้ประเทศต้องสงบสุขปราศจากความวุ่นวาย พวกคุณนะถูกคนที่ไม่ประสงค์ดีกับประเทศชาติหลอกใช้ แต่คุณไม่รู้ตัว

พวกคุณแพ้ เพราะบังคับฝืนใจคน พวกคุณรวมใจคนไทยไม่ได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าคุณใช้คำพูดแบบนี้ คิดสั้นๆ แบบนี้ คิดอะไรง่ายๆ เหมือนเด็กเล็ก เกิดอีกกี่ชาติคุณก็ไม่ชนะหรอก เพราะคุณตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนนับล้าน

รวมใจคนไม่ง่าย เพราะว่าประเทศไทยมีหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถรวมใจคนนับล้านได้ มีแก้ววิเศษอยู่ในมือ แต่คุณเขวี้ยงทิ้ง คุณก็เดินหลงป่าเข้ารกเข้าพงไป พูดแบบนี้คุณเข้าใจไหมคะ?”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ระบุว่า

“ในวาระของวันแม่ในปีนี้ ผมขอเล่าให้ฟังถึงความหมายในคำสอนของบรมศาสดา... ว่าด้วยเรื่อง #อบายภูมิ

คำว่า “อบายภูมิ” นั้น ประกอบด้วยคำว่า อบาย (ที่แปลตามศัพท์ได้ว่า “ภพที่ไม่มีความเจริญ”) + ภูมิ (ที่แปลตามศัพท์ว่า “สถานที่มีอยู่เป็นอยู่แห่งสัตว์โลก”) ซึ่งอบายภูมินั้นคือ #ภูมิที่เกิดอันปราศจากความเจริญ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ภูมิด้วยกัน คือ นรก เปรตวิสัย อสุรกายภูมิ และกําเนิดเดรัจฉาน

นรกนั้น ผมคงไม่ต้องขยายความเพราะเชื่อว่าทุกท่านเข้าใจดีอยู่ว่าคืออะไร แต่ในวันนี้ผมขอสร้างความกระจ่างว่า เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน คืออะไร

#เปรต หมายถึง “คน” ที่มีสภาพจิตใจ #ตกอยู่ภายใต้ความโลภ ชนิดที่ไม่มีอะไรสามารถจะจำกัดได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ยกภูเขาที่ทำด้วยทองคำทั้งลูกให้กับคนที่ไม่รู้จักควบคุมความโลภของตนได้นั้น เขาก็จะยังรู้สึกเสมอว่า มันไม่เคยพอ คนประเภทนี้จะทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งเงินและทรัพย์สิน แม้จะต้องทำผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม พวกเขาก็จะไม่สนใจ ไม่เคยมี “หิริโอตัปปะ” มีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่ลงเล่นการเมือง ก็เพราะอยากได้เงินและทรัพย์โดยใช้อำนาจทางการเมืองเบียดบังเอามา แต่ที่ลงเล่นการเมืองเพื่อชาติเพื่อประชาชนและเพื่ออุดมการณ์ก็มีมากไม่แพ้กัน

ภาพ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี จากแฟ้ม
#อสุรกาย ก็คือ “คน” ที่มีสภาพ #จิตใจตกอยู่ใต้ทั้งความโลภและความอาฆาตมาดร้าย (ต่อผู้เป็นอุปสรรคต่อความโลภนั้นๆ) หากเป็นคนไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับสังคมมักจะแอบอยู่ในที่มืดและที่เย็น เพื่อทำร้ายบุคคลที่ตนอาฆาตมาดร้าย มักจะแอบอยู่ในที่มืดและที่เย็นเพื่อคอยหลอกหลอน ต้มตุ๋น คนที่โง่กว่าตนให้ตกเป็นเหยื่อของ ความโลภ ให้ตกเป็นเครื่องมือเพื่อให้ตนได้อำนาจและเงินทองตามต้องการ

#เดรัจฉาน ก็คือ “คน” ที่ #ทั้งโง่ #ทั้งโลภ #ทั้งใช้ความรุนแรง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ มีสภาพจิตเสมือนเป็นสัตว์เดรัจฉานทั่วไปที่เมื่อยากได้สิ่งใดก็จะแย่งชิงโดยใช้กำลัง (ทั้งทางกาย วาจา ใจ) เป็นพวกไม่รู้จักบุญคุณคน ไม่มี “กตัญญูกตเวที” แม้แต่แม่ที่คลอดตัวเองออกมามันก็ยังสามารถผสมพันธุ์ได้โดยไม่รู้สึกละอายใดๆ คนไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่จะไปหวังอะไรให้พวกนี้รู้จักบุญคุณของผู้อุปการะคุณต่อตนเองและแผ่นดินเกิด

ใครก็ตามที่จิตใจยังเป็น #มนุษย์ #คนที่จิตใจเจริญ ยังเป็นคนที่รู้ดีรู้ชั่ว เคารพกฎแห่งกรรมยังเป็นคนที่คิดดี พูดดี ทำดี คบแต่คนดี อยู่แต่ในสถานที่ดีๆ จึงไม่ควรไปคบค้าสมาคมกับบุคคลทั้ง 3 ประเภทดังกล่าวข้างต้น อย่าคบ อย่าฟัง อย่าพูดด้วย อย่าร่วมการงานใดๆ ด้วย “จงเลือกทางสวรรค์ อย่าเลือกทางนรก หรือทาง #อบายภูมิ”

ในวันแม่เช่นนี้ ผม #ขอระลึกถึงบุญคุณ ของผู้เป็น #แม่ทั้งแผ่นดิน ที่ส่วนใหญ่ได้อบรมบ่มนิสัยให้ลูกๆ เป็นคนดีช่วยทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญ ถ้าผู้เป็น “แม่” ส่วนใหญ่ในแผ่นดินมิได้อบรมบ่มนิสัยให้ลูกเป็นคนดีเสียเป็นส่วนใหญ่แล้ว “ประเทศคงจะล่มสลาย ไม่สามารถยืนอยู่ยั้งยืนยงมาได้จนถึงปัจจุบันนี้หรอกครับ

กราบสวัสดีวันแม่แด่ทุกๆ คุณแม่ทั้งแผ่นดินเลยครับ”

แน่นอน, นี่คือ สามโพสต์ที่อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมือง ของ ขบวนการสามกีบ หรือ 3 นิ้ว ผ่านกลวิธีของตัวเอง ที่น่ารับฟัง และน่าคิดอย่างยิ่ง

น่าคิดว่า ตั้งแต่ 2475 มาจนถึงปัจจุบัน กี่ปีมาแล้ว ทำไมประเทศไทยยังคงอ้าง “ประชาธิปไตย” ในการต่อสู้?

น่าคิดว่า ประเทศไทย ผ่านการปกครองโดยรัฐสภามาแล้วกี่ครั้ง ทำไมนักการเมืองไม่นำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย เมื่อมีโอกาส ทำไมไม่ฉวยโอกาส ทำไมเลือกเร่งโกงกิน คอร์รัปชัน จนสร้างเงื่อนไขรัฐประหารแทบทุกครั้ง

แม้แต่การรัฐประหารครั้งล่าสุด ก็ไม่ใช่ กปปส.ฝ่ายเดียวที่สร้างเงื่อนไข เพราะถ้าจำกันได้ เขาให้นักการเมืองทุกฝ่าย รวมทั้งตัวแทนม็อบ ตกลงกัน จะถอยกันอย่างไร เพื่อไปต่อได้ ปรากฏว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม เขาก็บอกว่าถ้าอย่างนั้น ผมรัฐประหาร แล้วถ้าถอยให้แก่กันเพื่อรักษาระบอบเอาไว้ การรัฐประหารก็คงไม่เกิดขึ้น อย่าลืม!!!

ที่น่าคิดอย่างยิ่ง ที่ผ่านมา สถาบันฯอยู่ในฐานะที่พึ่งสุดท้ายทางการเมือง เพราะผู้มีอำนาจเหลิงอำนาจ ใช้เสียงข้างมากในสภา กระทำการเสมือนไม่เกรงกลัวใคร แม้แต่เบื้องสูง ซึ่งการได้มาของเสียงข้างมาก ก็ยังถูกมองว่า ได้มาด้วยวิธีที่ไม่ยุติธรรม นั่นคือ การรวมพรรค กลโกงทางการเมือง จึงมีกระแสขัดแย้งทางอำนาจ และในหมู่ประชาชน

นี่หรือไม่ ที่ทำให้สถาบันฯ เป็นอุปสรรคทางอำนาจนักการเมือง เป็นอุปสรรคความมักใหญ่ใฝ่สูงอยากมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว เป็นอุปสรรคการทำอะไรก็ได้ แม้แต่แก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ตัวเอง ขณะที่ ประเทศประชาธิปไตย นักการเมืองเป็นใหญ่ในแผ่นดินคนเดียว จึงต้องการเป็นเหมือนเขา แบบลอกเลียนทั้งหมด มิใช่แบบไทย แต่ถ้าจะเอาแบบไทย ก็ต้องต่อรองให้ได้มากที่สุด คือ “ปฏิรูปแบบปฏิวัติ” อย่างที่ “ปิยบุตร” เสนอ

สุดท้าย ก็เห็นชัดว่าสู้เพื่อ “อำนาจ” แต่อ้าง ประชาธิปไตย และ เป็น “อำนาจ” ที่ไม่ต้องมีใครคานอำนาจด้วย คิดดูว่า เขาต้องการทำเพื่อประชาชนไทย หรือ เพื่อเขา และพวกเขาจะได้เสวยสุขบนอำนาจโดยไม่มีใครเป็นก้างขวางคอ

นี่คือ ทั้งหมดที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายไม่รู้จบหรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น