นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
กิองโทจิหาวแล้วหาวอีกด้วยความเบื่อหน่ายกับการเดินทางอันยาวนานอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย นักดาบหนุ่มเดินทางมาได้สิบสี่วันแล้วก่อนที่จะมาลงเรือลำนี้
“ไม่รู้ว่าคนหามแคร่จะมารับทันเวลาหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าทันก็คงได้พบหน้านางที่ท่าเรือโอซากา”
กิองโทจิค่อยหายเบื่อเมื่อนึกถึงหน้าโอโค
ศิษย์เอกแห่งสำนักดาบโยชิโอกะผู้นี้ออกเดินทางจากเกียวโตเพื่อกอบกู้ฐานะการเงินของสำนักที่ยอบแยบเต็มที
โยชิโอกะคือตระกูลนักดาบผู้ครองความยิ่งใหญ่เหนือนักดาบทั้งปวงในแว่นแคว้นมานาน และสำนักดาบโยชิโอกะก็ได้ดำรงความให้เป็นค่ายฝึกวิทยายุทธ์แห่งกองทัพโชกุนอาชิคางะมาตลอดยุคสมัยมูโรมาจิ ความรุ่งเรืองทั้งยศฐาบันดาศักดิ์และทรัพย์ศฤงคารของตระกูลโยชิโอกะที่ตกทอดกันมา ได้คลอนแคลนลงและทำท่าว่าจะล้มพับลงไปเมื่อมาถึงรุ่นของเซอิจูโร การเงินฝืดเคืองรายรับไม่คุ้มกับรายจ่ายที่พุ่งสูง เมื่อไม่พอก็ต้องกู้ยืมและเมื่อใช้หนี้ไม่ทันก็ต้องกู้เงินมาใช้หนี้ หนี้สินพอกพูนขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด ดูจำนวนเงินแล้วถึงเอาสมบัติที่สืบทอดมาจากเค็มโปผู้พ่อทั้งหมดไม่เหลือแม้กระทั่งหมวกฟางสักใบออกขายทอดตลาดก็ยังไม่พอใช้หนี้
สุดท้ายเซอิจูโรก็จนแต้มต้องเอาโรงฝึกวิชาดาบที่ตรอกโชจิไปจำนองกับพ่อค้าเศรษฐีในเมือง และขณะนี้ก็ใกล้สิ้นปีเต็มทีแล้ว และกำลังหนาว ๆ ร้อน ๆ ด้วยความหวาดกังวล ไม่รู้ว่าเจ้าหนี้จะแห่กันมาเคาะประตูทวงเงินเมื่อไร
ทำไมถึงได้ย่ำแย่อย่างนี้
เซอิจูโรทนทุกข์อยู่คนเดียวได้ไม่นานก็เรียกศิษย์เอกเข้ามาปรึกษา
กิองโทจิปลอบใจครู และขันอาสาด้วยสำนึกที่ว่าอย่างน้อยตนก็ควรรับผิดชอบด้วยครึ่งหนึ่ง ในฐานะที่เป็นคนชักจูงให้อาจารย์น้อยกลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผลาญสมบัติเช่นนี้
แค่นี้เอง ข้าจัดการเอง
ว่าแล้วกิองโทจิก็ระดมสมองวางแผนที่จัดได้ว่ารัดกุมมากมาเสนอต่อที่ประชุมศิษย์เอกแห่งสำนักดาบโยชิโอกะ โดยเกริ่นว่าเมื่อพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้แล้ว ความต้องการนักดาบผู้มีวิทยายุทธระดับสูงจะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในไม่ช้า ดังนั้นในฐานะสำนักดาบที่ได้รับความเชื่อถือจากฝ่ายปกครองให้เป็นผู้ฝึกวิชาดาบให้แก่กองทัพโชกุน เราจึงควรใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกิจการให้มีความแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น ด้วยการสร้างโรงฝึกวิทยายุทธ์ขึ้นสูงของสำนักโยชิโอกะขึ้นบนที่ว่างด้านตะวันตกของวัดเซโดอิน และขยายโรงฝึกที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ให้กว้างขวางขึ้นเพื่อฝึกนักดาบที่จะเป็นผู้สืบทอดวิถีดาบของตระกูลโยชิโอกะให้ยืนยงต่อไป ซึ่งนอกจากจะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยแล้ว ยังถือเป็นหน้าที่สำคัญที่เราเหล่าศิษย์ของสำนักพึงกระทำด้วย
เมื่อที่ประชุมศิษย์เอกเห็นชอบกับแผนที่เสนอ กิองโทจิก็ขอให้เซอิจูโรเจ้าสำนักเขียนข้อความทั้งหมดนั้นเป็นหนังสือเวียน ลงนามประทับตราชื่อเรียบร้อย แล้วรับอาสาถือหนังสือเวียนนั้นไปมอบให้แก่บรรดาศิษย์เอกที่โยชิโอกะ เค็มโปสอนมากับมือ ที่ไปได้ดิบได้ดีเป็นซามูไรตำแหน่งใหญ่โตในแว่นแคว้นต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น ทั้งที่ภาคชูโงกุ คิวชู และชิโกกุ แต่ที่สู้อุตส่าห์เดินทางข้าเขาลงห้วยรอนแรมไปกว่าจะถึงแต่ละแห่งนั่น ไม่ใช่เพื่อแค่ส่งหนังสือเวียนแล้วลากลับแน่นอน
กิองโทจิมาดหมายไว้ว่าเมื่อศิษย์เก่ารุ่นพี่ ใครก็ตามที่อ่านหนังสือเวียนนั้นจะรีบลงนามให้สัญญาบริจาคเงินสมทบทุนสร้างโรงฝึกวิชาดาบแห่งใหม่ และพร้อมควักกระเป๋าทันที แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ต้องผิดหวังเพราะน้อยคนมากที่ทำเช่นนั้น ส่วนใหญ่ก็จะบ่ายเบี่ยงว่า แล้วจะส่งสารตอบไปยังเจ้าสำนัก บ้างก็ว่า เอาไว้คุยกันตอนไปเกียวโตครั้งหน้า สุดท้ายกิองโทจิก็ได้เงินบริจาคมาจริง ๆ ไม่ถึงส่วนหนึ่งของที่คาดหวังไว้
ถึงจะคว้าน้ำเหลวแต่ก็ได้ทำหน้าที่สุดความสามารถแล้วใครจะว่ากระไรได้ เรื่องนั้นเอาไว้หารือว่าจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้ไม่ได้อยากเห็นหน้าใครแม้แต่เซอิจูโร อาจารย์น้อย ใจคะนึงถึงโอโคแม่ยอดขมองอิ่มเพียงคนเดียว รำพึงอยู่ในใจว่า ไม่ได้เจอกันนานเต็มทีจะคิดถึงข้าบ้างไหมหนอ ระหว่างเอนพิงร่างที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกับกราบเรือ คอยเวลาว่าเมื่อไรเรือจะถึงท่าเสียที
อิจฉาเจ้าหนุ่มรูปงามแต่งกายเฟี้ยวฟ้าวทันสมัยนิยมคนนั้น ที่หาวิธีฆ่าเวลาได้ฉลาดแท้ด้วยการเก็บเห็บลิง
กิองโทจิกระเถิบเข้าไปใกล้และชวนคุย
“เจ้าหนุ่ม เดินทางไปโอซากะรึ”
“ขอรับ”
ผู้ถูกถามกดหัวเจ้าลิงน้อยเอาไว้ พลางช้อนตากลมโตมองมา
“บ้านอยู่โอซากะรึ”
“เปล่าขอรับ”
“อ้อ งั้นก็คงเป็นคนแคว้นอาวะ ที่ชิโกกุ”
“ก็ไม่ใช่อีกละขอรับ”
เจ้าหนุ่มตอบห้วน ๆ แสดงว่าไม่ได้ใส่ใจกับคนถาม และก้มหน้าก้มตาหาเห็บให้เจ้าลิงน้อยบนตักต่อไป
2
กิองโทจิไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาชวนคุยจึงนิ่งไป และพอดีเหลือบไปเห็นดาบรูปทรงแปลกตาที่เจ้าหนุ่มคาดหลังเอาไว้จึงกล่าวชมขึ้นว่า
“ดาบของเจ้าดูดีมากเลยนะ”
ซึ่งนับได้ว่าจี้ถูกจุด เพราะเจ้าหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับกิองโทจิและตอบอย่างภาคภูมิ
“นี่เป็นดาบสำหรับออกศึกที่สืบทอดมาในตระกูลเรา ข้าคิดว่าจะไปหาช่างตีดาบฝีมือดี ๆ สักคนที่โอซากา ให้ช่วยปรับรูปทรงจะได้เหน็บกับเอวเหมือนคนอื่นเขา”
“ดาบของเจ้าข้าว่ามันยาวเกินกว่าจะเหน็บเอว”
“ใช่ ยาวถึงสามศอก”
“ยาวมาก”
“จะพกดาบสักทีก็ต้องประมาณนี้”
เจ้าหนุ่มรูปงามยิ้มกว้างด้วยความมั่นใจจนเห็นลักยิ้มทรงเสน่ห์
“คาดดาบยาวสามศอกสี่ศอกเดินวางมาด องอาจสง่างามไปตามถนนในเมืองมันก็ดีอยู่หรอก แต่พอจะใช้จริงนี่ซี ข้าห่วงว่าจะเกะกะไม่คล่องตัว”
กิองโทจิทอดหางเสียงเชิงข่มเจ้าหนุ่มอยู่ในที
“ข้าเห็นมามากแล้ว คนที่พกดาบใหญ่ยาวแบบนี้เวลาเข้าตาจน ต้องปลดดาบขึ้นแบกบ่าวิ่งหนีกระเจิง หมดสง่าราศีกันทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าเรียนวิชาดาบจากสำนักไหนรึ”
เมื่อพูดถึงวิชาดาบ กิองโทจิก็ยืดอกด้วยความทะนงตนเหนือคู่สนทนาโดยไม่รู้สึกตัว และชายมองเจ้าหนุ่มเหมือนกับเป็นเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ซึ่งปฏิกิริยานั้นหาได้รอดสายตาคมวาวเจ้าหนุ่มรูปงามไปไม่
“สำนักดาบโทดะขอรับ”
“อ้อ แต่สำนักดาบโทดะ เท่าที่รู้ใช้ดาบสั้นไม่ใช่รึ”
“ใช่ขอรับ แต่ก็ไม่ได้มีกฎระเบียบอะไรมาบังคับใช่ไหมว่า คนที่เรียนวิชาดาบจากสำนักโทดะจะต้องใช้แต่ดาบสั้น พอดีข้าเองเป็นคนที่เกลียดการทำตามอย่างคนอื่นเสียด้วย เลยเอาดาบยาวของตระกูลเล่มนี้มาใช้ ครูโกรธที่ข้าทำตรงกันข้ามกับคำสั่งสอน ก็เลยขับออกจากสำนัก”
“ข้าเข้าใจ คนหนุ่มมักจะระเริงใจที่ได้ทำอะไรนอกคอกแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วไงต่อไป”
“พอถูกขับออกจากสำนักดาบโทดะ ข้าก็เผ่นออกมาจากหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น ไปหาท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซผู้ก่อตั้งสำนักดาบจูโจ และเล่าเรื่องราวให้ท่าน ท่านอาจารย์เห็นใจจึงรับข้าไว้เป็นศิษย์ ข้าเล่าเรียนและฝึกวิชาดาบอบ่าที่นั่นราวสี่ปี จนท่านอาจารย์เจ้าสำนักรับรองว่าได้เรียนจนเจนจบทุกกระบวนยุทธแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่าครูดาบบ้านนอกส่วนใหญ่ ให้ปริญญาบัตรรับรองวิทยายุทธกันง่าย ๆ”
“แต่ท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซไม่ง่ายเลยท่าน ศิษย์รุ่นพี่ที่ได้รับปริญญาบัตรจากท่านก่อนหน้าข้ามีเพียงคนเดียวคือ อิโต ยาโกโร อิตโตไซ---ข้าจึงตั้งอกตั้งใจฝึกวิชาดาบอย่างหนัก ฟันฝ่าความยากลำบากแสนสาหัสโดยมีใบปริญญาที่ประทับตราสำนักดาบของท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซ เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ยังไม่ทันได้รับใบปริญญาข้าก็ต้องกลับบ้านเกิดโดยด่วนเพราะคนทางบ้านส่งข่าวมาว่าแม่เจ็บหนักใกล้ตาย”
“เจ้าเป็นคนที่ไหนรึ”
“ข้าเกิดที่อิวาคูนิในเขตซูโอ...หลังกลับบ้านเกิดข้าก็ยังฝึกวิชาดาบไม่ได้ขาดแม้แต่วันเดียว ทุกวันข้าจะไปฝึกท่าดาบที่คิดขึ้นเองอยู่คนเดียว มีท่าฟันนกนางแอ่น ฟันกิ่งต้นหลิว ที่ชายฝั่งแม่น้ำตรงสะพานคินไต...ก่อนตายแม่มอบดาบนางามิตสึเล่มนี้ให้ข้า บอกว่าเป็นดาบประจำตระกูลและสั่งให้เก็บรักษาไว้ให้ดี”
“ดาบฝีมือนางามิตสึ เชียวรึ”
“ดาบเล่มนี้ไม่ได้สลักชื่อท่านเอาไว้ แต่ก็บอกเล่าสืบทอดกันมาเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งหมู่บ้าน และเพราะยาวเกินดาบธรรมดาทั่วไปจึงมีชื่อเรียกเล่นว่าราวตากผ้า”
เจ้าหนุ่มรูปงามที่ดูเผิน ๆ เป็นคนพูดน้อย แต่พอจับเรื่องที่สนใจเข้าเท่านั้นก็พูดไม่หยุดแม้เรื่องที่ไม่ได้ถาม และไม่ใส่ใจด้วยว่าอีกฝ่ายจะอยากหรือไม่อยากฟังหรือว่ารู้สึกยังไง
กิองโทจิมองอากัปกิริยาของเจ้าหนุ่มประกอบกับเรื่องราวความเป็นมาที่เจ้าตัวเป็นคนเล่าให้ฟังเองแล้ว ประเมินว่าเจ้าหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นคนเชื่อมั่นในตนเองไม่น้อย ต่างจากการแต่งเนื้อแต่งตัวและผมเผ้าที่ทำให้ดูเป็นหนุ่มสำอาง
3
เจ้าหนุ่มรูปงามหยุดนิดหนึ่ง ดวงตาที่มองเหม่อไปข้างหน้าฉายแววเศร้าสร้อย
“ข้าเสียแม่ไปไม่นาน ท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซก็ล้มเจ็บ และถึงแก่กรรมเมื่อปีที่แล้ว”
เจ้าหนุ่มพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบ
“ข้ายังอยู่ที่ซูโอ ตอนได้ยินข่าวจากคูซานางิ เท็งกิศิษย์สำนักเดียวกันข้าร้องไห้แทบสิ้นสติ เท็งกิผู้ดูแลท่านอาจารย์จิไซจนวาระสุดท้ายเป็นศิษย์รุ่นพี่ข้าหลายปีและมีศักดิ์เป็นหลานของท่านด้วย เขาบอกข้าว่าก่อนตายท่านอาจารย์นึกถึงข้าที่ต้องกลับบ้านเกิดอย่างกระทันหัน จึงเขียนได้ปริญญาบัตรและประทับตราสำนักดาบฝากเอาไว้ และสั่งเท็งกิให้เอามาส่งให้ถึงมือข้า”
เจ้าหนุ่มเสียงเครือน้ำคาคลอเมื่อพูดมาถึงตรงนี้
กิองโทจิฟังไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจอะไรไปด้วย คิดว่าฟังแก้เบื่อดีกว่านั่งเฉย ๆ
“หือ อย่างนั้นเลยหรือ”
เจ้าหนุ่มเห็นคู่สนทนาทำสุ้มเสียงแสดงสีหน้าว่ารับฟังอยู่ด้วยความสนใจจึงรำพันต่อ
“ตอนนั้น ข้าน่าจะไปหาอาจารย์ทันทีที่ได้ข่าว แต่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน ข้าอยู่ซูโอแต่อาจารย์อยู่ในภูเขาแถบโจชู อีกทั้งแม่ก็เพิ่งตายก็เลยไปได้ไปเห็นใจท่าน”
เรือโคลงเล็กน้อย และเมื่อหมู่เมฆฤดูหนาวเคลื่อนตัวบดบังแสงดวงอาทิตย์ ท้องทะเลก็มืดครึ้มลงทันทีเห็นแต่ฟองขาว ๆ ของคลื่นที่กระทบกราบเรือเป็นจังหวะ
เจ้าหนุ่มรูปงามยังไม่หยุดสาธยายเรื่องราวหลายรสหลายอารมณ์ และสรุปว่าหลังแม่ตายก็ได้ปิดบ้านที่ซูโอ แล้วออกเดินทางไปพบกับเท็งกิหลานของอาจารย์และเป็นนักดาบรุ่นพี่ร่วมสำนัก ตามที่ได้นัดหมายกันไว้
“ท่านอาจารย์จิไซไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ท่านได้กรุณาเขียนใบปริญญาประทับตราสำนักดาบฝากเท็งกิผู้เป็นหลานเอาไว้พร้อมทั้งให้เงินที่ท่านคงจะมีแต่เพียงเล็กน้อย เป็นค่าเดินทางเอาใบปริญญามาส่งให้ถึงมือข้าที่อยู่ห่างไกล
เท็งกิ บอกมาในจดหมายที่ส่งข่าวถึงข้าว่า เขากำลังเดินทางฝึกวิชาดาบไปตามแว่นแคว้นต่าง ๆ พร้อมกับถือใบปริญญาที่รับฝากมาจากอาจารย์ติดตัวมาด้วย และนัดพบกันที่ภูเขาโฮไรจิในแคว้นมิคาวะซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างโจชูกับซูโอ โดยให้ปีนเขาขึ้นมาคนละฟากและพบกันที่ยอดเขาในวันกลางเทศกาลฮิงันเมื่อกลางวันกับกลางคืนเท่ากัน ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
เมื่อถึงวันนั้นข้าก็จะได้รับใบปริญญาอันเปรียบเสมือนมรดกของอาจารย์จากเท็งกิ ระหว่างนั้นข้าตั้งใจจะเดินทางฝึกฝนวิชาดาบพร้อมกับชมบ้านเมืองภูมิประเทศแถบเกียวโต โอซากา ไปจนกว่าจะถึงวันนัดหมาย”
เจ้าหนุ่มเล่าเรื่องในอดีตมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่สนใจว่าใครจะฟังมาจนดูเหมือนจะจบแล้ว จึงหันมาทางกิองโทจิ
“ท่านจะไปโอซาการึ”
“เปล่า ข้ากำลังกลับไปเกียวโต
ทั้งสองเงียบไป กิองโทจินิ่งฟังเสียงคลื่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า
“นี่คงคิดจะเอาดีทางวิชาดาบใช่ไหม”
เมื่อครู่ก่อนกิองโทจิพูดเชิงข่มเอาไว้ เป็นการลองเชิงดูก่อนเพราะคิดว่าจะมีดีอะไรเห็นถือดาบยาวแปลกตา แต่พอฟังการพูดจาแล้วก็หมดความสนใจ เหมารวมไปว่าหมอนี่ก็เหมือนพวกหนุ่มฝึกวิชาดาบทั่วไปที่ตนเห็นมามากนัก ที่เจอใครเป็นต้องคุยโวโอ้อวดใบปริญญาประทับตราเจ้าสำนัก น่าระอาเสียจริง
อย่างที่เกียวโต ตามถนนหนทางเห็นมีแต่นักดาบขี้คุยเดินว่อนราวกับฝูงยุง คนสมัยนี้ไม่รู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัวกันบ้างเลยหรือยังไงกัน นักดาบตัวจริงอย่างตนเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ดูทีรึอยู่ในสำนักดาบโยชิโอกะมาเกือบยี่สิบปี เป็นศิษย์ยังไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น...ดีนิดหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิษย์เอก ก็เท่านั้นเอง
อยากรู้นักว่าเดินสวนกันว่อนไปมาราวกับฝูงยุงอย่างนี้ จะหาข้าวปลามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันยังไง
กิองโทจินั่งกอดเข่ามองทะเลสีเทาพลางคิดเรื่อยเปื่อยไป แว่วเสียงเจ้าหนุ่มรูปงามกระซิบว่า
“เกียวโตรึ”
แล้วเบนสายตามาที่กิองโทจิ
“ข้าได้ยินมาว่า ที่เกียวโตมีนักดาบชื่อโยชิโอกะ เซอิจูโร ลูกชายของท่านโยชิโอกะ เค็มโปผู้ล่วงลับ ท่านยังสืบทอดสำนักดาบอยู่หรือเปล่าขอรับ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
กิองโทจิหาวแล้วหาวอีกด้วยความเบื่อหน่ายกับการเดินทางอันยาวนานอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย นักดาบหนุ่มเดินทางมาได้สิบสี่วันแล้วก่อนที่จะมาลงเรือลำนี้
“ไม่รู้ว่าคนหามแคร่จะมารับทันเวลาหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าทันก็คงได้พบหน้านางที่ท่าเรือโอซากา”
กิองโทจิค่อยหายเบื่อเมื่อนึกถึงหน้าโอโค
ศิษย์เอกแห่งสำนักดาบโยชิโอกะผู้นี้ออกเดินทางจากเกียวโตเพื่อกอบกู้ฐานะการเงินของสำนักที่ยอบแยบเต็มที
โยชิโอกะคือตระกูลนักดาบผู้ครองความยิ่งใหญ่เหนือนักดาบทั้งปวงในแว่นแคว้นมานาน และสำนักดาบโยชิโอกะก็ได้ดำรงความให้เป็นค่ายฝึกวิทยายุทธ์แห่งกองทัพโชกุนอาชิคางะมาตลอดยุคสมัยมูโรมาจิ ความรุ่งเรืองทั้งยศฐาบันดาศักดิ์และทรัพย์ศฤงคารของตระกูลโยชิโอกะที่ตกทอดกันมา ได้คลอนแคลนลงและทำท่าว่าจะล้มพับลงไปเมื่อมาถึงรุ่นของเซอิจูโร การเงินฝืดเคืองรายรับไม่คุ้มกับรายจ่ายที่พุ่งสูง เมื่อไม่พอก็ต้องกู้ยืมและเมื่อใช้หนี้ไม่ทันก็ต้องกู้เงินมาใช้หนี้ หนี้สินพอกพูนขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด ดูจำนวนเงินแล้วถึงเอาสมบัติที่สืบทอดมาจากเค็มโปผู้พ่อทั้งหมดไม่เหลือแม้กระทั่งหมวกฟางสักใบออกขายทอดตลาดก็ยังไม่พอใช้หนี้
สุดท้ายเซอิจูโรก็จนแต้มต้องเอาโรงฝึกวิชาดาบที่ตรอกโชจิไปจำนองกับพ่อค้าเศรษฐีในเมือง และขณะนี้ก็ใกล้สิ้นปีเต็มทีแล้ว และกำลังหนาว ๆ ร้อน ๆ ด้วยความหวาดกังวล ไม่รู้ว่าเจ้าหนี้จะแห่กันมาเคาะประตูทวงเงินเมื่อไร
ทำไมถึงได้ย่ำแย่อย่างนี้
เซอิจูโรทนทุกข์อยู่คนเดียวได้ไม่นานก็เรียกศิษย์เอกเข้ามาปรึกษา
กิองโทจิปลอบใจครู และขันอาสาด้วยสำนึกที่ว่าอย่างน้อยตนก็ควรรับผิดชอบด้วยครึ่งหนึ่ง ในฐานะที่เป็นคนชักจูงให้อาจารย์น้อยกลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผลาญสมบัติเช่นนี้
แค่นี้เอง ข้าจัดการเอง
ว่าแล้วกิองโทจิก็ระดมสมองวางแผนที่จัดได้ว่ารัดกุมมากมาเสนอต่อที่ประชุมศิษย์เอกแห่งสำนักดาบโยชิโอกะ โดยเกริ่นว่าเมื่อพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้แล้ว ความต้องการนักดาบผู้มีวิทยายุทธระดับสูงจะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในไม่ช้า ดังนั้นในฐานะสำนักดาบที่ได้รับความเชื่อถือจากฝ่ายปกครองให้เป็นผู้ฝึกวิชาดาบให้แก่กองทัพโชกุน เราจึงควรใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกิจการให้มีความแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น ด้วยการสร้างโรงฝึกวิทยายุทธ์ขึ้นสูงของสำนักโยชิโอกะขึ้นบนที่ว่างด้านตะวันตกของวัดเซโดอิน และขยายโรงฝึกที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ให้กว้างขวางขึ้นเพื่อฝึกนักดาบที่จะเป็นผู้สืบทอดวิถีดาบของตระกูลโยชิโอกะให้ยืนยงต่อไป ซึ่งนอกจากจะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยแล้ว ยังถือเป็นหน้าที่สำคัญที่เราเหล่าศิษย์ของสำนักพึงกระทำด้วย
เมื่อที่ประชุมศิษย์เอกเห็นชอบกับแผนที่เสนอ กิองโทจิก็ขอให้เซอิจูโรเจ้าสำนักเขียนข้อความทั้งหมดนั้นเป็นหนังสือเวียน ลงนามประทับตราชื่อเรียบร้อย แล้วรับอาสาถือหนังสือเวียนนั้นไปมอบให้แก่บรรดาศิษย์เอกที่โยชิโอกะ เค็มโปสอนมากับมือ ที่ไปได้ดิบได้ดีเป็นซามูไรตำแหน่งใหญ่โตในแว่นแคว้นต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น ทั้งที่ภาคชูโงกุ คิวชู และชิโกกุ แต่ที่สู้อุตส่าห์เดินทางข้าเขาลงห้วยรอนแรมไปกว่าจะถึงแต่ละแห่งนั่น ไม่ใช่เพื่อแค่ส่งหนังสือเวียนแล้วลากลับแน่นอน
กิองโทจิมาดหมายไว้ว่าเมื่อศิษย์เก่ารุ่นพี่ ใครก็ตามที่อ่านหนังสือเวียนนั้นจะรีบลงนามให้สัญญาบริจาคเงินสมทบทุนสร้างโรงฝึกวิชาดาบแห่งใหม่ และพร้อมควักกระเป๋าทันที แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ต้องผิดหวังเพราะน้อยคนมากที่ทำเช่นนั้น ส่วนใหญ่ก็จะบ่ายเบี่ยงว่า แล้วจะส่งสารตอบไปยังเจ้าสำนัก บ้างก็ว่า เอาไว้คุยกันตอนไปเกียวโตครั้งหน้า สุดท้ายกิองโทจิก็ได้เงินบริจาคมาจริง ๆ ไม่ถึงส่วนหนึ่งของที่คาดหวังไว้
ถึงจะคว้าน้ำเหลวแต่ก็ได้ทำหน้าที่สุดความสามารถแล้วใครจะว่ากระไรได้ เรื่องนั้นเอาไว้หารือว่าจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้ไม่ได้อยากเห็นหน้าใครแม้แต่เซอิจูโร อาจารย์น้อย ใจคะนึงถึงโอโคแม่ยอดขมองอิ่มเพียงคนเดียว รำพึงอยู่ในใจว่า ไม่ได้เจอกันนานเต็มทีจะคิดถึงข้าบ้างไหมหนอ ระหว่างเอนพิงร่างที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกับกราบเรือ คอยเวลาว่าเมื่อไรเรือจะถึงท่าเสียที
อิจฉาเจ้าหนุ่มรูปงามแต่งกายเฟี้ยวฟ้าวทันสมัยนิยมคนนั้น ที่หาวิธีฆ่าเวลาได้ฉลาดแท้ด้วยการเก็บเห็บลิง
กิองโทจิกระเถิบเข้าไปใกล้และชวนคุย
“เจ้าหนุ่ม เดินทางไปโอซากะรึ”
“ขอรับ”
ผู้ถูกถามกดหัวเจ้าลิงน้อยเอาไว้ พลางช้อนตากลมโตมองมา
“บ้านอยู่โอซากะรึ”
“เปล่าขอรับ”
“อ้อ งั้นก็คงเป็นคนแคว้นอาวะ ที่ชิโกกุ”
“ก็ไม่ใช่อีกละขอรับ”
เจ้าหนุ่มตอบห้วน ๆ แสดงว่าไม่ได้ใส่ใจกับคนถาม และก้มหน้าก้มตาหาเห็บให้เจ้าลิงน้อยบนตักต่อไป
2
กิองโทจิไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาชวนคุยจึงนิ่งไป และพอดีเหลือบไปเห็นดาบรูปทรงแปลกตาที่เจ้าหนุ่มคาดหลังเอาไว้จึงกล่าวชมขึ้นว่า
“ดาบของเจ้าดูดีมากเลยนะ”
ซึ่งนับได้ว่าจี้ถูกจุด เพราะเจ้าหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับกิองโทจิและตอบอย่างภาคภูมิ
“นี่เป็นดาบสำหรับออกศึกที่สืบทอดมาในตระกูลเรา ข้าคิดว่าจะไปหาช่างตีดาบฝีมือดี ๆ สักคนที่โอซากา ให้ช่วยปรับรูปทรงจะได้เหน็บกับเอวเหมือนคนอื่นเขา”
“ดาบของเจ้าข้าว่ามันยาวเกินกว่าจะเหน็บเอว”
“ใช่ ยาวถึงสามศอก”
“ยาวมาก”
“จะพกดาบสักทีก็ต้องประมาณนี้”
เจ้าหนุ่มรูปงามยิ้มกว้างด้วยความมั่นใจจนเห็นลักยิ้มทรงเสน่ห์
“คาดดาบยาวสามศอกสี่ศอกเดินวางมาด องอาจสง่างามไปตามถนนในเมืองมันก็ดีอยู่หรอก แต่พอจะใช้จริงนี่ซี ข้าห่วงว่าจะเกะกะไม่คล่องตัว”
กิองโทจิทอดหางเสียงเชิงข่มเจ้าหนุ่มอยู่ในที
“ข้าเห็นมามากแล้ว คนที่พกดาบใหญ่ยาวแบบนี้เวลาเข้าตาจน ต้องปลดดาบขึ้นแบกบ่าวิ่งหนีกระเจิง หมดสง่าราศีกันทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าเรียนวิชาดาบจากสำนักไหนรึ”
เมื่อพูดถึงวิชาดาบ กิองโทจิก็ยืดอกด้วยความทะนงตนเหนือคู่สนทนาโดยไม่รู้สึกตัว และชายมองเจ้าหนุ่มเหมือนกับเป็นเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ซึ่งปฏิกิริยานั้นหาได้รอดสายตาคมวาวเจ้าหนุ่มรูปงามไปไม่
“สำนักดาบโทดะขอรับ”
“อ้อ แต่สำนักดาบโทดะ เท่าที่รู้ใช้ดาบสั้นไม่ใช่รึ”
“ใช่ขอรับ แต่ก็ไม่ได้มีกฎระเบียบอะไรมาบังคับใช่ไหมว่า คนที่เรียนวิชาดาบจากสำนักโทดะจะต้องใช้แต่ดาบสั้น พอดีข้าเองเป็นคนที่เกลียดการทำตามอย่างคนอื่นเสียด้วย เลยเอาดาบยาวของตระกูลเล่มนี้มาใช้ ครูโกรธที่ข้าทำตรงกันข้ามกับคำสั่งสอน ก็เลยขับออกจากสำนัก”
“ข้าเข้าใจ คนหนุ่มมักจะระเริงใจที่ได้ทำอะไรนอกคอกแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วไงต่อไป”
“พอถูกขับออกจากสำนักดาบโทดะ ข้าก็เผ่นออกมาจากหมู่บ้านโจเกียวจิในแคว้นเอจิเซ็น ไปหาท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซผู้ก่อตั้งสำนักดาบจูโจ และเล่าเรื่องราวให้ท่าน ท่านอาจารย์เห็นใจจึงรับข้าไว้เป็นศิษย์ ข้าเล่าเรียนและฝึกวิชาดาบอบ่าที่นั่นราวสี่ปี จนท่านอาจารย์เจ้าสำนักรับรองว่าได้เรียนจนเจนจบทุกกระบวนยุทธแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่าครูดาบบ้านนอกส่วนใหญ่ ให้ปริญญาบัตรรับรองวิทยายุทธกันง่าย ๆ”
“แต่ท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซไม่ง่ายเลยท่าน ศิษย์รุ่นพี่ที่ได้รับปริญญาบัตรจากท่านก่อนหน้าข้ามีเพียงคนเดียวคือ อิโต ยาโกโร อิตโตไซ---ข้าจึงตั้งอกตั้งใจฝึกวิชาดาบอย่างหนัก ฟันฝ่าความยากลำบากแสนสาหัสโดยมีใบปริญญาที่ประทับตราสำนักดาบของท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซ เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ยังไม่ทันได้รับใบปริญญาข้าก็ต้องกลับบ้านเกิดโดยด่วนเพราะคนทางบ้านส่งข่าวมาว่าแม่เจ็บหนักใกล้ตาย”
“เจ้าเป็นคนที่ไหนรึ”
“ข้าเกิดที่อิวาคูนิในเขตซูโอ...หลังกลับบ้านเกิดข้าก็ยังฝึกวิชาดาบไม่ได้ขาดแม้แต่วันเดียว ทุกวันข้าจะไปฝึกท่าดาบที่คิดขึ้นเองอยู่คนเดียว มีท่าฟันนกนางแอ่น ฟันกิ่งต้นหลิว ที่ชายฝั่งแม่น้ำตรงสะพานคินไต...ก่อนตายแม่มอบดาบนางามิตสึเล่มนี้ให้ข้า บอกว่าเป็นดาบประจำตระกูลและสั่งให้เก็บรักษาไว้ให้ดี”
“ดาบฝีมือนางามิตสึ เชียวรึ”
“ดาบเล่มนี้ไม่ได้สลักชื่อท่านเอาไว้ แต่ก็บอกเล่าสืบทอดกันมาเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งหมู่บ้าน และเพราะยาวเกินดาบธรรมดาทั่วไปจึงมีชื่อเรียกเล่นว่าราวตากผ้า”
เจ้าหนุ่มรูปงามที่ดูเผิน ๆ เป็นคนพูดน้อย แต่พอจับเรื่องที่สนใจเข้าเท่านั้นก็พูดไม่หยุดแม้เรื่องที่ไม่ได้ถาม และไม่ใส่ใจด้วยว่าอีกฝ่ายจะอยากหรือไม่อยากฟังหรือว่ารู้สึกยังไง
กิองโทจิมองอากัปกิริยาของเจ้าหนุ่มประกอบกับเรื่องราวความเป็นมาที่เจ้าตัวเป็นคนเล่าให้ฟังเองแล้ว ประเมินว่าเจ้าหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นคนเชื่อมั่นในตนเองไม่น้อย ต่างจากการแต่งเนื้อแต่งตัวและผมเผ้าที่ทำให้ดูเป็นหนุ่มสำอาง
3
เจ้าหนุ่มรูปงามหยุดนิดหนึ่ง ดวงตาที่มองเหม่อไปข้างหน้าฉายแววเศร้าสร้อย
“ข้าเสียแม่ไปไม่นาน ท่านอาจารย์คาเนมากิ จิไซก็ล้มเจ็บ และถึงแก่กรรมเมื่อปีที่แล้ว”
เจ้าหนุ่มพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบ
“ข้ายังอยู่ที่ซูโอ ตอนได้ยินข่าวจากคูซานางิ เท็งกิศิษย์สำนักเดียวกันข้าร้องไห้แทบสิ้นสติ เท็งกิผู้ดูแลท่านอาจารย์จิไซจนวาระสุดท้ายเป็นศิษย์รุ่นพี่ข้าหลายปีและมีศักดิ์เป็นหลานของท่านด้วย เขาบอกข้าว่าก่อนตายท่านอาจารย์นึกถึงข้าที่ต้องกลับบ้านเกิดอย่างกระทันหัน จึงเขียนได้ปริญญาบัตรและประทับตราสำนักดาบฝากเอาไว้ และสั่งเท็งกิให้เอามาส่งให้ถึงมือข้า”
เจ้าหนุ่มเสียงเครือน้ำคาคลอเมื่อพูดมาถึงตรงนี้
กิองโทจิฟังไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจอะไรไปด้วย คิดว่าฟังแก้เบื่อดีกว่านั่งเฉย ๆ
“หือ อย่างนั้นเลยหรือ”
เจ้าหนุ่มเห็นคู่สนทนาทำสุ้มเสียงแสดงสีหน้าว่ารับฟังอยู่ด้วยความสนใจจึงรำพันต่อ
“ตอนนั้น ข้าน่าจะไปหาอาจารย์ทันทีที่ได้ข่าว แต่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน ข้าอยู่ซูโอแต่อาจารย์อยู่ในภูเขาแถบโจชู อีกทั้งแม่ก็เพิ่งตายก็เลยไปได้ไปเห็นใจท่าน”
เรือโคลงเล็กน้อย และเมื่อหมู่เมฆฤดูหนาวเคลื่อนตัวบดบังแสงดวงอาทิตย์ ท้องทะเลก็มืดครึ้มลงทันทีเห็นแต่ฟองขาว ๆ ของคลื่นที่กระทบกราบเรือเป็นจังหวะ
เจ้าหนุ่มรูปงามยังไม่หยุดสาธยายเรื่องราวหลายรสหลายอารมณ์ และสรุปว่าหลังแม่ตายก็ได้ปิดบ้านที่ซูโอ แล้วออกเดินทางไปพบกับเท็งกิหลานของอาจารย์และเป็นนักดาบรุ่นพี่ร่วมสำนัก ตามที่ได้นัดหมายกันไว้
“ท่านอาจารย์จิไซไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ท่านได้กรุณาเขียนใบปริญญาประทับตราสำนักดาบฝากเท็งกิผู้เป็นหลานเอาไว้พร้อมทั้งให้เงินที่ท่านคงจะมีแต่เพียงเล็กน้อย เป็นค่าเดินทางเอาใบปริญญามาส่งให้ถึงมือข้าที่อยู่ห่างไกล
เท็งกิ บอกมาในจดหมายที่ส่งข่าวถึงข้าว่า เขากำลังเดินทางฝึกวิชาดาบไปตามแว่นแคว้นต่าง ๆ พร้อมกับถือใบปริญญาที่รับฝากมาจากอาจารย์ติดตัวมาด้วย และนัดพบกันที่ภูเขาโฮไรจิในแคว้นมิคาวะซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างโจชูกับซูโอ โดยให้ปีนเขาขึ้นมาคนละฟากและพบกันที่ยอดเขาในวันกลางเทศกาลฮิงันเมื่อกลางวันกับกลางคืนเท่ากัน ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
เมื่อถึงวันนั้นข้าก็จะได้รับใบปริญญาอันเปรียบเสมือนมรดกของอาจารย์จากเท็งกิ ระหว่างนั้นข้าตั้งใจจะเดินทางฝึกฝนวิชาดาบพร้อมกับชมบ้านเมืองภูมิประเทศแถบเกียวโต โอซากา ไปจนกว่าจะถึงวันนัดหมาย”
เจ้าหนุ่มเล่าเรื่องในอดีตมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่สนใจว่าใครจะฟังมาจนดูเหมือนจะจบแล้ว จึงหันมาทางกิองโทจิ
“ท่านจะไปโอซาการึ”
“เปล่า ข้ากำลังกลับไปเกียวโต
ทั้งสองเงียบไป กิองโทจินิ่งฟังเสียงคลื่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า
“นี่คงคิดจะเอาดีทางวิชาดาบใช่ไหม”
เมื่อครู่ก่อนกิองโทจิพูดเชิงข่มเอาไว้ เป็นการลองเชิงดูก่อนเพราะคิดว่าจะมีดีอะไรเห็นถือดาบยาวแปลกตา แต่พอฟังการพูดจาแล้วก็หมดความสนใจ เหมารวมไปว่าหมอนี่ก็เหมือนพวกหนุ่มฝึกวิชาดาบทั่วไปที่ตนเห็นมามากนัก ที่เจอใครเป็นต้องคุยโวโอ้อวดใบปริญญาประทับตราเจ้าสำนัก น่าระอาเสียจริง
อย่างที่เกียวโต ตามถนนหนทางเห็นมีแต่นักดาบขี้คุยเดินว่อนราวกับฝูงยุง คนสมัยนี้ไม่รู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัวกันบ้างเลยหรือยังไงกัน นักดาบตัวจริงอย่างตนเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ดูทีรึอยู่ในสำนักดาบโยชิโอกะมาเกือบยี่สิบปี เป็นศิษย์ยังไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น...ดีนิดหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิษย์เอก ก็เท่านั้นเอง
อยากรู้นักว่าเดินสวนกันว่อนไปมาราวกับฝูงยุงอย่างนี้ จะหาข้าวปลามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันยังไง
กิองโทจินั่งกอดเข่ามองทะเลสีเทาพลางคิดเรื่อยเปื่อยไป แว่วเสียงเจ้าหนุ่มรูปงามกระซิบว่า
“เกียวโตรึ”
แล้วเบนสายตามาที่กิองโทจิ
“ข้าได้ยินมาว่า ที่เกียวโตมีนักดาบชื่อโยชิโอกะ เซอิจูโร ลูกชายของท่านโยชิโอกะ เค็มโปผู้ล่วงลับ ท่านยังสืบทอดสำนักดาบอยู่หรือเปล่าขอรับ”