นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ตกเย็น โอโคออกจากโรงเตี๊ยมไปบอกว่าจะไปรับกิองโทจิที่ท่าเรือจนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นกลับมา
ระหว่างนั้นพรรคพวกที่เดินทางมาด้วยกันจากเกียวโต ผลัดกันอาบและแช่น้ำอุ่นจนสบายเนื้อสบายตัว แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกิโมโนชุดลำลองที่ทางโรงเตี๊ยมเตรียมเอาไว้ให้ ออกมาร่วมวงดื่มที่ย่อมตั้งขึ้นเป็นธรรมดาระหว่างที่คอยใคร
แรก ๆ เป็นแค่การดื่มฆ่าเวลาระหว่างคอยจนกว่าจะได้เห็นหน้ากิองโทจิ แต่พอชนจอกกันถี่เข้าก็ไม่สนแล้วว่าใครจะไปใครจะมา แต่ละคนเหยียดแข้งเหยียดขากันตามสบาย มือหนึ่งชูกระปุกเปล่าขอสาเกเพิ่ม สาวใช้วิ่งเข้าออกเติมให้แทบไม่ทัน
“ย่านซูมิโยชินี่ น่าจะมีสาวนักร้องเสียงดี ๆ”
“นั่นน่ะซี เรียกที่สวย ๆ มาสักสามสี่คนถ้าจะดี”
คนหนึ่งเริ่มแสดงนิสัยเมื่อสาเกที่ดื่มเข้าไปออกฤทธิ์
ไม่มีใครสักคนทำหน้าเชิงคัดค้านว่า อย่าดีกว่า ไม่เห็นจะสนุก นอกจากโยชิโอกะ เซอิจูโร อาจารย์น้อยเจ้าสำนักเท่านั้นที่สีหน้าไม่ค่อยดีดูอึดอัดพิกล ศิษย์คนหนึ่งรู้ทันจึงแนะว่า
“อาจารย์น้อยมีอาเกมิอยู่ด้วยแล้ว ย้ายไปห้องข้าง ๆ ดีกว่าไหม จะได้ไม่หนวกหู”
เซอิจูโรชอบใจแต่ก็แค่นยิ้มและถลึงตากับศิษย์คล้ายจะปรามว่าอย่ามาทำรู้ดี ก่อนพาอาเกมิเข้าไปในห้องที่มีโต๊ะคล่อมเตาผิง นึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่าอยู่กับอาเกมิสองคนอย่างนี้ ชีวิตมีความหมายกว่านั่งดื่มอยู่กับพวกขี้เมาหลายเท่านัก
“เอาละพวกเรา เต็มที่กันเลย”
พอไม่มีใครให้ต้องเกรงใจแล้ว บรรดาศิษย์สำนักดาบก็สนุกกันสุดเหวี่ยง ไม่นานนักร้องสาวจากสำนักโทซะมางาวะอันเลื่องชื่อลือนามก็พากันถือชามิเซ็งและเครื่องดนตรีอื่น ๆ เดินชักแถวเข้ามาในสวนของโรงเตี๊ยม
“นี่พวกท่านเรียกพวกเรามาดื่ม หรือให้มาดูคนทะเลาะกันแน่”
นักร้องสาวจัดจ้านคนหนึ่งตะเบ็งเสียงผ่าเข้าไปกลางวง
จ่าฝูงที่เมาจัดกว่าคนอื่นตวาดเสียงเกรี้ยว
“ถามบ้า ๆ ใครจะจ่ายเงินให้พวกหล่อนมาดูคนทะเลาะกัน มาซีขึ้นมาดื่มกันเลย แล้วก็ร้องรำทำเพลงให้สนุกครึกครื้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็เงียบเสียงลงสักหน่อยจะได้ไหม ถ้าเงียบกันดีเราจะร้องเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง”
สาวหนึ่งขอร้องอย่างสุภาพ ได้ยินดังนั้นบรรดานักดาบขี้เมาก็ขยับท่านั่งให้เรียบร้อย ชักขาเปลือยเห็นขนหน้าแข้งเข้าไปเก็บไว้ในกิโมโน คนที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่ก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรง และไม่นานเสียงขับขานเพลงไพเราะก็เจื้อยแจ้วไปทั่วห้อง
ขณะที่บรรดานักดาบกำลังรื่นเริงบันเทิงใจอยู่นั้นเอง เด็กหญิงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาบอกว่า
“แขกลงจากเรือ มาถึงแล้วกับคนที่ไปรับ”
“อะไรนะ ใครมา”
“คนชื่อโทจิ”
“โทจิไหนเหรอ”
โอโคกับกิองโทจิเข้ามายืนทำหน้าเหนื่อยหน่ายอยู่หน้าประตูห้องที่ทุกคนกำลังสนุกสุดเหวี่ยง ไม่มีใครสักคนที่แสดงท่าทีว่ากำลังรออยู่ โทจิสงสัยเป็นกำลังว่านักดาบพวกนี้มาทำอะไรกันที่ซูมิโยชิในโอซากา ทั้งที่เป็นช่วงเดินสิบสองที่ทุกคนยุ่งกันทั้งนั้น โอโคบอกเขาว่าทุกคนมาที่นี่เพื่อต้อนรับเขาลงจากเรือ แต่ไหนล่ะคนที่มาคอยเขา กิองโทจิชักโกรธ
“นี่หล่อน”
“เจ้าขา”
“อาจารย์อยู่ห้องไหน พาข้าไปหาที”
พอกิองโทจิหันหลังกลับไปที่ระเบียงทางเดิน ก็มีคนส่งเสียงอ้อแอ้เรียกเอาไว้
“อ้าวลูกพี่กลับมาแล้วรึ พวกเรารอกันอยู่ตั้งนาน คิดว่ามีอะไรที่แท้ก็เลี่ยงไปจู๋จี๋กับโอโค ไม่เกรงใจกันเลย”
จ่าฝูงลุกขึ้นมาคว้าคอเสื้อเอาไว้ กลิ่นสาเกคลุ้งไปทั้งตัว กิองโทจิพยายามสะบัดแต่ก็ถูกลากเข้าไปในห้องจนได้ และความที่ตั้งหลักไม่อยู่จึงเหยียบลงไปบนถาดสาเกหลายถาด ทั้งจอกทั้งกะปุกสาเกกระเด็นไปคนละทิศละทาง ท้ายที่สุดก็ล้มลงไปกับพื้นด้วยกันทั้งคู่
“โอ๊ะ ผ้าโพกหัว”
กิองโทจิรีบยกมือขึ้นตะปบหัวแต่ก็ช้าเกินไป เพราะผ้าหลุดติดมือจ่าฝูงไปตอนที่ล้มกลิ้งไปด้วยกัน
2
“โอ๊ะ โอ๋”
ทุกคนในห้องตกตะลึง สายตาทุกคู่มองมาที่หัวของกิองโทจิซึ่งไม่มีมัดผมทรงซามูไรราวกับนัดกันไว้
“ท่านไปทำอะไรกับทรงผมมาน่ะ ดูประหลาดดีแท้”
“ผมทรงสมัยใหม่รึ”
“เกิดอะไรขึ้นรึท่านกิองโทจิ”
พอหายตกใจต่างก็ถามกันให้แซ่ด กิองโทจิตอบไม่ถูกหน้าแดงด้วยความอาย รีบเอาผ้าโพกหัวไว้ตามเดิม แล้วแก้ตัวอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงว่า
“ไม่มีอะไรหรอก เผอิญเป็นฝีนิดหน่อย”
“วะ ฮะ ฮะ ฮะ”
ทุกคนหัวเราะกันกลิ้ง
“ได้ฝีมาเป็นของฝากจากการเดินทางไกลงั้นรึ...วะ ฮะ ฮะ ฮะ”
“ปิดหัวได้แต่ปิดก้นไม่มิด”
“พูดแต่ปากไม่ได้ต้องขอดูหลักฐาน”
“กรรมสนองกรรม...”
ทุกคนชักจะคะนองปากอ้างคำคมต่าง ๆ นา ๆ ไปกันใหญ่ แต่โดยรวมแล้วไม่มีใครเชื่อว่ากิองโทจิเป็นฝีจริง
งานเลี้ยงร่ำสุราเพลิดเพลินกับนารีในค่ำคืนนั้นสิ้นทุกลง แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ท่าทีของนักดาบแต่ละคนในคณะพรรคก็เปลี่ยนไปเป็นแกร่งกร้าวสีหน้าแววตาทมึงถึงเอาจริงเอาจังดังเดิม พอรวมพวกได้ครบก็พากันไปนั่งล้อมวงที่ชายหาดติดกับด้านหลังของโรงเตี๊ยม บรรยากาศราวกับการประชุมยุทธศาสตร์เตรียมออกศึก
“หยามน้ำหน้ากันชัด ๆ”
คนพูดชะโงกตัวมาข้างหน้าตั้งข้อศอกลงกับพื้นทราย เค้นคำพูดออกมาคล้ายคำราม
“...ที่ท่านเล่าน่ะเรื่องจริงรึ”
“ท่านหาว่าข้าโกหกงั้นรึ ข้าได้ยินมากับหูนะ"
“อย่าโกรธเลยท่าน โกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้”
“แต่จะให้ข้าเงียบเฉยโดยไม่ทำอะไรสักอย่างไม่ได้หรอก มันหยามเกียรติสำนักดาบโยชิโอกะของเราขนาดนี้ เอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด”
“แน่นอน แต่ท่านจะให้เราทำยังไง”
“ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป เราต้องหาตัวเจ้านักดาบฝึกหัดปล่อยผมปรกหน้าผากเดินทางไปกับเจ้าลิงน้อยให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด จับมันมาตัดมัดผมให้กระจาย ไม่ใช่เพื่อล้างอายให้กิองโทจิ แต่เพื่อรักษาเกียรติภูมิสำนักดาบโยชิโอกะของเรา...มีใครคัดค้านบ้างไหม”
จ่าฝูงขี้เมากลายเป็นแม่ทัพใหญ่ทรงพลังเกรียงไกรราวพญามังกรไปในชั่วข้ามคืน
เบื้องหลังของการประชุมวางแผนยุทธศาสตร์ครั้งมีอยู่ว่า เมื่อเช้านี้คณะพรรคนักดาบขอให้ทางโรงเตี๊ยมจัดเตรียมห้องแช่น้ำอุ่นยามเช้าให้เป็นพิเศษเพื่อให้ฤทธิ์สุราส่างลง ระหว่างที่แช่กันอยู่นั้นก็มีพ่อค้าจากเมืองซาไกคนหนึ่งเข้ามาแช่ด้วยและเล่าว่า ตนลงเรือจากแคว้นอาวะมาถึงท่าโอซากาเมื่อวาน และในเรือได้เกิดเรื่องขึ้นคือเจ้าหนุ่มหน้ามนที่เดินทางมากับเจ้าลิงตัวน้อยได้บังอาจตัดมัดผมของซามูไร ขณะเล่าก็ทำมือทำไม้และทำหน้าทำตาล้อเลียนอย่างสนุก ก่อนทิ้งท้ายว่า
ฟังจากการพูดจาโต้ตอบกันแล้ว รู้สึกว่าซามูไรที่ถูกตัดมัดผมจะเป็นศิษย์เอกสำนักดาบโยชิโอกะที่เกียวโต ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าสำนักดาบโยชิโอกะกำลังย่างเข้าอยู่ยุคเสื่อมเสียแล้ว เพราะขนาดศิษย์เอกยังด้อยฝีมือขนาดนั้น
แล้วจะไม่ให้บรรดาศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะแห่งเกียวโตโกรธพลุ่งพล่านได้อย่างไร พอออกจากห้องแช่น้ำได้ก็พากันแล่นไปหากิองโทจิที่ทำท่าแปลก ๆ เมื่อคืนเพื่อเค้นเอาความจริงให้ได้ แต่ทางโรงเตี๊ยมบอกว่าตอนเช้ามืดเห็นลูกพี่ของพวกตนเข้าไปคุยอะไรอยู่กับเซอิจูโรอาจารย์น้อย และพอกินอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางกลับไปเกียวโตกับโอโค
พฤติกรรมของกิองโทจิทำให้ทุกคนแน่ใจว่าเหตุการณ์บนเรือที่พ่อค้าจากเมืองซาไกเล่าให้ฟังนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเห็นพ้องกันว่าแทนที่จะกลับไปไล่เลียงเอากับลูกพี่ที่เกียวโต สู้อยู่ที่นี่และหาตัวเจ้าหนุ่มหน้ามนคนที่ว่านั้นจะดีกว่า ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครแน่แต่ก็ได้เบาะแสมาพอควร คือปล่อยผมปรกหน้าผากและมีเจ้าลิงน้อยเป็นเพื่อนเดินทาง และเมื่อจับตัวได้แล้วก็จะได้จัดการเสียให้สาสมกับที่บังอาจทำให้ชื่อของสำนักดาบโยชิโอกะต้องมัวหมอง
“มีใครคัดค้านบ้างไหม”
“ไม่มี”
“ถ้างั้น...”
คณะพรรคลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ปัดทรายออกจากกิโมโนแล้วตั้งท่าออกปฏิบัติการ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ตกเย็น โอโคออกจากโรงเตี๊ยมไปบอกว่าจะไปรับกิองโทจิที่ท่าเรือจนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นกลับมา
ระหว่างนั้นพรรคพวกที่เดินทางมาด้วยกันจากเกียวโต ผลัดกันอาบและแช่น้ำอุ่นจนสบายเนื้อสบายตัว แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกิโมโนชุดลำลองที่ทางโรงเตี๊ยมเตรียมเอาไว้ให้ ออกมาร่วมวงดื่มที่ย่อมตั้งขึ้นเป็นธรรมดาระหว่างที่คอยใคร
แรก ๆ เป็นแค่การดื่มฆ่าเวลาระหว่างคอยจนกว่าจะได้เห็นหน้ากิองโทจิ แต่พอชนจอกกันถี่เข้าก็ไม่สนแล้วว่าใครจะไปใครจะมา แต่ละคนเหยียดแข้งเหยียดขากันตามสบาย มือหนึ่งชูกระปุกเปล่าขอสาเกเพิ่ม สาวใช้วิ่งเข้าออกเติมให้แทบไม่ทัน
“ย่านซูมิโยชินี่ น่าจะมีสาวนักร้องเสียงดี ๆ”
“นั่นน่ะซี เรียกที่สวย ๆ มาสักสามสี่คนถ้าจะดี”
คนหนึ่งเริ่มแสดงนิสัยเมื่อสาเกที่ดื่มเข้าไปออกฤทธิ์
ไม่มีใครสักคนทำหน้าเชิงคัดค้านว่า อย่าดีกว่า ไม่เห็นจะสนุก นอกจากโยชิโอกะ เซอิจูโร อาจารย์น้อยเจ้าสำนักเท่านั้นที่สีหน้าไม่ค่อยดีดูอึดอัดพิกล ศิษย์คนหนึ่งรู้ทันจึงแนะว่า
“อาจารย์น้อยมีอาเกมิอยู่ด้วยแล้ว ย้ายไปห้องข้าง ๆ ดีกว่าไหม จะได้ไม่หนวกหู”
เซอิจูโรชอบใจแต่ก็แค่นยิ้มและถลึงตากับศิษย์คล้ายจะปรามว่าอย่ามาทำรู้ดี ก่อนพาอาเกมิเข้าไปในห้องที่มีโต๊ะคล่อมเตาผิง นึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่าอยู่กับอาเกมิสองคนอย่างนี้ ชีวิตมีความหมายกว่านั่งดื่มอยู่กับพวกขี้เมาหลายเท่านัก
“เอาละพวกเรา เต็มที่กันเลย”
พอไม่มีใครให้ต้องเกรงใจแล้ว บรรดาศิษย์สำนักดาบก็สนุกกันสุดเหวี่ยง ไม่นานนักร้องสาวจากสำนักโทซะมางาวะอันเลื่องชื่อลือนามก็พากันถือชามิเซ็งและเครื่องดนตรีอื่น ๆ เดินชักแถวเข้ามาในสวนของโรงเตี๊ยม
“นี่พวกท่านเรียกพวกเรามาดื่ม หรือให้มาดูคนทะเลาะกันแน่”
นักร้องสาวจัดจ้านคนหนึ่งตะเบ็งเสียงผ่าเข้าไปกลางวง
จ่าฝูงที่เมาจัดกว่าคนอื่นตวาดเสียงเกรี้ยว
“ถามบ้า ๆ ใครจะจ่ายเงินให้พวกหล่อนมาดูคนทะเลาะกัน มาซีขึ้นมาดื่มกันเลย แล้วก็ร้องรำทำเพลงให้สนุกครึกครื้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็เงียบเสียงลงสักหน่อยจะได้ไหม ถ้าเงียบกันดีเราจะร้องเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง”
สาวหนึ่งขอร้องอย่างสุภาพ ได้ยินดังนั้นบรรดานักดาบขี้เมาก็ขยับท่านั่งให้เรียบร้อย ชักขาเปลือยเห็นขนหน้าแข้งเข้าไปเก็บไว้ในกิโมโน คนที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่ก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรง และไม่นานเสียงขับขานเพลงไพเราะก็เจื้อยแจ้วไปทั่วห้อง
ขณะที่บรรดานักดาบกำลังรื่นเริงบันเทิงใจอยู่นั้นเอง เด็กหญิงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาบอกว่า
“แขกลงจากเรือ มาถึงแล้วกับคนที่ไปรับ”
“อะไรนะ ใครมา”
“คนชื่อโทจิ”
“โทจิไหนเหรอ”
โอโคกับกิองโทจิเข้ามายืนทำหน้าเหนื่อยหน่ายอยู่หน้าประตูห้องที่ทุกคนกำลังสนุกสุดเหวี่ยง ไม่มีใครสักคนที่แสดงท่าทีว่ากำลังรออยู่ โทจิสงสัยเป็นกำลังว่านักดาบพวกนี้มาทำอะไรกันที่ซูมิโยชิในโอซากา ทั้งที่เป็นช่วงเดินสิบสองที่ทุกคนยุ่งกันทั้งนั้น โอโคบอกเขาว่าทุกคนมาที่นี่เพื่อต้อนรับเขาลงจากเรือ แต่ไหนล่ะคนที่มาคอยเขา กิองโทจิชักโกรธ
“นี่หล่อน”
“เจ้าขา”
“อาจารย์อยู่ห้องไหน พาข้าไปหาที”
พอกิองโทจิหันหลังกลับไปที่ระเบียงทางเดิน ก็มีคนส่งเสียงอ้อแอ้เรียกเอาไว้
“อ้าวลูกพี่กลับมาแล้วรึ พวกเรารอกันอยู่ตั้งนาน คิดว่ามีอะไรที่แท้ก็เลี่ยงไปจู๋จี๋กับโอโค ไม่เกรงใจกันเลย”
จ่าฝูงลุกขึ้นมาคว้าคอเสื้อเอาไว้ กลิ่นสาเกคลุ้งไปทั้งตัว กิองโทจิพยายามสะบัดแต่ก็ถูกลากเข้าไปในห้องจนได้ และความที่ตั้งหลักไม่อยู่จึงเหยียบลงไปบนถาดสาเกหลายถาด ทั้งจอกทั้งกะปุกสาเกกระเด็นไปคนละทิศละทาง ท้ายที่สุดก็ล้มลงไปกับพื้นด้วยกันทั้งคู่
“โอ๊ะ ผ้าโพกหัว”
กิองโทจิรีบยกมือขึ้นตะปบหัวแต่ก็ช้าเกินไป เพราะผ้าหลุดติดมือจ่าฝูงไปตอนที่ล้มกลิ้งไปด้วยกัน
2
“โอ๊ะ โอ๋”
ทุกคนในห้องตกตะลึง สายตาทุกคู่มองมาที่หัวของกิองโทจิซึ่งไม่มีมัดผมทรงซามูไรราวกับนัดกันไว้
“ท่านไปทำอะไรกับทรงผมมาน่ะ ดูประหลาดดีแท้”
“ผมทรงสมัยใหม่รึ”
“เกิดอะไรขึ้นรึท่านกิองโทจิ”
พอหายตกใจต่างก็ถามกันให้แซ่ด กิองโทจิตอบไม่ถูกหน้าแดงด้วยความอาย รีบเอาผ้าโพกหัวไว้ตามเดิม แล้วแก้ตัวอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงว่า
“ไม่มีอะไรหรอก เผอิญเป็นฝีนิดหน่อย”
“วะ ฮะ ฮะ ฮะ”
ทุกคนหัวเราะกันกลิ้ง
“ได้ฝีมาเป็นของฝากจากการเดินทางไกลงั้นรึ...วะ ฮะ ฮะ ฮะ”
“ปิดหัวได้แต่ปิดก้นไม่มิด”
“พูดแต่ปากไม่ได้ต้องขอดูหลักฐาน”
“กรรมสนองกรรม...”
ทุกคนชักจะคะนองปากอ้างคำคมต่าง ๆ นา ๆ ไปกันใหญ่ แต่โดยรวมแล้วไม่มีใครเชื่อว่ากิองโทจิเป็นฝีจริง
งานเลี้ยงร่ำสุราเพลิดเพลินกับนารีในค่ำคืนนั้นสิ้นทุกลง แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ท่าทีของนักดาบแต่ละคนในคณะพรรคก็เปลี่ยนไปเป็นแกร่งกร้าวสีหน้าแววตาทมึงถึงเอาจริงเอาจังดังเดิม พอรวมพวกได้ครบก็พากันไปนั่งล้อมวงที่ชายหาดติดกับด้านหลังของโรงเตี๊ยม บรรยากาศราวกับการประชุมยุทธศาสตร์เตรียมออกศึก
“หยามน้ำหน้ากันชัด ๆ”
คนพูดชะโงกตัวมาข้างหน้าตั้งข้อศอกลงกับพื้นทราย เค้นคำพูดออกมาคล้ายคำราม
“...ที่ท่านเล่าน่ะเรื่องจริงรึ”
“ท่านหาว่าข้าโกหกงั้นรึ ข้าได้ยินมากับหูนะ"
“อย่าโกรธเลยท่าน โกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้”
“แต่จะให้ข้าเงียบเฉยโดยไม่ทำอะไรสักอย่างไม่ได้หรอก มันหยามเกียรติสำนักดาบโยชิโอกะของเราขนาดนี้ เอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด”
“แน่นอน แต่ท่านจะให้เราทำยังไง”
“ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป เราต้องหาตัวเจ้านักดาบฝึกหัดปล่อยผมปรกหน้าผากเดินทางไปกับเจ้าลิงน้อยให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด จับมันมาตัดมัดผมให้กระจาย ไม่ใช่เพื่อล้างอายให้กิองโทจิ แต่เพื่อรักษาเกียรติภูมิสำนักดาบโยชิโอกะของเรา...มีใครคัดค้านบ้างไหม”
จ่าฝูงขี้เมากลายเป็นแม่ทัพใหญ่ทรงพลังเกรียงไกรราวพญามังกรไปในชั่วข้ามคืน
เบื้องหลังของการประชุมวางแผนยุทธศาสตร์ครั้งมีอยู่ว่า เมื่อเช้านี้คณะพรรคนักดาบขอให้ทางโรงเตี๊ยมจัดเตรียมห้องแช่น้ำอุ่นยามเช้าให้เป็นพิเศษเพื่อให้ฤทธิ์สุราส่างลง ระหว่างที่แช่กันอยู่นั้นก็มีพ่อค้าจากเมืองซาไกคนหนึ่งเข้ามาแช่ด้วยและเล่าว่า ตนลงเรือจากแคว้นอาวะมาถึงท่าโอซากาเมื่อวาน และในเรือได้เกิดเรื่องขึ้นคือเจ้าหนุ่มหน้ามนที่เดินทางมากับเจ้าลิงตัวน้อยได้บังอาจตัดมัดผมของซามูไร ขณะเล่าก็ทำมือทำไม้และทำหน้าทำตาล้อเลียนอย่างสนุก ก่อนทิ้งท้ายว่า
ฟังจากการพูดจาโต้ตอบกันแล้ว รู้สึกว่าซามูไรที่ถูกตัดมัดผมจะเป็นศิษย์เอกสำนักดาบโยชิโอกะที่เกียวโต ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าสำนักดาบโยชิโอกะกำลังย่างเข้าอยู่ยุคเสื่อมเสียแล้ว เพราะขนาดศิษย์เอกยังด้อยฝีมือขนาดนั้น
แล้วจะไม่ให้บรรดาศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะแห่งเกียวโตโกรธพลุ่งพล่านได้อย่างไร พอออกจากห้องแช่น้ำได้ก็พากันแล่นไปหากิองโทจิที่ทำท่าแปลก ๆ เมื่อคืนเพื่อเค้นเอาความจริงให้ได้ แต่ทางโรงเตี๊ยมบอกว่าตอนเช้ามืดเห็นลูกพี่ของพวกตนเข้าไปคุยอะไรอยู่กับเซอิจูโรอาจารย์น้อย และพอกินอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางกลับไปเกียวโตกับโอโค
พฤติกรรมของกิองโทจิทำให้ทุกคนแน่ใจว่าเหตุการณ์บนเรือที่พ่อค้าจากเมืองซาไกเล่าให้ฟังนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเห็นพ้องกันว่าแทนที่จะกลับไปไล่เลียงเอากับลูกพี่ที่เกียวโต สู้อยู่ที่นี่และหาตัวเจ้าหนุ่มหน้ามนคนที่ว่านั้นจะดีกว่า ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครแน่แต่ก็ได้เบาะแสมาพอควร คือปล่อยผมปรกหน้าผากและมีเจ้าลิงน้อยเป็นเพื่อนเดินทาง และเมื่อจับตัวได้แล้วก็จะได้จัดการเสียให้สาสมกับที่บังอาจทำให้ชื่อของสำนักดาบโยชิโอกะต้องมัวหมอง
“มีใครคัดค้านบ้างไหม”
“ไม่มี”
“ถ้างั้น...”
คณะพรรคลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ปัดทรายออกจากกิโมโนแล้วตั้งท่าออกปฏิบัติการ