นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ม่านหมอกยามอรุณรุ่งปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งไม่เว้นแม้บริเวณที่ถูกทิ้งร้างกลางย่านบันเทิงเริงรมย์ น้ำค้างแข็งจับใบไม้ใบหญ้าขาวโพลนไปทั่ว และพอถึงยามที่หมอกจางน้ำค้างละลายกลายเป็นโคลน ร้านรวงก็เริ่มเปิด พ่อค้าส่งเสียงร้องเรียกลูกค้าพลางลั่นฆ้องกลองเป็นจังหวะดนตรีคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นอีกวันหนึ่ง
เดือนสิบสอง...พ่อค้าแม่ขาย ช่างฝีมือและนักรบ นักศึกษาและอาจารย์ แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าต่างรีบร้อนวิ่งวุ่น เพื่อสะสางธุระทั้งหลายให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ เพื่อจะได้ต้อนรับปีใหม่ด้วยกายตัวที่เบาและแจ่มใสไร้กังวล ส่วนคนที่ไม่มีงานยุ่งหรือไม่ก็จัดการงานเสร็จสิ้นแล้ว ก็มานั่งเกาะกลุ่มผึ่งแดดฤดูหนาวกันตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างอย่างสบายอารมณ์
โรงมหรสพที่สร้างแบบรั้วรอบขอบชิดสำหรับจัดแสดงกายกรรมบ้าง เอาสัตว์แปลกคนประหลาดมาแสดงเก็บเงินคนดูบ้างหกเจ็ดโรง ต่างติดป้ายติดธงกระดาษโฆษณาปักทวนมีพู่หลากสีดูเอิกเกริก ส่งเสียงโฆษณาแย่งแขกกันขรมถมเถ เป็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน
กลิ่นซีอิ๊วโชยุราคาถูกอบอวลอยู่ในกลุ่มคนที่เกิดผ่านไปมา ชายร่างใหญ่ขนหน้าแข้งรุงรังเหมือนขาม้าอ้าปากกว้างกัดมันต้มเสียบไม้ ผีเสื้อราตรีที่พอกหน้าขาวยื้อยุดฉุดแขนเชิญแขกอยู่หน้าร้าน ยามนี้ปล่อยตัวเต็มที่เคี้ยวเต้าหู้ตุ้ย ๆ เหมือนนางแกะเคี้ยวหญ้าเดินตามกันมาเป็นหาง
ร้านเหล้าเอาแคร่ออกมาตั้งหน้าร้านเตรียมรินเหล้าขาย หนุ่มสองคนเดินมาด้วยกันดี ๆ เกิดผิดใจอะไรขึ้นมาไม่รู้ถึงกับท้าตีท้าต่อยและฟัดกันอยู่ตรงนั้น พอดีมาตาฮาจิผ่านมาจึงได้วิ่งเลือดกบปากเตลิดไปทั้งที่ยังไม่รู้แพ้ชนะ
“ขอบคุณนายมากที่ผ่านมา ไม่งั้นถ้วยชามของข้าต้องแตกหมดแน่”
ตาลุงเจ้าของร้านสาเกโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีกและขอบคุณไม่ขาดปาก แล้วยังกุลีกุจอเชิญให้นั่ง รินเหล้าสาเกใส่จอกวางตรงหน้า อวดว่า
“สาเกกำลังอุ่นได้ที่ นี่ข้าตั้งใจเป็นพิเศษเลยนะ”
แล้วยังเอากลับแกล้มมาวางไว้ให้ทั้งที่ไม่ได้สั่ง
ไม่เลว...มาตาฮาจิรู้สึกครึ้มใจขึ้นมา เมื่อกี้คิดว่าถ้าเจ้าหนุ่มที่ทะเลาะกันนั้นทำให้ร้านสาเกเล็ก ๆ นี้เสียหายก็จะเข้าไปจัดการให้รู้ดีรู้ชั่ว แต่ยังไม่ทันลงมือทำอะไรแค่ถลึงตาเท่านั้นทั้งสองก็เตลิดหนีไปแล้ว จึงนับว่าดีทั้งสองฝ่ายคือร้านไม่พังและตนก็ไม่ต้องเสียแรง
“คนแยะจังนะลุง”
“ก็เดือนสิบสองแล้วนี่นา แต่ถึงคนจะพลุกพล่าน ก็ไม่ค่อยมีใครหยุดดื่มกันเลย”
“แต่ก็ยังดีที่อากาศดีทุกวัน ลุงถึงได้ออกมาขายหน้าร้านได้ไง”
มาตาฮาจิ หน้าแดงเรื่อหลังจากสนองศรัทธาของลุงเจ้าของร้านเข้าไปหลายจอก
เหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบลงมาคาบอะไรสักอย่างบินสูงลิบขึ้นไป---เจ้าหนุ่มมองตามตาตื่น แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
จริงด้วย ตอนขนหินอยู่ที่ปราสาทฟูชิมิ เราสัญญาแล้วไงว่าจะเลิกเหล้า แล้วนี่เริ่มดื่มอีกตั้งแต่เมื่อไร
แล้วก็แก้ตัวเอาดื้อ ๆ ว่า
เถอะน่า คนเราก็ต้องดื่มกันบ้าง
คิดแล้ว มาตาฮาจิก็หันไปสั่ง
“ลุง ขออีกจอกนึง”
ระหว่างนั้น มีชายอีกคนหนึ่งหน้าตาท่าทางเป็นซามูไรไร้นายมานั่งอยู่ที่แคร่ข้าง ๆ นานแล้ว ดาบสั้นยาวทั้งคู่ดูเป็นของดีอย่างชนิดที่ชาวบ้านเห็นแล้วหลบไม่สบตา กิโมโนชั้นเดียวที่ใส่อยู่ดูมอมแมมคอเป็นคราบและไม่สวมเสื้อคลุม
“ขอข้าด้วย เอาอุ่น ๆ นะ เร็วหน่อย”
ซามูไรไร้นายยกขาขึ้นมาขัดสมาธิไว้ข้างหนึ่งพลางชายตาชำเลืองมองมาตาฮาจิตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา และพอถึงใบหน้าก็ร้องทักและยิ้มด้วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มาตาฮาจิทักตอบ
“ระหว่างคอย เอานี่ก่อนสักจอกดีไหม ถ้าไม่รังเกียจว่าดื่มค้างอยู่”
“ยินดีเลย”
ว่าแล้วก็ยื่นมือออกมารับทันที
“นักเลงเหล้านี่มันทุเรศมากเลย บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาดื่มเลย แต่พอเดินผ่านมาเห็นนายนั่งจิบสาเกอยู่อย่างสบายอารมณ์ และกลิ่นก็หอมยวนใจ เลยต้องแวะเข้ามาเหมือนถูกสาวดึงแขนเสื้อ”
ซามูไรไร้นายดื่มรวดเดียวหมดจอก หลับตาพริ้มราวกับดูดดื่มกับรสชาติที่แสนอร่อย มาตาฮาจิมองท่าดื่มที่มีชั้นเชิงงดงามนั้นแล้วอดรู้สึกทึ่งไม่ได้
2
นอกจากท่าดื่มจะสง่างามแล้วยังคอแข็งและดื่มจัด
จากนั้นมาตาฮาจิดื่มไปกระปุกเดียว แต่ซามูไรไร้นายดื่มไปกว่าห้ากระปุกแล้วยังหน้าไม่แดงและสติยังดี
“ปกตินายดื่มประมาณสักเท่าไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เวลามีอยากดื่มอย่างน้อยก็เริ่มต้นสักไหนึงละมัง”
และพอเริ่มคุยกันถึงเรื่องการเมืองซามูไรไร้นายก็เกร็งกล้ามใส่อารมณ์
“โทกูงาวะ อิเอยาซุ น่ะรึ ไม่เท่าไหร่ละมั๊ง บ้าหรือเปล่าที่ข้ามหน้าข้ามตาโทโยโทมิฮิเดโยริไปตั้งตัวเป็นจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่อยู่ทางฝั่งโน้น พูดกันตามจริงถ้าไม่มีฮนดะ มาซาซูมิ กับพวกขุนนางเก่าแก่ที่หนุนหลังอยู่จะเหลืออะไร๊ ข้าคิดว่าคงจะมีแค่ เล่ห์เหลี่ยม เลือดเย็น และความเชี่ยวชาญการทหารเหนือนักรบคนอื่นอีกนิดหน่อยเท่านั้นละมัง
ข้าน่ะอยากให้อิชิดะ มิตสึนาริชนะสงครามที่เซกิงาฮาระจะตาย แต่ก็น่าเสียดายที่แม่ทัพคนนี้มีบารมีไม่พอที่จะทำให้ ผู้ครองแคว้นคนอื่น ๆ เข้ามาเป็นพวกได้”
มาตาฮาจิกำลังนั่งฟังคำสาธยายอยู่เพลิน ๆ จู่ ๆ ก็ถูกถามว่า
“ถ้าท่านฮิเดโยชิที่โอซากาเกิดแตกหักกับทางเอโดะขึ้นมาจริง ๆ นายจะเข้าข้างไหน”
“โอซากา แน่อยู่แล้ว”
มาตาฮาจิตอบโดยไม่ต้องคิด
“ดี”
ซามูไรไร้นายผลุดลุกขึ้นจากแคร่ทั้งที่ยังถือจอกสาเกอยู่ในมือ
“งั้นก็พวกเดียวกัน เรามาดื่มให้กันสักจอกหนึ่งดีกว่า”
ทั้งสองยกจอกดื่มให้กันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพันธมิตร
“นายสังกัดแคว้นไหน...ไม่ใช่สิ ขอโทษ ข้าควรเป็นคนแนะนำตัวก่อน ข้าชื่ออากากาเบะ ยาโซมะจากแคว้นกาโม นายเคยได้ยินชื่อบัน ดันเอมอนบ้างไหม ข้าเป็นเพื่อนกับเขาและคิดว่าอีกไม่นานก็คงได้เจอกันอีก และข้าก็ยังรู้จักกับซูซูกิดะ ฮายาโตะ-คาเนซูเกะ แม่ทัพที่ประจำอยู่ในปราสาทโอซากาด้วย เราเคยเดินทางร่อนเร่ไปตามแคว้นต่าง ๆ ด้วยกันพักหนึ่ง ข้าเคยพบกับโอโนะ ชูริโนซูเกะสองสามครั้งด้วยนะ คนนี้อาจดูขรึมและเก็บเนื้อเก็บตัวไปหน่อย แต่มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่าแม่ทัพคาเนซูเกะมากนัก”
ซามูไรไร้นายชะงักเพราะคงรู้สึกตัวว่าคุยโวเกินไปสักหน่อยแล้ว จึงวกเข้าเรื่องเดิม
“แล้วนายล่ะ เป็นใครมาจากไหน”
มาตาฮาจินิ่งฟังอยู่ แม้แทบไม่เชื่อที่ยาโซมะสาธยายเลยสักคำแต่ก็ยังรู้สึกว่าถูกข่ม จึงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง
“นายรู้จักท่านโทดะ เซเง็น เจ้าสำนักดาบโทดะ แห่งหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น บ้างไหม”
“เคยได้ยินแต่ชื่อ”
“ข้าเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซ นักดาบผู้เกรียงไกรผู้สืบทอดวิทยายุทธ์มาจากท่านโทดะ เซเง็น และเป็นผู้ให้กำเนิดวิชาดาบแนวจูโจ”
ยาโซมะ ซามูไรไร้นายไม่ได้แสดงทีท่าว่าประหลาดใจหรืออะไรเป็นพิเศษ กระดกจอกเหล้าและถามต่อ
“ถ้าอย่างนั้น นายก็เป็นนักดาบ”
“ใช่”
มาตาฮาจิเริ่มสนุกกับการโกหกอย่างคล่องปาก
ยิ่งโกหกใบหน้าเฉิ่มสุราก็ยิ่งเบิกบาน และไม่นานการโกหกก็กลายเป็นกับแกล้มเหล้าสาเกที่แสนโอชะ
“---ความจริง ข้าเองก็มอง ๆ อยู่แต่แรกแล้วว่านายคงจะเป็นนักดาบของสำนักไหนสักแห่ง ดูรูปทรงแล้วน่าจะเป็นคนที่ผ่านการฝึกวินัยมาเป็นอย่างดีและฝีมือดาบก็คงจะเก่งฉกาจ ที่แท้ก็เป็นศิษย์สำนักท่านคาเนมากิ จิไซนั่นเอง ถ้าไม่ขัดข้องช่วยบอกได้ไหมว่านายชื่ออะไร”
“ข้าชื่อซาซากิ โคจิโร เป็นรุ่นน้องของ อิโต อิตโตไซ”
“อะไรนะ”
ยาโซมะ ซามูไรไร้นายอุท่านด้วยความประหลาดใจ ทำให้มาตาฮาจิพลอยตกใจกับการโกหกสด ๆ ร้อน ๆ ของตนไปด้วย และรีบระล่ำระลักกลบเกลื่อน
“หลอกเล่นน่ะ ไม่ใช่หรอก”
แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะอากากาเบะ ยาโซมะลดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและก้มหัวลงทำความเคารพด้วยความนับถือสูงสุด และเมื่อเป็นเช่นนี้ มาตาฮาจิจึงไม่มีทางเลือกอื่นเสียแล้วนอกจากเดินหน้าต่อไป
3
“ขออภัย ขออภัยให้ข้าด้วยเถิด อย่าเคืองโกรธข้าเลย”
ยาโซมะพร่ำคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ซาซากิ โคจิโร...ซาซากิ โคจิโร ไม่นึกเลยว่าจะได้พบท่านที่นี่ ได้ยินคำร่ำลือถึงฝีมือดาบอันยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของท่านมานาน ให้อภัยความโฉดเขลาของข้าด้วยเถิดที่มีตาก็หามีแววไม่ ใช้วาจาล่วงเกินไม่เหมาะสม คงจะระคายหูท่านไม่น้อย”
มาตาฮาจิลอบถอนใจด้วยความโล่งอก นี่ถ้าเป็นคนที่รู้จักซาซากิ โคจิโรดีหรือว่าเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน และถูกจับได้ว่าโกหกละก็เป็นต้องรุมเละเป็นแน่
“ไม่เป็นไรหรอก ลุกขึ้นมาดื่มต่อกันเถิด ขืนทำอย่างนั้นเหล้าสาเกก็จะเสียรสหมด”
“อายจัง ข้าโวเสียมากมาย ท่านคงรำคาญแย่”
“อะไรกัน ข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักหนา ยังไม่มีงานทำและไม่มีตำแหน่งอะไรกับเขาสักอย่าง ทั้งยังอ่อนโลกอีกต่างหาก”
“แต่ฝีมือดาบของท่านนั้น เลื่องลือไปทั่วทุกแว่นแคว้นว่ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ใช่...ซาซากิ โคจิโร จริง ๆ ด้วย”
ยาโซมะทิ้งท้ายด้วยเสียงกระซิบ ขณะที่ตาเยิ้มด้วยฤทธิ์เหล้าจ้องมองมาที่มาตาฮาจิ
“น่าเสียดายที่ท่านยังไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ”
“ข้าอยู่กับดาบมาตลอด และทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการศึกษาวิชาดาบจนแทบไม่รู้ความเป็นไปของสังคม”
“แต่ท่านก็คงหวังว่าที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโตอย่างใคร ๆ เขาบ้างใช่ไหม”
“ไม่รู้นะ แต่คิดว่าคงต้องแล้วแต่ผู้ใหญ่ว่าจะต้องการข้าหรือไม่”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องพยายามบ้าง ท่านเป็นคนมีฝีมือเป็นเอกก็จริง แต่ก็ต้องแสดงให้โดดเด่นขึ้นมาบ้าง เพราะถ้าเงียบเฉยอยู่ก็จะเข้าตาผู้ใหญ่ได้ยาก ดูอย่างข้าสินั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกันตั้งนานก็ยังไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร จนกระทั่งท่านบอกนั่นแหละถึงได้ตกใจแทบตาย”
ยาโซมะเริ่มยุ
“ข้าจะช่วยเอง ความจริงแล้วข้าเองก็กำลังขอให้ซูซูกิดะ คาเนซูเกะเพื่อนข้าหางานให้ทำอยู่พอดี ข้าได้ยินมาว่าปราสาทโอซากากำลังเปิดรับคนเข้าทำงาน และยิ่งเป็นคนมีฝีมืออย่างท่าน ซูซูกิดะจะต้องรีบรับแน่นอน ถ้าท่านสนใจข้าจะไปพูดให้”
อากากาเบะ ยาโซมะ กระตือรือร้นมาก แต่มาตาฮาจินั้นแม้จะอยากเข้าทำงานในปราสาทโอซากามากเพียงไร แต่เมื่อได้แอบอ้างเอาชื่อของซาซากิ โคจิโร ซึ่งเป็นคนอื่นมาเป็นชื่อของตนเช่นนี้ จะไปทำอะไรกับใครมันออกจะเสี่ยงมากอยู่ มาตาฮาจิตกอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วน จะถอยก็ไม่ได้เดินหน้าไปก็ไม่เหมาะ
ถ้าจะเผยความจริงเสียเดี๋ยวนี้ก็ไม่น่าเป็นอะไรมาก ทำโมเมว่าเป็นเรื่องตลกในวงเหล้าเสียก็สิ้นเรื่อง แต่ถ้าเผยความจริงว่าตนเป็นเพียงหนุ่มบ้านนอกชื่อฮนอิเด็น มาตาฮาจิ ไร้ฝีมือไร้ชื่อเสียง ยาโซมะก็คงเมินหมดความกระตือรือร้นที่จะช่วย ดีไม่ดีจะเชิดหน้าใส่ชายตาอย่างดูแคลนด้วยซ้ำ คิดไปคิดมาชื่อซาซากิ โคจิโรมีแต่ดีกับดี จะทิ้งไปทำไมมี
---ช้าก่อน จะวิตกกังวลไปทำไม ก็ซาซากิ โคจิโรตายไปแล้วไม่ใช่หรือ
ถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาที่หน้างานสร้างปราสาทฟูชิมินั่นยังไง
และข้าคนเดียวเท่านั้นคนที่รู้ว่าคนตายคือซาซากิ โคจิโร
มาตาฮาจิสบายใจขึ้นมาก ใช่...ไม่มีใครรู้ว่าคนตายคือซาซากิ โคจิโร เพราะตนเอาหลักฐานของคน ๆ นั้นมาจนหมด เพื่อเอาไปส่งให้แก่ญาติพี่น้องที่บ้านเกิดตามคำขอก่อนสิ้นใจ แม้เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบอย่างไรก็คงไม่รู้และคงไม่สืบกันยืดเยื้อสุดท้ายก็คงสรุปว่าเป็นพวกคนร้ายที่เข้ามาก่อกวนพื้นที่ก่อสร้าง และถูกเจ้าหน้าที่รุมตีจนตาย
ใช่...เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีทางรู้
และแล้วมาตาฮาจิก็ตัดสินใจอย่างอาจหาญว่า ตนจะเป็นซาซากิ โคจิโรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“ลุง คิดเงิน”
เจ้าหนุ่มผู้ขโมยชื่อคนตาย ลุกขึ้นยืนร้องเรียกเจ้าของร้านเหล้าและหยิบเงินออกมาจากไถ้
ยาโซมะ ซามูไรไร้นายลุกขึ้นตามและถามระล่ำระลัก
“แล้วเรื่องที่พูดกันเมื่อกี้ ท่านจะเอายังไง”
“ก็ถ้านายสะดวกก็ช่วยพูดกับเพื่อนให้ด้วยก็แล้วกัน เรื่องอย่างนี้พูดกันข้างถนนคงไม่เหมาะ ไปคุยกันในห้องหรืออะไรที่มิดชิดกว่านี้ดีกว่าไหม”
“ได้ซีท่าน”
ยาโซมะพยักหน้าด้วยความยินดี และทำหน้าตาเฉยมองมาตาฮาจิจ่ายค่าเหล้าส่วนของตนด้วยเหมือนเป็นเรื่องที่ควรทำตามปกติ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ม่านหมอกยามอรุณรุ่งปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งไม่เว้นแม้บริเวณที่ถูกทิ้งร้างกลางย่านบันเทิงเริงรมย์ น้ำค้างแข็งจับใบไม้ใบหญ้าขาวโพลนไปทั่ว และพอถึงยามที่หมอกจางน้ำค้างละลายกลายเป็นโคลน ร้านรวงก็เริ่มเปิด พ่อค้าส่งเสียงร้องเรียกลูกค้าพลางลั่นฆ้องกลองเป็นจังหวะดนตรีคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นอีกวันหนึ่ง
เดือนสิบสอง...พ่อค้าแม่ขาย ช่างฝีมือและนักรบ นักศึกษาและอาจารย์ แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าต่างรีบร้อนวิ่งวุ่น เพื่อสะสางธุระทั้งหลายให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ เพื่อจะได้ต้อนรับปีใหม่ด้วยกายตัวที่เบาและแจ่มใสไร้กังวล ส่วนคนที่ไม่มีงานยุ่งหรือไม่ก็จัดการงานเสร็จสิ้นแล้ว ก็มานั่งเกาะกลุ่มผึ่งแดดฤดูหนาวกันตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างอย่างสบายอารมณ์
โรงมหรสพที่สร้างแบบรั้วรอบขอบชิดสำหรับจัดแสดงกายกรรมบ้าง เอาสัตว์แปลกคนประหลาดมาแสดงเก็บเงินคนดูบ้างหกเจ็ดโรง ต่างติดป้ายติดธงกระดาษโฆษณาปักทวนมีพู่หลากสีดูเอิกเกริก ส่งเสียงโฆษณาแย่งแขกกันขรมถมเถ เป็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน
กลิ่นซีอิ๊วโชยุราคาถูกอบอวลอยู่ในกลุ่มคนที่เกิดผ่านไปมา ชายร่างใหญ่ขนหน้าแข้งรุงรังเหมือนขาม้าอ้าปากกว้างกัดมันต้มเสียบไม้ ผีเสื้อราตรีที่พอกหน้าขาวยื้อยุดฉุดแขนเชิญแขกอยู่หน้าร้าน ยามนี้ปล่อยตัวเต็มที่เคี้ยวเต้าหู้ตุ้ย ๆ เหมือนนางแกะเคี้ยวหญ้าเดินตามกันมาเป็นหาง
ร้านเหล้าเอาแคร่ออกมาตั้งหน้าร้านเตรียมรินเหล้าขาย หนุ่มสองคนเดินมาด้วยกันดี ๆ เกิดผิดใจอะไรขึ้นมาไม่รู้ถึงกับท้าตีท้าต่อยและฟัดกันอยู่ตรงนั้น พอดีมาตาฮาจิผ่านมาจึงได้วิ่งเลือดกบปากเตลิดไปทั้งที่ยังไม่รู้แพ้ชนะ
“ขอบคุณนายมากที่ผ่านมา ไม่งั้นถ้วยชามของข้าต้องแตกหมดแน่”
ตาลุงเจ้าของร้านสาเกโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำอีกและขอบคุณไม่ขาดปาก แล้วยังกุลีกุจอเชิญให้นั่ง รินเหล้าสาเกใส่จอกวางตรงหน้า อวดว่า
“สาเกกำลังอุ่นได้ที่ นี่ข้าตั้งใจเป็นพิเศษเลยนะ”
แล้วยังเอากลับแกล้มมาวางไว้ให้ทั้งที่ไม่ได้สั่ง
ไม่เลว...มาตาฮาจิรู้สึกครึ้มใจขึ้นมา เมื่อกี้คิดว่าถ้าเจ้าหนุ่มที่ทะเลาะกันนั้นทำให้ร้านสาเกเล็ก ๆ นี้เสียหายก็จะเข้าไปจัดการให้รู้ดีรู้ชั่ว แต่ยังไม่ทันลงมือทำอะไรแค่ถลึงตาเท่านั้นทั้งสองก็เตลิดหนีไปแล้ว จึงนับว่าดีทั้งสองฝ่ายคือร้านไม่พังและตนก็ไม่ต้องเสียแรง
“คนแยะจังนะลุง”
“ก็เดือนสิบสองแล้วนี่นา แต่ถึงคนจะพลุกพล่าน ก็ไม่ค่อยมีใครหยุดดื่มกันเลย”
“แต่ก็ยังดีที่อากาศดีทุกวัน ลุงถึงได้ออกมาขายหน้าร้านได้ไง”
มาตาฮาจิ หน้าแดงเรื่อหลังจากสนองศรัทธาของลุงเจ้าของร้านเข้าไปหลายจอก
เหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบลงมาคาบอะไรสักอย่างบินสูงลิบขึ้นไป---เจ้าหนุ่มมองตามตาตื่น แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
จริงด้วย ตอนขนหินอยู่ที่ปราสาทฟูชิมิ เราสัญญาแล้วไงว่าจะเลิกเหล้า แล้วนี่เริ่มดื่มอีกตั้งแต่เมื่อไร
แล้วก็แก้ตัวเอาดื้อ ๆ ว่า
เถอะน่า คนเราก็ต้องดื่มกันบ้าง
คิดแล้ว มาตาฮาจิก็หันไปสั่ง
“ลุง ขออีกจอกนึง”
ระหว่างนั้น มีชายอีกคนหนึ่งหน้าตาท่าทางเป็นซามูไรไร้นายมานั่งอยู่ที่แคร่ข้าง ๆ นานแล้ว ดาบสั้นยาวทั้งคู่ดูเป็นของดีอย่างชนิดที่ชาวบ้านเห็นแล้วหลบไม่สบตา กิโมโนชั้นเดียวที่ใส่อยู่ดูมอมแมมคอเป็นคราบและไม่สวมเสื้อคลุม
“ขอข้าด้วย เอาอุ่น ๆ นะ เร็วหน่อย”
ซามูไรไร้นายยกขาขึ้นมาขัดสมาธิไว้ข้างหนึ่งพลางชายตาชำเลืองมองมาตาฮาจิตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา และพอถึงใบหน้าก็ร้องทักและยิ้มด้วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มาตาฮาจิทักตอบ
“ระหว่างคอย เอานี่ก่อนสักจอกดีไหม ถ้าไม่รังเกียจว่าดื่มค้างอยู่”
“ยินดีเลย”
ว่าแล้วก็ยื่นมือออกมารับทันที
“นักเลงเหล้านี่มันทุเรศมากเลย บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาดื่มเลย แต่พอเดินผ่านมาเห็นนายนั่งจิบสาเกอยู่อย่างสบายอารมณ์ และกลิ่นก็หอมยวนใจ เลยต้องแวะเข้ามาเหมือนถูกสาวดึงแขนเสื้อ”
ซามูไรไร้นายดื่มรวดเดียวหมดจอก หลับตาพริ้มราวกับดูดดื่มกับรสชาติที่แสนอร่อย มาตาฮาจิมองท่าดื่มที่มีชั้นเชิงงดงามนั้นแล้วอดรู้สึกทึ่งไม่ได้
2
นอกจากท่าดื่มจะสง่างามแล้วยังคอแข็งและดื่มจัด
จากนั้นมาตาฮาจิดื่มไปกระปุกเดียว แต่ซามูไรไร้นายดื่มไปกว่าห้ากระปุกแล้วยังหน้าไม่แดงและสติยังดี
“ปกตินายดื่มประมาณสักเท่าไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เวลามีอยากดื่มอย่างน้อยก็เริ่มต้นสักไหนึงละมัง”
และพอเริ่มคุยกันถึงเรื่องการเมืองซามูไรไร้นายก็เกร็งกล้ามใส่อารมณ์
“โทกูงาวะ อิเอยาซุ น่ะรึ ไม่เท่าไหร่ละมั๊ง บ้าหรือเปล่าที่ข้ามหน้าข้ามตาโทโยโทมิฮิเดโยริไปตั้งตัวเป็นจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่อยู่ทางฝั่งโน้น พูดกันตามจริงถ้าไม่มีฮนดะ มาซาซูมิ กับพวกขุนนางเก่าแก่ที่หนุนหลังอยู่จะเหลืออะไร๊ ข้าคิดว่าคงจะมีแค่ เล่ห์เหลี่ยม เลือดเย็น และความเชี่ยวชาญการทหารเหนือนักรบคนอื่นอีกนิดหน่อยเท่านั้นละมัง
ข้าน่ะอยากให้อิชิดะ มิตสึนาริชนะสงครามที่เซกิงาฮาระจะตาย แต่ก็น่าเสียดายที่แม่ทัพคนนี้มีบารมีไม่พอที่จะทำให้ ผู้ครองแคว้นคนอื่น ๆ เข้ามาเป็นพวกได้”
มาตาฮาจิกำลังนั่งฟังคำสาธยายอยู่เพลิน ๆ จู่ ๆ ก็ถูกถามว่า
“ถ้าท่านฮิเดโยชิที่โอซากาเกิดแตกหักกับทางเอโดะขึ้นมาจริง ๆ นายจะเข้าข้างไหน”
“โอซากา แน่อยู่แล้ว”
มาตาฮาจิตอบโดยไม่ต้องคิด
“ดี”
ซามูไรไร้นายผลุดลุกขึ้นจากแคร่ทั้งที่ยังถือจอกสาเกอยู่ในมือ
“งั้นก็พวกเดียวกัน เรามาดื่มให้กันสักจอกหนึ่งดีกว่า”
ทั้งสองยกจอกดื่มให้กันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพันธมิตร
“นายสังกัดแคว้นไหน...ไม่ใช่สิ ขอโทษ ข้าควรเป็นคนแนะนำตัวก่อน ข้าชื่ออากากาเบะ ยาโซมะจากแคว้นกาโม นายเคยได้ยินชื่อบัน ดันเอมอนบ้างไหม ข้าเป็นเพื่อนกับเขาและคิดว่าอีกไม่นานก็คงได้เจอกันอีก และข้าก็ยังรู้จักกับซูซูกิดะ ฮายาโตะ-คาเนซูเกะ แม่ทัพที่ประจำอยู่ในปราสาทโอซากาด้วย เราเคยเดินทางร่อนเร่ไปตามแคว้นต่าง ๆ ด้วยกันพักหนึ่ง ข้าเคยพบกับโอโนะ ชูริโนซูเกะสองสามครั้งด้วยนะ คนนี้อาจดูขรึมและเก็บเนื้อเก็บตัวไปหน่อย แต่มีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่าแม่ทัพคาเนซูเกะมากนัก”
ซามูไรไร้นายชะงักเพราะคงรู้สึกตัวว่าคุยโวเกินไปสักหน่อยแล้ว จึงวกเข้าเรื่องเดิม
“แล้วนายล่ะ เป็นใครมาจากไหน”
มาตาฮาจินิ่งฟังอยู่ แม้แทบไม่เชื่อที่ยาโซมะสาธยายเลยสักคำแต่ก็ยังรู้สึกว่าถูกข่ม จึงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง
“นายรู้จักท่านโทดะ เซเง็น เจ้าสำนักดาบโทดะ แห่งหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น บ้างไหม”
“เคยได้ยินแต่ชื่อ”
“ข้าเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซ นักดาบผู้เกรียงไกรผู้สืบทอดวิทยายุทธ์มาจากท่านโทดะ เซเง็น และเป็นผู้ให้กำเนิดวิชาดาบแนวจูโจ”
ยาโซมะ ซามูไรไร้นายไม่ได้แสดงทีท่าว่าประหลาดใจหรืออะไรเป็นพิเศษ กระดกจอกเหล้าและถามต่อ
“ถ้าอย่างนั้น นายก็เป็นนักดาบ”
“ใช่”
มาตาฮาจิเริ่มสนุกกับการโกหกอย่างคล่องปาก
ยิ่งโกหกใบหน้าเฉิ่มสุราก็ยิ่งเบิกบาน และไม่นานการโกหกก็กลายเป็นกับแกล้มเหล้าสาเกที่แสนโอชะ
“---ความจริง ข้าเองก็มอง ๆ อยู่แต่แรกแล้วว่านายคงจะเป็นนักดาบของสำนักไหนสักแห่ง ดูรูปทรงแล้วน่าจะเป็นคนที่ผ่านการฝึกวินัยมาเป็นอย่างดีและฝีมือดาบก็คงจะเก่งฉกาจ ที่แท้ก็เป็นศิษย์สำนักท่านคาเนมากิ จิไซนั่นเอง ถ้าไม่ขัดข้องช่วยบอกได้ไหมว่านายชื่ออะไร”
“ข้าชื่อซาซากิ โคจิโร เป็นรุ่นน้องของ อิโต อิตโตไซ”
“อะไรนะ”
ยาโซมะ ซามูไรไร้นายอุท่านด้วยความประหลาดใจ ทำให้มาตาฮาจิพลอยตกใจกับการโกหกสด ๆ ร้อน ๆ ของตนไปด้วย และรีบระล่ำระลักกลบเกลื่อน
“หลอกเล่นน่ะ ไม่ใช่หรอก”
แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะอากากาเบะ ยาโซมะลดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและก้มหัวลงทำความเคารพด้วยความนับถือสูงสุด และเมื่อเป็นเช่นนี้ มาตาฮาจิจึงไม่มีทางเลือกอื่นเสียแล้วนอกจากเดินหน้าต่อไป
3
“ขออภัย ขออภัยให้ข้าด้วยเถิด อย่าเคืองโกรธข้าเลย”
ยาโซมะพร่ำคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ซาซากิ โคจิโร...ซาซากิ โคจิโร ไม่นึกเลยว่าจะได้พบท่านที่นี่ ได้ยินคำร่ำลือถึงฝีมือดาบอันยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของท่านมานาน ให้อภัยความโฉดเขลาของข้าด้วยเถิดที่มีตาก็หามีแววไม่ ใช้วาจาล่วงเกินไม่เหมาะสม คงจะระคายหูท่านไม่น้อย”
มาตาฮาจิลอบถอนใจด้วยความโล่งอก นี่ถ้าเป็นคนที่รู้จักซาซากิ โคจิโรดีหรือว่าเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน และถูกจับได้ว่าโกหกละก็เป็นต้องรุมเละเป็นแน่
“ไม่เป็นไรหรอก ลุกขึ้นมาดื่มต่อกันเถิด ขืนทำอย่างนั้นเหล้าสาเกก็จะเสียรสหมด”
“อายจัง ข้าโวเสียมากมาย ท่านคงรำคาญแย่”
“อะไรกัน ข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักหนา ยังไม่มีงานทำและไม่มีตำแหน่งอะไรกับเขาสักอย่าง ทั้งยังอ่อนโลกอีกต่างหาก”
“แต่ฝีมือดาบของท่านนั้น เลื่องลือไปทั่วทุกแว่นแคว้นว่ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ใช่...ซาซากิ โคจิโร จริง ๆ ด้วย”
ยาโซมะทิ้งท้ายด้วยเสียงกระซิบ ขณะที่ตาเยิ้มด้วยฤทธิ์เหล้าจ้องมองมาที่มาตาฮาจิ
“น่าเสียดายที่ท่านยังไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ”
“ข้าอยู่กับดาบมาตลอด และทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการศึกษาวิชาดาบจนแทบไม่รู้ความเป็นไปของสังคม”
“แต่ท่านก็คงหวังว่าที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโตอย่างใคร ๆ เขาบ้างใช่ไหม”
“ไม่รู้นะ แต่คิดว่าคงต้องแล้วแต่ผู้ใหญ่ว่าจะต้องการข้าหรือไม่”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องพยายามบ้าง ท่านเป็นคนมีฝีมือเป็นเอกก็จริง แต่ก็ต้องแสดงให้โดดเด่นขึ้นมาบ้าง เพราะถ้าเงียบเฉยอยู่ก็จะเข้าตาผู้ใหญ่ได้ยาก ดูอย่างข้าสินั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกันตั้งนานก็ยังไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร จนกระทั่งท่านบอกนั่นแหละถึงได้ตกใจแทบตาย”
ยาโซมะเริ่มยุ
“ข้าจะช่วยเอง ความจริงแล้วข้าเองก็กำลังขอให้ซูซูกิดะ คาเนซูเกะเพื่อนข้าหางานให้ทำอยู่พอดี ข้าได้ยินมาว่าปราสาทโอซากากำลังเปิดรับคนเข้าทำงาน และยิ่งเป็นคนมีฝีมืออย่างท่าน ซูซูกิดะจะต้องรีบรับแน่นอน ถ้าท่านสนใจข้าจะไปพูดให้”
อากากาเบะ ยาโซมะ กระตือรือร้นมาก แต่มาตาฮาจินั้นแม้จะอยากเข้าทำงานในปราสาทโอซากามากเพียงไร แต่เมื่อได้แอบอ้างเอาชื่อของซาซากิ โคจิโร ซึ่งเป็นคนอื่นมาเป็นชื่อของตนเช่นนี้ จะไปทำอะไรกับใครมันออกจะเสี่ยงมากอยู่ มาตาฮาจิตกอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วน จะถอยก็ไม่ได้เดินหน้าไปก็ไม่เหมาะ
ถ้าจะเผยความจริงเสียเดี๋ยวนี้ก็ไม่น่าเป็นอะไรมาก ทำโมเมว่าเป็นเรื่องตลกในวงเหล้าเสียก็สิ้นเรื่อง แต่ถ้าเผยความจริงว่าตนเป็นเพียงหนุ่มบ้านนอกชื่อฮนอิเด็น มาตาฮาจิ ไร้ฝีมือไร้ชื่อเสียง ยาโซมะก็คงเมินหมดความกระตือรือร้นที่จะช่วย ดีไม่ดีจะเชิดหน้าใส่ชายตาอย่างดูแคลนด้วยซ้ำ คิดไปคิดมาชื่อซาซากิ โคจิโรมีแต่ดีกับดี จะทิ้งไปทำไมมี
---ช้าก่อน จะวิตกกังวลไปทำไม ก็ซาซากิ โคจิโรตายไปแล้วไม่ใช่หรือ
ถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาที่หน้างานสร้างปราสาทฟูชิมินั่นยังไง
และข้าคนเดียวเท่านั้นคนที่รู้ว่าคนตายคือซาซากิ โคจิโร
มาตาฮาจิสบายใจขึ้นมาก ใช่...ไม่มีใครรู้ว่าคนตายคือซาซากิ โคจิโร เพราะตนเอาหลักฐานของคน ๆ นั้นมาจนหมด เพื่อเอาไปส่งให้แก่ญาติพี่น้องที่บ้านเกิดตามคำขอก่อนสิ้นใจ แม้เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบอย่างไรก็คงไม่รู้และคงไม่สืบกันยืดเยื้อสุดท้ายก็คงสรุปว่าเป็นพวกคนร้ายที่เข้ามาก่อกวนพื้นที่ก่อสร้าง และถูกเจ้าหน้าที่รุมตีจนตาย
ใช่...เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีทางรู้
และแล้วมาตาฮาจิก็ตัดสินใจอย่างอาจหาญว่า ตนจะเป็นซาซากิ โคจิโรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“ลุง คิดเงิน”
เจ้าหนุ่มผู้ขโมยชื่อคนตาย ลุกขึ้นยืนร้องเรียกเจ้าของร้านเหล้าและหยิบเงินออกมาจากไถ้
ยาโซมะ ซามูไรไร้นายลุกขึ้นตามและถามระล่ำระลัก
“แล้วเรื่องที่พูดกันเมื่อกี้ ท่านจะเอายังไง”
“ก็ถ้านายสะดวกก็ช่วยพูดกับเพื่อนให้ด้วยก็แล้วกัน เรื่องอย่างนี้พูดกันข้างถนนคงไม่เหมาะ ไปคุยกันในห้องหรืออะไรที่มิดชิดกว่านี้ดีกว่าไหม”
“ได้ซีท่าน”
ยาโซมะพยักหน้าด้วยความยินดี และทำหน้าตาเฉยมองมาตาฮาจิจ่ายค่าเหล้าส่วนของตนด้วยเหมือนเป็นเรื่องที่ควรทำตามปกติ