นอกจากข้อเรียกร้อง 3 ข้อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แก้รัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เราได้เนื้อหาสาระอะไรจากการชุมนุมบนถนนของคนรุ่นใหม่บ้าง
การออกมาชุมนุมของพวกเขาแต่ละครั้งต่างกับการชุมนุมของคนรุ่นก่อนมาก เพราะเดิมนั้นมักเน้นการปราศรัยเพื่อสะท้อนความผิดพลาดของรัฐบาลที่ออกมาขับไล่ การเดินทางไปชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ นั้นมีเป้าหมายและจุดหมายที่สื่อออกมาชัดเจนว่าไปยังสถานที่นั้นเพราะอะไร แต่ปัจจุบันเราไม่ได้เห็นถึงเนื้อหาจากการปราศรัยเพื่อชักจูงใจเลย และไม่รู้เลยว่าพวกเขาไปชุมนุมที่นั่นที่นี่เพราะอะไร เมื่อไปถึงเป้าหมายแล้วจึงทำได้แค่ให้มวลชนระบายออกมาตามอารมณ์ของแต่ละคน
ตอนที่รุ้ง ปนัสยา อ่าน 10 ข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ก็ชัดเจนว่า เป็นการอ่านข้อความที่เขาเขียนมายัดใส่มือไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจด้วยตัวเอง ซึ่งพิสูจน์ได้เมื่อเธอมาประชันกับอาจารย์อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ทางทีวีที่บ่งบอกว่าเธอไม่เข้าใจอะไรด้วยตัวเองเลย พูดตรงๆ ว่า สมองเธอก็ว่างเปล่ามาก
สิ่งที่เราได้ยินเสมอก็คือ การด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายหรือเมื่อไปถึงเป้าหมายที่นัดหมายแล้วสิ่งที่พวกเขาแสดงออกก็คือ การสาดสี หรือการขีดเขียนข้อความต่างๆให้เลอะเปรอะเปื้อน
ตอนที่พวกเขาไปยังพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล เพื่อเป้าหมายกดดันให้ถอนตัวจากการสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ถ้าเขามีจุดมุ่งหมายเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาก็ควรไปพูดคุยหรือสื่อสารกับพรรคร่วมเหล่านั้นด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้เขาคล้อยตามความคิด แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือ การไปสาดสีทำลายสถานที่ของเขาซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย และเนื้อหาที่พวกเขาส่งให้พรรคร่วมมีเพียงข้อความว่า ค_ย เท่านั้นเอง
เห็นได้ชัดว่า พวกเขามีแก่นสารอะไรที่จะบอกต่อสังคม เราเห็นได้เขาไปที่ไหนก็สาดสี ละเลงข้อความที่พบเห็นเสมอก็คือ ค_ย และ F_ck ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาสื่อสารอะไร เป็นการเรียกร้องเพื่อปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงสังคมที่แปลกที่สุดในโลก จนเกิดคำถามว่านี่หรือคนรุ่นใหม่ที่เราจะเรียกร้องให้สังคมเดินตามความปรารถนาของพวกเขา ทั้งที่สิ่งแสดงออกมานั้นมีแต่ความคึกคะนองเท่านั้นเอง
แน่นอนคนที่เกลียดรัฐบาลชุดนี้ ก็ไม่สนใจอะไรมากกว่าการดันหลังเด็กให้ออกมาบนท้องถนน
สิ่งที่ไม่เห็นอีกอย่างก็คือ ความรับผิดชอบต่อผู้ชุมนุมที่ปลุกระดมให้ออกมา เพราะโดยหลักของการชุมนุม และผู้จัดจะต้องมีความรับผิดชอบต่อการแสดงออกของผู้ชุมนุมที่ชักจูงมา คอยควบคุมให้พวกเขาแสดงออกในกรอบของกฎหมาย แน่นอนเสรีภาพในการชุมนุมนั้นได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ แต่ต้องสามารถควบคุมมวลชนไม่ให้ทำอะไรที่เกินเลยขอบเขตของกฎหมายด้วย
แน่นอนละครับการชุมนุมไม่ว่าใครฝ่ายไหนก็ตาม ไม่มีทางที่อยู่ในกรอบกฎหมายทุกอย่าง ย่อมจะต้องฝ่าฝืน คัดค้านต่อต้าน แต่ผู้ควบคุมมวลชนก็ต้องพยายามที่จะทำให้มีความชอบธรรมในการชุมนุม เว้นเสียว่ามันเป็นเหตุที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่นั่นก็ต้องแลกด้วยความผิดตามกฎหมาย
และคงต้องยอมรับนะครับว่า การชุมนุมทุกครั้งมักจะมีคนที่ไม่ยอมอยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ผู้ควบคุมมวลชนก็ต้องแสดงออกถึงความพยายามที่จะควบคุมมวลชนที่นำพาให้อยู่ในกรอบด้วย
สิ่งที่คนรุ่นก่อนเขาทำกันก็คือ คนที่ควบคุมเครื่องเสียงในการขับเคลื่อนนั้นจะต้องเข้าใจจิตวิทยามวลชน ต้องเป็นคนที่ผู้ชุมนุมพร้อมจะรับฟัง เมื่อจะยุติการชุมนุมก็ต้องควบคุมมวลชนให้เลิกราได้ แต่เราเห็นได้เลยว่า ม็อบของคนรุ่นใหม่นั้นไม่สนใจจุดนี้ ใครอยากจับไมค์ก็จับ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ถึงเวลาก็สั่งการจากหน้าคีย์บอร์ดให้เลิกการชุมนุม และก็ปล่อยให้มวลชนระห่ำปะทะกับเจ้าหน้าที่เพราะใช้อาวุธเครื่องมือที่เตรียมมาไม่ว่าจะเป็นหนังสติ๊ก ปืนไทยประดิษฐ์ ระเบิดเพลิง น้ำปลาร้า ฯลฯ ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่มีวันจะสู้กับเจ้าหน้าที่ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือและฝึกฝนมาได้เลย
เนื้อหาที่พวกเขาเรียกร้องความสนใจนั้น มีเพียงความเป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่เคยบอกสังคมได้เลยว่าต้องการให้สังคมเป็นแบบไหน ที่เป็นอยู่นั้นมันไม่ดีอย่างไร รัฐบาลชุดนี้มีจุดบกพร่องอย่างไร นอกจากคำพูดที่เป็นสูตรสำเร็จว่า เผด็จการ ประชาธิปไตย เสรีภาพ ปฏิรูป ปฏิวัติ บลาๆๆ เราไม่เคยเห็นคำปราศรัยที่ตรึงใจคนฟังแบบนักศึกษา ปัญญาชนรุ่นเก่าที่ขึ้นเวทีไฮด์ปาร์กด้วยเนื้อหาและวาทศิลป์ที่เร้าตรึงใจผู้รับฟังเลย
พูดตรงๆ ว่าการแสดงออกของพวกเขาเป็นเพียงความคึกคะนองตามช่วงวัยคิดจะทำอะไรก็ทำ คิดจะพูดอะไรก็พูด โดยไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไร
นอกจากถูกใส่ความคิดให้เกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว การแสดงออกของคนรุ่นใหม่เหล่านี้อาจเป็นเพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นต่อศาสดาที่พวกเขาเคารพอย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่บอกให้พวกเขาไม่นับถือใครเลย แม้แต่พระเจ้าองค์ไหน ไม่ต้องเชื่อมั่นต่อหลักคำสอนของทุกศาสนา
พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ธนาธรบอกว่า ทุกคนมีพระเจ้าของตัวเอง แล้วคุณก็คุยกับพระเจ้าของคุณเองได้โดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์ หรือมัสยิด คุณคุยกับพระเจ้าของตัวคุณได้ แม้กระทั่งระหว่างการวิ่ง คุณก็คุยกับพระเจ้าได้ คุณไม่ต้องไปตักบาตร ไปมิสซา หรือละหมาดเพื่อจะคุยกับพระเจ้า สิ่งที่ผมเชื่อก็คือศรัทธาทางศาสนาควรจะเป็นศรัทธาที่เปิดกว้าง และไม่ควรมีวัดหรือศาสนา หรือองค์กรใดมาบังคับหรือเชิดชูความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้มากกว่าความเชื่ออื่นๆ
เราจึงเห็นพวกเขาไม่สนใจรากเหง้าประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาติ ไม่เคารพจารีตและกฎเกณฑ์ของสังคม อย่างที่พวกเขาแสดงออกที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งเป็นสถานที่รำลึกถึงวีรชนที่สละชีวิตเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง
อย่าว่าแต่การเคารพต่อวีรชน ต่อประวัติศาสตร์ของประเทศชาติเลย พวกเขาถูกบ่มเพาะไม่ให้เชื่อในพ่อแม่ของตัวเองด้วยซ้ำไป
เหมือนที่อาจารย์นิติศาสตร์ จุฬาฯ ที่ซ่อนอยู่หลังเด็กอีกคน อย่างดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง สอนพวกเขาว่า เด็กๆ ไม่ได้ขอให้เกิดมานะ พ่อแม่เป็นคนทำเขาเกิดมา เป็นหน้าที่เราต้องเลี้ยงเขาให้ดี ไม่ใช่หน้าที่เขาต้องมากตัญญู ขอบอกขอบใจที่พ่อแม่เอาเขามาเกิดบนโลก ถ้าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ทำหน้าที่ตัวเองได้ดี เขาเกิดมาในสังคมที่มีอนาคต นักเรียนก็คงไม่ต้องออกมาประท้วง
นอกจากสอนให้คนรุ่นใหม่ไม่ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่แล้ว ยังใส่ความคิดให้พวกเขาว่า พ่อแม่นั่นแหละที่ทำหน้าที่ไม่ดีเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไม่มีอนาคตที่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่า พ่อแม่ของเข็มทองได้ยินสิ่งที่ลูกชายของตัวเองพูดแล้วรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับเข็มทองเมื่อเขาคิดอย่างนี้กับพ่อแม่ตัวเอง เขาย่อมไม่สนใจว่าพ่อแม่ของเขาจะคิดอย่างไร
จึงไม่แปลกที่การแสดงออกของพวกเขาไม่มีแก่นสารอะไรนอกจากการทำลายด่าทอ ค_ย และ f_ck เท่านั้นเอง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan