xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ ตอน ปราสาทฟุชิมิ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


แม่น้ำโยโดะไหลผ่านบริเวณฟูชิมิโมโมยามะ ไปถึงคันคูปราสาทโอซากาที่นานิวาเอะซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสองโยชน์และไหลเอื่อยเรื่อยไป กระแสน้ำที่ขึ้นลงทุกวันคืนนำข่าวการเมืองในเกียวโตนครหลวงไปยังโอซากาทันทีที่เกิดมีเคลื่อนไหว และในเวลาเดียวกันคำวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดานักรบซามูไรและขุนพลในโอซากาก็ถูกถ่ายทอดผ่านลำน้ำมายังปราสาทฟุชิมิอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ขณะนี้วัฒนธรรมญี่ปุ่นบริเวณลุ่มแม่น้ำโยดะที่แบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นเซ็ตสึกับยามาชิโระสายนี้กำลังย่างเข้าสู่การเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ จากการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมสายปราสาทโอซากา ที่ซึ่งโทโยโทมิ ฮิเดโยริกับท่านแม่โยโดะยังยื้ออำนาจเอาไว้หลังจากที่ท่านบิดาสิ้นบุญ เฉกเช่นดวงอาทิตย์ยามอัสดงที่ยังส่องสว่างเรืองรองงามตาอยู่ที่ขอบฟ้าไม่ยอมลับดวงง่าย ๆ กับสายปราสาทฟูชิมิของโทกูงาวะ อิเอยาซุขุนพลฝ่ายตะวันออก ผู้ใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นที่พำนักยามเดินทางมาภาคตะวันตกหลังกำชัยชนะเหนือสงครามที่เซกิงาฮาระ ซึ่งแสดงเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะปฏิรูปวัฒนธรรมโทโยโทมิอย่างถอนรากถอนโคน

ความขัดแย้งและผสมปนเประหว่างสองวัฒนธรรมเห็นได้ชัดอยู่ทั่วไปในบริเวณลุ่มแม่น้ำสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นในเรือที่สัญจรไปมา ขนบประเพณีและการดำรงชีวิตของชายหญิง เพลงและบทกวียอดนิยม ตลอดจนใบหน้าของซามูไรไร้นายที่เร่ร่อนหางานทำ

ความเปลี่ยนแปลงกลายเป็นจุดสนใจของชาวบ้าน เมื่อใดที่ได้คุยกันก็จะยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา

“จากนี้ไปจะเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ”
“ที่ว่าจะเป็นยังไงน่ะ อะไรรึ”
“โลกและชีวิตน่ะซี”
“ก็ต้องเปลี่ยนไปแน่นอนเป็นธรรมดา ตั้งแต่สิ้นสมัยท่านฟูจิวาระ-โนะ-มิจินางะ ดูเหมือนจะไม่มีสักวันเดียวที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยิ่งช่วงที่ตระกูลมินาโมโตะกับตระกูลไทระทำสงครามแย่งชิงอำนาจนั่นยิ่งแล้วใหญ่ โลกและชีวิตเปลี่ยนไปมากเลยเจ้า”

“เคลื่อนไหวขัดแย้งกันอย่างนี้ มิเกิดสงครามอีกรึ”
“คงต้องอย่างนั้น ถ้าไม่รบกันให้แพ้ชนะกันไปข้าง ก็คงปฏิรูปอะไรไม่สำเร็จ”
“ได้ยินมาว่าทางโอซากาเริ่มกำลังเกณฑ์พวกซามูไรไร้นายจากแคว้นต่าง ๆ กันแล้ว”
“...ถ้าจะจริง แต่ข้ามีเรื่องจะบอก รู้แล้วเหยียบไว้ตรงนี้เลยนะ คือข่าวว่าท่านโชกุนโทกูงาวะซื้อปืนกับกระสุนและก็ดินปืนจากเรือสินค้าต่างชาติมาสะสมเอาไว้มากมาย”
“อย่างนั้นรึ แต่ทำไมท่านขุนพลผู้เฒ่าถึงได้ยกแม่หญิงเซ็นหลานปู่ให้เป็นเจ้าสาวของฮิเดโยริที่ปราสาทโอซากาล่ะ ชักไม่เข้าใจแล้วซี”
“ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ขุนพลท่านคิดขั้นเทพ ชาวบ้านอย่างพวกเราเป็นไม่ต้องเข้าใจหรอก”

ก้อนหินร้อนเหมือนถูกย่างไฟ น้ำในแม่น้ำร้อนราวถูกต้มในหม้อใหญ่มหึมา
กาลเวลาย่างเจ้าฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่อากาศก็ยังร้อนจัดไม่แพ้ช่วงกลางฤดู
ต้นหลิวที่เชิงสะพานเคียวบาชิไหวเล่นลมอาบสีซีดเหมือนแห้งเฉา จักจั่นตัวใหญ่กรีดปีกเสียงดังเหมือนบ้าคลั่งบินข้ามแม่น้ำพุ่งตัวไปที่ผนังบ้านทางด้านโน้น โคมไฟในเมืองสีซีดเซียว หลังคาบ้านมุงไม้กระดานแห้งเกราะดูขะมุกขะมอมเหมือนปกคลุมไปด้วยขี้เถ้า

ตรงนี้คือบริเวณรอบนอกของปราสาทฟุชิมิที่อยู่ระหว่างการซ่อมแซม ใต้สะพานมีเรือบรรทุกหินจอดเรียงกันอยู่หลายลำ ทั่วบริเวณมีแต่หินก้อนมหึมาเต็มไปหมดทั้งบนบกและในเรือ พอดีกับเป็นเวลาเที่ยงวัน บนหินแต่ละก้อนที่ใหญ่กว่าเสื่อตาตามิสองผืนและร้อนราวถูกเผา จึงมีคนพายเรือนอนบ้างนั่งบ้างเต็มไปหมด วัวที่เทียมเกวียนขนไม้มาก็ยืนพักนิ่ง ๆ ปล่อยให้แมลงวันตอมเป็นฝูงทั่วตัว

จุดมุ่งหมายของการซ่อมปราสาทฟูชิมิครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่การเตรียมพร้อมสำหรับให้เป็นที่อยู่อิเอยาซุขุนพลผู้เฒ่าซึ่งอาจมาอยู่เมื่อไรก็ได้ แต่เป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์หลังสงครามของตระกูลโทกูงาวะ คือเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ครองแคว้นในภูมิภาคนี้ที่เป็นพันธมิตรของตระกูลมาแต่เดิม และบั่นทอนพลังทางเศรษฐกิจของผู้ครองแคว้นที่เข้ามาสวามิภักดิ์หลังสงครามที่เซกิงาฮาระ

และจุดมุ่งหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเพื่อสร้างฐานเสียงให้แก่นโยบายของตระกูลโทกูงาวะ ด้วยการสร้างงานให้แก่บรรดาช่างไม้และผันเงินไปสู่พลเมืองระดับล่าง

งานการซ่อมแซมปราสาทกำลังดำเนินอยู่ทั่วไปในเขตต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น ที่เป็นโครงการใหญ่ได้แก่ปราสาทเอโดะ ปราสาท นาโงยะ ปราสาทซุรูงะ ปราสาทฮิโกเนะ ปราสาทคาเมยามะ ปราสาทโอสึ และอีกหลายแห่ง


2
คนงานรายวันที่มาทำงานซ่อมปราสาทฟูชิมิซึ่งส่วนใหญ่คือการก่อหินสร้างกำแพงเชิงเทินมีจำนวนเกือบหนึ่งพันคน ส่งผลให้ตัวเมืองครึกครื้นขึ้นอย่างมากด้วยร้านขายของสารพัดสินค้า นางโลม และชุกชุมไปด้วยแมลงวันที่มากับม้าและวัว

“ท่านขุนพลผู้เฒ่าจงเจริญ” ผู้คนต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญนโยบายโทกูงาวะ

ยิ่งกว่านั้น
“ถ้าเกิดสงคราม”

พลเมืองกระตือรือร้นเมื่อเห็นแนวโน้มว่าอาจเกิดการสู้รบกันไม่ช้าก็เร็ว พวกพ่อค้ารีบคว้าลูกคิดออกมาดีดเก็งกำไร

“คราวนี้ละจะได้รวยกันใหญ่”

การค้าไหวตัวรวดเร็วและคึกคัก โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์

พลเมืองหลงใหลได้ปลื้มกับนโยบายขุนพลผู้เฒ่าตรงหน้า มากกว่าที่จะมัวหวนหาวัฒนธรรมโทโยโทมิที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ไม่มีใครใส่ใจว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ขอให้ได้กินดีอยู่ดีอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ก็สมความปรารถนาอันน้อยนิดของตนแล้ว
อิเอยาซุขุนพลผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้หักหลังพลเมืองแต่อย่างใด คงเห็นว่าเป็นปัญหาที่จัดการได้ง่ายกว่าแจกขนมเด็กเสียอีก และเงินที่ใช้ก็ไม่ใช่ของตระกูลโทกูงาวะ แต่ได้มาจากการเรียกเก็บภาษีอากรจากผู้ครองแคว้นที่เป็นพันธมิตรรุ่นใหม่ซึ่งเป็นพวกอุดมทรัพย์ ซึ่งนอกจากจะได้เงินแล้วยังเป็นการลดทอนแสนยานุภาพของอีกฝ่ายด้วย

นอกจากการพัฒนาเมืองใหญ่แล้ว รัฐบาลของขุนพลผู้เฒ่าเริ่มเผยแพร่นโยบายศักดินาแบบโทกูงาวะทีละเล็กละน้อย โดยไม่อนุญาตให้ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นแสวงหาผลประโยชน์จากชาวไร่ชาวนาตามอำเภอใจ ชูนโยบายการเกษตร...

ให้ชาวไร่ชาวนาทำมาหากินพอไม่ให้อดตาย แม้จะไม่ปล่อยให้ทำตามใจชอบ แต่ก็มีเมตตา

แทน...

อย่าให้พลเมืองรู้เรื่องการเมืองแต่ให้พึ่งการเมือง

ด้วยความมุ่งหมายสูงสุดในอันที่จะให้ตระกูลโทกูงาวะเป็นผู้นำการปกครองญี่ปุ่นไปชั่วนิรันดร

ไม่นานทั้งผู้ครองแคว้นและพลเมืองตกอยู่ภายใต้ระบบศักดินาที่เหมือนโซ่ล่ามมือล่ามเท้าจนกระดิกตัวไม่ได้ไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่มีใครคิดว่าอีกร้อยปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

พวกคนงานขนหินก่อหินซ่อมประสาทฟูชิมิยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีใครคิดถึงวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ...กินข้าวกลางวันเสร็จ ก็ขอให้ค่ำ เร็ว ๆ ...ความหวังของคนพวกนี้มีอยู่แค่นี้จริง ๆ ดีหน่อยก็ถามกันว่า

“เอ็งคิดว่าจะเกิดสงครามไหม”

“ถ้าเกิด เอ็งว่าจะเกิดเมื่อไร”

แต่ก็ถามไปอย่างนั้นเองไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสงครามจะทำให้ใครร่ำรวย หรือชาวบ้านจะได้อะไรบ้าง ไม่เกี่ยวกับว่าฝ่ายไหนจะดำเนินกลยุทธ์อย่างไร เพราะถึงจะเกิดสงครามพวกตนก็คงไม่ดีขึ้นหรือเลวลงไปกว่านี้อีกแล้ว

“แตงโม แตงโมมาแล้วจ้า”

สาวชาวไร่แบกแตงโมใส่ตะกร้ามาขายตอนพักเที่ยงทุกวัน วันนี้ขายคนงานขนหินที่ล้อมวงพนันปั่นแปะอยู่ข้างก้อนหินได้สองลูก

“แตงโมไหมจ้ะ ช่วยซื้อแตงโมหน่อยซีจ้ะ”

แม่สาวชาวไร่ร้องขายแตงโมพลางเดินเวียนไปตามกลุ่มคนงานตรงนั้นตรงนี้

“ไม่มีเงินเว้ย”

“ให้เปล่าละก็ พี่จะกินให้”

มีแต่คนส่งเสียงกระเซ้าเย้าแหย่แต่ไม่มีใครซื้อ

คนงานหนุ่มหน้าซีดเซียวนั่งกอดเข่าพิงก้อนหินอยู่คนเดียวเห็นนางเดินผ่านมาจึงร้องทักขึ้นว่า

“แตงโมรึ”

และลืมตาที่ไร้แววขึ้นมองมา

คนงานร่างผอมเกร็ง ตาลึก ผิวคล้ำแดด แทบไม่เหลือสภาพเดิมให้จำได้ว่าเป็นใครคนนี้คือ ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ แห่งหมู่บ้านยามาโมโตะ คนนั้นเอง

3
มาตาฮาจินับเหรียญทองแดงเปื้อนดินบนฝ่ามือจนครบส่งให้สาวชาวไร่ รับแตงโมมาลูกหนึ่งและซบลงกับก้อนหินตามเดิม เดี๋ยวเดียวก็ก้มลงขย้อนน้ำลายลงบนพื้นหญ้าด้วยความวิงเวียนจากการที่เคลื่อนตัวหยิบเงินซื้อแตงโม

แตงโมร่วงลงจากตักกลิ้งไปบนพื้นหญ้าแต่เจ้าหนุ่มก็ไม่มีแรงแม้แต่จะเอื้อมมือไปเก็บ ทำเหมือนกับว่าซื้อมาทั้งที่ไม่ได้อยากกิน

เจ้าหนุ่มนั่งจ้องแตงโมด้วยดวงตาเลื่อนลอย ไร้พลังความรู้สึกคล้ายลูกแก้วขุ่น ๆ ที่ยังเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ก็เพียงไหล่ที่ไหวน้อย ๆ ยามหายใจเข้าออกเท่านั้น

บ้าที่สุด

ใบหน้าที่ผ่านเข้ามาในห้วงคิดมีแต่คนที่อยากก่อนด่าให้สาแก่ใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าขาวผ่องของโอโค หรือทาเกโซ เห็นคนพวกนี้แล้วอยากให้โลกหมุนกลับไปเป็นโลกที่ไม่มีมนุษย์อย่างเจ้าทาเกโซ และไม่ต้องพบกับผู้หญิงร้ายกาจอย่างโอโค

ก้าวแรกของความผิดพลาดก็คือการไปสงครามที่เซกิงาฮาระ ก้าวที่สองคือหลงเสน่ห์ยั่วยวนของโอโค ถ้าไม่พลาดสองเรื่องนี้ตนก็คงมีความสุขอยู่ที่บ้านเกิด เป็นประมุขของครอบครัวฮนอิเด็น แต่งงานกับเจ้าสาวแสนสวยสบายไปแล้ว

โอซือคงจะโกรธข้ามาก ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

ภาพโอซือในห้วงคำนึงคือสิ่งเดียวที่ปลอบประโลมใจมาตาฮาจิในยามนี้ ระหว่างที่อยู่กินกับโอโคและได้ตระหนักรู้นิสัยใจคอและสันดานของผู้หญิงคนนี้ดีแล้ว ใจของมาตาฮาจิก็กลับไปหวนหาโอซือผู้เป็นคู่มั่นคู่หมาย และหลังจากถูกตะเพิดออกมาจากโรงน้ำชาโยโมงิ เจ้าหนุ่มก็ยิ่งคิดถึงโอซือมากขึ้นอีก

ส่วนทาเกโซนั่นเล่า พอมาตาฮาจิได้ยินมาว่ามิยาโมโตะ มูซาชินักดาบรุ่นใหม่ผู้เก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือในหมู่ซามูไรนครหลวงคือทาเกโซที่เป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กแต่น้อย ก็ไม่อาจนิ่งเฉยทนให้เพื่อนเลยหน้าเลยตาตนไปอย่างนั้นได้

คอยดูเถอะ คอยดูข้าบ้าง

มาตาฮาจิฮึดสู้ขึ้นมา เลิกสาเกเลิกเสเพล และเริ่มต้นชีวิตใหม่

ข้าจะต้องได้ดี ต้องหยามน้ำหน้าโอโคให้ได้ คอยดู

แต่โชคไม่ช่วยมาตาฮาจิ เที่ยวหางานที่นั่นที่นี่แต่ก็ไม่ได้งานที่เหมาะสม ความที่ดักดานอยู่กับผู้หญิงที่แก่กว่าเกาะนางกินจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาถึงห้าปีเต็มทำให้กลายเป็นคนอ่อนโลก และกว่าจะสำนึกตัวได้ก็รู้สึกว่าจะสายเสียแล้ว

ไม่...ยังไม่สายเกินไป อายุเพิ่งจะยี่สิบสอง ยังทำอะไรได้อีกมากนัก
เป็นใคร ๆ ก็จะต้องคึกคะนองและลุกขึ้นสู้กันทั้งนั้น สำหรับมาตาฮาจิ เจ้าหนุ่มหลับหูหลับตากระโจนออกจากชีวิตที่กบดาลอยู่ถึงห้าปีลงไปในกองหินซ่อมปราสาทอย่างคนอ่อนโลก และทำงานด้วยความบากบั่นอดทนท่ามกลางแสงแดดแผดจ้าและร้อนแรงตลอดฤดูร้อนจนย่างเข้าฤดูใบไม่ผลิ บากบั่นอดทนขนาดที่ตนเองยังอดทึ่งไม่ได้ว่า

ข้าจะต้องเป็นคนสำคัญคนหนึ่งขึ้นมาให้ได้ อะไรที่ทาเกโซทำได้ ทำไมคนอย่างข้าจะทำไม่ได้ ไม่ซิ...ข้าจะต้องทำให้ได้ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าจะต้องยิ่งใหญ่กว่า และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะแก้แค้นโอโคให้สาสม คอยดูเถอะ...ขอเวลาอีกสิบปีแล้วกัน

สิบปี---มาตาฮาจิหยุดคิด สิบปีข้างหน้าโอซือจะอายุเท่าไรล่ะนี่---โอซืออ่อนกว่าตนและทาเกโซปีหนึ่ง งั้นก็สามสิบเอ็ดรึ

เมื่อถึงวันนั้น โอซือจะยังไม่มีใคร และคอยข้าอยู่หรือเปล่านะ

มาตาฮาจิไม่รู้ข่าวคราวอะไรจากบ้านเกิดเลย และไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโอซือและทาเกโซ จึงคิดว่าโอซือยังคอยตนอยู่ที่บ้านเกิด

ถ้างั้นสิบปีก็นานเกินไป อย่างน้อยก็สักห้าหกปีแล้วกัน ข้าจะตั้งตัวให้ได้ในห้าหกปีแล้วกลับบ้าน ไปขอโทษโอซือและแต่งงานกับนาง
ใช่...ภายในห้าหกปีนี้แหละ

ดวงตาที่มองไปยังแตงโมบนพื้นหญ้าเป็นประกายขึ้น เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งชะโงกข้ามหินก้อนใหญ่มายั่วเล่น

“มาตาฮาจิ เอ็งบ่นอะไรอยู่คนเดียววะ ทำไมหน้าเขียวยังงั้นล่ะ แพ้แดดรึ หรือว่าท้องเสีย ดันกินแตงโมเน่าเข้าไปละซี”


กำลังโหลดความคิดเห็น