นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
มาตาฮาจิยิ้มนิด ๆ ทำทีไว้เชิงชาย แต่ท้องว่างทำให้วิงเวียนขึ้นมาอีกจนต้องสำรอกออกมาแล้วส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่แพ้แดดเพราะมันร้อนแรงเหลือเกิน...พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง ขอข้าพักเอาแรงสักครู่นึงเถอะ”
“โธ่เอ๊ย จะแย่อยู่แล้วยังทำอวดเก่งไปได้”
พวกคนงานขนหินแต่ละคนร่างใหญ่กำยำ มองคนร่างผ่ายผอมตรงหน้าอย่างเวทนาสบตากันอย่างเห็นขัน
“เอ็งซื้อแตงโม แล้วทำไมไม่กิน”
“ข้าซื้อให้พวกเจ้ากินต่างหาก ขอโทษด้วยนะที่ข้าทำงานไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก”
“โอ๊ะ ไม่นึกว่าเจ้าจะมีน้ำใจอย่างนี้ เฮ้ย พวกเรามากินแตงโมกัน เจ้ามาตาฮาจิมันเลี้ยงว่ะ”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่เรียกพรรคพวกพลางยิ้มย่อง ฉวยแตงโมขึ้นมากระแทกกับแง่หินจนแตกเป็นหลายเสี่ยง เนื้อแตงโมแดงฉ่ำล่อตาคนขนหินแถวนั้นให้เข้ามากลุ้มรุมกับราวกับฝูงมด
“เฮ้ย ได้เวลาทำงานแล้ว”
หัวหน้างานขนหินปีนขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ส่งเสียงเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว
ซามูไรผู้คุมงานฉวยแซ่จากผนังกระโจนออกมาจากกระท่อมเข้าประจำที่
งานขนหินเดินหน้าอีกครั้ง และแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนด้วยหยาดเหงื่อและแรงงาน ฝูงแมลงวันพลอยแตกหือบินหึ่งไปด้วย
หินก้อนมหึมาถูกยกด้วยคานงัดขึ้นวางบนเลื่อน หลังจากนั้นคนงานจึงช่วยกันฉุดดึงเชือกเส้นใหญ่เท่ากำปั้นที่ผูกไว้กับเลื่อนพาก้อนหินไปยังที่หมาย ดูราวกับก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวไปบนท้องฟ้า เข้าจังหวะเพลงเรียกพลังของเหล่าคนงานขนหินที่ดังไปทั่วทุกแว่นแคว้นในยุคสร้างปราสาท
เนื้อร้องของเพลงยอดนิยมนี้ไม่มีผู้ใดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ทั้งหมด มีแต่ที่ฮาจิซูกะ โยชิชิเงะผู้ครองปราสาทอาวะซึ่งได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในคณะผู้สร้างปราสาทนาโงยะ เขียนเล่าถึงเพลงนี้ไว้ในจดหมายโต้ตอบกับคนที่บ้านเกิดฉบับหนึ่งว่าได้ยินเพลงเรียกพลังของคนขนหินที่นาโงยาในงานเลี้ยงสังสรรค์ พร้อมกับเขียนเนื้อร้องบางส่วนเอาไว้
พวกเราเหล่าคนงาน
ฉุกลากก้อนหินกันไม่รู้จบ
จากอาวาตางูจิ
มาให้ท่านโทโกโร
ฮุยเล ฮุยเล ฮุย
ฉุดเข้าไปลากเข้าไป
เพียงได้ยินเสียงท่านสั่ง
แขนขาเราก็สั่น
เราจะภักดีต่อท่าน
ไปจนวันตาย
พร้อมทั้งเสริมว่า คนหนุ่มคนแก่ร้องเพลงนี้กันทั้งนั้น ราวกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอันไม่จีรังยั่งยืนในโลกของเรานี้
แสดงให้เห็นว่าเพลงเรียกพลังของคนขนหินสร้างปราสาทดังมาก จนถึงขนาดนำเอาไปร้องกันในงานบันเทิงของคนชั้นสูงอย่างฮาจิซูกะ โยชิชิเงะผู้ครองปราสาทอาวะ
คนขนหินบนพื้นที่ฟื้นฟูบูรณะปราสาทฟูชิมิร้องเพลงเรียกพลังกันไปตามจังหวะ โดยไม่รู้ว่าเพลงของพวกตนสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการบันเทิงของยุคสมัย และถ้ามีใครสักคนลุกขึ้นมาใส่ใจไต่ถามว่าเพลงที่มีเนื้อเพลงและท่วงทำนองนั้นแพร่เข้ามาเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเมืองตั้งแต่เมื่อไร ก็จะรู้เพลงซึ่งแต่ก่อนฟังกันอยู่อย่างจำกัดภายในเคหสถานของเจ้านายและคนชั้นสูงนั้น ได้รุ่งเรืองขึ้นในสังคมชาวเมืองก็เมื่อตระกูลโทกูงาวะได้รวบรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่นและย่างเข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพนี้เอง เพลงที่พอจะมีร้องให้กันบ้างก็เห็นจะเป็นพวกเพลงกล่อมเด็กที่เหมือนเสียงครวญด้วยความหดหู่มากกว่า เพลงยิ่งใหญ่ขึ้นมาเป็นการบันเทิงเริงรมย์ที่ใคร ๆ อยากฟังอยากร้องกันก็เมื่อย่างเข้ายุคอิเอยาซุนี้เอง ชาวบ้านทั่วทุกแว่นแคว้นต่างรักที่จะทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำพลางร้องเพลงปลุกใจให้ฮึกเหิมกันทั้งนั้น
หลังสงครามที่เซกิงาฮาระ วัฒนธรรมอิเอยาซุสาดส่องแสงสู่สังคมเข้มข้นขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป เพลงของชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนจากเสียงครวญด้วยความขื่นขมมาเป็นเพลงแห่งความบันเทิงเริงร่า และไม่ใช่ว่ากลิ่นอายของชนชั้นสูงเจือจางลงไปจากเพลงเท่านั้น ศิลปินในสำนักของโชกุนโทกูงาวะเองยังแต่งเพลงและเผยแพร่ออกไปในมวลชนด้วย
“โอ๊ย เวียนหัวจัง”
มาตาฮาจิร้องพลางกุมขมับแล้วจึงรู้ว่าหัวของตนร้อนจี๋ราวกับมีไฟสุมอยู่ภายใน หูอื้อไปหมดจนเสียงเพลงเรียกพลังของเพื่อนกลายเป็นเสียงหึ่ง ๆ เหมือนฝูงยุงแห่งมาตอมอยู่ที่หู
“ห้าปี ทำงานห้าปีให้ได้อะไรขึ้นมา ทุกวันนี้ก็ได้แก่หาเช้ากินค่ำไปวัน ๆ วันไหนไม่ทำงานก็ไม่มีกิน แล้วอย่างนี้ห้าปีจะมีอะไรขึ้นมาได้ ฮึ...”
มาตาฮาจิคลื่นไส้จนต้องสำรอกออกมาอีก หน้าซีดจนเขียว ไม่มีแรงแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
ขณะเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวคนหนึ่งเดินจากที่ใดไม่ปรากฏมาหยุดยืน ณ บริเวณใกล้เคียงกับที่มาตาฮาจิเอนตัวพิงก้อนหินทอดอาลัยตายอยากอยู่นั้นเอง
ชายหนุ่มสวมหมวกฟางสานหยาบ ๆ หลุบหน้า สะพายห่อผ้าเช่นเดียวกับนักดาบฝึกหัด ยกพัดที่คลี่ครึ่ง ๆ ขึ้นบังตาที่เพ่งมองไปยังปราสาทและตั้งอกตั้งใจดูการทำงานของคนขนหิน
2
ยืนดูอยู่ได้ไม่นานนัก นักดาบฝึกหัดร่างสูงเพรียวก็ทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินที่มีพื้นราบราวเสื่อทาทามิหนึ่งผืนตรงหน้า และพอนั่งลงก็พบว่ามีที่ให้ท้าวแขนพอสบาย
เจ้าหนุ่มเป่าฝุ่นทรายปลิวกระจายไปพร้อมกับมดที่กำลังไต่ตามกันมาเป็นแถว ก่อนนั่งลงท้าวแขนและเอนพิงกับก้อนหินทั้งที่ยังสวมหมวก สายตาที่ทอดผ่านเปลวแดดที่ระยิบระยับอยู่บนก้อนหินทุกสิ่งที่สะท้อนแสง ยังจับจ้องอยู่บนพื้นที่งานฟื้นฟูบูรณะปราสาทไม่วางตา และคนจะร้อนเต็มทีจึงนั่งนิ่งสนิทไม่ไหวตัว และไม่รู้ตัวด้วยว่ามีคน ๆ หนึ่งซึ่งก็คือมาตาฮาจิอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้น
ส่วนมาตาฮาจินั้นแม้จะรู้สึกได้ว่ามีใครอยู่ตรงนั้น แต่ก็กะปลกกะเปลี้ยเกินกว่าจะลืมตาขึ้นดูว่าใครเป็นใคร และไม่คิดว่าจะมีใครมาใส่ใจไถ่ถาม อาการคลื่นไส้วิงเวียนยังตีตื้นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ให้ต้องขยอกขย้อนไม่ได้หยุด
คงได้ยินมาตาฮาจิหายใจหอบ อีกฝ่ายจึงขยับตัวและร้องถามมาว่า
“เจ้าคนขนหิน เป็นอะไรไปรึ”
“ข้าแพ้แดด”
“ไม่สบายมากเลยรึ”
“ค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังคลื่นไส้อยู่”
“เอายาไหม”
นักดาบหนุ่มเปิดตลับยาที่ห้อยติดตัวอยู่ เทยาเม็ดดำ ๆ ลงบนฝ่ามือ โดดลงมาเอายากรอกปากมาตาฮาจิแล้วบอกว่า
“เดี๋ยวก็หาย”
“ขอบคุณท่านมาก”
“ขมไหม”
“ไม่ขอรับ”
“เจ้ายังจะพักงานอยู่ตรงนี้อีกนานรึ”
“ขอรับ”
“ถ้างั้นช่วยเฝ้าดูให้ที หากมีใครมาช่วยเรียกข้าด้วย ปากก้อนหินขึ้นมาก็ได้”
สั่งเสร็จ นักดาบหนุ่มก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนหินก้อนเดิม คราวนี้หยิบพู่กันออกมาจากกระบอกเครื่องเขียน ล้วงสมุดเขียนบันทึกจากถุงแขนเสื้อกิโมโนออกมากาง และเริ่มเขียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ระหว่างนั้น นับดาบหนุ่มไม่ได้ละสายตาที่มองผ่านหมวกฟางสานหยาบ ๆ ออกไปยังบริเวณก่อสร้าง เดี๋ยวก็มองไปที่ตัวปราสาท เดี๋ยวก็เบนออกไปมองด้านนอก มองไกลไปที่แนวภูเขาด้านหลังปราสาท มองใกล้เข้ามาที่แม่น้ำ ย้อนกลับมามองสูงขึ้นไปที่ยอดปราสาท ทำให้คิดได้ว่าสิ่งที่อยู่บนกระดาษตรงปลายพูกันนั้นคือแผนผังของปราสาทฟูชิมิด้านนอกและด้านในรวมทั้งภูมิประเทศโดยรอบ
ก่อนเกิดสงครามที่เซกิงาฮาระ ปราสาทฟูชิมิแห่งนี้ถูกกองทัพอุกิตะและชิมาซุของกองกำลังฝ่ายตะวันตกบุกเข้าย่ำยี ทำให้หลายส่วนของปราสาท เช่น ระเบียงมาซูดะ ระเบียบโอกูระ คันคูและเชิงเทินหลายแห่งถูกทำลายเสียหาย หลังได้ชนะในสงครามที่เซกิงาฮาระ โทกูงาวะก็ได้บัญชาให้ฟื้นฟูบูรณะปราสาทแห่งนี้เสียใหม่พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้เหนือกว่าปราสาทโอซากา
หากมีใครสักคนไปแอบมองแผนผังของนักดาบหนุ่มผู้นี้ จะต้องตื่นตาตื่นใจที่เห็นว่าในอีกหน้าหนึ่งของสมุดบันทึกนั้นมีแผนผังที่เหมือนคนวาดขึ้นไปยืนอยู่บนภูเขาฟูชิมิและมองลงมาเห็นชัยภูมิด้านหลังปราสาทและหุบเขาโอกาเมะ ซึ่งเก็บรายละเอียดได้แทบไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปวาดมาตั้งแต่เมื่อไร
“โอ๊ะ
มาตาฮาจิอุทานแต่ก็สายไปเสียแล้วที่จะเตือนนักดาบหนุ่มตามที่ได้สัญญากันไว้ เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงและมองขึ้นไปก็เห็นใครคนหนึ่งไม่รู้ว่าซามูไรผู้กำกับงานฟื้นฟูบูรณะหรือเจ้าหน้าที่รับผิดชอบคนอื่น สวมเสื้อเกราะครึ่งตัวใส่รองเท้าฟางยืนนิ่งประชิดอยู่ข้างหลังนักดาบหนุ่มที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับแผนผัง คล้ายกับคอยให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวเอง
มาตาฮาจิรู้สึกผิด แต่ก็สายเกินแก้ ถึงจะส่งเสียงร้องหรือปาก้อนหินเป็นสัญญาณเตือนก็ไม่มีประโยชน์เสียแล้ว...
ระหว่างที่มาตาฮาจิกำลังโกรธตัวเองอยู่นั้น นักดาบหนุ่มก็ยกมือขึ้นปัดแมลงวันที่มาตอมเหงื่อที่คอเสื้อ และพอเหลียวเลยไปมองข้างหลังก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เบิกตาโพลงด้วยความตระหนก และอุทานออกมาดัง ๆ
ซามูไรคนคุมงานก่อสร้างทำหน้าถมึงทึง จ้องตาตอบอย่างโกรธเกรี้ยวและเอื้อมมือไปที่แผนผังซึ่งเจ้าของวางไว้บนก้อนหิน โดยไม่พูดไม่จา
3
นักดาบหนุ่มผลุดลุกขึ้นยืนประจันหน้า ดวงตาวาวโรจน์ อารมณ์เดือดจวนระเบิดเต็มที เมื่อเห็นแผนผังปราสาทที่ตนสู้อดทนความร้อนจนเหงื่อท่วมตัวใช้เวลาเขียนอยู่นานและเพิ่งเขียนเสร็จหมาด ๆ ถูกฉวยเอาไปด้วยพลการโดยไม่บอกกล่าวจนยับเยิน
“เฮ้ย อย่าบังอาจ”
นักดาบหนุ่มตวาดสุดเสียงจนร่างสูงเพรียวสะเทือนไปทั้งตัว
ซามูไรผู้รุกรานชูแผนผังปราสาทขึ้นสูงหนีมือเจ้าของที่ไขว่คว้ายื้อแย้ง
“ข้าจะดู”
“นั่นมันของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ”
“ข้าต้องทำตามหน้าที่”
“หน้าที่อะไรข้าไม่รู้ด้วย เอาของข้าคืนมา”
“แค่ดูก็ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ คนอย่างเอ็งดูไม่รู้เรื่องหรอก”
“จะยังไงก็แล้วแต่ ข้าต้องยึดไว้ตามหน้าที่”
“ไม่ได้”
ทั้งสองยื้อกันไปยื้อกันมาจนในที่สุดแผนผังในสมุดก็ขาดเป็นสองท่อน
“จะให้ข้าจับ หรือว่าจะยอมทำตามแต่โดยดี”
“จับไปไหน”
“จับไปเข้าตะรางนะซี”
“เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองรึ”
“แน่นอน”
“เป็นคนแคว้นไหน เป็นบริวารของใคร”
“ไม่ต้องมาถาม ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนดูแลการก่อสร้าง มีหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อย เห็นคนทำอะไรผิดปกติน่าสงสัยก็ต้องตรวจสอบ เจ้าได้รับอนุญาตจากใครรึ ถึงได้มาสังเกตการณ์ที่ปราสาทและวาดแผนผังพวกนี้”
“ข้าเป็นนักดาบฝึกหัด และระหว่างเดินทางก็เรียนรู้ภูมิประเทศของแคว้นต่าง ๆ และดูการสร้างปราสาทเพื่อเป็นความรู้ติดตัวต่อไปภายภาคหน้า ข้าทำอะไรผิดรึ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว แถวนี้มีสายลับของพวกศัตรูชุมยิ่งกว่ามดและแมลงวัน พอจับได้ก็พูดแบบเจ้าทั้งนั้น ...แผนผังพวกนี้ข้าไม่คืน และต้องจับตัวเจ้าไปสอบปากคำด้วย ไปกับข้าเสียดี ๆ อย่าขัดขืน”
“ไปไหน”
“ไปที่ลานพิพากษาคดีในสถานีคุมงานก่อสร้างปราสาท”
“เจ้าทำอย่างนั้นกับข้าไม่ได้ เพราะข้าไม่ใช่ฆาตกร”
“ไม่ต้องพูด ตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
“ข้าไม่ไปกับเจ้าหน้าที่งี่เง่าอย่างเจ้า หนอยแน่...ทำเป็นเบ่ง คงจะวางอำนาจพวกชาวบ้านจนเคยตัวละซี”
“เดินตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
“กล้าดีก็เข้ามาทำให้ข้าเดินซี”
นักดาบหนุ่มร่างสูงเพรียวยืนปักหลักมั่นคงอย่างที่เอาคานมางัดก็ไม่เขยื้อน เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนบันดาลโทสะจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน เควี้ยงแผนผังครึ่งแผ่นในมือลงกับพื้นและใช้เท้าเหยียบขยี้ด้วยความโกรธแค้น ก่อนชักพลองเหล็กอาวุธประจำตัวเจ้าหน้าที่ปราบปรามออกมาจากเอว กะว่าถ้าเจ้าหนุ่มชักดาบก็คงจะได้เห็นดี แต่เมื่อเห็นนักดาบหนุ่มแค่ถอยหลังออกมาตั้งหลักไม่ได้มีทีท่าว่าจะสู้ จึงขู่ต่อ
“ถ้าไม่เดินไปดี ๆ เห็นทีจะต้องเอาเชือกมาล่ามจูงไป”
เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพูดยังไม่ทันขาดคำ นักดาบหนุ่มก็แผลงฤทธิ์ แผดเสียงเหมือนสัตว์ป่าคำรามกังวานสนั่น ก่อนโผนเข้าใส่ศัตรู มือหนึ่งจับคอเสื้ออีกมือหนึ่งจับสายคาดเอวเสื้อเกราะยกตัวศัตรูโยนไปไปที่ก้อนหินใหญ่ยักษ์ใกล้ ๆ นั้น พร้อมตะโกนเย้ยเสียงก้อง
“เอ็งมันก็แค่มดปลวก อย่ามาทำกำแหง”
แต่ศัตรูผู้เคราะห์ร้ายไม่มีโอกาสได้ยิน เพราะหัวกระแทกแง่หินหาสภาพเดิมไม่เจอเหมือนแตงโมที่มาตาฮาจิซื้อเลี้ยงเพื่อนลูกนั้น
“เฮ้ย”
มาตาฮาจิยกมือขึ้นปิดหน้า เมื่ออะไรแดง ๆ ข้น ๆ เหมือนเต้าเจี้ยวมิโซะกระเด็นมาโดนตัวและกระจายไปทั่ว
นักดาบหนุ่มร่างสูงเพรียวยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเพราะคุ้นกับการฆ่าคนจนกลายเป็นเพชฌฆาตเลือดเย็น หรือเพราะอารมณ์โกรธเกรี้ยวสงบลงเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุเสียจนสิ้นฤทธิ์
เจ้าหนุ่มเลือดเย็นไม่รีบหนี หลังจากสงบอยู่ครู่หนึ่งเจ้าก็เริ่มเก็บรวบรวมเศษแผนผังที่ถูกศัตรูเหยียบขยี้และเศษอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ จากนั้นจึงมองหาหมวกฟางที่เชือกคาดขาดและหลุดกระเด็นไปตอนยกตัวศัตรูขึ้นเหวี่ยง
มาตาฮาจิร้องไม่ออกด้วยความกลัวจนขนหัวลุกกับเหตุการณ์สยองขวัญตรงหน้า นักดาบหนุ่มดูแล้วอายุไม่น่าถึงสามสิบแต่มีพละกำลังน่าเกรงขามเป็นที่สุด
ใบหน้ากร้านคร้ามแดดมีรอยแผลเป็นจาง ๆ ใบหน้าจากใต้หูถึงคางมีรอยแผลฉกรรจ์คงจะเพราะถูกคมดาบระหว่างต่อสู้ แผลจากคมดาบยังมีอีกที่หลังหูและที่หลังมือซ้าย และถ้าถอดเสื้อผ้าออกก็คงได้เห็นรอยแผลทั่วตัวเป็นแน่---แค่เห็นหน้าก็กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
มาตาฮาจิยิ้มนิด ๆ ทำทีไว้เชิงชาย แต่ท้องว่างทำให้วิงเวียนขึ้นมาอีกจนต้องสำรอกออกมาแล้วส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่แพ้แดดเพราะมันร้อนแรงเหลือเกิน...พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง ขอข้าพักเอาแรงสักครู่นึงเถอะ”
“โธ่เอ๊ย จะแย่อยู่แล้วยังทำอวดเก่งไปได้”
พวกคนงานขนหินแต่ละคนร่างใหญ่กำยำ มองคนร่างผ่ายผอมตรงหน้าอย่างเวทนาสบตากันอย่างเห็นขัน
“เอ็งซื้อแตงโม แล้วทำไมไม่กิน”
“ข้าซื้อให้พวกเจ้ากินต่างหาก ขอโทษด้วยนะที่ข้าทำงานไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก”
“โอ๊ะ ไม่นึกว่าเจ้าจะมีน้ำใจอย่างนี้ เฮ้ย พวกเรามากินแตงโมกัน เจ้ามาตาฮาจิมันเลี้ยงว่ะ”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่เรียกพรรคพวกพลางยิ้มย่อง ฉวยแตงโมขึ้นมากระแทกกับแง่หินจนแตกเป็นหลายเสี่ยง เนื้อแตงโมแดงฉ่ำล่อตาคนขนหินแถวนั้นให้เข้ามากลุ้มรุมกับราวกับฝูงมด
“เฮ้ย ได้เวลาทำงานแล้ว”
หัวหน้างานขนหินปีนขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ส่งเสียงเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว
ซามูไรผู้คุมงานฉวยแซ่จากผนังกระโจนออกมาจากกระท่อมเข้าประจำที่
งานขนหินเดินหน้าอีกครั้ง และแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนด้วยหยาดเหงื่อและแรงงาน ฝูงแมลงวันพลอยแตกหือบินหึ่งไปด้วย
หินก้อนมหึมาถูกยกด้วยคานงัดขึ้นวางบนเลื่อน หลังจากนั้นคนงานจึงช่วยกันฉุดดึงเชือกเส้นใหญ่เท่ากำปั้นที่ผูกไว้กับเลื่อนพาก้อนหินไปยังที่หมาย ดูราวกับก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวไปบนท้องฟ้า เข้าจังหวะเพลงเรียกพลังของเหล่าคนงานขนหินที่ดังไปทั่วทุกแว่นแคว้นในยุคสร้างปราสาท
เนื้อร้องของเพลงยอดนิยมนี้ไม่มีผู้ใดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ทั้งหมด มีแต่ที่ฮาจิซูกะ โยชิชิเงะผู้ครองปราสาทอาวะซึ่งได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในคณะผู้สร้างปราสาทนาโงยะ เขียนเล่าถึงเพลงนี้ไว้ในจดหมายโต้ตอบกับคนที่บ้านเกิดฉบับหนึ่งว่าได้ยินเพลงเรียกพลังของคนขนหินที่นาโงยาในงานเลี้ยงสังสรรค์ พร้อมกับเขียนเนื้อร้องบางส่วนเอาไว้
พวกเราเหล่าคนงาน
ฉุกลากก้อนหินกันไม่รู้จบ
จากอาวาตางูจิ
มาให้ท่านโทโกโร
ฮุยเล ฮุยเล ฮุย
ฉุดเข้าไปลากเข้าไป
เพียงได้ยินเสียงท่านสั่ง
แขนขาเราก็สั่น
เราจะภักดีต่อท่าน
ไปจนวันตาย
พร้อมทั้งเสริมว่า คนหนุ่มคนแก่ร้องเพลงนี้กันทั้งนั้น ราวกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอันไม่จีรังยั่งยืนในโลกของเรานี้
แสดงให้เห็นว่าเพลงเรียกพลังของคนขนหินสร้างปราสาทดังมาก จนถึงขนาดนำเอาไปร้องกันในงานบันเทิงของคนชั้นสูงอย่างฮาจิซูกะ โยชิชิเงะผู้ครองปราสาทอาวะ
คนขนหินบนพื้นที่ฟื้นฟูบูรณะปราสาทฟูชิมิร้องเพลงเรียกพลังกันไปตามจังหวะ โดยไม่รู้ว่าเพลงของพวกตนสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการบันเทิงของยุคสมัย และถ้ามีใครสักคนลุกขึ้นมาใส่ใจไต่ถามว่าเพลงที่มีเนื้อเพลงและท่วงทำนองนั้นแพร่เข้ามาเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเมืองตั้งแต่เมื่อไร ก็จะรู้เพลงซึ่งแต่ก่อนฟังกันอยู่อย่างจำกัดภายในเคหสถานของเจ้านายและคนชั้นสูงนั้น ได้รุ่งเรืองขึ้นในสังคมชาวเมืองก็เมื่อตระกูลโทกูงาวะได้รวบรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่นและย่างเข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพนี้เอง เพลงที่พอจะมีร้องให้กันบ้างก็เห็นจะเป็นพวกเพลงกล่อมเด็กที่เหมือนเสียงครวญด้วยความหดหู่มากกว่า เพลงยิ่งใหญ่ขึ้นมาเป็นการบันเทิงเริงรมย์ที่ใคร ๆ อยากฟังอยากร้องกันก็เมื่อย่างเข้ายุคอิเอยาซุนี้เอง ชาวบ้านทั่วทุกแว่นแคว้นต่างรักที่จะทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำพลางร้องเพลงปลุกใจให้ฮึกเหิมกันทั้งนั้น
หลังสงครามที่เซกิงาฮาระ วัฒนธรรมอิเอยาซุสาดส่องแสงสู่สังคมเข้มข้นขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป เพลงของชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนจากเสียงครวญด้วยความขื่นขมมาเป็นเพลงแห่งความบันเทิงเริงร่า และไม่ใช่ว่ากลิ่นอายของชนชั้นสูงเจือจางลงไปจากเพลงเท่านั้น ศิลปินในสำนักของโชกุนโทกูงาวะเองยังแต่งเพลงและเผยแพร่ออกไปในมวลชนด้วย
“โอ๊ย เวียนหัวจัง”
มาตาฮาจิร้องพลางกุมขมับแล้วจึงรู้ว่าหัวของตนร้อนจี๋ราวกับมีไฟสุมอยู่ภายใน หูอื้อไปหมดจนเสียงเพลงเรียกพลังของเพื่อนกลายเป็นเสียงหึ่ง ๆ เหมือนฝูงยุงแห่งมาตอมอยู่ที่หู
“ห้าปี ทำงานห้าปีให้ได้อะไรขึ้นมา ทุกวันนี้ก็ได้แก่หาเช้ากินค่ำไปวัน ๆ วันไหนไม่ทำงานก็ไม่มีกิน แล้วอย่างนี้ห้าปีจะมีอะไรขึ้นมาได้ ฮึ...”
มาตาฮาจิคลื่นไส้จนต้องสำรอกออกมาอีก หน้าซีดจนเขียว ไม่มีแรงแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
ขณะเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวคนหนึ่งเดินจากที่ใดไม่ปรากฏมาหยุดยืน ณ บริเวณใกล้เคียงกับที่มาตาฮาจิเอนตัวพิงก้อนหินทอดอาลัยตายอยากอยู่นั้นเอง
ชายหนุ่มสวมหมวกฟางสานหยาบ ๆ หลุบหน้า สะพายห่อผ้าเช่นเดียวกับนักดาบฝึกหัด ยกพัดที่คลี่ครึ่ง ๆ ขึ้นบังตาที่เพ่งมองไปยังปราสาทและตั้งอกตั้งใจดูการทำงานของคนขนหิน
2
ยืนดูอยู่ได้ไม่นานนัก นักดาบฝึกหัดร่างสูงเพรียวก็ทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินที่มีพื้นราบราวเสื่อทาทามิหนึ่งผืนตรงหน้า และพอนั่งลงก็พบว่ามีที่ให้ท้าวแขนพอสบาย
เจ้าหนุ่มเป่าฝุ่นทรายปลิวกระจายไปพร้อมกับมดที่กำลังไต่ตามกันมาเป็นแถว ก่อนนั่งลงท้าวแขนและเอนพิงกับก้อนหินทั้งที่ยังสวมหมวก สายตาที่ทอดผ่านเปลวแดดที่ระยิบระยับอยู่บนก้อนหินทุกสิ่งที่สะท้อนแสง ยังจับจ้องอยู่บนพื้นที่งานฟื้นฟูบูรณะปราสาทไม่วางตา และคนจะร้อนเต็มทีจึงนั่งนิ่งสนิทไม่ไหวตัว และไม่รู้ตัวด้วยว่ามีคน ๆ หนึ่งซึ่งก็คือมาตาฮาจิอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้น
ส่วนมาตาฮาจินั้นแม้จะรู้สึกได้ว่ามีใครอยู่ตรงนั้น แต่ก็กะปลกกะเปลี้ยเกินกว่าจะลืมตาขึ้นดูว่าใครเป็นใคร และไม่คิดว่าจะมีใครมาใส่ใจไถ่ถาม อาการคลื่นไส้วิงเวียนยังตีตื้นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ให้ต้องขยอกขย้อนไม่ได้หยุด
คงได้ยินมาตาฮาจิหายใจหอบ อีกฝ่ายจึงขยับตัวและร้องถามมาว่า
“เจ้าคนขนหิน เป็นอะไรไปรึ”
“ข้าแพ้แดด”
“ไม่สบายมากเลยรึ”
“ค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังคลื่นไส้อยู่”
“เอายาไหม”
นักดาบหนุ่มเปิดตลับยาที่ห้อยติดตัวอยู่ เทยาเม็ดดำ ๆ ลงบนฝ่ามือ โดดลงมาเอายากรอกปากมาตาฮาจิแล้วบอกว่า
“เดี๋ยวก็หาย”
“ขอบคุณท่านมาก”
“ขมไหม”
“ไม่ขอรับ”
“เจ้ายังจะพักงานอยู่ตรงนี้อีกนานรึ”
“ขอรับ”
“ถ้างั้นช่วยเฝ้าดูให้ที หากมีใครมาช่วยเรียกข้าด้วย ปากก้อนหินขึ้นมาก็ได้”
สั่งเสร็จ นักดาบหนุ่มก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนหินก้อนเดิม คราวนี้หยิบพู่กันออกมาจากกระบอกเครื่องเขียน ล้วงสมุดเขียนบันทึกจากถุงแขนเสื้อกิโมโนออกมากาง และเริ่มเขียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ระหว่างนั้น นับดาบหนุ่มไม่ได้ละสายตาที่มองผ่านหมวกฟางสานหยาบ ๆ ออกไปยังบริเวณก่อสร้าง เดี๋ยวก็มองไปที่ตัวปราสาท เดี๋ยวก็เบนออกไปมองด้านนอก มองไกลไปที่แนวภูเขาด้านหลังปราสาท มองใกล้เข้ามาที่แม่น้ำ ย้อนกลับมามองสูงขึ้นไปที่ยอดปราสาท ทำให้คิดได้ว่าสิ่งที่อยู่บนกระดาษตรงปลายพูกันนั้นคือแผนผังของปราสาทฟูชิมิด้านนอกและด้านในรวมทั้งภูมิประเทศโดยรอบ
ก่อนเกิดสงครามที่เซกิงาฮาระ ปราสาทฟูชิมิแห่งนี้ถูกกองทัพอุกิตะและชิมาซุของกองกำลังฝ่ายตะวันตกบุกเข้าย่ำยี ทำให้หลายส่วนของปราสาท เช่น ระเบียงมาซูดะ ระเบียบโอกูระ คันคูและเชิงเทินหลายแห่งถูกทำลายเสียหาย หลังได้ชนะในสงครามที่เซกิงาฮาระ โทกูงาวะก็ได้บัญชาให้ฟื้นฟูบูรณะปราสาทแห่งนี้เสียใหม่พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้เหนือกว่าปราสาทโอซากา
หากมีใครสักคนไปแอบมองแผนผังของนักดาบหนุ่มผู้นี้ จะต้องตื่นตาตื่นใจที่เห็นว่าในอีกหน้าหนึ่งของสมุดบันทึกนั้นมีแผนผังที่เหมือนคนวาดขึ้นไปยืนอยู่บนภูเขาฟูชิมิและมองลงมาเห็นชัยภูมิด้านหลังปราสาทและหุบเขาโอกาเมะ ซึ่งเก็บรายละเอียดได้แทบไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปวาดมาตั้งแต่เมื่อไร
“โอ๊ะ
มาตาฮาจิอุทานแต่ก็สายไปเสียแล้วที่จะเตือนนักดาบหนุ่มตามที่ได้สัญญากันไว้ เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงและมองขึ้นไปก็เห็นใครคนหนึ่งไม่รู้ว่าซามูไรผู้กำกับงานฟื้นฟูบูรณะหรือเจ้าหน้าที่รับผิดชอบคนอื่น สวมเสื้อเกราะครึ่งตัวใส่รองเท้าฟางยืนนิ่งประชิดอยู่ข้างหลังนักดาบหนุ่มที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับแผนผัง คล้ายกับคอยให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวเอง
มาตาฮาจิรู้สึกผิด แต่ก็สายเกินแก้ ถึงจะส่งเสียงร้องหรือปาก้อนหินเป็นสัญญาณเตือนก็ไม่มีประโยชน์เสียแล้ว...
ระหว่างที่มาตาฮาจิกำลังโกรธตัวเองอยู่นั้น นักดาบหนุ่มก็ยกมือขึ้นปัดแมลงวันที่มาตอมเหงื่อที่คอเสื้อ และพอเหลียวเลยไปมองข้างหลังก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เบิกตาโพลงด้วยความตระหนก และอุทานออกมาดัง ๆ
ซามูไรคนคุมงานก่อสร้างทำหน้าถมึงทึง จ้องตาตอบอย่างโกรธเกรี้ยวและเอื้อมมือไปที่แผนผังซึ่งเจ้าของวางไว้บนก้อนหิน โดยไม่พูดไม่จา
3
นักดาบหนุ่มผลุดลุกขึ้นยืนประจันหน้า ดวงตาวาวโรจน์ อารมณ์เดือดจวนระเบิดเต็มที เมื่อเห็นแผนผังปราสาทที่ตนสู้อดทนความร้อนจนเหงื่อท่วมตัวใช้เวลาเขียนอยู่นานและเพิ่งเขียนเสร็จหมาด ๆ ถูกฉวยเอาไปด้วยพลการโดยไม่บอกกล่าวจนยับเยิน
“เฮ้ย อย่าบังอาจ”
นักดาบหนุ่มตวาดสุดเสียงจนร่างสูงเพรียวสะเทือนไปทั้งตัว
ซามูไรผู้รุกรานชูแผนผังปราสาทขึ้นสูงหนีมือเจ้าของที่ไขว่คว้ายื้อแย้ง
“ข้าจะดู”
“นั่นมันของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ”
“ข้าต้องทำตามหน้าที่”
“หน้าที่อะไรข้าไม่รู้ด้วย เอาของข้าคืนมา”
“แค่ดูก็ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ คนอย่างเอ็งดูไม่รู้เรื่องหรอก”
“จะยังไงก็แล้วแต่ ข้าต้องยึดไว้ตามหน้าที่”
“ไม่ได้”
ทั้งสองยื้อกันไปยื้อกันมาจนในที่สุดแผนผังในสมุดก็ขาดเป็นสองท่อน
“จะให้ข้าจับ หรือว่าจะยอมทำตามแต่โดยดี”
“จับไปไหน”
“จับไปเข้าตะรางนะซี”
“เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองรึ”
“แน่นอน”
“เป็นคนแคว้นไหน เป็นบริวารของใคร”
“ไม่ต้องมาถาม ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนดูแลการก่อสร้าง มีหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อย เห็นคนทำอะไรผิดปกติน่าสงสัยก็ต้องตรวจสอบ เจ้าได้รับอนุญาตจากใครรึ ถึงได้มาสังเกตการณ์ที่ปราสาทและวาดแผนผังพวกนี้”
“ข้าเป็นนักดาบฝึกหัด และระหว่างเดินทางก็เรียนรู้ภูมิประเทศของแคว้นต่าง ๆ และดูการสร้างปราสาทเพื่อเป็นความรู้ติดตัวต่อไปภายภาคหน้า ข้าทำอะไรผิดรึ”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว แถวนี้มีสายลับของพวกศัตรูชุมยิ่งกว่ามดและแมลงวัน พอจับได้ก็พูดแบบเจ้าทั้งนั้น ...แผนผังพวกนี้ข้าไม่คืน และต้องจับตัวเจ้าไปสอบปากคำด้วย ไปกับข้าเสียดี ๆ อย่าขัดขืน”
“ไปไหน”
“ไปที่ลานพิพากษาคดีในสถานีคุมงานก่อสร้างปราสาท”
“เจ้าทำอย่างนั้นกับข้าไม่ได้ เพราะข้าไม่ใช่ฆาตกร”
“ไม่ต้องพูด ตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
“ข้าไม่ไปกับเจ้าหน้าที่งี่เง่าอย่างเจ้า หนอยแน่...ทำเป็นเบ่ง คงจะวางอำนาจพวกชาวบ้านจนเคยตัวละซี”
“เดินตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
“กล้าดีก็เข้ามาทำให้ข้าเดินซี”
นักดาบหนุ่มร่างสูงเพรียวยืนปักหลักมั่นคงอย่างที่เอาคานมางัดก็ไม่เขยื้อน เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนบันดาลโทสะจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน เควี้ยงแผนผังครึ่งแผ่นในมือลงกับพื้นและใช้เท้าเหยียบขยี้ด้วยความโกรธแค้น ก่อนชักพลองเหล็กอาวุธประจำตัวเจ้าหน้าที่ปราบปรามออกมาจากเอว กะว่าถ้าเจ้าหนุ่มชักดาบก็คงจะได้เห็นดี แต่เมื่อเห็นนักดาบหนุ่มแค่ถอยหลังออกมาตั้งหลักไม่ได้มีทีท่าว่าจะสู้ จึงขู่ต่อ
“ถ้าไม่เดินไปดี ๆ เห็นทีจะต้องเอาเชือกมาล่ามจูงไป”
เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพูดยังไม่ทันขาดคำ นักดาบหนุ่มก็แผลงฤทธิ์ แผดเสียงเหมือนสัตว์ป่าคำรามกังวานสนั่น ก่อนโผนเข้าใส่ศัตรู มือหนึ่งจับคอเสื้ออีกมือหนึ่งจับสายคาดเอวเสื้อเกราะยกตัวศัตรูโยนไปไปที่ก้อนหินใหญ่ยักษ์ใกล้ ๆ นั้น พร้อมตะโกนเย้ยเสียงก้อง
“เอ็งมันก็แค่มดปลวก อย่ามาทำกำแหง”
แต่ศัตรูผู้เคราะห์ร้ายไม่มีโอกาสได้ยิน เพราะหัวกระแทกแง่หินหาสภาพเดิมไม่เจอเหมือนแตงโมที่มาตาฮาจิซื้อเลี้ยงเพื่อนลูกนั้น
“เฮ้ย”
มาตาฮาจิยกมือขึ้นปิดหน้า เมื่ออะไรแดง ๆ ข้น ๆ เหมือนเต้าเจี้ยวมิโซะกระเด็นมาโดนตัวและกระจายไปทั่ว
นักดาบหนุ่มร่างสูงเพรียวยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเพราะคุ้นกับการฆ่าคนจนกลายเป็นเพชฌฆาตเลือดเย็น หรือเพราะอารมณ์โกรธเกรี้ยวสงบลงเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุเสียจนสิ้นฤทธิ์
เจ้าหนุ่มเลือดเย็นไม่รีบหนี หลังจากสงบอยู่ครู่หนึ่งเจ้าก็เริ่มเก็บรวบรวมเศษแผนผังที่ถูกศัตรูเหยียบขยี้และเศษอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ จากนั้นจึงมองหาหมวกฟางที่เชือกคาดขาดและหลุดกระเด็นไปตอนยกตัวศัตรูขึ้นเหวี่ยง
มาตาฮาจิร้องไม่ออกด้วยความกลัวจนขนหัวลุกกับเหตุการณ์สยองขวัญตรงหน้า นักดาบหนุ่มดูแล้วอายุไม่น่าถึงสามสิบแต่มีพละกำลังน่าเกรงขามเป็นที่สุด
ใบหน้ากร้านคร้ามแดดมีรอยแผลเป็นจาง ๆ ใบหน้าจากใต้หูถึงคางมีรอยแผลฉกรรจ์คงจะเพราะถูกคมดาบระหว่างต่อสู้ แผลจากคมดาบยังมีอีกที่หลังหูและที่หลังมือซ้าย และถ้าถอดเสื้อผ้าออกก็คงได้เห็นรอยแผลทั่วตัวเป็นแน่---แค่เห็นหน้าก็กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้