นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
กิองโทจิชายตามอง นึกขวางมาก่อนแล้วตั้งแต่ทำผมทำเผ้าไม่เข้าท่า ทั้งยังการพูดจาแม้ไม่ถึงกับว่าพูดโวโอ้อวดแต่ก็ไม่เข้าหู แต่มาคิดดูอีกทีเท่าที่คุยกันมาก็ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยว่าใครเป็นใคร และถ้าเจ้าหนุ่มหน้ามลคนนี้รู้ว่าตนคือกิองโทจิศิษย์เอกของสำนักโยชิโอกะ ก็คงจะตกใจและเขินไม่น้อยที่จุดไต้ตำตอเข้าเต็มเปา
นักดาบหนุ่มนึกขำขึ้นมาก็เลยคิดจะยั่วเล่นแก้เบื่อ
“ได้ยินมาว่าโรงฝึกของสำนักดาบโยชิโอกะที่ชิโจยังเจริญรุ่งเรืองดีอยู่ มีลูกศิษย์ลูกหาเข้าออกคับคั่ง เจ้าเคยหรือเปล่า”
“ยังไม่เคยเลย แต่ก็คิดอยู่ว่าถ้าขึ้นไปที่เกียวโต จะต้องไปขอประลองฝีมือกับโยชิโอกะ เซอิจูโรสักครั้งว่าจะเลิศเลออย่างที่เล่าลือกันหรือไม่”
“หือ...”
กิองโทจิอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่นิ่วหน้าขืนเอาไว้ก่อนพูดทิ้งหางเสียงเป็นเชิงเหยียดว่า
“เจ้ามั่นใจหรือว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว จะกลับออกมาพร้อมกับมือเท้าครบถ้วน”
“ว่าไงนะ”
เจ้าหนุ่มรูปงามสวนทันควัน แล้วหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“โยชิโอกะเป็นสำนักดาบใหญ่โตมีชื่อเสียงขจรขจายเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านโยชิโอกะ เค็มโปผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรกมีวิทยายุทธแกร่งกล้าเพียงใด แต่ข้าได้ยินมาว่าโยชิโอกะ เซอิจูโรผู้ลูกที่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักในตอนนี้ กับน้องชายที่ชื่อเด็นชิจิโรนั้น ดูเหมือนจะไม่เท่าไร”
“ข้าว่า เอาไว้ได้เจอกันจริง ๆ แล้วค่อยพูดดีกว่าไหม”
“ข้าก็พูดตามที่ได้ยินพวกนักดาบซุบซิบกัน ไม่ว่าจะเดินทางผ่านไปทางแว่นแคว้นใดก็เห็นพูดกันทำนองว่า โยชิโอกะแห่งเกียวโตคงถึงคราวต้องปิดประตูสำนักเสียแล้ว ข้าก็ไม่ได้เชื่อว่าจริงไปทั้งหมดหรอกนะ เพราะข่าวลือก็คือข่าวลือ
กิองโทจิคัดเคืองเต็มที อยากตวาดออกไปดัง ๆ ให้หยุดพล่ามได้แล้วและแสดงตัวออกมาให้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร แต่ก็ห้ามใจไว้เพราะยังอีกนานกว่าเรือจะเทียบท่าโอซากา หากเสียท่ากลายเป็นตัวตลกขึ้นมาจะวางหน้าต่อไม่ติด
“อย่างนั้นรึ แต่ระยะนี้รู้สึกว่าพวกนักดาบตามแว่นแคว้นต่าง ๆ ดูจะหยิ่งผยองกันทั้งนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่จะลือกันไปอย่างนั้น ว่าแต่เจ้าเถอะ เมื่อกี้เห็นเล่าว่าหลังลาอาจารย์กลับบ้านเกิด เจ้าไปฝึกฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่นด้วยดาบยาวเล่มนี้ ที่ชายฝั่งแม่น้ำตรงสะพานคินไตทุกวัน”
“ใช่ ข้าฝึกทุกวัน”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คงฟันนกทะเลที่โฉบลงมาที่เรือนี้ได้โดยง่าย”
“... ... ...”
เจ้าหนุ่มไม่ตอบแต่จ้องมองไปที่ริมฝีปากของคู่สนทนา ดูสีหน้าแล้วรู้ได้ทันทีว่าจับนัยยะเชิงประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายหนึ่งได้
“ทำได้ แต่ข้าไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงฝีดาบอันล้ำเลิศเช่นนั้นที่นี่ ณ เวลานี้ เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกลองเชิง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่อยากเห็นฝีมือ เพราะดูเจ้ามั่นใจในตนเองนักถึงกับดูแคลนสำนักดาบโยชิโอกะแห่งเกียวโต”
“เอ๊ะ ดูเหมือนท่านจะไม่พอใจที่ข้าวิพากษ์วิจารณ์สำนักดาบโยชิโอกะ ท่านเป็นศิษย์หรือว่ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักดาบนั้นรึ”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก คนเกียวโตอย่างเรา แค่ได้ยินใครว่าร้ายโยชิโอกะแห่งเกียวโตก็อารมณ์เสียแล้ว”
“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าไม่ได้พูดเอง นั่นมันข่าวลือต่างหาก”
“นี่แน่ะเจ้าหนุ่ม”
“อะไรรึ”
“ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ไว้เผื่อเป็นข้อคิดในอนาคตว่า คนที่มีความรู้แค่หางอึ่งแต่อวดตัวว่ารู้มากน่ะมันอันตราย คนที่ประเมินผู้อื่นต่ำจะก้าวหน้าไปได้ไม่ไกล เจ้าอาจจะเก่งวิชาดาบขนาดได้ใบปริญญาประทับตราสำนักดาบจูโจ ฝึกฟันนกนางแอ่นกำลังบินด้วยดาบยาวน่าเกรงขามของเจ้า แต่เลิกตีฆ้องร้องป่าวยกตนข่มท่านเสียที และฟังให้ดีนะข้าจะบอกให้นะ...ก่อนจะยกตนข่มท่าน ควรดูให้แน่ใจก่อนว่ากำลังพูดอยู่กับใคร”
2
“ท่านว่าข้าตีฆ้องรองป่าวอย่างนั้นรึ”
เจ้าหนุ่มย้อนถามเสียงฝาด
“ใช่ จะทำไม”
กิองโทจิยื่นอกเข้าไปใกล้
“ข้าบอกแล้วไงว่าพูดเผื่อเป็นข้อคิดในอนาคต คนหนุ่มแน่นพูดจาโอ้อวดบ้างจะเป็นไรไปไม่มีใครเขาว่า แต่ถ้าเกินไปมันก็ไม่งาม”
“... ... ...”
“คงเห็นข้าฟังพยักเพยิดฟังเจ้าพูดโวโอ้อวดมาตั้งแต่ต้น โดยไม่ได้ขัดคอว่ากระไร เจ้าก็เลยลามปามไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจนข้านิ่งต่อไปไม่ไหว ต้องขอบอกว่าข้าคือกิองโทจิ ศิษย์เอกของโยชิโอกะ เซอิจูโร รู้แล้วอย่างนี้ขืนปากไม่ดีอีก ข้าไม่เอาไว้แน่”
ผู้โดยสารที่อยู่รอบ ๆ หันมามองกันเป็นแถวเมื่อเสียงสนทนาของคนทั้งสองกลายเป็นโต้เถียง หลังแสดงตัวชัดเจนแล้ว กิองโทจิลุกขึ้นเดินบ่นพึมพำไปทางท้ายเรือ เด็กสมัยนี้อวดดีชะมัด เจ้าหนุ่มรูปงามเดินตามหลังไปเงียบ ๆ
สงสัยจะไม่จบจ่าย ๆ เสียแล้ว
ผู้โดยสารเรือคิดพลางเหลียวหน้ามองตามคนทั้งสองที่เดินห่างออกไป
กิองโทจิลุกหนีออกมาเพราะไม่อยากทะเลาะกับเด็ก นอกจากจะเป็นเป้าสายตาผู้คนแล้วยังจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาในภายหลัง พอเรือถึงโอซากาโอโคอาจกำลังรอรับอยู่ก็ได้จึงไม่อยากมีเรื่องกับใครก่อนเจอกับผู้หญิง
นักดาบชั้นครูท้าวแขนกับลูกกรงเรือมองลงไปยังเกลียวคลื่นที่หมุนอยู่ใต้กังหัน
หนุ่มรูปงามเดินเข้ามาแตะไหล่กิองโทจิ ท่าทางไม่ยอมเลิกง่าย ๆ แต่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบมากไม่ได้แสดงว่าจะมาชวนทะเลาะ
“อาจารย์โทจิ”
กิองโทจิหันหน้าไปถาม “อะไรรึ” เพราะจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่เหมาะ
“เมื่อตะกี้ อาจารย์หาว่าข้าตีฆ้องร้องป่าวยกตนข่มท่านต่อหน้าธารกำนัล ทำให้ข้าเสียหน้ามากและจำต้องรับคำท้าของท่าน ขอให้ท่านเฝ้าดูเป็นพยานด้วยเถิด
“ข้าท้าทายอะไรเจ้ารึ”
“อย่าบอกนะว่าท่านลืมไปแล้ว เมื่อครู่ก่อนพอข้าเล่าว่าข้าฝึกฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่นด้วยดาบยาวเล่มนี้ ที่ชายฝั่งแม่น้ำตรงสะพานคินไตทุกวัน ท่านก็หัวเราะและบอกไม่ใช่หรือว่า ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงฟันนกทะเลที่โฉบลงมาที่เรือนี้ได้โดยง่าย”
“ใช่ ข้าพูดเช่นนั้น”
“ท่านคงคิดละมังว่าข้าโอ้อวด เอาละ...ข้าจะแสดงฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่นให้ดูเป็นขวัญตา แค่ดาบเดียวเท่านั้นท่านก็จะได้เห็นว่าข้าพูดจริง”
“ดี ถ้าได้เห็น ข้าก็จะเชื่อ”
“เอาละ ข้าจะฟันให้ดู”
“ดี”
กิองโทจิเหยียดยิ้ม
“แต่ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ต้องดันทุรังหรอกนะ พลาดไปจะกลายเป็นตัวตลก”
“ข้าจะทำตามคำท้า”
“ข้าไม่ห้าม”
“ช่วยดูให้เห็นกับตาด้วยเถิด”
"ได้สิ”
กิองโทจิรับคำด้วยเสียงหนักแน่น
เจ้าหนุ่มรูปงามยืดตัวขึ้นยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางยกพื้นกว้างท้ายเรือ เอื้อมมือไปจับด้ามดาบยาวที่สะพายไว้ข้างหลังพลางร้องเรียกกิองโทจิ
“อาจารย์โทจิ อาจารย์โทจิขอรับ”
กิองโทจิมองขึ้นไปและพอร้องถามไปว่า “เรียกทำไม” เจ้าหนุ่มก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังมากว่า
“รบกวนอาจารย์ ช่วยเรียกนกทะเลให้โฉบลงมาตรงหน้าข้าหน่อยสิ กี่ตัวก็ได้ข้าจะฟันให้ดู”
3
เจ้าหนุ่มหน้ามนย้อนยอกด้วยคำพูดที่ฟังดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนมาจากตำนานอิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญา กิองโทจิรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทจนร้อนไปทั้งตัวด้วยความโกรธ
“ไม่ต้องมาพูดดี ถ้าเรียกนกทะเลที่บินอยู่บนฟ้าลงมาตรงหน้าได้ใคร ๆ ก็ฟันมันได้ทั้งนั้น”
“อาจารย์ขอรับ ท้องทะเลกว้างขวางไม่รู้ว่ากี่พันกี่หมื่นโยชน์ แต่ดาบของข้าถึงจะยาวกว่าคนอื่นเขาแต่ก็แต่สามศอก ถ้านกมันไม่บินมาข้าง ๆ ข้าจะฟันมันได้ยังไง”
กิองโทจิเดินเข้าไปใกล้สองสามก้าวก่อนพูดใส่หน้าว่า
“อย่ามาแถหน่อยเลย ถ้าทำไม่ได้ก็รับออกมาตรง ๆ ว่าทำไม่ได้ ขอโทษเสียก็เท่านั้น”
“ขอโทษหรือขอรับ ข้าตั้งท่าเตรียมอย่างนี้แล้วคงไม่มีการขอโทษละมัง ถ้าท่านเรียกนกทะเลให้ไม่ได้ ข้าก็จะฟันอย่างอื่นแทน”
“อะไร”
“อาจารย์โทจิขอรับ ช่วยก้าวเข้ามาทางนี้อีกสักห้าก้าวได้ไหม”
“จะทำไม”
“ข้าอยากขอดูศีรษะของอาจารย์สักหน่อย ศีรษะที่คิดว่าข้าพูดโอ้อวดและท้าให้พิสูจน์นั่นยังไง ข้าคิดว่าไหน ๆ ก็จะฟันทั้งทีแล้ว หัวของอาจารย์น่าจะดีกว่านกที่ไม่มีความผิด”
“เฮ้ย พูดอะไรบ้า ๆ”
กิองโทจิหดหัวลงโดยไม่ได้ตั้งใจ และในพริบตาเดียวกันนั้นเองเจ้าหนุ่มชักดาบออกจากฝัก เร็วจนเห็นเป็นลำแสงวาบแวบ พร้อมกับเสียงใบมีดแหวกอากาศดังเฟี้ยว
“เอ็ง เอ็งทำอะไร”
กิองโทจิร้องเสียงแหลม ยกมือขึ้นกุมคอ
คลำดูแล้วพบว่าหัวยังติดอยู่กับไหล่ ไม่มีอะไรผิดปกติ
“รู้รึยังล่ะ”
ว่าแล้ว หนุ่มรูปงามก็หันหลังเดินหลีกหีบห่อสัมภาระหายไปทางหนึ่ง
กิองโทจิหน้าซีดเผือดใจเต้นแรง ยังไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในกายตัวถูกฟันขาดกระจุย จนกระทั่งเจ้าหนุ่มรูปงามเดินลับตัวไป จึงได้เหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่งตกอยู่บนพื้นเรือ ดูแปลกเหมือนพู่กันอันใหญ่หรือว่าแปรงอันเล็กกันแน่ โอ๊ะ...เพิ่งรู้สึกว่าหัวโล่ง ๆ และพอยกมือขึ้นคลำก็พบว่า...ไม่มี มัดผมที่ผูกไว้เป็นทรงซามูไรหายไปทั้งมัด
“เฮ้ย นี่มันอะไรกัน”
กิองโทจิหน้าตื่น และระหว่างที่คลำหัวป้อยอยู่นั้น ผมที่เหลืออยู่ก็สยายลงมาคลุมหน้าคลุมตา
“บังอาจมาก ไอ้ชาติชั่ว”
กิองโทจิยืนตัวแข็ง โกรธสุดขีดที่ถูกหยามน้ำหน้า
แต่โกรธก็อยู่ส่วนโกรธ ความทึ่งในฝีมือดาบเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าหนุ่มรูปงามพิสูจน์ตนเองแจ่มแจ้งจนเกินพอแล้วว่ามีฝีมือจริง ไม่ได้โกหก โอ้อวด หรือยกตนข่มใคร ในฐานะนักดาบกิองโทจิต้องยอมรับว่าเป็นวิทยายุทธ์ที่ล้ำเลิศเกินวัย ไม่คิดว่าคนหนุ่มวัยนี้คนไหนจะล้ำเลิศได้ขนาดนี้
เจ้าหนุ่มกลับไปนั่งที่เดิมและกำลังสาละวนอยู่กับการหาอะไรสักอย่างอยู่รอบ ๆ ขา กิองโทจิกำด้ามดาบแน่นเมื่อเห็นได้ช่องที่จะเอาคืน ย่องกริบเข้าไปข้างหลังคู่อาฆาตหวังจะฟันมัดผมให้กระจุยเยี่ยงกัน
กิองโทจิไม่มั่นใจว่าจะสามารถฟันให้มัดผมกระจุยไปอย่างเดียวได้ คงจะต้องเฉี่ยวใบหน้าหรือฟันกะโหลกติดไปด้วย แต่จะยังไงก็ช่าง ขอให้ได้ล้างแค้นเป็นพอ
นักดาบหนุ่มคำรามอยู่ในลำคอ ลำตัวร้อนผ่าวรู้สึกเหมือนกับบวมเป่งราวกับจะระเบิด หายใจหอบแรงทั้งทางปากและจมูก
ขณะที่กิองโทจิกำลังจะลงมือล้างแค้นนั้นเอง พ่อค้าจากอาวะ ซาไก และโอซากาที่กำลังเล่นไพ่กันอยู่ก็เอะอะขึ้น
“อ้าว ทำไมไพ่ไม่ครบ”
“ปลิวหายไปทางไหนรึเปล่า”
“ดูทางนั้นสิ”
“ตรงนี้ไม่มีนะ”
ทุกคนช่วยกันยกพรมขึ้นสะบัดกันเป็นโกลาหล คนหนึ่งที่เผอิญมองขึ้นไปที่ใบเรือร้องบอกพรรคพวกเสียงลั่นพร้อมกับชี้ขึ้นไปที่เสากระโดงเรือ
“เฮ้ย เจ้าลิงจ๋อ ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
กิองโทจิชายตามอง นึกขวางมาก่อนแล้วตั้งแต่ทำผมทำเผ้าไม่เข้าท่า ทั้งยังการพูดจาแม้ไม่ถึงกับว่าพูดโวโอ้อวดแต่ก็ไม่เข้าหู แต่มาคิดดูอีกทีเท่าที่คุยกันมาก็ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยว่าใครเป็นใคร และถ้าเจ้าหนุ่มหน้ามลคนนี้รู้ว่าตนคือกิองโทจิศิษย์เอกของสำนักโยชิโอกะ ก็คงจะตกใจและเขินไม่น้อยที่จุดไต้ตำตอเข้าเต็มเปา
นักดาบหนุ่มนึกขำขึ้นมาก็เลยคิดจะยั่วเล่นแก้เบื่อ
“ได้ยินมาว่าโรงฝึกของสำนักดาบโยชิโอกะที่ชิโจยังเจริญรุ่งเรืองดีอยู่ มีลูกศิษย์ลูกหาเข้าออกคับคั่ง เจ้าเคยหรือเปล่า”
“ยังไม่เคยเลย แต่ก็คิดอยู่ว่าถ้าขึ้นไปที่เกียวโต จะต้องไปขอประลองฝีมือกับโยชิโอกะ เซอิจูโรสักครั้งว่าจะเลิศเลออย่างที่เล่าลือกันหรือไม่”
“หือ...”
กิองโทจิอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่นิ่วหน้าขืนเอาไว้ก่อนพูดทิ้งหางเสียงเป็นเชิงเหยียดว่า
“เจ้ามั่นใจหรือว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว จะกลับออกมาพร้อมกับมือเท้าครบถ้วน”
“ว่าไงนะ”
เจ้าหนุ่มรูปงามสวนทันควัน แล้วหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“โยชิโอกะเป็นสำนักดาบใหญ่โตมีชื่อเสียงขจรขจายเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านโยชิโอกะ เค็มโปผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรกมีวิทยายุทธแกร่งกล้าเพียงใด แต่ข้าได้ยินมาว่าโยชิโอกะ เซอิจูโรผู้ลูกที่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักในตอนนี้ กับน้องชายที่ชื่อเด็นชิจิโรนั้น ดูเหมือนจะไม่เท่าไร”
“ข้าว่า เอาไว้ได้เจอกันจริง ๆ แล้วค่อยพูดดีกว่าไหม”
“ข้าก็พูดตามที่ได้ยินพวกนักดาบซุบซิบกัน ไม่ว่าจะเดินทางผ่านไปทางแว่นแคว้นใดก็เห็นพูดกันทำนองว่า โยชิโอกะแห่งเกียวโตคงถึงคราวต้องปิดประตูสำนักเสียแล้ว ข้าก็ไม่ได้เชื่อว่าจริงไปทั้งหมดหรอกนะ เพราะข่าวลือก็คือข่าวลือ
กิองโทจิคัดเคืองเต็มที อยากตวาดออกไปดัง ๆ ให้หยุดพล่ามได้แล้วและแสดงตัวออกมาให้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร แต่ก็ห้ามใจไว้เพราะยังอีกนานกว่าเรือจะเทียบท่าโอซากา หากเสียท่ากลายเป็นตัวตลกขึ้นมาจะวางหน้าต่อไม่ติด
“อย่างนั้นรึ แต่ระยะนี้รู้สึกว่าพวกนักดาบตามแว่นแคว้นต่าง ๆ ดูจะหยิ่งผยองกันทั้งนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่จะลือกันไปอย่างนั้น ว่าแต่เจ้าเถอะ เมื่อกี้เห็นเล่าว่าหลังลาอาจารย์กลับบ้านเกิด เจ้าไปฝึกฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่นด้วยดาบยาวเล่มนี้ ที่ชายฝั่งแม่น้ำตรงสะพานคินไตทุกวัน”
“ใช่ ข้าฝึกทุกวัน”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คงฟันนกทะเลที่โฉบลงมาที่เรือนี้ได้โดยง่าย”
“... ... ...”
เจ้าหนุ่มไม่ตอบแต่จ้องมองไปที่ริมฝีปากของคู่สนทนา ดูสีหน้าแล้วรู้ได้ทันทีว่าจับนัยยะเชิงประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายหนึ่งได้
“ทำได้ แต่ข้าไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงฝีดาบอันล้ำเลิศเช่นนั้นที่นี่ ณ เวลานี้ เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกลองเชิง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่อยากเห็นฝีมือ เพราะดูเจ้ามั่นใจในตนเองนักถึงกับดูแคลนสำนักดาบโยชิโอกะแห่งเกียวโต”
“เอ๊ะ ดูเหมือนท่านจะไม่พอใจที่ข้าวิพากษ์วิจารณ์สำนักดาบโยชิโอกะ ท่านเป็นศิษย์หรือว่ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักดาบนั้นรึ”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก คนเกียวโตอย่างเรา แค่ได้ยินใครว่าร้ายโยชิโอกะแห่งเกียวโตก็อารมณ์เสียแล้ว”
“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าไม่ได้พูดเอง นั่นมันข่าวลือต่างหาก”
“นี่แน่ะเจ้าหนุ่ม”
“อะไรรึ”
“ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ไว้เผื่อเป็นข้อคิดในอนาคตว่า คนที่มีความรู้แค่หางอึ่งแต่อวดตัวว่ารู้มากน่ะมันอันตราย คนที่ประเมินผู้อื่นต่ำจะก้าวหน้าไปได้ไม่ไกล เจ้าอาจจะเก่งวิชาดาบขนาดได้ใบปริญญาประทับตราสำนักดาบจูโจ ฝึกฟันนกนางแอ่นกำลังบินด้วยดาบยาวน่าเกรงขามของเจ้า แต่เลิกตีฆ้องร้องป่าวยกตนข่มท่านเสียที และฟังให้ดีนะข้าจะบอกให้นะ...ก่อนจะยกตนข่มท่าน ควรดูให้แน่ใจก่อนว่ากำลังพูดอยู่กับใคร”
2
“ท่านว่าข้าตีฆ้องรองป่าวอย่างนั้นรึ”
เจ้าหนุ่มย้อนถามเสียงฝาด
“ใช่ จะทำไม”
กิองโทจิยื่นอกเข้าไปใกล้
“ข้าบอกแล้วไงว่าพูดเผื่อเป็นข้อคิดในอนาคต คนหนุ่มแน่นพูดจาโอ้อวดบ้างจะเป็นไรไปไม่มีใครเขาว่า แต่ถ้าเกินไปมันก็ไม่งาม”
“... ... ...”
“คงเห็นข้าฟังพยักเพยิดฟังเจ้าพูดโวโอ้อวดมาตั้งแต่ต้น โดยไม่ได้ขัดคอว่ากระไร เจ้าก็เลยลามปามไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจนข้านิ่งต่อไปไม่ไหว ต้องขอบอกว่าข้าคือกิองโทจิ ศิษย์เอกของโยชิโอกะ เซอิจูโร รู้แล้วอย่างนี้ขืนปากไม่ดีอีก ข้าไม่เอาไว้แน่”
ผู้โดยสารที่อยู่รอบ ๆ หันมามองกันเป็นแถวเมื่อเสียงสนทนาของคนทั้งสองกลายเป็นโต้เถียง หลังแสดงตัวชัดเจนแล้ว กิองโทจิลุกขึ้นเดินบ่นพึมพำไปทางท้ายเรือ เด็กสมัยนี้อวดดีชะมัด เจ้าหนุ่มรูปงามเดินตามหลังไปเงียบ ๆ
สงสัยจะไม่จบจ่าย ๆ เสียแล้ว
ผู้โดยสารเรือคิดพลางเหลียวหน้ามองตามคนทั้งสองที่เดินห่างออกไป
กิองโทจิลุกหนีออกมาเพราะไม่อยากทะเลาะกับเด็ก นอกจากจะเป็นเป้าสายตาผู้คนแล้วยังจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาในภายหลัง พอเรือถึงโอซากาโอโคอาจกำลังรอรับอยู่ก็ได้จึงไม่อยากมีเรื่องกับใครก่อนเจอกับผู้หญิง
นักดาบชั้นครูท้าวแขนกับลูกกรงเรือมองลงไปยังเกลียวคลื่นที่หมุนอยู่ใต้กังหัน
หนุ่มรูปงามเดินเข้ามาแตะไหล่กิองโทจิ ท่าทางไม่ยอมเลิกง่าย ๆ แต่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบมากไม่ได้แสดงว่าจะมาชวนทะเลาะ
“อาจารย์โทจิ”
กิองโทจิหันหน้าไปถาม “อะไรรึ” เพราะจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่เหมาะ
“เมื่อตะกี้ อาจารย์หาว่าข้าตีฆ้องร้องป่าวยกตนข่มท่านต่อหน้าธารกำนัล ทำให้ข้าเสียหน้ามากและจำต้องรับคำท้าของท่าน ขอให้ท่านเฝ้าดูเป็นพยานด้วยเถิด
“ข้าท้าทายอะไรเจ้ารึ”
“อย่าบอกนะว่าท่านลืมไปแล้ว เมื่อครู่ก่อนพอข้าเล่าว่าข้าฝึกฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่นด้วยดาบยาวเล่มนี้ ที่ชายฝั่งแม่น้ำตรงสะพานคินไตทุกวัน ท่านก็หัวเราะและบอกไม่ใช่หรือว่า ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงฟันนกทะเลที่โฉบลงมาที่เรือนี้ได้โดยง่าย”
“ใช่ ข้าพูดเช่นนั้น”
“ท่านคงคิดละมังว่าข้าโอ้อวด เอาละ...ข้าจะแสดงฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่นให้ดูเป็นขวัญตา แค่ดาบเดียวเท่านั้นท่านก็จะได้เห็นว่าข้าพูดจริง”
“ดี ถ้าได้เห็น ข้าก็จะเชื่อ”
“เอาละ ข้าจะฟันให้ดู”
“ดี”
กิองโทจิเหยียดยิ้ม
“แต่ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ต้องดันทุรังหรอกนะ พลาดไปจะกลายเป็นตัวตลก”
“ข้าจะทำตามคำท้า”
“ข้าไม่ห้าม”
“ช่วยดูให้เห็นกับตาด้วยเถิด”
"ได้สิ”
กิองโทจิรับคำด้วยเสียงหนักแน่น
เจ้าหนุ่มรูปงามยืดตัวขึ้นยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางยกพื้นกว้างท้ายเรือ เอื้อมมือไปจับด้ามดาบยาวที่สะพายไว้ข้างหลังพลางร้องเรียกกิองโทจิ
“อาจารย์โทจิ อาจารย์โทจิขอรับ”
กิองโทจิมองขึ้นไปและพอร้องถามไปว่า “เรียกทำไม” เจ้าหนุ่มก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังมากว่า
“รบกวนอาจารย์ ช่วยเรียกนกทะเลให้โฉบลงมาตรงหน้าข้าหน่อยสิ กี่ตัวก็ได้ข้าจะฟันให้ดู”
3
เจ้าหนุ่มหน้ามนย้อนยอกด้วยคำพูดที่ฟังดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนมาจากตำนานอิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญา กิองโทจิรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทจนร้อนไปทั้งตัวด้วยความโกรธ
“ไม่ต้องมาพูดดี ถ้าเรียกนกทะเลที่บินอยู่บนฟ้าลงมาตรงหน้าได้ใคร ๆ ก็ฟันมันได้ทั้งนั้น”
“อาจารย์ขอรับ ท้องทะเลกว้างขวางไม่รู้ว่ากี่พันกี่หมื่นโยชน์ แต่ดาบของข้าถึงจะยาวกว่าคนอื่นเขาแต่ก็แต่สามศอก ถ้านกมันไม่บินมาข้าง ๆ ข้าจะฟันมันได้ยังไง”
กิองโทจิเดินเข้าไปใกล้สองสามก้าวก่อนพูดใส่หน้าว่า
“อย่ามาแถหน่อยเลย ถ้าทำไม่ได้ก็รับออกมาตรง ๆ ว่าทำไม่ได้ ขอโทษเสียก็เท่านั้น”
“ขอโทษหรือขอรับ ข้าตั้งท่าเตรียมอย่างนี้แล้วคงไม่มีการขอโทษละมัง ถ้าท่านเรียกนกทะเลให้ไม่ได้ ข้าก็จะฟันอย่างอื่นแทน”
“อะไร”
“อาจารย์โทจิขอรับ ช่วยก้าวเข้ามาทางนี้อีกสักห้าก้าวได้ไหม”
“จะทำไม”
“ข้าอยากขอดูศีรษะของอาจารย์สักหน่อย ศีรษะที่คิดว่าข้าพูดโอ้อวดและท้าให้พิสูจน์นั่นยังไง ข้าคิดว่าไหน ๆ ก็จะฟันทั้งทีแล้ว หัวของอาจารย์น่าจะดีกว่านกที่ไม่มีความผิด”
“เฮ้ย พูดอะไรบ้า ๆ”
กิองโทจิหดหัวลงโดยไม่ได้ตั้งใจ และในพริบตาเดียวกันนั้นเองเจ้าหนุ่มชักดาบออกจากฝัก เร็วจนเห็นเป็นลำแสงวาบแวบ พร้อมกับเสียงใบมีดแหวกอากาศดังเฟี้ยว
“เอ็ง เอ็งทำอะไร”
กิองโทจิร้องเสียงแหลม ยกมือขึ้นกุมคอ
คลำดูแล้วพบว่าหัวยังติดอยู่กับไหล่ ไม่มีอะไรผิดปกติ
“รู้รึยังล่ะ”
ว่าแล้ว หนุ่มรูปงามก็หันหลังเดินหลีกหีบห่อสัมภาระหายไปทางหนึ่ง
กิองโทจิหน้าซีดเผือดใจเต้นแรง ยังไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในกายตัวถูกฟันขาดกระจุย จนกระทั่งเจ้าหนุ่มรูปงามเดินลับตัวไป จึงได้เหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่งตกอยู่บนพื้นเรือ ดูแปลกเหมือนพู่กันอันใหญ่หรือว่าแปรงอันเล็กกันแน่ โอ๊ะ...เพิ่งรู้สึกว่าหัวโล่ง ๆ และพอยกมือขึ้นคลำก็พบว่า...ไม่มี มัดผมที่ผูกไว้เป็นทรงซามูไรหายไปทั้งมัด
“เฮ้ย นี่มันอะไรกัน”
กิองโทจิหน้าตื่น และระหว่างที่คลำหัวป้อยอยู่นั้น ผมที่เหลืออยู่ก็สยายลงมาคลุมหน้าคลุมตา
“บังอาจมาก ไอ้ชาติชั่ว”
กิองโทจิยืนตัวแข็ง โกรธสุดขีดที่ถูกหยามน้ำหน้า
แต่โกรธก็อยู่ส่วนโกรธ ความทึ่งในฝีมือดาบเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าหนุ่มรูปงามพิสูจน์ตนเองแจ่มแจ้งจนเกินพอแล้วว่ามีฝีมือจริง ไม่ได้โกหก โอ้อวด หรือยกตนข่มใคร ในฐานะนักดาบกิองโทจิต้องยอมรับว่าเป็นวิทยายุทธ์ที่ล้ำเลิศเกินวัย ไม่คิดว่าคนหนุ่มวัยนี้คนไหนจะล้ำเลิศได้ขนาดนี้
เจ้าหนุ่มกลับไปนั่งที่เดิมและกำลังสาละวนอยู่กับการหาอะไรสักอย่างอยู่รอบ ๆ ขา กิองโทจิกำด้ามดาบแน่นเมื่อเห็นได้ช่องที่จะเอาคืน ย่องกริบเข้าไปข้างหลังคู่อาฆาตหวังจะฟันมัดผมให้กระจุยเยี่ยงกัน
กิองโทจิไม่มั่นใจว่าจะสามารถฟันให้มัดผมกระจุยไปอย่างเดียวได้ คงจะต้องเฉี่ยวใบหน้าหรือฟันกะโหลกติดไปด้วย แต่จะยังไงก็ช่าง ขอให้ได้ล้างแค้นเป็นพอ
นักดาบหนุ่มคำรามอยู่ในลำคอ ลำตัวร้อนผ่าวรู้สึกเหมือนกับบวมเป่งราวกับจะระเบิด หายใจหอบแรงทั้งทางปากและจมูก
ขณะที่กิองโทจิกำลังจะลงมือล้างแค้นนั้นเอง พ่อค้าจากอาวะ ซาไก และโอซากาที่กำลังเล่นไพ่กันอยู่ก็เอะอะขึ้น
“อ้าว ทำไมไพ่ไม่ครบ”
“ปลิวหายไปทางไหนรึเปล่า”
“ดูทางนั้นสิ”
“ตรงนี้ไม่มีนะ”
ทุกคนช่วยกันยกพรมขึ้นสะบัดกันเป็นโกลาหล คนหนึ่งที่เผอิญมองขึ้นไปที่ใบเรือร้องบอกพรรคพวกเสียงลั่นพร้อมกับชี้ขึ้นไปที่เสากระโดงเรือ
“เฮ้ย เจ้าลิงจ๋อ ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น”