เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคง “ใจสลาย” เมื่อได้เห็นภาพที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้สัญลักษณ์สามนิ้วกลุ่มหนึ่งที่บุกเข้าไปพ่นสีเขียนข้อความทับป้ายชื่อของ “ผู้เสียสละชีวิตเพื่อชาติ” ในสมรภูมิต่างๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ เพราะนอกจากการพ่นสีทับรายชื่อของเหล่าที่ถือว่า “เป็นวีรชนของชาติ” และที่สำคัญ เรียกได้ว่าเป็น “บรรพบุรุษ” ของพวกเขาที่เป็นลูกหลานในทุกวันนี้
บางข้อความที่เห็น ที่มีปรากฏออกมาให้เห็นนั้น เกินกว่าที่จะรับได้ เพราะถึงขนาดที่ขีดเขียนว่า “ยศต่ำกว่าหมา” นั้นยังนึกไม่ออกว่าจิตใจของคนที่กระทำแบบนี้มันมีความรู้สึกนึกคิด และสำนึกรับผิดชอบชั่วดีอยู่บ้างหรือไม่ ถือว่าเป็นการกระทำที่เกินเลยไปมากในแบบที่ไม่สมควรจะให้อภัยได้
เนื่องจากไม่ว่าจะพิจารณากันด้วยเหตุและผลแบบไหนก็ไม่อาจที่นำมาใช้เป็นเหตุผลรองกับพฤติกรรมแบบนี้ได้เลย
พฤติกรรมที่ต้องเรียกว่า “น่ารังเกียจ” ของผู้ร่วมชุมนุมที่ใช้สัญลักษณ์สามนิ้ว เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่พ่นสี พ่นข้อความหยาบคายทับรายชื่อของ “เหล่าวีรชนของชาติ” ที่ฐานของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้หลายคนอึ้ง เพราะคิดไม่ถึงว่าในใจของคนพวกนี้เขาคิดอะไร มีระบบคิด หรือมีต้นทางมาจากไหนกันแน่ เพราะหากจะอ้างว่าเป็นเพราะความอัดอั้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง หรือคิดว่าเป็นเพราะเผด็จการ รวมไปถึงข้ออ้างในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ว่ามองในเรื่องอุดมการณ์หรือ “ความเชื่อ” ในด้านไหนก็ไม่มีทางที่จะต้องไปลงกับ “อนุสาวรีย์” เป็นอันขาด
อนุสาวรีย์ที่มีป้าย หรือมีรายชื่อของเหล่าวีรชนจากหลากหลายสมรภูมิ ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม พวกเขาอาจจะไม่ทราบว่า 59 รายชื่อในด้านที่เป็นหนึ่งที่ถูกพ่นสีทำลาย ก็คือ วีรชนที่เสียสละชีวิตปกป้องดินแดนจาก “สงครามอินโดจีน” ระหว่าง สยามกับฝรั่งเศส ที่มาล่าอาณานิคมในแถบนี้นั่นแหละ
ยิ่งเห็นข้อความที่พ่นทับไปบนรายชื่อของเหล่าวีรชน ที่แม้ว่าไม่อยากจะนำมาให้เห็นเพื่อให้เกิดความเกลียดชังมากไปกว่านี้ แต่อีกมุมหนึ่งก็จำเป็นสำหรับนำมากล่าวซ้ำอีกครั้ง จากข้อความที่เขียนว่า “ยศต่ำกว่าหมา” มันยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า คนที่ก่อพฤติกรรมแบบนี้ “ไม่มีทางเจริญรุ่งเรือง” ไปได้ เพราะถือว่ามี “สันดาน” ในการดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่เคยเห็นค่าของคนอื่น
คนพวกนี้ไม่รู้ว่า ทั้ง 59 รายชื่อเหล่านั้น เกือบทั้งหมด หรือร้อยละ 99 ล้วนเป็นทหารชั้นประทวนแทบทั้งสิ้น มียศแค่นายสิบ หรือแค่จ่าเท่านั้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่า พวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนเป็นทหารเกณฑ์ เป็นลูกหลานชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานของชนชั้นล่างทั้งนั้น เป็นกลุ่มที่คนพวกนี้มักนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการปลุกระดมในการเรียกร้องนั่นแหละ และจะว่าไปแล้วคนพวกนี้แหละที่ต้องเรียกว่า “ราษฎร” ของแท้
สำหรับที่มาของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตามที่มีการระบุเอาไว้ คือ เป็นการจารึกรายนามของ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ที่เสียชีวิตจากการปกป้องแผ่นดินไทยในสมรภูมิต่างๆ ทั้งกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (สงครามอินโดจีน) สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเกาหลี
จากการแถลงของ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ที่ประณามการกระทำดังกล่าว ถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง และเกินขอบเขตของการชุมนุม ที่เข้าไปก้าวล่วงลบหลู่ต่อสถานที่บรรจุอัฐิและรายนามของผู้เสียสละชีวิตที่ร่วมปกป้องแผ่นดินไทยทั้ง 801 นาย
เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2485 เพื่อเทิดทูนวีรกรรมของผู้เสียสละ ซึ่งมีคุณค่าทางด้านจิตใจของประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะครอบครัวของผู้เสียชีวิตและความรู้สึกของอดีตทหารผ่านศึกอีกจำนวนมาก ที่เสียชีวิต บาดเจ็บพิการ และทุพพลภาพ ซึ่งก็เชื่อว่าประชาชนไทย ก็ไม่สามารถยอมรับได้กับพฤติกรรมดังกล่าว
แน่นอนว่า สำหรับคนไทยส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดคงทนไม่ได้กับพฤติกรรมของ “ม็อบ” แบบนี้ เพราะถือว่า “ไร้ราก” ไร้แก่นสาร เพราะไม่ต่างจากการ “ย่ำยีบรรพบุรุษ” และอาจสรุปได้ว่าไม่เคยมีการชุมนุมของคนกลุ่มไหนที่เลยเถิด “ไร้รสนิยม” แบบนี้ เพราะมีแต่ความหยาบคาย
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นยิ่งกระตุ้นให้เกิดแรงต่อต้าน มากกว่าการเพิ่มจำนวนแนวร่วม เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นภาพ และข้อความดังกล่าวแล้วยังให้การสนับสนุนกับการเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ก็ต้องบอกว่า น่าเศร้าใจยิ่งนัก ขณะเดียวกัน ภาพที่ปรากฏยังทำให้คนไทยจำนวนมากรู้สึก “ใจสลาย” หดหู่จนยากบรรยาย เพราะไม่ต่างจากการบุกเข้าไป “ทุบทำลายอัฐิ” ของเหล่าบรรพบุรุษ
และที่สำคัญ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อความรู้สึกของบรรดาลูกหลานโดยตรงของเหล่าวีรชนเหล่านั้น ที่ต้องเสียสละชีวิต และยังมีอีกหลายคนที่ต้องสูญเสียอวัยวะพิการ บรรดาลูกหลานของพวกเขาจะมีความรู้สึกอย่างไรที่ถูกย่ำยี หยามเหยียดกันแบบไม่มีความยั้งคิดแบบนี้ !!