นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
อากากาเบะ ยาโซเมะ ซามูไรไร้นาย พามาตาฮาจิเดินลัดเลาะเข้าไปในตรอกย่านเริงรมย์ ทั้งที่เจ้าหนุ่มที่อ้างชื่อว่าเป็นนักดาบเอกผู้มีฝีมือไร้เทียมทาน ตั้งใจจะพาไปร้านดื่มชั้นดีกว่านี้เพื่อให้สมศักดิ์ศรีเสียหน่อย และพอเอ่ยปากบ่นยาโซเมะก็กล่าวแก้
“ไปทำไมกันท่านร้านแบบนั้น แพงก็แพงแล้วยังสนุกเท่าที่ข้าจะพาไปไม่ได้ มาเถิดน่าอย่ามัวร่ำไรอยู่เลย”
ว่าแล้วก็เดินดุ่ม ๆ นำหน้าเลี้ยวเข้าไปในตรอกบิกูเนียว ซึ่งจะแปลให้ได้อรรถรสก็ได้ว่าตรอกนางชี และเมื่อเลี้ยวเข้าไป มาตาฮาจิก็รู้สึกว่าไม่ได้แปลกที่สักนิดเหมือนได้กลับบ้านเก่า เพียงแต่ตื่นตาตื่นใจกับจำนวนห้องแถวติดโคมแดงที่เรียงรายสองฟากทางเดินเท่านั้นว่า ทำไมถึงได้มากมายเป็นร้อยเป็นพันอย่างนี้ ถึงยาโซเมะไม่กระซิบบอกเจ้าหนุ่มก็รู้ได้เองว่าเป็นซ่องนางโลมทั้งนั้น แต่ที่ไม่รู้ก็คือคืนหนึ่ง ๆ ต้องใช้น้ำมันเป็นร้อย ๆ ถึงสำหรับเติมโคมไฟ ถึงจะรู้ว่าพูดเดินไปบ้างแต่ได้เห็นกับตาแล้วก็น่าเชื่ออยู่
ใกล้กันนั้นมีคลองที่แยกออกมาจากคูรอบปราสาทไหลผ่าน เวลาน้ำขึ้นก็จะพาเอาพวกแมลงที่อาศัยอยู่ในเรือและปูแม่น้ำมาด้วย และพอเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นมันไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามประตูเรือนและใต้โคมแดง มาตาฮาจิเห็นแล้วขนลุกเพราะทำให้นึกถึงแมงป่องมีพิษ แต่จะมัวไปมองมันอยู่ทำไมในเมื่อมีสิ่งที่เจริญตาเจริญใจอยู่เต็มไปทั้งสองฟากทาง ผู้หญิงพอกหน้าขาวทาปากแดงจิ้มลิ้มนั่งมั่งยืนมั่งเชิญแขกอยู่น่าเรือนตน ที่สาว ๆ สวย ๆ คิ้วโก่งงามขำก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ที่สูงวัยราวสี่สิบน่าจะมีมากกว่า ที่เห็นเดินตาตก ย้อมฟันดำ โพกผมแบบนางชีเดินห่อตัวหนาวสั่น แต่ยังชม้อยชม้ายชายตามายั่วยวนใจชายก็หลายคนอยู่
“เยอะมาก”
มาตาฮาจิถอนใจใหญ่
“ใช่ไหม และข้าจะบอกให้ว่าที่นี่เยี่ยมกว่าพวกผู้หญิงโรงน้ำชาหรือว่านางรำหลายเท่า พูดถึงผู้หญิงขายตัวบางคนอาจทำจริตว่าน่ารังเกียจ แต่หนาว ๆ อย่างนี้ลองได้นอนด้วยสักคืนจะรู้สึกว่าอบอุ่นคุ้มค่านัก และยิ่งได้ฟังนิทานก่อนนอนที่ซาบซึ้งตรึงใจของพวกนางที่เป็นลูกชาวไร่ชาวนาด้วยแล้ว จะรู้ว่าไม่มีใครเป็นผู้หญิงขายตัวมาแต่เกิดหรอกท่านเอ๋ย”
ขณะที่เดินเรียงเคียไหล่ไปตามทาง ยาโซเมะสาธยายต่อไปด้วยความภูมิใจที่เป็นผู้รู้
“นอกจากนั้นแล้วยังมีคนที่เคยเป็นนางบำเรอของท่านแม่ทัพมาแล้วด้วยนะท่าน หลายคนเป็นลูกสาวของบริวารผู้ครองแคว้นที่สูญสิ้นอำนาจวาสนาไปในสงคราม ในสมัยโบราณตอนที่ตระกูลไทระล่มสลาย พวกผู้หญิงต้องออกมาขายตัวกันเต็มเมืองยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้เสียอีก อุปมาดั่งกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลงเต็มร่องระบายน้ำ ในโลกอันไร้ซึ่งความเที่ยงแท้แน่นอนของเรานี้ทุกยุคทุกสมัยไม่มีเว้น”
ว่าแล้วยาโซเมะก็พามาตาฮาจิเข้าไปที่เรือนแถวหลังหนึ่ง ยาโซเมะรับหน้าที่จัดการทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคย ไม่มีบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเหล้าสาเก หรือการหยอกล้อกับผู้หญิงที่มาปรนนิบัติดูแล มาตาฮาจิยอมรับเลยว่าการเที่ยวตามตรอกในนครโอซากานี่ช่างสนุกดีแท้
แน่นอนคืนนั้นทั้งสองนอนค้างด้วยความสุขสมทั้งสุราและนารีที่เรือนแถวหลังนั้น และจนเที่ยงวันรุ่งขึ้นยาโซเมะก็ยังเริงร่าไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ ส่วนมาตาฮาจิที่เคยต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดยามที่โอโครับแขกที่ซ่องโยโมงิของเธอ ก็พลอยรื่นเริงบันเทิงใจไปด้วย แต่ก็ไม่อาจดื่มสู้ยาโซเมะได้จึงยกมือยอมแพ้
“พอที ข้าไม่ไหวแล้ว กลับกันเถอะ”
ยาโซเมะดื้อแพ่ง
“ข้ายังไม่อยากกลับ ท่านอยู่กับข้าก่อนเถอะนะ”
“อยู่ให้มันได้อะไรขึ้นมาฮึ ไม่เอาแล้ว กลับ กลับ”
“คืนนี้เรานัดกันไปที่เคหาสน์ของท่านซูซูกิดะ คาเนสึเกะไม่ใช่รึ ออกไปตอนนี้ก็ยังไม่ได้เวลา แล้วเราจะไปอยู่กันที่ไหนล่ะทีนี้ อีกอย่างเราก็ยังไม่ได้หารือกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเลยว่า พอไปพบท่านแล้วจะพูดว่ายังไง”
“ถ้ารู้ว่ายุ่งยากอย่างนี้ ข้าคงไม่ขอร้องเจ้าแล้วละ เรื่องตำแหน่งและค่าตอบแทนอะไรนั่น”
“อ้าว ทำไมถึงคิดอย่างนั้นเล่า ท่านจะประเมินค่าตัวต่ำไม่ได้นะ อย่าลืมสิว่าท่านคือซาซากิ โคจิโร นักดาบไร้เทียมทางที่มีปริญญาบัตรตราประทับของสำนักดาบจูโจ ขืนไปบอกว่าตำแหน่งอะไรก็ได้ค่าตอบแทนเท่าไรก็ได้ ขอให้ได้บรรจุเข้าไปเจ้าหน้าที่ในปราสาทก็แล้วกันอย่างนี้ พวกเขาจะดูแคลนเอาว่าเราสิ้นท่าซมซานมา...เรามาปรึกษากันดีกว่าจะจะเรียกสักเท่าไรดี เท่าที่ข้าเห็นมา นักดาบนั้นยิ่งมีความมั่นใจในตัวเองเท่าไรค่าตัวก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ขืนมาทำถ่อมตัวอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ทันกินกับคนอื่นเขาหรอก...ข้าจะบอกให้”
2
เงาของปราสาทที่ใหญ่โตโอฬารสูงเสียดฟ้าทาบทับลงมาบนบริเวณที่อยู่ภายในรัศมี ทำให้มืดครึ้มลงเร็วกว่ากว่าบริเวณอื่น
“นั่นไงท่าน เคหาสน์ซูซูงิดะ”
มาตาฮาจิกับยาโซเมะยืนหันหลังให้คูปราสาทมองไปทางที่มีเคหาสน์หลังใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่ในหมู่ไม้เบื้องหน้า ลมหนาวพัดแรงจนทำให้เหล้าสาเกที่ดื่มกันมาตั้งแต่เที่ยงส่างลงโดยเร็ว และน้ำมูกที่ปลายจมูกเกาะตัวกันเป็นน้ำแข็ง
“เคหาสน์ที่มีซุ้มประตูหลังคมมุงแผ่นไม้นั่นน่ะรึ”
“ไม่ใช่ หลังที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมข้าง ๆ นั้นต่างหาก”
“อือ ดูใหญ่โตหรูหราไม่เลว”
“ซูซูงิดะก้าวหน้าเร็วมาก ตอนอายุสามสิบกว่า ๆ ยังไม่มีใครรู้จักเลยว่านายคนนี้คือใคร แต่เผลอแผล็บเดียวก็ใหญ่โตอย่างที่เห็น”
มาตาฮาจิปล่อยให้คำพูดของยาโซเมะผ่านหูไปโดยไม่ได้สนใจฟังให้รู้เรื่องราว เพราะเจ้าหนุ่มเชื่อคำพูดของซามูไรไร้นายคนนี้จนสนิทใจปราศจากข้อระแวงสงสัย จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องตั้งอกตั้งใจฟังเท่าไรนัก ได้แต่จ้องมองไปยังเคหาสน์ที่มีซุ้มประตูใหญ่น้อยของขุนนางที่ล้อมรอบปราสาทสูงเสียดฟ้า พลางคิดฝันตามประสาชายวัยหนุ่มว่าสักวันหนึ่งเราจะได้มีบ้าง
“เอาละ คืนนี้เราจะได้พบกับท่านซูซูงิดะ และข้าจะเป็นคนเจรจาเรื่องตำแหน่งกับค่าตัวของท่านเอง คอยดูแล้วกัน”
ยาโซเมะอาสาแข็งขัน ก่อนทวงขึ้นว่า
“---แล้ว เงินที่ว่าล่ะ”
“ใช่ ใช่ จริงด้วย”
มาตาฮาจิหยิบไถ้ใส่เงินออกมาจากอกเสื้อ และตัดใจเทเงินในไถ้ที่ใช้ไปจนเหลือแค่หนึ่งในสามออกมาจนหมด เงินแค่นี้เองให้มันไปเถิด
“ข้าคงให้ได้แค่นี้ คิดว่าคงพอนะ”
“พอสิ ใช้ได้เลย”
“แล้วไม่ต้องเอากระดาษหรืออะไรห่อสักหน่อยรึ”
“ไม่จำเป็น ซูซูงิดะไม่ใช่คนเดียวที่รับเงินค่าน้ำร้อนน้ำชาจากคนที่เข้ามาขอตำแหน่ง ใคร ๆ ก็ทำกันเกร่อ เปิดเผยกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรต้องปกปิดกัน เอามาเถอะข้าจะเอาไปให้เอง”
มาตาฮาจิใจหายอยู่เหมือนกันที่เงินเกือบเกลี้ยงไถ้ เดินตามไปสองสามก้าวแล้วสำทับด้วยความกังวล
“ช่วยจัดการให้ด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าทางนั้นเขาไม่เอาด้วย เราก็แค่ไม่ให้เงินแล้วก็ลากลับมาเท่านั้นเอง โอซากามีซูซูงิดะคนเดียวเสียเมื่อไหร่ โอโนะก็มี โกโตก็มีล้วนแต่มีอิทธิพลกันทั้งนั้น”
“แล้วเมื่อไรถึงจะได้คำตอบ”
“ท่านจะยืนรอข้าอยู่ตรงนี้ก็ได้ แต่จะมายืนตากลมเย็นอยู่ได้ยังไง และคนเดินผ่านไปมาก็จะสงสัยเอาด้วย เรามาเจอกันพรุ่งนี้ดีกว่าไหม”
“พรุ่งนี้ ที่ไหน”
“ไปพบกันที่ลานกว้างตรงที่เขากำลังจัดแสดงมหรสพกันน่ะ”
“ตกลง”
“ท่านไปรอที่ร้านเหล้าของตาลุงที่เราเจอกันครั้งแรกก็แล้วกัน รับรองไม่คลาดกันแน่”
หลังจากนัดเวลากันแล้ว ยาโซเมะก็โบกมือให้อย่างร่าเริงและออกเดินส่ายอาด ๆ มุ่งหน้าไปทางเคหาสน์หลังนั้น ด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
ท่าทางอย่างนี้ สมกับที่เคยเป็นเพื่อนเก่าสมัยที่ยังยากจนของท่านซูซูงิดะโดยแท้
มาตาฮาจิกลับที่พักด้วยความโล่งอกโล่งใจ และนอนหลับฝันหวานตลอดคืน วันรุ่งขึ้นเจ้าหนุ่มเดินย่ำน้ำข้างแข็งกรอบแกรบออกไปที่ลานกว้างตามเวลานัด ลมหนาวเดือนสิบสองโหมแรงเช่นเดียวกับเมื่อวาน แต่ผู้คนก็ยังออกมาเดินไปนั่นไปนี่กันคับคั่ง
3
แต่วันนั้นไม่รู้ว่าทำไมยาโซเมะซามูไรไร้นายจึงไม่มาตามนัด รอแล้วรอเล่าเลยเวลาไปมากโขแล้วก็ยังไม่มา
วันรุ่งขึ้นก็เช่นกัน
หรือว่าจะมีธุระอะไร ทำให้ไม่สะดวกที่จะมา
มาตาฮาจิพยายามคิดในแง่ดี ระหว่างนั่งคอยอยู่บนแคร่หน้าร้านเหล้าเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา
แต่คอยจนค่ำก็ไม่มีแม้แต่เงาของอากากาเบะ ยาโซเมะ
จนกระทั่งวันที่สาม
“ลุง ข้ามาอีกแล้ว”
มาตาฮาจิทักทายลุงร้านเหล้าเขิน ๆ ก่อนนั่งลงบนแคร่หน้าร้านเช่นเคย
ลุงร้านเหล้าเห็นเจ้าหนุ่มมานั่งเหมือนรอใครอยู่เป็นวันที่สามแล้วชักจะสงสัยจึงเรียบเคียงเข้าไปถาม และพอบอกว่านั่งคอยซามูไรไร้นายชื่ออากากาเบะ ยาโซเมะตามที่ได้นัดกันไว้ ลุงร้านเหล้าก็เบิกตาโต
“อะไรนะ นัดกับนายคนนั้นน่ะรึ”
แล้วก็เสริมต่อด้วยเสียงระอิดระอาใจ
“นายถูกหลอกเอาเงินแล้วละ รู้เลยว่าหมอนั่นต้องมาหลอกว่าจะไปช่วยติดต่อขอซื้อตำแหน่งให้กับคนใหญ่คนโตในปราสาท”
“ยาโซเมะไม่ได้หลอก ข้าเองเป็นคนขอให้เขาช่วยติดต่อเรื่องงานที่ปราสาทกับท่านซูซูงิดะ และฝากเงินไปให้เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา และอยากรู้คำตอบเร็ว ๆ ก็เลยมานั่งคอยอยู่ที่นี่ทุกวันเท่านั้นเอง”
“อ้อ ๆ นายเชื่อหมอนั่นงั้นรึ”
ลุงร้านเหล้ามองหน้ามาตาฮาจิด้วยความสงสาร
“แต่จะบอกให้เอาบุญนะว่า ถึงนายจะรอสักร้อยปี หมอนั่นก็ไม่มา”
“เฮ้ย ป...เป็นไปได้ไง ทำไมหรือลุง”
“นายไม่รู้อะไร เจ้าซามูไรไร้นายคนนั้นมันนักต้มตุ๋นตัวยง แล้วก็รู้ไว้ด้วยว่าแถวนี้มีพวกเหลือบไร มีปลิงคอยจ้องดูดเงินอยู่เต็มไปหมดเผลอไม่ได้เลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีคนหน้าจืด ๆ หน่อยหลุดเข้ามาเป็นต้องโดนรุมทิ้งเป็นเหยื่ออันโอชะ และพวกนั้นมันก็นักเลงหัวไม้ทั้งนั้น อย่างข้าถึงจะรู้ก็ไม่กล้าเตือนหรอกเพราะต้องทำมาหากิน ดีไม่ดีถูกพังร้านเอาง่าย ๆ
อย่างนายข้าเห็นดูฉลาดเฉลียวดี ทั้งชื่อเสียงเรียงนามก็น่าเกรงขามออกอย่างนั้น ไม่นึกเลยว่าจะมาเสียท่าให้ไอ้สิบแปดมงกุฎมันหลอกเอาเงินไปได้ แย่จริง ๆ ไม่รู้จะพูดยังไงถูก ใครรู้ก็จะอายเขาไปทั่ว”
แรกพูดก็ฟังดูว่าเห็นใจและสงสารที่ถูกหลอก และตอนท้ายทำไมถึงกลายเป็นหยามเหยียดสติปัญญาไปเสียอย่างนั้นไม่รู้ มาตาฮาจิหน้าซีดตัวสั่นไม่ใช่เพราะโกรธหรืออับอายที่ถูกลุงร้านเหล้าดูถูก แต่เพราะความหวังที่ตั้งเอาไว้สูงส่ง พังทลายลงในพริบตา หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความหวัง ความฝัน และเงินก้นถุง
มาตาฮาจิทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งนิ่งขึง เหม่อมองออกไปยังผู้คนที่เดินสวนกันไปมาอยู่บนลานกว้าง
“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้ช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า แต่นายลองไปถามที่โรงแสดงมายากลนั่นดูสิเพื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง ที่นั่นเป็นแหล่งซ่องสุมพวกนักต้มตุ๋น ที่หลอกเงินเหยื่อเอามาต่อทุนในวงพนัน บางทีอาจมีใครรู้ว่ายาโซเมะเอาเงินที่หลอกจากนายไปต่อทุนที่บ่อนไหนก็ได้”
“จริงหรือลุง ขอบใจนะ”
มาตาฮาจิผลุดลุกจากแคร่ที่นั่งทันที
“โรงแสดงมายากลที่ลุงว่านั่นมันโรงไหนหรือ”
เจ้าหนุ่มมองตามมือที่ลุงร้านเหล้าไปยังโรงแสดงใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น ลุงบอกว่าเป็นที่จัดแสดงของคณะนักเล่นกลที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่
เมื่อเข้าไปใกล้โรงแสดงที่ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่ มาตาฮาจิก็เห็นป้ายรายการแสดงติดเอาไว้ตรงประตูทางเข้า ปักธงเขียนชื่อนักเล่นกลแต่ละคนที่เห็นแต่ชื่อก็เดาได้แล้วว่าจะต้องมีเล่ห์กลซับซ้อนหลายชั้นเชิง อย่าง...
โจะจงงะ-ชปเป
เฮ็นเพียวโดจิ
กะชินโกจิโนะ
เสียงฆ้องกลองจังหวะแปลก ๆ ผสมผสานกับเสียงของสำแดงเดชของนักเล่นกลและเสียงปรบมือเกรียวกราวดังลอดออกมา การแสดงบนเวทีคงจะกำลังตื่นเต้นเร้าใจทีเดียว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
อากากาเบะ ยาโซเมะ ซามูไรไร้นาย พามาตาฮาจิเดินลัดเลาะเข้าไปในตรอกย่านเริงรมย์ ทั้งที่เจ้าหนุ่มที่อ้างชื่อว่าเป็นนักดาบเอกผู้มีฝีมือไร้เทียมทาน ตั้งใจจะพาไปร้านดื่มชั้นดีกว่านี้เพื่อให้สมศักดิ์ศรีเสียหน่อย และพอเอ่ยปากบ่นยาโซเมะก็กล่าวแก้
“ไปทำไมกันท่านร้านแบบนั้น แพงก็แพงแล้วยังสนุกเท่าที่ข้าจะพาไปไม่ได้ มาเถิดน่าอย่ามัวร่ำไรอยู่เลย”
ว่าแล้วก็เดินดุ่ม ๆ นำหน้าเลี้ยวเข้าไปในตรอกบิกูเนียว ซึ่งจะแปลให้ได้อรรถรสก็ได้ว่าตรอกนางชี และเมื่อเลี้ยวเข้าไป มาตาฮาจิก็รู้สึกว่าไม่ได้แปลกที่สักนิดเหมือนได้กลับบ้านเก่า เพียงแต่ตื่นตาตื่นใจกับจำนวนห้องแถวติดโคมแดงที่เรียงรายสองฟากทางเดินเท่านั้นว่า ทำไมถึงได้มากมายเป็นร้อยเป็นพันอย่างนี้ ถึงยาโซเมะไม่กระซิบบอกเจ้าหนุ่มก็รู้ได้เองว่าเป็นซ่องนางโลมทั้งนั้น แต่ที่ไม่รู้ก็คือคืนหนึ่ง ๆ ต้องใช้น้ำมันเป็นร้อย ๆ ถึงสำหรับเติมโคมไฟ ถึงจะรู้ว่าพูดเดินไปบ้างแต่ได้เห็นกับตาแล้วก็น่าเชื่ออยู่
ใกล้กันนั้นมีคลองที่แยกออกมาจากคูรอบปราสาทไหลผ่าน เวลาน้ำขึ้นก็จะพาเอาพวกแมลงที่อาศัยอยู่ในเรือและปูแม่น้ำมาด้วย และพอเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นมันไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามประตูเรือนและใต้โคมแดง มาตาฮาจิเห็นแล้วขนลุกเพราะทำให้นึกถึงแมงป่องมีพิษ แต่จะมัวไปมองมันอยู่ทำไมในเมื่อมีสิ่งที่เจริญตาเจริญใจอยู่เต็มไปทั้งสองฟากทาง ผู้หญิงพอกหน้าขาวทาปากแดงจิ้มลิ้มนั่งมั่งยืนมั่งเชิญแขกอยู่น่าเรือนตน ที่สาว ๆ สวย ๆ คิ้วโก่งงามขำก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ที่สูงวัยราวสี่สิบน่าจะมีมากกว่า ที่เห็นเดินตาตก ย้อมฟันดำ โพกผมแบบนางชีเดินห่อตัวหนาวสั่น แต่ยังชม้อยชม้ายชายตามายั่วยวนใจชายก็หลายคนอยู่
“เยอะมาก”
มาตาฮาจิถอนใจใหญ่
“ใช่ไหม และข้าจะบอกให้ว่าที่นี่เยี่ยมกว่าพวกผู้หญิงโรงน้ำชาหรือว่านางรำหลายเท่า พูดถึงผู้หญิงขายตัวบางคนอาจทำจริตว่าน่ารังเกียจ แต่หนาว ๆ อย่างนี้ลองได้นอนด้วยสักคืนจะรู้สึกว่าอบอุ่นคุ้มค่านัก และยิ่งได้ฟังนิทานก่อนนอนที่ซาบซึ้งตรึงใจของพวกนางที่เป็นลูกชาวไร่ชาวนาด้วยแล้ว จะรู้ว่าไม่มีใครเป็นผู้หญิงขายตัวมาแต่เกิดหรอกท่านเอ๋ย”
ขณะที่เดินเรียงเคียไหล่ไปตามทาง ยาโซเมะสาธยายต่อไปด้วยความภูมิใจที่เป็นผู้รู้
“นอกจากนั้นแล้วยังมีคนที่เคยเป็นนางบำเรอของท่านแม่ทัพมาแล้วด้วยนะท่าน หลายคนเป็นลูกสาวของบริวารผู้ครองแคว้นที่สูญสิ้นอำนาจวาสนาไปในสงคราม ในสมัยโบราณตอนที่ตระกูลไทระล่มสลาย พวกผู้หญิงต้องออกมาขายตัวกันเต็มเมืองยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้เสียอีก อุปมาดั่งกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลงเต็มร่องระบายน้ำ ในโลกอันไร้ซึ่งความเที่ยงแท้แน่นอนของเรานี้ทุกยุคทุกสมัยไม่มีเว้น”
ว่าแล้วยาโซเมะก็พามาตาฮาจิเข้าไปที่เรือนแถวหลังหนึ่ง ยาโซเมะรับหน้าที่จัดการทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคย ไม่มีบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเหล้าสาเก หรือการหยอกล้อกับผู้หญิงที่มาปรนนิบัติดูแล มาตาฮาจิยอมรับเลยว่าการเที่ยวตามตรอกในนครโอซากานี่ช่างสนุกดีแท้
แน่นอนคืนนั้นทั้งสองนอนค้างด้วยความสุขสมทั้งสุราและนารีที่เรือนแถวหลังนั้น และจนเที่ยงวันรุ่งขึ้นยาโซเมะก็ยังเริงร่าไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ ส่วนมาตาฮาจิที่เคยต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดยามที่โอโครับแขกที่ซ่องโยโมงิของเธอ ก็พลอยรื่นเริงบันเทิงใจไปด้วย แต่ก็ไม่อาจดื่มสู้ยาโซเมะได้จึงยกมือยอมแพ้
“พอที ข้าไม่ไหวแล้ว กลับกันเถอะ”
ยาโซเมะดื้อแพ่ง
“ข้ายังไม่อยากกลับ ท่านอยู่กับข้าก่อนเถอะนะ”
“อยู่ให้มันได้อะไรขึ้นมาฮึ ไม่เอาแล้ว กลับ กลับ”
“คืนนี้เรานัดกันไปที่เคหาสน์ของท่านซูซูกิดะ คาเนสึเกะไม่ใช่รึ ออกไปตอนนี้ก็ยังไม่ได้เวลา แล้วเราจะไปอยู่กันที่ไหนล่ะทีนี้ อีกอย่างเราก็ยังไม่ได้หารือกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเลยว่า พอไปพบท่านแล้วจะพูดว่ายังไง”
“ถ้ารู้ว่ายุ่งยากอย่างนี้ ข้าคงไม่ขอร้องเจ้าแล้วละ เรื่องตำแหน่งและค่าตอบแทนอะไรนั่น”
“อ้าว ทำไมถึงคิดอย่างนั้นเล่า ท่านจะประเมินค่าตัวต่ำไม่ได้นะ อย่าลืมสิว่าท่านคือซาซากิ โคจิโร นักดาบไร้เทียมทางที่มีปริญญาบัตรตราประทับของสำนักดาบจูโจ ขืนไปบอกว่าตำแหน่งอะไรก็ได้ค่าตอบแทนเท่าไรก็ได้ ขอให้ได้บรรจุเข้าไปเจ้าหน้าที่ในปราสาทก็แล้วกันอย่างนี้ พวกเขาจะดูแคลนเอาว่าเราสิ้นท่าซมซานมา...เรามาปรึกษากันดีกว่าจะจะเรียกสักเท่าไรดี เท่าที่ข้าเห็นมา นักดาบนั้นยิ่งมีความมั่นใจในตัวเองเท่าไรค่าตัวก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ขืนมาทำถ่อมตัวอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ทันกินกับคนอื่นเขาหรอก...ข้าจะบอกให้”
2
เงาของปราสาทที่ใหญ่โตโอฬารสูงเสียดฟ้าทาบทับลงมาบนบริเวณที่อยู่ภายในรัศมี ทำให้มืดครึ้มลงเร็วกว่ากว่าบริเวณอื่น
“นั่นไงท่าน เคหาสน์ซูซูงิดะ”
มาตาฮาจิกับยาโซเมะยืนหันหลังให้คูปราสาทมองไปทางที่มีเคหาสน์หลังใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่ในหมู่ไม้เบื้องหน้า ลมหนาวพัดแรงจนทำให้เหล้าสาเกที่ดื่มกันมาตั้งแต่เที่ยงส่างลงโดยเร็ว และน้ำมูกที่ปลายจมูกเกาะตัวกันเป็นน้ำแข็ง
“เคหาสน์ที่มีซุ้มประตูหลังคมมุงแผ่นไม้นั่นน่ะรึ”
“ไม่ใช่ หลังที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมข้าง ๆ นั้นต่างหาก”
“อือ ดูใหญ่โตหรูหราไม่เลว”
“ซูซูงิดะก้าวหน้าเร็วมาก ตอนอายุสามสิบกว่า ๆ ยังไม่มีใครรู้จักเลยว่านายคนนี้คือใคร แต่เผลอแผล็บเดียวก็ใหญ่โตอย่างที่เห็น”
มาตาฮาจิปล่อยให้คำพูดของยาโซเมะผ่านหูไปโดยไม่ได้สนใจฟังให้รู้เรื่องราว เพราะเจ้าหนุ่มเชื่อคำพูดของซามูไรไร้นายคนนี้จนสนิทใจปราศจากข้อระแวงสงสัย จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องตั้งอกตั้งใจฟังเท่าไรนัก ได้แต่จ้องมองไปยังเคหาสน์ที่มีซุ้มประตูใหญ่น้อยของขุนนางที่ล้อมรอบปราสาทสูงเสียดฟ้า พลางคิดฝันตามประสาชายวัยหนุ่มว่าสักวันหนึ่งเราจะได้มีบ้าง
“เอาละ คืนนี้เราจะได้พบกับท่านซูซูงิดะ และข้าจะเป็นคนเจรจาเรื่องตำแหน่งกับค่าตัวของท่านเอง คอยดูแล้วกัน”
ยาโซเมะอาสาแข็งขัน ก่อนทวงขึ้นว่า
“---แล้ว เงินที่ว่าล่ะ”
“ใช่ ใช่ จริงด้วย”
มาตาฮาจิหยิบไถ้ใส่เงินออกมาจากอกเสื้อ และตัดใจเทเงินในไถ้ที่ใช้ไปจนเหลือแค่หนึ่งในสามออกมาจนหมด เงินแค่นี้เองให้มันไปเถิด
“ข้าคงให้ได้แค่นี้ คิดว่าคงพอนะ”
“พอสิ ใช้ได้เลย”
“แล้วไม่ต้องเอากระดาษหรืออะไรห่อสักหน่อยรึ”
“ไม่จำเป็น ซูซูงิดะไม่ใช่คนเดียวที่รับเงินค่าน้ำร้อนน้ำชาจากคนที่เข้ามาขอตำแหน่ง ใคร ๆ ก็ทำกันเกร่อ เปิดเผยกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรต้องปกปิดกัน เอามาเถอะข้าจะเอาไปให้เอง”
มาตาฮาจิใจหายอยู่เหมือนกันที่เงินเกือบเกลี้ยงไถ้ เดินตามไปสองสามก้าวแล้วสำทับด้วยความกังวล
“ช่วยจัดการให้ด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าทางนั้นเขาไม่เอาด้วย เราก็แค่ไม่ให้เงินแล้วก็ลากลับมาเท่านั้นเอง โอซากามีซูซูงิดะคนเดียวเสียเมื่อไหร่ โอโนะก็มี โกโตก็มีล้วนแต่มีอิทธิพลกันทั้งนั้น”
“แล้วเมื่อไรถึงจะได้คำตอบ”
“ท่านจะยืนรอข้าอยู่ตรงนี้ก็ได้ แต่จะมายืนตากลมเย็นอยู่ได้ยังไง และคนเดินผ่านไปมาก็จะสงสัยเอาด้วย เรามาเจอกันพรุ่งนี้ดีกว่าไหม”
“พรุ่งนี้ ที่ไหน”
“ไปพบกันที่ลานกว้างตรงที่เขากำลังจัดแสดงมหรสพกันน่ะ”
“ตกลง”
“ท่านไปรอที่ร้านเหล้าของตาลุงที่เราเจอกันครั้งแรกก็แล้วกัน รับรองไม่คลาดกันแน่”
หลังจากนัดเวลากันแล้ว ยาโซเมะก็โบกมือให้อย่างร่าเริงและออกเดินส่ายอาด ๆ มุ่งหน้าไปทางเคหาสน์หลังนั้น ด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
ท่าทางอย่างนี้ สมกับที่เคยเป็นเพื่อนเก่าสมัยที่ยังยากจนของท่านซูซูงิดะโดยแท้
มาตาฮาจิกลับที่พักด้วยความโล่งอกโล่งใจ และนอนหลับฝันหวานตลอดคืน วันรุ่งขึ้นเจ้าหนุ่มเดินย่ำน้ำข้างแข็งกรอบแกรบออกไปที่ลานกว้างตามเวลานัด ลมหนาวเดือนสิบสองโหมแรงเช่นเดียวกับเมื่อวาน แต่ผู้คนก็ยังออกมาเดินไปนั่นไปนี่กันคับคั่ง
3
แต่วันนั้นไม่รู้ว่าทำไมยาโซเมะซามูไรไร้นายจึงไม่มาตามนัด รอแล้วรอเล่าเลยเวลาไปมากโขแล้วก็ยังไม่มา
วันรุ่งขึ้นก็เช่นกัน
หรือว่าจะมีธุระอะไร ทำให้ไม่สะดวกที่จะมา
มาตาฮาจิพยายามคิดในแง่ดี ระหว่างนั่งคอยอยู่บนแคร่หน้าร้านเหล้าเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา
แต่คอยจนค่ำก็ไม่มีแม้แต่เงาของอากากาเบะ ยาโซเมะ
จนกระทั่งวันที่สาม
“ลุง ข้ามาอีกแล้ว”
มาตาฮาจิทักทายลุงร้านเหล้าเขิน ๆ ก่อนนั่งลงบนแคร่หน้าร้านเช่นเคย
ลุงร้านเหล้าเห็นเจ้าหนุ่มมานั่งเหมือนรอใครอยู่เป็นวันที่สามแล้วชักจะสงสัยจึงเรียบเคียงเข้าไปถาม และพอบอกว่านั่งคอยซามูไรไร้นายชื่ออากากาเบะ ยาโซเมะตามที่ได้นัดกันไว้ ลุงร้านเหล้าก็เบิกตาโต
“อะไรนะ นัดกับนายคนนั้นน่ะรึ”
แล้วก็เสริมต่อด้วยเสียงระอิดระอาใจ
“นายถูกหลอกเอาเงินแล้วละ รู้เลยว่าหมอนั่นต้องมาหลอกว่าจะไปช่วยติดต่อขอซื้อตำแหน่งให้กับคนใหญ่คนโตในปราสาท”
“ยาโซเมะไม่ได้หลอก ข้าเองเป็นคนขอให้เขาช่วยติดต่อเรื่องงานที่ปราสาทกับท่านซูซูงิดะ และฝากเงินไปให้เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา และอยากรู้คำตอบเร็ว ๆ ก็เลยมานั่งคอยอยู่ที่นี่ทุกวันเท่านั้นเอง”
“อ้อ ๆ นายเชื่อหมอนั่นงั้นรึ”
ลุงร้านเหล้ามองหน้ามาตาฮาจิด้วยความสงสาร
“แต่จะบอกให้เอาบุญนะว่า ถึงนายจะรอสักร้อยปี หมอนั่นก็ไม่มา”
“เฮ้ย ป...เป็นไปได้ไง ทำไมหรือลุง”
“นายไม่รู้อะไร เจ้าซามูไรไร้นายคนนั้นมันนักต้มตุ๋นตัวยง แล้วก็รู้ไว้ด้วยว่าแถวนี้มีพวกเหลือบไร มีปลิงคอยจ้องดูดเงินอยู่เต็มไปหมดเผลอไม่ได้เลยทีเดียว ยิ่งถ้ามีคนหน้าจืด ๆ หน่อยหลุดเข้ามาเป็นต้องโดนรุมทิ้งเป็นเหยื่ออันโอชะ และพวกนั้นมันก็นักเลงหัวไม้ทั้งนั้น อย่างข้าถึงจะรู้ก็ไม่กล้าเตือนหรอกเพราะต้องทำมาหากิน ดีไม่ดีถูกพังร้านเอาง่าย ๆ
อย่างนายข้าเห็นดูฉลาดเฉลียวดี ทั้งชื่อเสียงเรียงนามก็น่าเกรงขามออกอย่างนั้น ไม่นึกเลยว่าจะมาเสียท่าให้ไอ้สิบแปดมงกุฎมันหลอกเอาเงินไปได้ แย่จริง ๆ ไม่รู้จะพูดยังไงถูก ใครรู้ก็จะอายเขาไปทั่ว”
แรกพูดก็ฟังดูว่าเห็นใจและสงสารที่ถูกหลอก และตอนท้ายทำไมถึงกลายเป็นหยามเหยียดสติปัญญาไปเสียอย่างนั้นไม่รู้ มาตาฮาจิหน้าซีดตัวสั่นไม่ใช่เพราะโกรธหรืออับอายที่ถูกลุงร้านเหล้าดูถูก แต่เพราะความหวังที่ตั้งเอาไว้สูงส่ง พังทลายลงในพริบตา หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความหวัง ความฝัน และเงินก้นถุง
มาตาฮาจิทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งนิ่งขึง เหม่อมองออกไปยังผู้คนที่เดินสวนกันไปมาอยู่บนลานกว้าง
“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้ช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า แต่นายลองไปถามที่โรงแสดงมายากลนั่นดูสิเพื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง ที่นั่นเป็นแหล่งซ่องสุมพวกนักต้มตุ๋น ที่หลอกเงินเหยื่อเอามาต่อทุนในวงพนัน บางทีอาจมีใครรู้ว่ายาโซเมะเอาเงินที่หลอกจากนายไปต่อทุนที่บ่อนไหนก็ได้”
“จริงหรือลุง ขอบใจนะ”
มาตาฮาจิผลุดลุกจากแคร่ที่นั่งทันที
“โรงแสดงมายากลที่ลุงว่านั่นมันโรงไหนหรือ”
เจ้าหนุ่มมองตามมือที่ลุงร้านเหล้าไปยังโรงแสดงใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น ลุงบอกว่าเป็นที่จัดแสดงของคณะนักเล่นกลที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่
เมื่อเข้าไปใกล้โรงแสดงที่ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่ มาตาฮาจิก็เห็นป้ายรายการแสดงติดเอาไว้ตรงประตูทางเข้า ปักธงเขียนชื่อนักเล่นกลแต่ละคนที่เห็นแต่ชื่อก็เดาได้แล้วว่าจะต้องมีเล่ห์กลซับซ้อนหลายชั้นเชิง อย่าง...
โจะจงงะ-ชปเป
เฮ็นเพียวโดจิ
กะชินโกจิโนะ
เสียงฆ้องกลองจังหวะแปลก ๆ ผสมผสานกับเสียงของสำแดงเดชของนักเล่นกลและเสียงปรบมือเกรียวกราวดังลอดออกมา การแสดงบนเวทีคงจะกำลังตื่นเต้นเร้าใจทีเดียว