นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มาตาฮาจิอ้อมไปข้างหลังโรงแสดงและพบอีกประตูหนึ่งที่นอกเหนือจากประตูเข้าออกสำหรับผู้ชม ท่าทางจะเป็นประตูลับเพราะดูแอบ ๆ ซ่อน ๆ ชอบกลอยู่ แล้วก็จริงดังที่คิดเพราะเมื่อเยี่ยมหน้าเข้าไปดู คนเฝ้าประตูที่นั่งแอบอยู่ตรงนั้นก็ร้องถามขึ้น
“ไปบ่อนรึเจ้าหนุ่ม”
และพอพยักหน้าหมอนั่นก็ยอมให้ผ่านเข้าไปแต่โดยดี มาตาฮาจิเดินไปเลิกม่านที่กั้นไว้ก้าวเข้าไปพบซามูไรไร้นาย แต่ละคนท่าทางเป็นเซียนพนันกลุ่มใหญ่ราวยี่สิบคนกำลังสุมหัวกัน เล่นการพนันกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในห้องแคบ ๆ เหมือนคอกสัตว์ที่ไม่มีหลังคา
พอมาตาฮาจิก้าวเข้าไปใกล้วง เซียนพนันก็เหลือบตาขึ้นมองพร้อมกัน คนหนึ่งรีบกระเถิบให้นั่งโดยไม่พูดไม่จา
“อากากาเบะ ยาโซมะ อยู่ในนี้หรือเปล่า”
“อากากาเบะรึ ไม่เห็นนะ แต่เอ...หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตา หรือจะเป็นอะไรไป”
“แล้ววันนี้จะมาหรือไหม”
“ใครจะไปรู้ ไม่ต้องพูดมาก เข้ามาร่วมวงกันเลย”
“ไม่หรอก ข้าไม่ได้มาเล่นการพนัน แค่มาถามคน ๆ หนึ่งเท่านั้น”
“อะไรวะ เข้ามาในบ่อนแล้วไม่ร่วมวงพนัน มีด้วยรึ”
“ขอโทษนะ”
“ยุ่งชะมัด ขัดจังหวะกันนี่หว่า”
“ก็ขอโทษแล้วไง”
แต่พอมาตาฮาจิหันหลังกลับออกมาก็มีซามูไรนักเลงโตคนหนึ่งตามมาเอาเรื่องไม่เลิก
“เดี๋ยว จะไปไหน เอ็งนึกว่าขอโทษคำเดียวแล้วเรื่องจะจบลงง่าย ๆ งั้นรึ คนที่เข้ามาในนี้ถึงไม่เล่นก็ต้องจ่ายค่าสถานที่ก่อนถึงจะกลับออกไปได้”
“ข้าไม่มีเงิน”
“อ้าว ไม่มีเงินแล้วโผล่หัวเข้ามาในบ่อนทำไม หรือว่าจะเป็นพวกหัวขโมยเข้ามาหาจังหวะลักน้อยขโมยน้อยทีเผลอ ใช่แล้ว ไอ้หัวขโมย”
“อะไรนะ พูดใหม่สิ”
มาตาฮาจิยืดอกแอ่นเอวให้ดูดาบ วางมาดอย่างที่คิดว่าน่าเกรงขาม แต่เซียนพนันกลับเห็นเป็นเรื่องน่าขัน
“ดาบขี้ปะติ๋ว ไม่ต้องมาแอ่นเอวขู่เลย ถ้าข้ากลัวนักดาบกระจอกอย่างเอ็ง ข้าคงอยู่โอซากามาได้ถึงวันนี้หรอก อยากลองก็ชักดาบออกมาฟันกันเลย”
“ไม่ต้องท้า ข้าฟันกระจุยแน่”
“ก็เอาซี รออะไรอยู่”
“เอ็งรู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร”
“ไม่จำเป็นต้องรู้”
“ข้าคือซาซากิ โคจิโร นักดาบไร้เทียมทานผู้สืบวิทยายุทธจากโทดะ เซเง็น ปรมาจารย์ผู้เป็นเจ้าสำนักดาบโทดะ แห่งหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น”
เซียนพนันนักเลงใหญ่ร้องฮึ เชิดหน้ามองต่ำคล้ายกับจะบอกว่ามีดีจะอวดแค่นี้เองรึ แค่นหัวเราะออกมาแล้วหันหลังร้องบอกเข้าไปในวงพนันในคอกหลังม่าน
“เฮ้ย ทุกคน ไอ้หมอนี่มันทำเบ่ง อ้างว่าชื่ออะไรก็ไม่รู้น่าหัวเราะให้ฟันหัก ท่าทางอยากแสดงฝีมือเต็มที เรามาขอดูกันหน่อยดีไหม”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง หมอนั่นก็ต้องกระโดดตัวลอย เพราะถูกปลายดาบที่มาตาฮาจิชักออกมาเฉี่ยวเอาที่ก้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“สัตว์...”
เซียนพนันสบถ ตามมาด้วยเสียงเฮของซามูไรเซียนพนันที่ลุกฮือขึ้นมาช่วยพวกพ้อง มาตาฮาจิรีบลดดาบเปื้อนเลือดลงและรีบหนีออกมาจากโรงแสดงมหากาฬแห่งนั้น แฝงตัวปะปนเข้าไปในกลุ่มคนโดยเร็ว พยายามหนีจากคนกลุ่มนั้นไปยังกลุ่มนี้ แต่ความตื่นตระหนกทำให้เห็นหน้าทุกคนเป็นพวกเซียนพนันไปหมด จนต้องเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้าคล้ายบ้าคลั่ง
รู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็เมื่อมายืนอยู่หน้าโรงแสดงที่ขึงม่านรูปเสือตัวใหญ่มหึมาโดดเด่นอยู่ด้านหน้า ที่ประตูทางเข้าปักธงสัญลักษณ์รูปหอกและตางูปลิวไสว เจ้าของโรงยืนอยู่บนกล่องเปล่าเรียกแขกจนเสียงแหบแห้ง
“เสือ เจ้าข้า เสือ เสือตัวใหญ่มหึมา ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากคาบสมุทรเกาหลี หลายพันลี้และกลับไปอีกหลายพันลี้ แต่คาโต คิโยมาซะผู้ยิ่งใหญ่ของเราได้ดักจับเอาไว้ได้ เร่เข้ามา เร่เข้ามาดูให้ได้เห็นเป็นบุญตา”
มาตาฮาจิโยนเศษเงินลงกล่องแล้วผลุบเข้าไปในโรงด้วยความโล่งอกที่หนีพ้นกลุ่มผีพนันมาได้ และพอเข้ามาแล้วก็มองซ้ายมองขวาหาเสือที่เจ้าของโรงร้องเรียกแขกอยู่ปาว ๆ แต่เท่าที่เห็นมีแต่กระดาฯสองสามแผ่นตั้งเรียงอยู่ด้านหน้า และหนึ่งในนั้นมีหนังเสียแผ่นหนึ่งแปะอยู่มองไม่ดีก็จะเห็นเหมือนตากผ้าผืนหนึ่งเอาไว้
2
แม้จะได้เห็นแค่หนังเสือแต่บางคนก็ดูด้วยความสนใจว่าเป็นของแปลก และตื่นตาในความใหญ่โตของมันในจินตนาการ ไม่มีใครโกรธว่าถูกหลอกให้ดูแต่หนังเสือ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะเป็นเสือจริง ๆ”
“ตัวใหญ่น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าเจอตัวจริงคงแย่แน่”
คนดูแล้วโจษขานกันสวนกับคนกลุ่มใหม่ที่จ่ายเงินเข้ามาดู
ขณะที่มาตาฮาจิยืนเกร่อยู่หน้าหนังเสือด้วยความตั้งใจว่าจะหลบอยู่ในนี้ให้นานเท่าที่จะทำได้นั้นเอง อยู่ ๆ ก็มีพ่อเฒ่าแม่เฒ่าคู่หนึ่งในชุดเดินทางไกลมาหยุดยืนคุยกันอยู่ตรงหน้า
“อากง เสือนั่นมันตายแล้วเหลือแต่หนังไม่ใช่รึ” แม่เฒ่าถามขึ้น
พ่อเฒ่าท่าทีเป็นนักดาบเก่ายื่นมือผ่านรั้วกั้นเข้าไปลูบหนังเสือพลางบอกว่า
“ก็ใช่น่ะซี เหลือแต่หนังก็หมายความว่าตายแล้ว และก็ตายไปนานแล้วด้วย”
“แต่ฟังนายโรงที่ร้องเรียกแขกปาว ๆ อยู่นั่น ฟังแล้วเหมือนกับเสือยังเป็น ๆ อยู่นะอากง”
“อือ คงตั้งใจจะให้เป็นมายากลอะไรสนุก ๆ สักอย่างละมัง”
พ่อเฒ่าหัวเราะหึ หึ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่แม่เฒ่าไม่ใช่อย่างนั้น นางเม้มปากแน่นจ้องเขม็งไปที่หนังเสือสีหน้าแสดงว่าโกรธจัด
“ข้าไม่สนุกด้วยหรอกนะ ถ้าจะเล่นกลให้ดูก็ต้องติดป้านแจ้งให้รู้กับตรง ๆ ถ้าอยากจะดูเสือตายแล้วอย่างนี้ข้าไปหารูปดูก็ได้ทีออกถมไป อากง เราไปเอาเงินคืนกันดีกว่า”
“อย่าเลยนายแม่ ชั่งมันเถอะ เอะอะไปก็อายชาวบ้านเปล่า ๆ”
“ทีอย่างนี้ละทำหน้าบาง เอาเถอะถ้าอากงอายข้าไปทวงเองก็ได้”
แม่เฒ่าเดินนำอากงหลีกคนดูคนอื่นสวนทางออกไปที่ทางเข้า มาตาฮาจิรีบหลบเข้าไปในกลุ่มคนทันทีแต่ช้าเกินไป เพราะอากงมองมาทางนั้นพอดี
“มาตาฮาจิ แก...”
อากงตะโกนเสียงดังลั่นไปทั้งโรง
“เอะอะอะไรรึ อากง”
แม่เฒ่าตาไม่ดีและหูก็จับความไม่ค่อยได้
“นายแม่ไม่เห็นรึว่าใครยืนอยู่ข้างหลัง มาตาฮาจิ...มาตาฮาจิ อยู่ที่นี่เองนายแม่ เราเจอมันแล้ว”
“หา...เจ้าพูจริงรึ อากง”
“อ้าว หนีไปแล้ว”
“หนีไปไหน”
พ่อเฒ่าแม่เฒ่าพากันวิ่งย่องแย่งออกมาจากโรงแสดง
เย็นมากแล้ว ย่านเริงรมย์ยิ่งคึกคักขึ้น มาตาฮาจิวิ่งชนคนหลายครั้งระหว่างวิ่งเตลิดเข้าไปในเมือง
“รอก่อน ไอ้ลูกชาย จะหนีไปไหน”
เจ้าหนุ่มหันหลังมาดู ก็เห็นเสียงแม่เฒ่าโอซูงิวิ่งพลางแผดร้องเรียกราวบ้าคลั่งตามเข้ามาติด ๆ อากงวิ่งโบกไม้โบกมืองตามมา ร้องเรียกพลางด่าทอขรมถมเถ
“มาตาฮาจิ ได้เด็กบ้า หนีทำไม หยุดเดี๋ยวนี้ มาตาฮาจิ...”
เมื่อเห็นมาตาฮาจิไม่หยุดจริง ๆ แม่เฒ่าโอซูงิแสนกลก็ใช้ไม้ตาย ยื่นคอออกไปข้างหน้าและตะโกนสุดเสียง
“ขโมย ขโมย ขโมย ช่วยจับที”
ฝ่ายชาวเมืองที่เกลียดชังพวกหัวขโมยเป็นทุนอยู่แล้วพอได้ยินเสียงร้องให้ช่วย และเห็นเจ้าหนุ่มท่าทางน่าสงสัยวิ่งหนีมา ก็วางมือจากงานที่ทำอยู่ ฉวยอาวุธใกล้มือซึ่งมีก้านไผ่ที่ใช้ขึงผ้าม่านบังหน้าร้านบ้าง ราวตากผ้าบ้าง ออกกางกัดตีสกัดเอาไว้ไม่นานก็ช่วยกันกดตัวลงไปหมอบอยู่กับพื้นได้สำเร็จ
“จับได้แล้ว”
“ไอ้นี่ท่าทางจะเป็นตัวร้าย”
“ตีมันเลย ตีให้ตาย”
มาตาฮาจิถูกลงประชาทัณฑ์ทั้งเตะถีบ ทุบตี ถ่มน้ำลายรดหน้า กว่าอากงกับแม่เฒ่าโอซูงิจะวิ่งกระหืดกระหอบมาถึง มาตาฮาจิก็แทบสลบเหมือด
พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรแม่เฒ่าโอซูงิก็ผลักชาวบ้านที่รุมอยู่กระเด็นไปคนละทางสองทาง ชักมีดสั้นออกมาทำหน้าถมึงทึงและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่ฝูงคนที่กำลังบ้าคลั่ง
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ทำร้ายผู้ชายคนนี้ทำไม”
ชาวบ้านที่มุงอยู่คนหนึ่งตะโกนบอกด้วยเสียงที่ยังไม่หายแค้น
“ก็ไอ้หมอนี่มันเป็นหัวขโมย”
“ใช่เมื่อไหร่ เจ้านี่เป็นลูกชายของข้าต่างหาก”
“อะไรนะ ลูกชายของแม่เฒ่ารึ”
“ก็ใช่นะซี พวกเจ้าเป็นแค่ชาวเมือง อวดดียังไงถึงได้มามาเตะถีบลูกชายข้าที่เป็นถึงลูกนักรบซามูไร หยุดนะ ถ้าขืนแตะลูกชายข้าอีกนิดเดียว เป็นได้เห็นดีกัน”
“ตลกแล้ว เมื่อกี้ใครล่ะที่เป็นร้องตะโกนให้พวกเราช่วยจับขโมยเมื่อกี้นี้”
“ใช่ ยายแก่คนนี้เป็นคนร้องตะโกนเองแหละ แต่ข้าไปได้บอกให้ทุบตีทำร้ายสักหน่อย ข้าร้องว่าขโมยก็เพราะคิดว่าถ้าลูกชายได้ยินมันจะหยุด แต่พวกเจ้าโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของคนที่เป็นแม่เลย พอจับได้ก็ทุบเอาตีเอาไม่ฟังเสียง ทำไมถึงได้ใจร้ายอย่างนี้
3
แม่เฒ่าขยุ้มคอเสื้อกิโมโนลากตัวลูกชายออกจากกลุ่มคนที่กลุ้มรุมอยู่ ไปที่ป่าละเมาะของศาลเจ้าภายในเมือง ที่มืดสลัวอยู่ในแสงริบหรี่จากตะเกียงหินตามทางเดิน ไม่มีใครตามมาเพราะต่างตกใจเมื่อเห็นความเกรี้ยวกราดของแม่เฒ่า และขยาดหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ อากงยืนระวังหลังอยู่ใต้ซุ้มประตูศาลเจ้า และเมื่อเห็นกลุ่มคนสลายตัวแล้วจึงเดินตามเข้าไป
“นายแม่ ข้าว่าเลิกดุด่าเฆี่ยนตีลูกชายเสียที มาตาฮาจิไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนา”
อากงแนะพลางพยายามแกะมือแม่เฒ่าออกจากคอเสื้อลูกชาย
“ไม่ต้องมาพูดดี”
แม่เฒ่าใช้ศอกถองญาติสนิทมิตรจนเซไปทางหนึ่ง
“เงียบไปเลย มาตาฮาจิเป็นลูกของข้า ข้าจะเฆี่ยนตียังไงมันก็เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง...มานี่เดี๋ยวนี้เลย มาตาฮาจิ”
จริง ๆ แล้วผู้เป็นแม่น่าจะร้องไห้ด้วยความยินดีที่ได้พบกับลูกชายซึ่งคิดว่าตายไปแล้วอย่างไม่คาดฝัน แต่แม่เฒ่าโอซูงิกลับแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว คว้าคอเสื้อลูกชายลากตัวล้มลุกคลุกคลานราวกับคนที่มีเรื่องโกรธกันมานาน
กล่าวกันว่าคนเราเมื่อแก่ตัวลงมักจะตรงไปตรงมาเข้าใจง่ายขึ้นไม่ซับซ้อนและในเวลาเดียวกันก็จะอารมณ์เสียง่าย อารมณ์ของแม่เฒ่าตอนนี้ก็ดูจะไม่เป็นดังว่า เพราะมันสับสนซับซ้อนเกินไป ทั้งอยากร้องไห้ อยากโกรธ และอยากคลั่ง
“ไอ้ลูกบ้า มีอย่างหรือเห็นหน้าแม่แล้ววิ่งหนี เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เอ็งเกิดมาจากตอไม้ ไม่ใช่ออกมาจากท้องข้าอย่างนั้นรึ นี่แน่ะ...นี่แน่ะ ไอ้ลูกไม่รักดี ไอ้เด็กเหลือขอ”
แม่เฒ่าโอซูงิตีก้นลูกชายฉาด ๆ เหมือนมาตาฮาจิยังเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ
“ข้านึกว่าเจ้าตายไปสงครามและทำใจได้แล้ว แต่อะไรเนี่ย...เจ้ายังอยู่ดี และมาเดินลอยชายอยู่ที่โอซากา มันน่าเจ็บใจนัก ยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ แต่ไม่ได้คิดถึงแม่ ไม่คิดถึงญาติพี่น้องที่บ้านเกิดเลยสักนิด อย่างน้อยก็กลับมาให้ข้าเห็นหน้าสักนิดก็ยังดี จะได้นอนใจว่ายังมีชีวิตอยู่ เจ้ามันคนไม่มีหัวใจ ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเลยแม้แต่แม้ผู้ให้กำเนิด ไอ้คน...”
“แม่ ข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้าเถอะนะ ข้าผิดไปแล้ว”
มาตาฮาจิร้องไห้เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ
“ข้ารู้ตัวว่าตัวเองทำผิด และเพราะรู้ก็เลยไม่กล้ากลับบ้าน วันนี้ก็เหมือนกัน ที่ข้าหนีก็เพราะตกใจที่อยู่ ๆ ก็มาพบแม่กับองกงที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจหนีนะแม่ มันแค่ตกใจทำอะไรไม่ถูกเท่านั้น ข้าละอายใจเหลือเกินที่ทำกับแม่และอากงอย่างนี้ เสียใจจริง ๆ ที่ทำให้บรรพบุรุษต้องเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ยกโทษให้ข้าเถอะนะแม่”
มาตาฮาจิยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า
เท่านั้นเอง ใจที่แข็งราวเหล็กไหลก็อ่อนยวบลง นางทำจมูกย่นและร้องไห้กระซิก แต่ก็แค่อึดใจเดียวเท่านั้นกลับบึ้งตึงดังเดิม แต่ด่าว่าตนเองเอ็ดอึงอยู่ในใจที่เผลอทำใจอ่อน
“เสียใจที่ทำให้บรรพบุรุษต้องเสียหน้า...ก็ดี แต่แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันอย่างคนอื่นเขา ทำไมถึงไม่ได้เรื่องอยู่อย่างนี้ฮึ”
อากงอดรนทนฟังอยู่ไม่ไหวจึงสอดขึ้น
“พอทีดีไหมนายแม่ ขืนดุด่าเฆี่ยนตีมากเกินไป เดี๋ยวมาตาฮาจิมันก็ได้ต่อต้านขึ้นมาอีกหรอก”
“ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าอย่ายุ่ง เจ้าเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่ตามใจเด็กไม่เข้าเรื่อง มาตาฮาจิไม่มีพ่อข้าก็เลยต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อกับแม่พร้อมกันไป เจ้าไม่ใช่ข้าเจ้าไม่รู้หรอก ลูกทำผิดข้าก็ต้องเฆี่ยนตีเป็นธรรมดา แค่นี้ยังไม่พอหรอกนะจะบอกให้
เอาละ มาตาฮาจิลุกขึ้นนั่งได้แล้ว และเล่าเรื่องราวตั้งแต่เสร็จสงครามที่เซกิงาฮาระให้ข้าฟังทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้ขาดตกสักตอนเลยทีเดียว”
“จ้ะแม่”
มาตาฮาจิยันตัวที่คลุกฝุ่นจนมอมแมมลุกขึ้นนั่งตัวตรง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มาตาฮาจิอ้อมไปข้างหลังโรงแสดงและพบอีกประตูหนึ่งที่นอกเหนือจากประตูเข้าออกสำหรับผู้ชม ท่าทางจะเป็นประตูลับเพราะดูแอบ ๆ ซ่อน ๆ ชอบกลอยู่ แล้วก็จริงดังที่คิดเพราะเมื่อเยี่ยมหน้าเข้าไปดู คนเฝ้าประตูที่นั่งแอบอยู่ตรงนั้นก็ร้องถามขึ้น
“ไปบ่อนรึเจ้าหนุ่ม”
และพอพยักหน้าหมอนั่นก็ยอมให้ผ่านเข้าไปแต่โดยดี มาตาฮาจิเดินไปเลิกม่านที่กั้นไว้ก้าวเข้าไปพบซามูไรไร้นาย แต่ละคนท่าทางเป็นเซียนพนันกลุ่มใหญ่ราวยี่สิบคนกำลังสุมหัวกัน เล่นการพนันกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในห้องแคบ ๆ เหมือนคอกสัตว์ที่ไม่มีหลังคา
พอมาตาฮาจิก้าวเข้าไปใกล้วง เซียนพนันก็เหลือบตาขึ้นมองพร้อมกัน คนหนึ่งรีบกระเถิบให้นั่งโดยไม่พูดไม่จา
“อากากาเบะ ยาโซมะ อยู่ในนี้หรือเปล่า”
“อากากาเบะรึ ไม่เห็นนะ แต่เอ...หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตา หรือจะเป็นอะไรไป”
“แล้ววันนี้จะมาหรือไหม”
“ใครจะไปรู้ ไม่ต้องพูดมาก เข้ามาร่วมวงกันเลย”
“ไม่หรอก ข้าไม่ได้มาเล่นการพนัน แค่มาถามคน ๆ หนึ่งเท่านั้น”
“อะไรวะ เข้ามาในบ่อนแล้วไม่ร่วมวงพนัน มีด้วยรึ”
“ขอโทษนะ”
“ยุ่งชะมัด ขัดจังหวะกันนี่หว่า”
“ก็ขอโทษแล้วไง”
แต่พอมาตาฮาจิหันหลังกลับออกมาก็มีซามูไรนักเลงโตคนหนึ่งตามมาเอาเรื่องไม่เลิก
“เดี๋ยว จะไปไหน เอ็งนึกว่าขอโทษคำเดียวแล้วเรื่องจะจบลงง่าย ๆ งั้นรึ คนที่เข้ามาในนี้ถึงไม่เล่นก็ต้องจ่ายค่าสถานที่ก่อนถึงจะกลับออกไปได้”
“ข้าไม่มีเงิน”
“อ้าว ไม่มีเงินแล้วโผล่หัวเข้ามาในบ่อนทำไม หรือว่าจะเป็นพวกหัวขโมยเข้ามาหาจังหวะลักน้อยขโมยน้อยทีเผลอ ใช่แล้ว ไอ้หัวขโมย”
“อะไรนะ พูดใหม่สิ”
มาตาฮาจิยืดอกแอ่นเอวให้ดูดาบ วางมาดอย่างที่คิดว่าน่าเกรงขาม แต่เซียนพนันกลับเห็นเป็นเรื่องน่าขัน
“ดาบขี้ปะติ๋ว ไม่ต้องมาแอ่นเอวขู่เลย ถ้าข้ากลัวนักดาบกระจอกอย่างเอ็ง ข้าคงอยู่โอซากามาได้ถึงวันนี้หรอก อยากลองก็ชักดาบออกมาฟันกันเลย”
“ไม่ต้องท้า ข้าฟันกระจุยแน่”
“ก็เอาซี รออะไรอยู่”
“เอ็งรู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร”
“ไม่จำเป็นต้องรู้”
“ข้าคือซาซากิ โคจิโร นักดาบไร้เทียมทานผู้สืบวิทยายุทธจากโทดะ เซเง็น ปรมาจารย์ผู้เป็นเจ้าสำนักดาบโทดะ แห่งหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น”
เซียนพนันนักเลงใหญ่ร้องฮึ เชิดหน้ามองต่ำคล้ายกับจะบอกว่ามีดีจะอวดแค่นี้เองรึ แค่นหัวเราะออกมาแล้วหันหลังร้องบอกเข้าไปในวงพนันในคอกหลังม่าน
“เฮ้ย ทุกคน ไอ้หมอนี่มันทำเบ่ง อ้างว่าชื่ออะไรก็ไม่รู้น่าหัวเราะให้ฟันหัก ท่าทางอยากแสดงฝีมือเต็มที เรามาขอดูกันหน่อยดีไหม”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง หมอนั่นก็ต้องกระโดดตัวลอย เพราะถูกปลายดาบที่มาตาฮาจิชักออกมาเฉี่ยวเอาที่ก้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“สัตว์...”
เซียนพนันสบถ ตามมาด้วยเสียงเฮของซามูไรเซียนพนันที่ลุกฮือขึ้นมาช่วยพวกพ้อง มาตาฮาจิรีบลดดาบเปื้อนเลือดลงและรีบหนีออกมาจากโรงแสดงมหากาฬแห่งนั้น แฝงตัวปะปนเข้าไปในกลุ่มคนโดยเร็ว พยายามหนีจากคนกลุ่มนั้นไปยังกลุ่มนี้ แต่ความตื่นตระหนกทำให้เห็นหน้าทุกคนเป็นพวกเซียนพนันไปหมด จนต้องเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้าคล้ายบ้าคลั่ง
รู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็เมื่อมายืนอยู่หน้าโรงแสดงที่ขึงม่านรูปเสือตัวใหญ่มหึมาโดดเด่นอยู่ด้านหน้า ที่ประตูทางเข้าปักธงสัญลักษณ์รูปหอกและตางูปลิวไสว เจ้าของโรงยืนอยู่บนกล่องเปล่าเรียกแขกจนเสียงแหบแห้ง
“เสือ เจ้าข้า เสือ เสือตัวใหญ่มหึมา ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากคาบสมุทรเกาหลี หลายพันลี้และกลับไปอีกหลายพันลี้ แต่คาโต คิโยมาซะผู้ยิ่งใหญ่ของเราได้ดักจับเอาไว้ได้ เร่เข้ามา เร่เข้ามาดูให้ได้เห็นเป็นบุญตา”
มาตาฮาจิโยนเศษเงินลงกล่องแล้วผลุบเข้าไปในโรงด้วยความโล่งอกที่หนีพ้นกลุ่มผีพนันมาได้ และพอเข้ามาแล้วก็มองซ้ายมองขวาหาเสือที่เจ้าของโรงร้องเรียกแขกอยู่ปาว ๆ แต่เท่าที่เห็นมีแต่กระดาฯสองสามแผ่นตั้งเรียงอยู่ด้านหน้า และหนึ่งในนั้นมีหนังเสียแผ่นหนึ่งแปะอยู่มองไม่ดีก็จะเห็นเหมือนตากผ้าผืนหนึ่งเอาไว้
2
แม้จะได้เห็นแค่หนังเสือแต่บางคนก็ดูด้วยความสนใจว่าเป็นของแปลก และตื่นตาในความใหญ่โตของมันในจินตนาการ ไม่มีใครโกรธว่าถูกหลอกให้ดูแต่หนังเสือ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะเป็นเสือจริง ๆ”
“ตัวใหญ่น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าเจอตัวจริงคงแย่แน่”
คนดูแล้วโจษขานกันสวนกับคนกลุ่มใหม่ที่จ่ายเงินเข้ามาดู
ขณะที่มาตาฮาจิยืนเกร่อยู่หน้าหนังเสือด้วยความตั้งใจว่าจะหลบอยู่ในนี้ให้นานเท่าที่จะทำได้นั้นเอง อยู่ ๆ ก็มีพ่อเฒ่าแม่เฒ่าคู่หนึ่งในชุดเดินทางไกลมาหยุดยืนคุยกันอยู่ตรงหน้า
“อากง เสือนั่นมันตายแล้วเหลือแต่หนังไม่ใช่รึ” แม่เฒ่าถามขึ้น
พ่อเฒ่าท่าทีเป็นนักดาบเก่ายื่นมือผ่านรั้วกั้นเข้าไปลูบหนังเสือพลางบอกว่า
“ก็ใช่น่ะซี เหลือแต่หนังก็หมายความว่าตายแล้ว และก็ตายไปนานแล้วด้วย”
“แต่ฟังนายโรงที่ร้องเรียกแขกปาว ๆ อยู่นั่น ฟังแล้วเหมือนกับเสือยังเป็น ๆ อยู่นะอากง”
“อือ คงตั้งใจจะให้เป็นมายากลอะไรสนุก ๆ สักอย่างละมัง”
พ่อเฒ่าหัวเราะหึ หึ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่แม่เฒ่าไม่ใช่อย่างนั้น นางเม้มปากแน่นจ้องเขม็งไปที่หนังเสือสีหน้าแสดงว่าโกรธจัด
“ข้าไม่สนุกด้วยหรอกนะ ถ้าจะเล่นกลให้ดูก็ต้องติดป้านแจ้งให้รู้กับตรง ๆ ถ้าอยากจะดูเสือตายแล้วอย่างนี้ข้าไปหารูปดูก็ได้ทีออกถมไป อากง เราไปเอาเงินคืนกันดีกว่า”
“อย่าเลยนายแม่ ชั่งมันเถอะ เอะอะไปก็อายชาวบ้านเปล่า ๆ”
“ทีอย่างนี้ละทำหน้าบาง เอาเถอะถ้าอากงอายข้าไปทวงเองก็ได้”
แม่เฒ่าเดินนำอากงหลีกคนดูคนอื่นสวนทางออกไปที่ทางเข้า มาตาฮาจิรีบหลบเข้าไปในกลุ่มคนทันทีแต่ช้าเกินไป เพราะอากงมองมาทางนั้นพอดี
“มาตาฮาจิ แก...”
อากงตะโกนเสียงดังลั่นไปทั้งโรง
“เอะอะอะไรรึ อากง”
แม่เฒ่าตาไม่ดีและหูก็จับความไม่ค่อยได้
“นายแม่ไม่เห็นรึว่าใครยืนอยู่ข้างหลัง มาตาฮาจิ...มาตาฮาจิ อยู่ที่นี่เองนายแม่ เราเจอมันแล้ว”
“หา...เจ้าพูจริงรึ อากง”
“อ้าว หนีไปแล้ว”
“หนีไปไหน”
พ่อเฒ่าแม่เฒ่าพากันวิ่งย่องแย่งออกมาจากโรงแสดง
เย็นมากแล้ว ย่านเริงรมย์ยิ่งคึกคักขึ้น มาตาฮาจิวิ่งชนคนหลายครั้งระหว่างวิ่งเตลิดเข้าไปในเมือง
“รอก่อน ไอ้ลูกชาย จะหนีไปไหน”
เจ้าหนุ่มหันหลังมาดู ก็เห็นเสียงแม่เฒ่าโอซูงิวิ่งพลางแผดร้องเรียกราวบ้าคลั่งตามเข้ามาติด ๆ อากงวิ่งโบกไม้โบกมืองตามมา ร้องเรียกพลางด่าทอขรมถมเถ
“มาตาฮาจิ ได้เด็กบ้า หนีทำไม หยุดเดี๋ยวนี้ มาตาฮาจิ...”
เมื่อเห็นมาตาฮาจิไม่หยุดจริง ๆ แม่เฒ่าโอซูงิแสนกลก็ใช้ไม้ตาย ยื่นคอออกไปข้างหน้าและตะโกนสุดเสียง
“ขโมย ขโมย ขโมย ช่วยจับที”
ฝ่ายชาวเมืองที่เกลียดชังพวกหัวขโมยเป็นทุนอยู่แล้วพอได้ยินเสียงร้องให้ช่วย และเห็นเจ้าหนุ่มท่าทางน่าสงสัยวิ่งหนีมา ก็วางมือจากงานที่ทำอยู่ ฉวยอาวุธใกล้มือซึ่งมีก้านไผ่ที่ใช้ขึงผ้าม่านบังหน้าร้านบ้าง ราวตากผ้าบ้าง ออกกางกัดตีสกัดเอาไว้ไม่นานก็ช่วยกันกดตัวลงไปหมอบอยู่กับพื้นได้สำเร็จ
“จับได้แล้ว”
“ไอ้นี่ท่าทางจะเป็นตัวร้าย”
“ตีมันเลย ตีให้ตาย”
มาตาฮาจิถูกลงประชาทัณฑ์ทั้งเตะถีบ ทุบตี ถ่มน้ำลายรดหน้า กว่าอากงกับแม่เฒ่าโอซูงิจะวิ่งกระหืดกระหอบมาถึง มาตาฮาจิก็แทบสลบเหมือด
พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรแม่เฒ่าโอซูงิก็ผลักชาวบ้านที่รุมอยู่กระเด็นไปคนละทางสองทาง ชักมีดสั้นออกมาทำหน้าถมึงทึงและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่ฝูงคนที่กำลังบ้าคลั่ง
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ทำร้ายผู้ชายคนนี้ทำไม”
ชาวบ้านที่มุงอยู่คนหนึ่งตะโกนบอกด้วยเสียงที่ยังไม่หายแค้น
“ก็ไอ้หมอนี่มันเป็นหัวขโมย”
“ใช่เมื่อไหร่ เจ้านี่เป็นลูกชายของข้าต่างหาก”
“อะไรนะ ลูกชายของแม่เฒ่ารึ”
“ก็ใช่นะซี พวกเจ้าเป็นแค่ชาวเมือง อวดดียังไงถึงได้มามาเตะถีบลูกชายข้าที่เป็นถึงลูกนักรบซามูไร หยุดนะ ถ้าขืนแตะลูกชายข้าอีกนิดเดียว เป็นได้เห็นดีกัน”
“ตลกแล้ว เมื่อกี้ใครล่ะที่เป็นร้องตะโกนให้พวกเราช่วยจับขโมยเมื่อกี้นี้”
“ใช่ ยายแก่คนนี้เป็นคนร้องตะโกนเองแหละ แต่ข้าไปได้บอกให้ทุบตีทำร้ายสักหน่อย ข้าร้องว่าขโมยก็เพราะคิดว่าถ้าลูกชายได้ยินมันจะหยุด แต่พวกเจ้าโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของคนที่เป็นแม่เลย พอจับได้ก็ทุบเอาตีเอาไม่ฟังเสียง ทำไมถึงได้ใจร้ายอย่างนี้
3
แม่เฒ่าขยุ้มคอเสื้อกิโมโนลากตัวลูกชายออกจากกลุ่มคนที่กลุ้มรุมอยู่ ไปที่ป่าละเมาะของศาลเจ้าภายในเมือง ที่มืดสลัวอยู่ในแสงริบหรี่จากตะเกียงหินตามทางเดิน ไม่มีใครตามมาเพราะต่างตกใจเมื่อเห็นความเกรี้ยวกราดของแม่เฒ่า และขยาดหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ อากงยืนระวังหลังอยู่ใต้ซุ้มประตูศาลเจ้า และเมื่อเห็นกลุ่มคนสลายตัวแล้วจึงเดินตามเข้าไป
“นายแม่ ข้าว่าเลิกดุด่าเฆี่ยนตีลูกชายเสียที มาตาฮาจิไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนา”
อากงแนะพลางพยายามแกะมือแม่เฒ่าออกจากคอเสื้อลูกชาย
“ไม่ต้องมาพูดดี”
แม่เฒ่าใช้ศอกถองญาติสนิทมิตรจนเซไปทางหนึ่ง
“เงียบไปเลย มาตาฮาจิเป็นลูกของข้า ข้าจะเฆี่ยนตียังไงมันก็เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง...มานี่เดี๋ยวนี้เลย มาตาฮาจิ”
จริง ๆ แล้วผู้เป็นแม่น่าจะร้องไห้ด้วยความยินดีที่ได้พบกับลูกชายซึ่งคิดว่าตายไปแล้วอย่างไม่คาดฝัน แต่แม่เฒ่าโอซูงิกลับแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว คว้าคอเสื้อลูกชายลากตัวล้มลุกคลุกคลานราวกับคนที่มีเรื่องโกรธกันมานาน
กล่าวกันว่าคนเราเมื่อแก่ตัวลงมักจะตรงไปตรงมาเข้าใจง่ายขึ้นไม่ซับซ้อนและในเวลาเดียวกันก็จะอารมณ์เสียง่าย อารมณ์ของแม่เฒ่าตอนนี้ก็ดูจะไม่เป็นดังว่า เพราะมันสับสนซับซ้อนเกินไป ทั้งอยากร้องไห้ อยากโกรธ และอยากคลั่ง
“ไอ้ลูกบ้า มีอย่างหรือเห็นหน้าแม่แล้ววิ่งหนี เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เอ็งเกิดมาจากตอไม้ ไม่ใช่ออกมาจากท้องข้าอย่างนั้นรึ นี่แน่ะ...นี่แน่ะ ไอ้ลูกไม่รักดี ไอ้เด็กเหลือขอ”
แม่เฒ่าโอซูงิตีก้นลูกชายฉาด ๆ เหมือนมาตาฮาจิยังเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ
“ข้านึกว่าเจ้าตายไปสงครามและทำใจได้แล้ว แต่อะไรเนี่ย...เจ้ายังอยู่ดี และมาเดินลอยชายอยู่ที่โอซากา มันน่าเจ็บใจนัก ยังมีชีวิตอยู่แท้ ๆ แต่ไม่ได้คิดถึงแม่ ไม่คิดถึงญาติพี่น้องที่บ้านเกิดเลยสักนิด อย่างน้อยก็กลับมาให้ข้าเห็นหน้าสักนิดก็ยังดี จะได้นอนใจว่ายังมีชีวิตอยู่ เจ้ามันคนไม่มีหัวใจ ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเลยแม้แต่แม้ผู้ให้กำเนิด ไอ้คน...”
“แม่ ข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้าเถอะนะ ข้าผิดไปแล้ว”
มาตาฮาจิร้องไห้เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ
“ข้ารู้ตัวว่าตัวเองทำผิด และเพราะรู้ก็เลยไม่กล้ากลับบ้าน วันนี้ก็เหมือนกัน ที่ข้าหนีก็เพราะตกใจที่อยู่ ๆ ก็มาพบแม่กับองกงที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจหนีนะแม่ มันแค่ตกใจทำอะไรไม่ถูกเท่านั้น ข้าละอายใจเหลือเกินที่ทำกับแม่และอากงอย่างนี้ เสียใจจริง ๆ ที่ทำให้บรรพบุรุษต้องเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ยกโทษให้ข้าเถอะนะแม่”
มาตาฮาจิยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า
เท่านั้นเอง ใจที่แข็งราวเหล็กไหลก็อ่อนยวบลง นางทำจมูกย่นและร้องไห้กระซิก แต่ก็แค่อึดใจเดียวเท่านั้นกลับบึ้งตึงดังเดิม แต่ด่าว่าตนเองเอ็ดอึงอยู่ในใจที่เผลอทำใจอ่อน
“เสียใจที่ทำให้บรรพบุรุษต้องเสียหน้า...ก็ดี แต่แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันอย่างคนอื่นเขา ทำไมถึงไม่ได้เรื่องอยู่อย่างนี้ฮึ”
อากงอดรนทนฟังอยู่ไม่ไหวจึงสอดขึ้น
“พอทีดีไหมนายแม่ ขืนดุด่าเฆี่ยนตีมากเกินไป เดี๋ยวมาตาฮาจิมันก็ได้ต่อต้านขึ้นมาอีกหรอก”
“ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าอย่ายุ่ง เจ้าเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่ตามใจเด็กไม่เข้าเรื่อง มาตาฮาจิไม่มีพ่อข้าก็เลยต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อกับแม่พร้อมกันไป เจ้าไม่ใช่ข้าเจ้าไม่รู้หรอก ลูกทำผิดข้าก็ต้องเฆี่ยนตีเป็นธรรมดา แค่นี้ยังไม่พอหรอกนะจะบอกให้
เอาละ มาตาฮาจิลุกขึ้นนั่งได้แล้ว และเล่าเรื่องราวตั้งแต่เสร็จสงครามที่เซกิงาฮาระให้ข้าฟังทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้ขาดตกสักตอนเลยทีเดียว”
“จ้ะแม่”
มาตาฮาจิยันตัวที่คลุกฝุ่นจนมอมแมมลุกขึ้นนั่งตัวตรง