นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มาตาฮาจิเพิ่งจะกังวลเรื่องเงินขึ้นมาหลังจากที่ได้เอ่ยปากกับพระวณิพก
ใช่...เงินพวกนั้นเป็นเงินที่ซามูไรยื่นให้และกำลังขอร้องให้ตนทำอะไรสักอย่างแต่ยังไม่ทันพูดก็สิ้นใจเสียก่อน แต่ดูจากรูปการแล้วคงจะฝากไปให้พ่อแม่พี่น้องที่บ้านเกิด
เงินของคนอื่นจะเอามาใช้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ จะหยิบยืมมาใช้สักนิดหน่อยก็ไม่น่าผิดอะไร เพราะไหน ๆ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายบ้างกว่าจะพาสิ่งของที่ฝากมาทั้งหมดไปถึงบ้านเกิด
คิดได้ดังนั้นมาตาฮาจิก็เบาใจลงบ้าง และเมื่อเบาใจเจ้าหนุ่มก็เริ่มหยิบเงินจากไถ้คล่องมือขึ้น
แต่มาตาฮาจิก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเอาเงินจำนวนมากมายในไถ้กับม้วนใบปริญญานักดาบที่ประทับตราสำนักดาบจูโจอันเลื่องชื่อลือชาในยุคสมัยไปมอบใคร ณ ที่ใด เพราะจนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าบ้านเกิดของซาซากิ โคจิโรที่มีชื่ออยู่ในปริญญานั้นอยู่ที่ไหน
ถึงจะแน่ใจว่านักดาบฝึกหัดที่ตายอย่างน่าอนาถที่หน้างานสร้างปราสาทฟูชิมิคือซาซากิ โคจิโร แต่เจ้าหนุ่มก็ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับชายคนนี้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นซามูไรมีนายหรือไร้นายและมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มาตาฮาจิไม่รู้และไม่มีทางที่จะสืบได้ด้วย
ตัวช่วยเดียวที่นึกได้ก็คือครูดาบชื่อคาเนมากิ จิไซผู้ลงนามในปริญญาใบนั้น และถ้าพบครูดาบผู้นี้ก็คงได้รู้เรื่องราวของ โคจิโรทันที ดังนั้นมาตาฮาจิจึงถามถึงครูดาบผู้นี้ไปตลอดทางจากฟุชิมิลงไปทางโอซากา ไม่ว่าจะเป็นคนที่พบระหว่างทาง คนที่ร้านน้ำชาและร้านอาหารที่แวะดื่มกิน และที่โรงเตี๊ยมเมื่อแวะพัก แต่ก็ไม่มีใครรู้จักสักคน
“รู้จักครูดาบลือนามที่ชื่อคาเนมากิ จิไซ บ้างไหม”
“เอ ไม่เคยได้ยินเลยนะ คนชื่อนี้”
ลองถามว่า
“แล้วสำนักดาบจูโจ ที่สืบวิทยายุทธ์มาจากสำนักดาบโทดาเซเง็นล่ะเคยได้ยินบ้านไหม”
“เอ...”
แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร คนที่ถูกถามได้แต่เอียงคอคิด
จนกระทั่งวันหนึ่ง ซามูไรที่พบกลางทางและเดินคุยกันมาบอกว่าเคยแว่วคำเรื่องลือเรื่องฝีมือดาบของสำนักนี้มาเหมือนกัน และแนะนำให้ไปถามคนที่ปราสาทโอซากา
“คาเนมากิ จิไซที่เจ้าถามถึงนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะต้องชราเต็มที เท่าที่ได้ยินมา ท่านผู้นี้ได้เดินทางออกจากภาคคันโตทางตะวันออกขึ้นไปทางแคว้นโจชู และปลีกวิเวกในวัยชราอยู่บนภูเขาสักแห่งแถบนั้น และไม่ได้ออกมาพบปะผู้คนอีกเลย---ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องของท่านผู้นี้ให้ได้ละก็ ต้องไปถามคนชื่อโทมิตะ มนโดโนโช ที่ปราสาทโอซากา”
และเสริมว่าโทมิตะ มนโดโนโช เป็นครูดาบคนหนึ่งของท่านจอมทัพโทโยโทมิ ฮิเดโยริแห่งปราสาทโอซากา คิดว่าน่าจะเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับโทดาเซเง็นที่มาจากหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น
คำตอบที่ได้ไม่ค่อยชัดเจนนักแต่มาตาฮาจิก็ฟังเอาไว้เพราะยังไงตนก็ตั้งใจไปโอซากาอยู่ดี และเมื่อเข้าเมืองก็เข้าพักในโรงเตี๊ยมราคาถูกสุดและถามคนที่นั่นว่ามีซามูไรชื่อนั้นอยู่ในปราสาทโอซากาหรือไม่
“มีสิ รู้สึกว่าจะเป็นหลานปู่ของท่านโทดาเซเง็น ไม่ได้เป็นครูดาบของท่านจอมทัพฮิเดโยริ แต่เป็นครูสอนวิทยายุทธ์ให้แก่พวกซามูไรในปราสาท แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว ได้ยินมาว่ากลับแคว้นเอจิเซ็นไปหลายปีแล้ว”
คำบอกเล่าของคนที่โรงเตี๊ยมซึ่งเป็นคนเมืองและน่าจะมีธุระเข้าออกปราสาทบ้าง ฟังดูน่าจะเป็นจริงกว่าที่ซามูไรคนนั้นบอก นายคนนั้นยังแนะนำด้วยว่า
“แต่ถึงจะตามไปถึงแคว้นเอจิเซ็นก็ไม่รับรองว่าจะได้พบท่านผู้นั้นหรือไม่ แทนที่จะเดินทางไกลไปยังจุดหมายที่ไม่ชัดเจนอย่างนั้น ข้าคิดว่าเจ้าตามหาอาจารย์อิโต อิตโตไซจะได้เรื่องมากกว่า เพราะได้ยินมาว่าท่านผู้นี้ก็ได้ฝึกวิชาดาบกับ คาเนมากิ จิไซที่สำนักโจจูมาเหมือนกัน ก่อนที่จะคิดทางดาบของตนเองขึ้นมา”
มาตาฮาจิฟังแล้วเห็นว่าสมเหตุสมผลดีจึงออกตามหาอิโต อิตโตไซ แต่ก็ได้ความว่านักดาบผู้นี้เคยอาศัยอยู่ในกระท่อม เล็ก ๆ ที่ชิรากาวะ พอมาระยะนี้ไม่มีใครเห็นออกมาแถวโอซากาหรือเกียวโต จึงคิดว่าคงจะออกเดินทางแสวงหาวิชาเพิ่มเติม
“เฮ้อ น่าเบื่อ ตามหาใครก็ไม่พบสักคน”
มาตาฮาจิบ่นพึมพำกับตัวเองทำท่าคล้ายจะถอดใจ
2
ความคึกคักมีชีวิตชีวาของโอซากาปลุกความทะเยอทะยานของคนหนุ่มที่หลับใหลอยู่นานในมาตาฮาจิให้ตื่นขึ้นมาโลดแล่นอีกครั้งเมืองที่กำลังเจริญรุ่งเรืองและขยายตัวใหญ่โตต้องการพลังคนอย่างไม่มีวงจำกัด
ปราสาทฟูชิมิบริหารงานด้วยนโยบายแนวใหม่และระบบนักรบ ในขณะที่ปราสาทโอซากาเปิดประตูกว้างรับซามูไรราวกับว่ากำลังสร้างกองกำลังซามูไรไร้นายซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีสถานภาพเป็นทางการ
ชาวบ้านร้านถิ่นลือกันหนาหูว่า
“จอมทัพฮิเดโยริให้การช่วยเหลือสนับสนุนเป็นการลับแก่บรรดาผู้ครองแคว้นที่พ่ายศึกไร้ปราสาทหลายคน อย่างโกโต มาตาเบ...ซานาดะ ยูกิมูระ...อากาชิ คามน แม้จนกระทั่งโซกาเบะ โมริจิกะที่น่าเกรงอันตราย”
เมืองท้ายปราสาทโอซากาจึงเป็นสวรรค์สำหรับซามูไรไร้นาย อย่างไม่มีเมืองท้ายปราสาทแห่งใดจะสู้ได้ไปด้วยประการฉะนี้
ข่าวว่าโซกาเบะ โมริจิกะแม่ทัพใหญ่ผู้เคยครองปราสาท มาเช่าบ้านเล็ก ๆ อยู่ตามในซอยชานเมือง โกนหัวโล้นเหมือนพระทั้งยังหนุ่มและเปลี่ยนชื่อเป็นอิจิมูไซ...ชายผู้มีฝันเดียว ปั้นหน้าเป็นผู้ไม่สนใจทางโลก และใช้ชีวิตอยู่อย่างสัมถะห่างไกลจากความหรูหราฟุ่มเฟือยและการบันเทิงเริงรมย์
หากแต่ว่าเตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อว่าคราใดเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นมาจะได้ผงาดขึ้นมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ฉับพลัน
เพื่อสนองคุณจอมทัพผู้เกรียงไกร
โซกาเบะ โมริจิกะผู้นี้ลือกันว่าเลี้ยงซามูไรไร้นายไว้ใต้ร่มธงรบเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยคน โดยมีท่านจอมทัพเป็นผู้สนับสนุนค่ากินอยู่และใช้จ่าย
มาตาฮาจิอยู่ดูลาดเลาในโอซากาได้ราวสองเดือนก็ตกลงใจว่าจะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่
ดูเหมือนว่าความตื่นระทึกไปด้วยความหวังอันสูงส่ง เหมือนเมื่อครั้งฉวยทวนด้ามเดียววิ่งคู่เคียงกับทาเกโซออกมาจากหมู่บ้านมิยาโมโตะ มุ่งสู่สมรภูมิที่เซกิงาฮาระ ได้หวนคืนสู่ใจของเจ้าหนุ่มอีกครั้ง พร้อมกับร่างกายที่ฟื้นตัวขึ้นมาแข็งแรงสมวัยหนุ่มระหว่างใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่
มาตาฮาจิพร้อมแล้วทั้งใจกาย สนุกและสุขสดชื่นทุกวัน
แม้จำนวนเงินในไถ้จะลดลงไปตามลำดับแต่...ตอนนี้โชคกำลังเข้าข้างข้า
ถึงจะสะดุดก้อนหินบ้าง แต่ด้วยจังหวะก้าวย่างอย่างนี้น่ะดีแล้ว เดี๋ยวก็พบโชคดีอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนอื่นต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดี
คิดแล้วมาตาฮาจิก็จัดการซื้อดาบเล็กดาบใหญ่มาพกให้สมภาคภูมิ อากาศปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นขึ้นมามากแล้ว จึงต้องเลือกซื้อกิโมโนเนื้อหนาพร้อมเสื้อคลุมมาสวมใส่
เมื่อคิดจะตั้งหลักปักฐานอย่างนี้แล้ว ถ้าอยู่โรงเตี๊ยมต่อไปก็จะเปลืองเงินเสียเปล่า เจ้าหนุ่มจึงไปเช่าเรือนเล็กของบ้านช่างทำอานและเกือกม้าใกล้กับคลองจุงเกและออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไปดูอะไร ๆ ที่อยากดู กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง และเชื่อว่าระหว่างที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีเช่นนี้ วันหนึ่งจะได้พบกับคนที่มีเส้นสายช่วยฝากงานในตำแหน่งที่ได้เงินดี ๆ ในปราสาท
การเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ทำให้มาตาฮาจิรู้จักควบคุมความเป็นอยู่ และตั้งใจที่จะปรับปรุงตัวเองให้เหมือนกับว่าเกิดใหม่เป็นคนละคน เจ้าหนุ่มได้ยินชาวบ้านซุบซิบกันถึงซามูไรคนนั้นคนนี้ อย่างบางคนเห็นคุมคนลากหินขนหินอยู่ที่หน้างานก่อสร้างอยู่เมื่อวันสองวันนี้เอง เผลอแผล็บเดียวเห็นขี่ม้านำหน้าซามูไรไร้นายตั้งยี่สิบคน แถมมีคนจูงม้าสำรองร่วมขบวนมาเสียด้วย ข้ามสะพานเข้าประตูด้านเคียวบาชิเข้าไปในปราสาทโอซากา---
คนเมืองเล่าลือถึงความสำเร็จที่น่าอิจฉาของคนนั้นคนนี้ทั่วไป ฟังแล้วมาตาฮาจิชักท้อ
โลกเราก็เหมือนกำแพงหิน ที่ก่อก้อนหินก่ายกันขึ้นไปชิดติดกันจนไม่มีช่องให้แทรกเข้าไป
คิดอย่างนั้นมันก็เหนื่อยน่ะซี...คิดใหม่ดีกว่า
ที่มองอย่างนั้นก็เพราะยังไม่เห็นเส้นสายเถาวัลย์ ไม่เห็นช่องทางอะไร ๆ มันก็ยากไปทั้งนั้น นอกจากว่าเราจะพยายามหามันให้พบ
คิดได้ดังนั้นมาตาฮาจิจึงไปปรึกษากับช่างทำอานและเกือกม้าที่ตนเช่าเรือนเล็กอยู่
“นายยังหนุ่ม หน่วยก้านก็ดูดีมีฝีมือ ถ้าไปขอความช่วยเหลือจากคนในปราสาท ข้าคิดว่าคงได้งานทันที”
ช่างทำอานและเกือกม้าพูดง่ายแต่จริง ๆ แล้วงานหายากเกินคาด มาตาฮาจิผูกมิตรไมตรีกับคนนั้นคนนี้เผื่อว่าจะมีเส้นสายให้ได้งาน จนเดือนธันวาจะสิ้นปีแล้วก็ยังเตะฝุ่นอยู่ ขณะที่เงินในไถ้ถูกใช้ไปเหลือแค่ครึ่งเดียว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มาตาฮาจิเพิ่งจะกังวลเรื่องเงินขึ้นมาหลังจากที่ได้เอ่ยปากกับพระวณิพก
ใช่...เงินพวกนั้นเป็นเงินที่ซามูไรยื่นให้และกำลังขอร้องให้ตนทำอะไรสักอย่างแต่ยังไม่ทันพูดก็สิ้นใจเสียก่อน แต่ดูจากรูปการแล้วคงจะฝากไปให้พ่อแม่พี่น้องที่บ้านเกิด
เงินของคนอื่นจะเอามาใช้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ จะหยิบยืมมาใช้สักนิดหน่อยก็ไม่น่าผิดอะไร เพราะไหน ๆ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายบ้างกว่าจะพาสิ่งของที่ฝากมาทั้งหมดไปถึงบ้านเกิด
คิดได้ดังนั้นมาตาฮาจิก็เบาใจลงบ้าง และเมื่อเบาใจเจ้าหนุ่มก็เริ่มหยิบเงินจากไถ้คล่องมือขึ้น
แต่มาตาฮาจิก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเอาเงินจำนวนมากมายในไถ้กับม้วนใบปริญญานักดาบที่ประทับตราสำนักดาบจูโจอันเลื่องชื่อลือชาในยุคสมัยไปมอบใคร ณ ที่ใด เพราะจนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าบ้านเกิดของซาซากิ โคจิโรที่มีชื่ออยู่ในปริญญานั้นอยู่ที่ไหน
ถึงจะแน่ใจว่านักดาบฝึกหัดที่ตายอย่างน่าอนาถที่หน้างานสร้างปราสาทฟูชิมิคือซาซากิ โคจิโร แต่เจ้าหนุ่มก็ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับชายคนนี้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นซามูไรมีนายหรือไร้นายและมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มาตาฮาจิไม่รู้และไม่มีทางที่จะสืบได้ด้วย
ตัวช่วยเดียวที่นึกได้ก็คือครูดาบชื่อคาเนมากิ จิไซผู้ลงนามในปริญญาใบนั้น และถ้าพบครูดาบผู้นี้ก็คงได้รู้เรื่องราวของ โคจิโรทันที ดังนั้นมาตาฮาจิจึงถามถึงครูดาบผู้นี้ไปตลอดทางจากฟุชิมิลงไปทางโอซากา ไม่ว่าจะเป็นคนที่พบระหว่างทาง คนที่ร้านน้ำชาและร้านอาหารที่แวะดื่มกิน และที่โรงเตี๊ยมเมื่อแวะพัก แต่ก็ไม่มีใครรู้จักสักคน
“รู้จักครูดาบลือนามที่ชื่อคาเนมากิ จิไซ บ้างไหม”
“เอ ไม่เคยได้ยินเลยนะ คนชื่อนี้”
ลองถามว่า
“แล้วสำนักดาบจูโจ ที่สืบวิทยายุทธ์มาจากสำนักดาบโทดาเซเง็นล่ะเคยได้ยินบ้านไหม”
“เอ...”
แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร คนที่ถูกถามได้แต่เอียงคอคิด
จนกระทั่งวันหนึ่ง ซามูไรที่พบกลางทางและเดินคุยกันมาบอกว่าเคยแว่วคำเรื่องลือเรื่องฝีมือดาบของสำนักนี้มาเหมือนกัน และแนะนำให้ไปถามคนที่ปราสาทโอซากา
“คาเนมากิ จิไซที่เจ้าถามถึงนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะต้องชราเต็มที เท่าที่ได้ยินมา ท่านผู้นี้ได้เดินทางออกจากภาคคันโตทางตะวันออกขึ้นไปทางแคว้นโจชู และปลีกวิเวกในวัยชราอยู่บนภูเขาสักแห่งแถบนั้น และไม่ได้ออกมาพบปะผู้คนอีกเลย---ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องของท่านผู้นี้ให้ได้ละก็ ต้องไปถามคนชื่อโทมิตะ มนโดโนโช ที่ปราสาทโอซากา”
และเสริมว่าโทมิตะ มนโดโนโช เป็นครูดาบคนหนึ่งของท่านจอมทัพโทโยโทมิ ฮิเดโยริแห่งปราสาทโอซากา คิดว่าน่าจะเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับโทดาเซเง็นที่มาจากหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น
คำตอบที่ได้ไม่ค่อยชัดเจนนักแต่มาตาฮาจิก็ฟังเอาไว้เพราะยังไงตนก็ตั้งใจไปโอซากาอยู่ดี และเมื่อเข้าเมืองก็เข้าพักในโรงเตี๊ยมราคาถูกสุดและถามคนที่นั่นว่ามีซามูไรชื่อนั้นอยู่ในปราสาทโอซากาหรือไม่
“มีสิ รู้สึกว่าจะเป็นหลานปู่ของท่านโทดาเซเง็น ไม่ได้เป็นครูดาบของท่านจอมทัพฮิเดโยริ แต่เป็นครูสอนวิทยายุทธ์ให้แก่พวกซามูไรในปราสาท แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว ได้ยินมาว่ากลับแคว้นเอจิเซ็นไปหลายปีแล้ว”
คำบอกเล่าของคนที่โรงเตี๊ยมซึ่งเป็นคนเมืองและน่าจะมีธุระเข้าออกปราสาทบ้าง ฟังดูน่าจะเป็นจริงกว่าที่ซามูไรคนนั้นบอก นายคนนั้นยังแนะนำด้วยว่า
“แต่ถึงจะตามไปถึงแคว้นเอจิเซ็นก็ไม่รับรองว่าจะได้พบท่านผู้นั้นหรือไม่ แทนที่จะเดินทางไกลไปยังจุดหมายที่ไม่ชัดเจนอย่างนั้น ข้าคิดว่าเจ้าตามหาอาจารย์อิโต อิตโตไซจะได้เรื่องมากกว่า เพราะได้ยินมาว่าท่านผู้นี้ก็ได้ฝึกวิชาดาบกับ คาเนมากิ จิไซที่สำนักโจจูมาเหมือนกัน ก่อนที่จะคิดทางดาบของตนเองขึ้นมา”
มาตาฮาจิฟังแล้วเห็นว่าสมเหตุสมผลดีจึงออกตามหาอิโต อิตโตไซ แต่ก็ได้ความว่านักดาบผู้นี้เคยอาศัยอยู่ในกระท่อม เล็ก ๆ ที่ชิรากาวะ พอมาระยะนี้ไม่มีใครเห็นออกมาแถวโอซากาหรือเกียวโต จึงคิดว่าคงจะออกเดินทางแสวงหาวิชาเพิ่มเติม
“เฮ้อ น่าเบื่อ ตามหาใครก็ไม่พบสักคน”
มาตาฮาจิบ่นพึมพำกับตัวเองทำท่าคล้ายจะถอดใจ
2
ความคึกคักมีชีวิตชีวาของโอซากาปลุกความทะเยอทะยานของคนหนุ่มที่หลับใหลอยู่นานในมาตาฮาจิให้ตื่นขึ้นมาโลดแล่นอีกครั้งเมืองที่กำลังเจริญรุ่งเรืองและขยายตัวใหญ่โตต้องการพลังคนอย่างไม่มีวงจำกัด
ปราสาทฟูชิมิบริหารงานด้วยนโยบายแนวใหม่และระบบนักรบ ในขณะที่ปราสาทโอซากาเปิดประตูกว้างรับซามูไรราวกับว่ากำลังสร้างกองกำลังซามูไรไร้นายซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีสถานภาพเป็นทางการ
ชาวบ้านร้านถิ่นลือกันหนาหูว่า
“จอมทัพฮิเดโยริให้การช่วยเหลือสนับสนุนเป็นการลับแก่บรรดาผู้ครองแคว้นที่พ่ายศึกไร้ปราสาทหลายคน อย่างโกโต มาตาเบ...ซานาดะ ยูกิมูระ...อากาชิ คามน แม้จนกระทั่งโซกาเบะ โมริจิกะที่น่าเกรงอันตราย”
เมืองท้ายปราสาทโอซากาจึงเป็นสวรรค์สำหรับซามูไรไร้นาย อย่างไม่มีเมืองท้ายปราสาทแห่งใดจะสู้ได้ไปด้วยประการฉะนี้
ข่าวว่าโซกาเบะ โมริจิกะแม่ทัพใหญ่ผู้เคยครองปราสาท มาเช่าบ้านเล็ก ๆ อยู่ตามในซอยชานเมือง โกนหัวโล้นเหมือนพระทั้งยังหนุ่มและเปลี่ยนชื่อเป็นอิจิมูไซ...ชายผู้มีฝันเดียว ปั้นหน้าเป็นผู้ไม่สนใจทางโลก และใช้ชีวิตอยู่อย่างสัมถะห่างไกลจากความหรูหราฟุ่มเฟือยและการบันเทิงเริงรมย์
หากแต่ว่าเตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อว่าคราใดเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นมาจะได้ผงาดขึ้นมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ฉับพลัน
เพื่อสนองคุณจอมทัพผู้เกรียงไกร
โซกาเบะ โมริจิกะผู้นี้ลือกันว่าเลี้ยงซามูไรไร้นายไว้ใต้ร่มธงรบเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยคน โดยมีท่านจอมทัพเป็นผู้สนับสนุนค่ากินอยู่และใช้จ่าย
มาตาฮาจิอยู่ดูลาดเลาในโอซากาได้ราวสองเดือนก็ตกลงใจว่าจะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่
ดูเหมือนว่าความตื่นระทึกไปด้วยความหวังอันสูงส่ง เหมือนเมื่อครั้งฉวยทวนด้ามเดียววิ่งคู่เคียงกับทาเกโซออกมาจากหมู่บ้านมิยาโมโตะ มุ่งสู่สมรภูมิที่เซกิงาฮาระ ได้หวนคืนสู่ใจของเจ้าหนุ่มอีกครั้ง พร้อมกับร่างกายที่ฟื้นตัวขึ้นมาแข็งแรงสมวัยหนุ่มระหว่างใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่
มาตาฮาจิพร้อมแล้วทั้งใจกาย สนุกและสุขสดชื่นทุกวัน
แม้จำนวนเงินในไถ้จะลดลงไปตามลำดับแต่...ตอนนี้โชคกำลังเข้าข้างข้า
ถึงจะสะดุดก้อนหินบ้าง แต่ด้วยจังหวะก้าวย่างอย่างนี้น่ะดีแล้ว เดี๋ยวก็พบโชคดีอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนอื่นต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดี
คิดแล้วมาตาฮาจิก็จัดการซื้อดาบเล็กดาบใหญ่มาพกให้สมภาคภูมิ อากาศปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นขึ้นมามากแล้ว จึงต้องเลือกซื้อกิโมโนเนื้อหนาพร้อมเสื้อคลุมมาสวมใส่
เมื่อคิดจะตั้งหลักปักฐานอย่างนี้แล้ว ถ้าอยู่โรงเตี๊ยมต่อไปก็จะเปลืองเงินเสียเปล่า เจ้าหนุ่มจึงไปเช่าเรือนเล็กของบ้านช่างทำอานและเกือกม้าใกล้กับคลองจุงเกและออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไปดูอะไร ๆ ที่อยากดู กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง และเชื่อว่าระหว่างที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีเช่นนี้ วันหนึ่งจะได้พบกับคนที่มีเส้นสายช่วยฝากงานในตำแหน่งที่ได้เงินดี ๆ ในปราสาท
การเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ทำให้มาตาฮาจิรู้จักควบคุมความเป็นอยู่ และตั้งใจที่จะปรับปรุงตัวเองให้เหมือนกับว่าเกิดใหม่เป็นคนละคน เจ้าหนุ่มได้ยินชาวบ้านซุบซิบกันถึงซามูไรคนนั้นคนนี้ อย่างบางคนเห็นคุมคนลากหินขนหินอยู่ที่หน้างานก่อสร้างอยู่เมื่อวันสองวันนี้เอง เผลอแผล็บเดียวเห็นขี่ม้านำหน้าซามูไรไร้นายตั้งยี่สิบคน แถมมีคนจูงม้าสำรองร่วมขบวนมาเสียด้วย ข้ามสะพานเข้าประตูด้านเคียวบาชิเข้าไปในปราสาทโอซากา---
คนเมืองเล่าลือถึงความสำเร็จที่น่าอิจฉาของคนนั้นคนนี้ทั่วไป ฟังแล้วมาตาฮาจิชักท้อ
โลกเราก็เหมือนกำแพงหิน ที่ก่อก้อนหินก่ายกันขึ้นไปชิดติดกันจนไม่มีช่องให้แทรกเข้าไป
คิดอย่างนั้นมันก็เหนื่อยน่ะซี...คิดใหม่ดีกว่า
ที่มองอย่างนั้นก็เพราะยังไม่เห็นเส้นสายเถาวัลย์ ไม่เห็นช่องทางอะไร ๆ มันก็ยากไปทั้งนั้น นอกจากว่าเราจะพยายามหามันให้พบ
คิดได้ดังนั้นมาตาฮาจิจึงไปปรึกษากับช่างทำอานและเกือกม้าที่ตนเช่าเรือนเล็กอยู่
“นายยังหนุ่ม หน่วยก้านก็ดูดีมีฝีมือ ถ้าไปขอความช่วยเหลือจากคนในปราสาท ข้าคิดว่าคงได้งานทันที”
ช่างทำอานและเกือกม้าพูดง่ายแต่จริง ๆ แล้วงานหายากเกินคาด มาตาฮาจิผูกมิตรไมตรีกับคนนั้นคนนี้เผื่อว่าจะมีเส้นสายให้ได้งาน จนเดือนธันวาจะสิ้นปีแล้วก็ยังเตะฝุ่นอยู่ ขณะที่เงินในไถ้ถูกใช้ไปเหลือแค่ครึ่งเดียว