นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“โน่น อยู่ทางโน้น”
โอซือกับโจทะโรวิ่งกวดสุดฝีเท้าไปตามทางที่เห็นร่างของมูซาชิวิ่งลิ่วไกลลิบออกไปทุกทีพลางกู่เรียกสุดเสียง
“มูซาชิ มูซาชิ”
“ครู ครู”
เสียงตะโกนแหบเครือจนเกือบกลายเป็นร้องไห้ของหญิงสาวหนึ่งกับหนุ่มน้อยหนึ่ง ดังกังวานประสานกันลงจากเนินเขา ผ่านท้องทุ่งลงไปก้องอยู่ในหุบเขา
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของมูซาชิที่เห็นเป็นเงาเล็ก ๆ วิ่งลิ่วอยู่เมื่อกี้ลับหายเข้าไปแนวป่าที่เชิงเขาไกลลิบทางด้านโน้น
ท้องฟ้าที่เกลื่อนด้วยปุยเมฆขาวฟ่องพลอยเศร้าสร้อย เสียงน้ำในลำธารแว่วมาคล้ายกำลังร่ำไห้ไปด้วยกับสาวเจ้า
โจทะโรปล่อยโฮออกมา กระทืบเท้าเร่า ๆ เหมือนเด็กน้อยที่ถูกแม่ทิ้งให้เป็นกำพร้า
“บ้า บ้า ครูบ้า ทิ้งข้าไว้ที่นี่ได้ไง บ้า บ้า ครูหนีทำไม ทิ้งข้า หนีไปไหน โฮ...โฮ”
โอซือสาวเจ้าไม่ฟูมฟายเยี่ยงหนุ่มน้อย แต่โซเซไปซบอกสะอึกสะอื้นกับกับต้นคุรูมิใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ผู้ยากได้พึ่งพิง
อกเอย...ชีวิตจิตใจที่มอบให้แก่เขาจนหมดสิ้น ใยยังไม่พอที่จะหยุดฝีเท้าของเขาไว้ได้
โอซือได้แต่คร่ำครวญถามทวนอยู่ในใจนาง ด้วยไม่รู้ว่าจะถามใคร
ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ โอซือเข้าใจเขามาตั้งแต่ครั้งเมื่อพบและจากกันที่สะพานฮานาดะฮาชิแล้วว่า จิตใจของเขาผู้นั้นมุ่งมั่นอยู่ ณ ที่ใด อะไรคือจุดหมายที่ยิ่งใหญ่นักจนทำให้เขาเมินหน้าหนีนางไปไม่ยอมให้ได้พบเจอ แต่ที่อยากรู้ก็คือ...
ทำไมถึงพบกันไม่ได้ เขาคิดว่าฉันเป็นสิ่งกีดขวางไม่ให้บรรลุถึงจุดหมายอันสูงสุดของเขาอย่างนั้นหรือ
หรือว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาเกลียดฉันต่างหาก
แต่ใครเล่าจะตอบนางได้นอกจากทาเกโซ...มิยาโมโตะ มูซาชิ เจ้าของใจดวงนั้น
ถึงอย่างไรโอซือก็มั่นใจว่าตนรู้ว่าชายชื่อมูซาชินี้เป็นคนอย่างไรมาตั้งแต่ครั้งที่ได้เฝ้าดูเขาที่ต้นสนพันปีที่วัดชิปโปจิอยู่หลายวัน และเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนโกหกผู้หญิง ถ้าเกลียดก็จะบอกตามตรงว่าเกลียด และคน ๆ นี้บอกกับนางอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สะพานฮานาดาบาชิว่า เขาไม่ได้เกลียดนาง
แล้วจะทำอย่างไรดี
คิดมาถึงตรงนี้จิตใจของโอซือก็สะท้านสะเทือนยิ่งนัก นางเป็นเด็กกำพร้าใช้ชีวิตโดดเดี่ยวท่ามกลางความหนาวเย็นไร้ที่พึ่งมาตั้งแต่เล็ก ไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ แต่เมื่อปลงใจเชื่อแล้วก็จะผูกพันลึกซึ้ง ปักใจคิดว่าคงจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ถ้าขาดเขาผู้นั้น การที่นางถูกฮนอิเด็น มาตาฮาจิที่เป็นคู่มั่นหมายหักหลัง เป็นบทเรียนอันมีค่าที่สอนให้โอซือระวังตัวไม่หลงคำชาย แต่ โอซือเห็นแล้วว่ามูซาชิเป็นที่ชายผู้มีสัจจะและดำเนินชีวิตไปบนทางที่ตนเลือกแล้ว ด้วยใจที่มั่นคงเด็ดเดี่ยวอย่างที่จะหาไม่ได้ง่าย ๆ ในโลกนี้
โอซือเชื่อมูซาชิและจะไม่มีวันเสียใจที่เชื่อเขา
แต่ทำไมไม่บอกกันสักคำ
ใบต้นคุรูมิสั่นไหว อ้อ...เมื่อเรารำพึงกับต้นไม้ ต้นไม้จะพลอยรู้สึกไปกับเราอย่างนี้เอง เศร้าก็จะเศร้าไปด้วยกัน
คนใจร้าย...
ยิ่งโกรธก็ยิ่งคิดถึงยิ่งอยากได้แนบชิดให้สมรัก ชะตากรรมบันดาลให้ต้องคลาดแคล้วกันอีกแล้วหรือไร แล้วนี่ฉันจะต้องทนไปได้อีกนานเท่าไร เพียงแค่นี้ก็ชอกช้ำจนแทบจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“เอ๊ะ โอซือ ข้าเห็นพระเดินอยู่ตรงนั้น”
โจทะโรอยุดอาละวาดด้วยความโกรธและหันมาบอก แต่โอซือก็ยังซบหน้าอยู่กับต้นคุรูมิ
หมู่ไม้บนภูเขาเขตอิงะเริ่มผลิใบอ่อนเขียวขจี ท้องฟ้าสีครามกลางเที่ยงต้นฤดูร้อนปลอดโปร่งแจ่มใส พระธุดงค์รูปหนึ่งเดินช้า ๆ เข้ามาทางนี้คล้ายกับองค์เทพจุติลงมาจากหมู่เมฆขาวฟู และพอผ่านต้นคุรูมิที่โอซือฟุบหน้าอยู่พระรูปนั้นก็เหลียวกับไปมอง
“เอ๊ะ”
โอซือเงยหน้าขึ้นมองไปทางเสียงอุทาน ดวงตาที่แดงช้ำเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
“หลวงพี่ หลวงพี่ทากูอัน”
หญิงสาวรู้สึกเหมือนพระมาโปรดเมื่อยามมีทุกข์ หลวงพี่ทากูอันคือดวงไฟดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่างให้แก่ดวงใจนางที่กำลังมืดมน ความบังเอิญอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำให้โอซือรู้สึกเหมือนฝันในยามเที่ยงวัน
2
โอซือตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้พบพระทากูอัน ณ ที่นี้และในยามนี้ แต่สำหรับพระทากูอันนั้นเป็นการพบตามความคาดหมาย และจากนั้นจึงพานางรวมทั้งโจทะโรกลับไปที่เคหสถานของเซกิชูไซที่หุบเขายากิว โดยทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นความบังเอิญหรืออัศจรรย์แต่อย่างใด
ความจริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพระทากูอัน โซโฮกับตระกูลยากิวไม่ได้เพิ่งมีขึ้นเมื่อวานหรือวันนี้ แต่รู้จักกันมานานมากตั้งแต่ครั้งที่พระทากูอันยังเป็นหนุ่มทำหน้าที่บดมิโซะและถูพื้นครัวอยู่ที่ซังเก็งอินซึ่งเป็นคณะฝ่ายเหนือของวัดไดโทกูจิ
ครั้งนั้นซังเก็งอินเป็นที่ที่มีคนแปลก ๆ เข้าออกเป็นประจำ อย่างเช่นบรรดาซามูไรที่มาสนทนาธรรมเรื่องความเป็นความตาย รวมทั้งนักรบที่ตระหนักถึงความจำเป็นในการฝึกจิตพร้อมกันไปกับวิชาดาบ ซึ่งเข้ามาครอบครองพื้นที่ของพระนิกายเซ็นของวัดนี้จนถูกซุบซิบว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของนักก่อการ
ในบรรดานักรบที่มาชุมนุมกันบ่อย ๆ มีซูซูกิ อิฮากุน้องชายของท่านคามิอิซูมิแห่งอิเซะ ยากิว โกโรซาเอมอนทายาทตะกูลยากิวและมูเนโนริผู้น้องรวมอยู่ด้วย
มูเนโนริซึ่งยังหนุ่มและไม่มียศถาบรรดาศักดิ์สนิทสนมกับพระทากูอันหลังรู้จักกันได้ไม่นาน และจากนั้นก็เป็นเพื่อนที่ตัดกันไม่ขาดตลอดมา พระทากูอันมาเยือนปราสาทโคยากิวหลายต่อหลายครั้ง และเคารพท่านเซกิชูไซบิดาเสมอเหมือนบิดาที่ตนสามารถพูดด้วยได้อย่างเปิดใจเกินกว่าที่ลูกชายทั่วไปจะเปิดใจพูดกับบิดา ส่วนท่านเซกิชูไซก็นิยมชมชอบในความมีปัญญาของพระหนุ่มและเล็งเห็นว่าจะยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต
เหตุที่พระทากูอันแวะมาเยือนปราสาทโคยากิวครั้งนี้ก็คือ ระหว่างเดินทางธุดงค์อยู่ที่กิวชูท่านได้หยุดพักแรมที่วัดนันโซจิในแคว้นอิซูมิและส่งจดหมายถามข่าวคราวไปยังเซกิชูไซกับมูเนโนริ เซกิชูไซได้มีจดหมายตอบมายืดยาวว่า
ระยะนี้ข้าสุขสบายดี มูเนโนริที่รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลโทกูงาวะก็ปฏิบัติหน้าที่เรียบร้อยดี เฮียวโหงะผู้เป็นหลานปู่ได้ลาออกจากงานที่ทำอยู่กับตระกูลคาโตแห่งฮิโงะ และออกเดินทางฝึกวิชาดาบไปทั่วแว่นแคว้น และดูเหมือนว่าฝีมือดาบจะเก่งกล้าขึ้นพอตัวแล้ว ไม่นานมานี้กระท่อมน้อยเก่าแก่และเยียบเย็นของข้าได้สาวงามนางหนึ่งที่เป่าขลุ่ยได้ไพเราะเสนาะโสตมาเป็นดอกไม้ประดับช่องาม นางช่วยดูแลอาหารการกินเช้าเย็น เป็นเพื่อนชงชา จัดดอกไม้ และร้อยกรองบทกวี
สาวงามผู้นี้เติบโตมาในวัดที่ดูเหมือนจะชื่อชิปโปจิที่มิมาซากะติดกับบ้านเกิดของท่าน ซึ่งคิดว่าถ้าได้พบกันคงจะพูดคุยถูกคอกันดี การได้ดื่มสาเกดี ๆ เคล้าเสียงขลุ่ยเสนาะโสตของสาวงามเมื่อยามเย็นนั้นเป็นความสุขอย่างที่สุด หากท่านผ่านมาทางนี้เชิญแวะมาร่วมสุขสำราญกันเถิด
พอได้อ่านจดหมายของท่านเซกิชูไซ พระทากูอันก็ผุดลุกผุดนั่งไม่ติดที่ สาวงามนางหนึ่งที่เป่าขลุ่ยได้ไพเราะเสนาะโสต นั้นไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้ นอกจากโอซือที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน
จากนั้นพระทากูอันจึงออกเดินทางมุ่งหน้ามาทางนี้ การได้พบกับโอซือบนเนินใกล้หุบเขายากิวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เรื่องที่โอซือเล่าให้ฟังนั้นทำให้รู้สึกเสียดายยิ่งนักจนต้องถอนใจยืดยาว
โธ่ ไม่น่าคลาดกันเลย
มูซาชิเพิ่งจะวิ่งหายลับจากสายตาไปทางอิงะเดี๋ยวนี้เอง
3
ระหว่างทางที่ทั้งสามพากันเดินจากเนินต้นคูรุมิไปถึงกระท่อมน้อยของท่านเซกิชูไซ โอซือตอบคำซักถามของทากูอันที่ระดมเข้ามาโดยไม่ปิดบัง หลังจากนั้นโอซือก็ได้เล่าถึงเรื่องราวที่ตนได้พบพานทุกช่วงตอนให้ฟังจนกระทั่งมาพบกันครั้งนี้ ด้วยความรู้สึกที่ว่าถ้าเป็นหลวงพี่คนนี้ เธอเปิดใจให้อย่างไม่มีข้อแม้ทั้งความในใจ ขอคำปรึกษาเรื่องส่วนตัวและ...มูซาชิ
“อืม...อืม”
หลวงพี่ทากูอันฟังไปพยักหน้าเป็นจังหวะไปด้วยอย่างไม่เบื่อหน่าย เหมือนพี่ชายฟังน้องสาวระบายความในใจ
“จริง ผู้หญิงสามารถเลือกทางเดินชีวิตอย่างที่ผู้ชายไม่อาจเลือกได้ โอซืออยากปรึกษากับอาตมาว่าจากนี้ไปจะเลือกทางเดินชีวิตยังไงดีใช่ไหม”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“อ้าว”
“จนมาถึงขั้นนี้แล้ว ดิฉันไม่ลังเลหรอกเจ้าค่ะ”
หลวงพี่ทากูอันกำลังพิศดูใบหน้าด้านข้างของนางที่ก้มต่ำลงไป และเห็นความหม่นหมองที่แทบจะทำให้ดอกไม้ใบหญ้าสีสวยพลอยหมองตามไปด้วย แต่หางเสียงที่แฝงพลังเด็ดเดี่ยวทำเอาหลวงพี่ต้องเบิกตาและมองซ้ำ
“ถ้าดิฉันลังเลว่าจะทำยังไงดี เลิกล้มความตั้งใจดีไหมอยู่ละก็ ดิฉันก็คงไม่ออกมาจากวัดชิปโปจิหรอกนะเจ้าคะ...และตอนนี้ดิฉันก็ตกลงใจแล้วว่าจะไปทางไหน แต่ถ้าการเลือกทางไปของดิฉันจะทำให้มูซาชิเดือดร้อน ถ้าการมีชีวิตของดิฉันทำให้มูซาชิเป็นทุกข์ ดิฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดการกับตัวเอง”
“หมายความว่ายังไง”
“ดิฉันบอกไม่ได้”
“โอซือ ระวังรักษาตัวเอาไว้ให้ดี”
“ระวังอะไรหรือเจ้าคะ”
“ยมทูตกำลังดึงผมดำงามของเจ้ากลางวันแสก ๆ”
“ดิฉันไม่เห็นรู้สึกอะไร”
“ใช่ไหม ก็เพราะยมทูตท่านออมแรงเอาไว้น่ะซี แต่โอซือ...รักเขาข้างเดียวมันไม่ถึงกับต้องตายหรอกนะ ฮะ ฮะ ฮะ”
โอซือโกรธเมื่อเห็นหลวงพี่ฟังเรื่องของนางไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ฮึ...คนไม่เคยรักไม่เข้าใจหรอก พูดไปก็เสียเวลาเปล่าเหมือนพระพยายามสอนปรัชญาเซ็นให้คนบ้า ไม่รู้เหมือนกันว่าปรัชญาเซ็นกล่าวถึงสัจธรรมแห่งความรักไว้ว่ายังไง แต่ในชีวิตจริงนั้นคนตายเพราะความรักนั้นมีแน่นอน สำหรับผู้หญิงการเทศนาเรื่องโลกและชีวิตมีประโยชน์กว่าการอธิบายปรัชญาเซ็น...เลิกพูดดีกว่า
โอซือคิดแล้วทำหน้างอกัดริมฝีปากแน่น หลวงพี่เห็นนางเงียบไปจึงทำหน้าจริงจังขึ้น
“โอซือ เจ้าน่าจะเกิดเป็นผู้ชาย ชายใดหากมีความเด็ดเดียวเช่นเจ้า จะต้องทำประโยชน์ให้แก่แว่นแคว้นของตนได้มากทีเดียว”
“อ้อ เป็นผู้ชายละก็ดี...ถ้าเป็นหญิงก็ใช้ไม่ได้ เพราะจะทำให้มูซาชิเดือดร้อนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“อย่ามาย้อนแย้งคำพูดของอาตมาหน่อยเลย ไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักนิด---แต่ความจริงมีอยู่ว่า แม้เจ้าจะแสดงความรักต่อมูซาชิเพียงไร เขาก็หนีไป แล้วอย่างนี้จะจับตัวเขาได้เมื่อไรกัน”
“ดิฉันไม่ได้กำลังเล่นสนุกอยู่นะเจ้าคะ ไม่เห็นหรือว่าดิฉันทุกข์ทรมานแค่ไหน”
“ไม่ได้พบกันนานสักเท่าไร เจ้ากลายเป็นคนช่างยอกช่างย้อนเหมือนผู้หญิงพื้น ๆ คนหนึ่งไปเสียแล้ว”
“ก็ดิฉัน...ไม่เอาละ ไม่อยากเถียง พระผู้ทรงปัญญาอย่างหลวงพี่ทากูอันไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงหรอก”
“อาตมาก็เถียงไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่ถนัดเรื่องผู้หญิงเสียด้วย”
จู่ ๆ โอซือก็หยุดเดินและหันหลังกลับ
“โจทะโรมานี่”
แล้วออกเดินด้วยหันไปทางอื่น ทิ้งให้หลวงพี่ทากูอันยืนงงอยู่ตรงนั้น
4
หลวงพี่ทากูอันขมวดคิ้ว ยืนนิ่งมองตามหลังสาวเจ้ากับหนุ่มน้อยที่กำลังเดินลงเนินไป ดวงตามีประกายเศร้าคล้ายสิ้นหวังอยู่อึดใจหนึ่งก่อนเรียกนางเอาไว้
“โอซือ เจ้าจะไปไหนมาไหนตามใจชอบโดยไม่อำลาท่านเซกิชูไซอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ดิฉันอำลาท่านด้วยใจ และอีกอย่าง เดิมทีดิฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่ดูแลท่านที่กระท่อมน้อยนานถึงเพียงนี้อยู่แล้ว”
“เจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจเลยรึ”
“ยังไงหรือเจ้าคะ”
“วัดชิปโปจิในป่าบนภูเขาที่มิมาซากะซึ่งเจ้าเคยอยู่มาแต่เล็กแต่น้อยก็ว่างดงามสงบสุขแล้ว ที่หุบเขายากิวนี้ก็ไม่แพ้กัน สงบและสันติสุขเหมาะกับสาวงามผู้มีจิตใจอ่อนโยนอย่างโอซือยิ่งนัก อาตมาไม่อยากให้เจ้าออกไปผจญโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากด้วยหยาดเหงื่อ เลือดและน้ำตา อยากให้ใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางป่าเขาและสายน้ำ เหมือนกับเจ้านกกระจ้อยเสียงหวานที่กำลังร้องเพลงให้กันฟังอยู่ในแมกไม้ตรงโน้น”
โอซือหัวเราะและบอกว่า
“ขอบใจเจ้าค่ะ หลวงพี่ทากูอัน”
ถ้าจะไม่สำเร็จ
หลวงพี่รำพึงพลางถอนใจ ท่านตระหนักรู้ว่าหญิงสาวที่เพิ่งจะแรกรุ่นและกำลังจะสิ่งเตลิดไปข้างหน้าด้วยความดึงดันเหมือนคนตามืดมัวนางนี้ไม่มีพละกำลังอันใดที่จะต่อสู้กับโลกและชีวิต
“โอซือ หนทางที่เจ้าเลือกเดินนั้นเป็นทางที่ไร้แสงสว่าง”
“ไร้แสงสว่าง ?”
“เจ้าก็เป็นคนที่เติบโตมาในวัดย่อมรู้ดีว่าการว่ายเวียนอยู่ในห้วงกิเลศตัณหาที่มืดมิดไร้แสงสว่างนั้น นำมนุษย์เราไปสู่ความทุกข์ทรมาน ความเศร้าโศกเพียงไร ย่อมรู้ดีว่ายากนักที่จะช่วยให้หลุดพ้นความทุกข์อันไม่มีที่สิ้นสุดนั้นออกมาได้”
“แต่ดิฉันไม่เคยมีทางสว่างเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา”
“มีสิโอซือ”
หลวงพี่สวนคำ รีบก้าวเข้าไปใกล้โอซือและจับมือนางขึ้นมากุม พยายามประคับประคองความหวังอันริบหรี่นั้นเอาไว้ด้วยคำพูดที่ใส่อารมณ์เอื้ออารีเป็นที่สุด
“อาตมาจะไปพูดกับท่านเซกิชูไซเองนะ ว่าขอให้เจ้าตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ปราสาทโคยากิว อยู่กินกับชายคนดีที่เจ้าเลือกมีลูกกับเขาและดูแลครอบครัวอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงกระทำ ซึ่งจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างท้องถิ่นแห่งนี้ให้แข็งแกร่งมั่นคงเท่าที่หญิงหนึ่งจะทำได้ และเจ้าจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร”
“ดิฉันซาบซึ้งในความหวังดีของหลวงพี่เหลือเกินเจ้าค่ะ แต่ทว่า...”
“ทำอย่างที่อาตมาบอกเถิด โอซือ”
หลวงพี่เผลอตัวออกแรงดึงมือนางโดยไม่ได้ตั้งใจ และหันไปทางโจทาโร
“เจ้าหนู มาสิ มาด้วยกัน”
โจทะโรสั่นหัวดิก
“ไม่เอา ข้าจะตามครูของข้าไป”
“เอาเถอะ จะไปก็ไป แต่ต้องกลับไปลาท่านเซกิชูไซที่กระท่อมของท่านเสียก่อน”
“จริงด้วย ข้าต้องกลับไปที่ปราสาท เพราะลืมหน้ากากเอาไว้ ข้าต้องกลับไปเอาก่อน”
ว่าแล้วก็ออกวิ่งกลับไปที่ปราสาททันที หนทางจะมืดหรือสว่างนั้นดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับหนุ่มน้อยผู้นี้
เมื่อเห็นโอซือยังยืนนิ่งอยู่ตรงทางสองแพร่ง หลวงพี่ทากูอันค่อยอุ่นใจขึ้นและชวนพูดคุยเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเป็นเพื่อนกันมาแต่ก่อนกาล ค่อย ๆ หว่านล้อมให้สาวเจ้าเห็นถึงภัยอันตรายในชีวิตที่กำลังออกไปเผชิญ และหนทางแห่งความสุขของผู้หญิงยังมีอีกมากนัก ไม่ได้มีแต่ทางที่นางกำลังจะมุ่งหน้าไปเพียงทางเดียว แต่ไม่ว่าจะสาธยายเพียงไรก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะขยับใจของโอซือได้แม้แต่น้อย
“ได้แล้ว ได้แล้ว”
โจทะโรสวมหน้ากากนางปีศาจวิ่งโลดกลับมา พอเห็นเข้าหลวงพี่ทากูอันก็ผงะและตลึงงัน---หน้ากากบนใบหน้าโจทะโรทำให้หลวงพี่เห็นภาพใบหน้าในอนาคตของโอซือ สาวงามผู้ใสซื่อ หลังผ่านการเดินทางไปบนหาทางที่ไร้แสงสว่างเป็นเดือนเป็นปี อยู่ในจินตนาการ
“---หลวงพี่ทากูอัน ดิฉันลาเจ้าค่ะ”
โอซือบอกพร้อมผละออกไปหนึ่งก้าว โจทะโรถลาเข้าไปจับแขนเสื้อนางเอาไว้
“ไปกันเถอะโอซือ เร็วเข้า”
หลวงพี่ทากูอันมองขึ้นไปที่หมู่เมฆบนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน พูดด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนความเสียใจที่ตนไม่มีพลังพอจะยังยั้งสาวเจ้าเอาไว้ได้
“อาตมาคงจะพูดได้แค่นี้ จะช่วยอะไรก็พอช่วยได้แต่การช่วยผู้หญิงนั้นช่างยากนัก ดูเหมือนพระพุทธองค์เองก็ทรงตรัสเอาไว้เช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้น ดิฉันก็จะขอลาท่านเซกิชูไซจากตรงนี้ ยังไงหลวงพี่ช่วยลาท่านแทนดิฉันอีกแรงหนึ่งด้วยนะเจ้าคะ”
“เฮ้อ อาตมาชักจะคิดแล้วซีว่าบ้าหรือเปล่าที่มาเป็นพระ เพราะไม่ว่าจะไปที่ใดพบแต่คนที่เลือกทางผิดพากันไปลงนรกทั้งนั้น โอซือ...เวลาเจ้าตกอยู่ในอันตรายถึงเป็นถึงตายละก็เรียกชื่ออาตมาเอาไว้ เข้าใจไหม นึกถึงชื่ออาตมาแล้วเรียกดัง ๆ อย่าลืมนะ ไปเถอะ...ไปให้สุดเท่าที่จะไปได้นะโอซือ”
--------------------------------------------มิยาโมโตะ มูซาชิ ภาคน้ำ จบลงเพียงเท่านี้-------------------------------------------------
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“โน่น อยู่ทางโน้น”
โอซือกับโจทะโรวิ่งกวดสุดฝีเท้าไปตามทางที่เห็นร่างของมูซาชิวิ่งลิ่วไกลลิบออกไปทุกทีพลางกู่เรียกสุดเสียง
“มูซาชิ มูซาชิ”
“ครู ครู”
เสียงตะโกนแหบเครือจนเกือบกลายเป็นร้องไห้ของหญิงสาวหนึ่งกับหนุ่มน้อยหนึ่ง ดังกังวานประสานกันลงจากเนินเขา ผ่านท้องทุ่งลงไปก้องอยู่ในหุบเขา
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของมูซาชิที่เห็นเป็นเงาเล็ก ๆ วิ่งลิ่วอยู่เมื่อกี้ลับหายเข้าไปแนวป่าที่เชิงเขาไกลลิบทางด้านโน้น
ท้องฟ้าที่เกลื่อนด้วยปุยเมฆขาวฟ่องพลอยเศร้าสร้อย เสียงน้ำในลำธารแว่วมาคล้ายกำลังร่ำไห้ไปด้วยกับสาวเจ้า
โจทะโรปล่อยโฮออกมา กระทืบเท้าเร่า ๆ เหมือนเด็กน้อยที่ถูกแม่ทิ้งให้เป็นกำพร้า
“บ้า บ้า ครูบ้า ทิ้งข้าไว้ที่นี่ได้ไง บ้า บ้า ครูหนีทำไม ทิ้งข้า หนีไปไหน โฮ...โฮ”
โอซือสาวเจ้าไม่ฟูมฟายเยี่ยงหนุ่มน้อย แต่โซเซไปซบอกสะอึกสะอื้นกับกับต้นคุรูมิใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ผู้ยากได้พึ่งพิง
อกเอย...ชีวิตจิตใจที่มอบให้แก่เขาจนหมดสิ้น ใยยังไม่พอที่จะหยุดฝีเท้าของเขาไว้ได้
โอซือได้แต่คร่ำครวญถามทวนอยู่ในใจนาง ด้วยไม่รู้ว่าจะถามใคร
ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ โอซือเข้าใจเขามาตั้งแต่ครั้งเมื่อพบและจากกันที่สะพานฮานาดะฮาชิแล้วว่า จิตใจของเขาผู้นั้นมุ่งมั่นอยู่ ณ ที่ใด อะไรคือจุดหมายที่ยิ่งใหญ่นักจนทำให้เขาเมินหน้าหนีนางไปไม่ยอมให้ได้พบเจอ แต่ที่อยากรู้ก็คือ...
ทำไมถึงพบกันไม่ได้ เขาคิดว่าฉันเป็นสิ่งกีดขวางไม่ให้บรรลุถึงจุดหมายอันสูงสุดของเขาอย่างนั้นหรือ
หรือว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาเกลียดฉันต่างหาก
แต่ใครเล่าจะตอบนางได้นอกจากทาเกโซ...มิยาโมโตะ มูซาชิ เจ้าของใจดวงนั้น
ถึงอย่างไรโอซือก็มั่นใจว่าตนรู้ว่าชายชื่อมูซาชินี้เป็นคนอย่างไรมาตั้งแต่ครั้งที่ได้เฝ้าดูเขาที่ต้นสนพันปีที่วัดชิปโปจิอยู่หลายวัน และเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนโกหกผู้หญิง ถ้าเกลียดก็จะบอกตามตรงว่าเกลียด และคน ๆ นี้บอกกับนางอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สะพานฮานาดาบาชิว่า เขาไม่ได้เกลียดนาง
แล้วจะทำอย่างไรดี
คิดมาถึงตรงนี้จิตใจของโอซือก็สะท้านสะเทือนยิ่งนัก นางเป็นเด็กกำพร้าใช้ชีวิตโดดเดี่ยวท่ามกลางความหนาวเย็นไร้ที่พึ่งมาตั้งแต่เล็ก ไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ แต่เมื่อปลงใจเชื่อแล้วก็จะผูกพันลึกซึ้ง ปักใจคิดว่าคงจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ถ้าขาดเขาผู้นั้น การที่นางถูกฮนอิเด็น มาตาฮาจิที่เป็นคู่มั่นหมายหักหลัง เป็นบทเรียนอันมีค่าที่สอนให้โอซือระวังตัวไม่หลงคำชาย แต่ โอซือเห็นแล้วว่ามูซาชิเป็นที่ชายผู้มีสัจจะและดำเนินชีวิตไปบนทางที่ตนเลือกแล้ว ด้วยใจที่มั่นคงเด็ดเดี่ยวอย่างที่จะหาไม่ได้ง่าย ๆ ในโลกนี้
โอซือเชื่อมูซาชิและจะไม่มีวันเสียใจที่เชื่อเขา
แต่ทำไมไม่บอกกันสักคำ
ใบต้นคุรูมิสั่นไหว อ้อ...เมื่อเรารำพึงกับต้นไม้ ต้นไม้จะพลอยรู้สึกไปกับเราอย่างนี้เอง เศร้าก็จะเศร้าไปด้วยกัน
คนใจร้าย...
ยิ่งโกรธก็ยิ่งคิดถึงยิ่งอยากได้แนบชิดให้สมรัก ชะตากรรมบันดาลให้ต้องคลาดแคล้วกันอีกแล้วหรือไร แล้วนี่ฉันจะต้องทนไปได้อีกนานเท่าไร เพียงแค่นี้ก็ชอกช้ำจนแทบจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“เอ๊ะ โอซือ ข้าเห็นพระเดินอยู่ตรงนั้น”
โจทะโรอยุดอาละวาดด้วยความโกรธและหันมาบอก แต่โอซือก็ยังซบหน้าอยู่กับต้นคุรูมิ
หมู่ไม้บนภูเขาเขตอิงะเริ่มผลิใบอ่อนเขียวขจี ท้องฟ้าสีครามกลางเที่ยงต้นฤดูร้อนปลอดโปร่งแจ่มใส พระธุดงค์รูปหนึ่งเดินช้า ๆ เข้ามาทางนี้คล้ายกับองค์เทพจุติลงมาจากหมู่เมฆขาวฟู และพอผ่านต้นคุรูมิที่โอซือฟุบหน้าอยู่พระรูปนั้นก็เหลียวกับไปมอง
“เอ๊ะ”
โอซือเงยหน้าขึ้นมองไปทางเสียงอุทาน ดวงตาที่แดงช้ำเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
“หลวงพี่ หลวงพี่ทากูอัน”
หญิงสาวรู้สึกเหมือนพระมาโปรดเมื่อยามมีทุกข์ หลวงพี่ทากูอันคือดวงไฟดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่างให้แก่ดวงใจนางที่กำลังมืดมน ความบังเอิญอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำให้โอซือรู้สึกเหมือนฝันในยามเที่ยงวัน
2
โอซือตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้พบพระทากูอัน ณ ที่นี้และในยามนี้ แต่สำหรับพระทากูอันนั้นเป็นการพบตามความคาดหมาย และจากนั้นจึงพานางรวมทั้งโจทะโรกลับไปที่เคหสถานของเซกิชูไซที่หุบเขายากิว โดยทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นความบังเอิญหรืออัศจรรย์แต่อย่างใด
ความจริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพระทากูอัน โซโฮกับตระกูลยากิวไม่ได้เพิ่งมีขึ้นเมื่อวานหรือวันนี้ แต่รู้จักกันมานานมากตั้งแต่ครั้งที่พระทากูอันยังเป็นหนุ่มทำหน้าที่บดมิโซะและถูพื้นครัวอยู่ที่ซังเก็งอินซึ่งเป็นคณะฝ่ายเหนือของวัดไดโทกูจิ
ครั้งนั้นซังเก็งอินเป็นที่ที่มีคนแปลก ๆ เข้าออกเป็นประจำ อย่างเช่นบรรดาซามูไรที่มาสนทนาธรรมเรื่องความเป็นความตาย รวมทั้งนักรบที่ตระหนักถึงความจำเป็นในการฝึกจิตพร้อมกันไปกับวิชาดาบ ซึ่งเข้ามาครอบครองพื้นที่ของพระนิกายเซ็นของวัดนี้จนถูกซุบซิบว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของนักก่อการ
ในบรรดานักรบที่มาชุมนุมกันบ่อย ๆ มีซูซูกิ อิฮากุน้องชายของท่านคามิอิซูมิแห่งอิเซะ ยากิว โกโรซาเอมอนทายาทตะกูลยากิวและมูเนโนริผู้น้องรวมอยู่ด้วย
มูเนโนริซึ่งยังหนุ่มและไม่มียศถาบรรดาศักดิ์สนิทสนมกับพระทากูอันหลังรู้จักกันได้ไม่นาน และจากนั้นก็เป็นเพื่อนที่ตัดกันไม่ขาดตลอดมา พระทากูอันมาเยือนปราสาทโคยากิวหลายต่อหลายครั้ง และเคารพท่านเซกิชูไซบิดาเสมอเหมือนบิดาที่ตนสามารถพูดด้วยได้อย่างเปิดใจเกินกว่าที่ลูกชายทั่วไปจะเปิดใจพูดกับบิดา ส่วนท่านเซกิชูไซก็นิยมชมชอบในความมีปัญญาของพระหนุ่มและเล็งเห็นว่าจะยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต
เหตุที่พระทากูอันแวะมาเยือนปราสาทโคยากิวครั้งนี้ก็คือ ระหว่างเดินทางธุดงค์อยู่ที่กิวชูท่านได้หยุดพักแรมที่วัดนันโซจิในแคว้นอิซูมิและส่งจดหมายถามข่าวคราวไปยังเซกิชูไซกับมูเนโนริ เซกิชูไซได้มีจดหมายตอบมายืดยาวว่า
ระยะนี้ข้าสุขสบายดี มูเนโนริที่รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลโทกูงาวะก็ปฏิบัติหน้าที่เรียบร้อยดี เฮียวโหงะผู้เป็นหลานปู่ได้ลาออกจากงานที่ทำอยู่กับตระกูลคาโตแห่งฮิโงะ และออกเดินทางฝึกวิชาดาบไปทั่วแว่นแคว้น และดูเหมือนว่าฝีมือดาบจะเก่งกล้าขึ้นพอตัวแล้ว ไม่นานมานี้กระท่อมน้อยเก่าแก่และเยียบเย็นของข้าได้สาวงามนางหนึ่งที่เป่าขลุ่ยได้ไพเราะเสนาะโสตมาเป็นดอกไม้ประดับช่องาม นางช่วยดูแลอาหารการกินเช้าเย็น เป็นเพื่อนชงชา จัดดอกไม้ และร้อยกรองบทกวี
สาวงามผู้นี้เติบโตมาในวัดที่ดูเหมือนจะชื่อชิปโปจิที่มิมาซากะติดกับบ้านเกิดของท่าน ซึ่งคิดว่าถ้าได้พบกันคงจะพูดคุยถูกคอกันดี การได้ดื่มสาเกดี ๆ เคล้าเสียงขลุ่ยเสนาะโสตของสาวงามเมื่อยามเย็นนั้นเป็นความสุขอย่างที่สุด หากท่านผ่านมาทางนี้เชิญแวะมาร่วมสุขสำราญกันเถิด
พอได้อ่านจดหมายของท่านเซกิชูไซ พระทากูอันก็ผุดลุกผุดนั่งไม่ติดที่ สาวงามนางหนึ่งที่เป่าขลุ่ยได้ไพเราะเสนาะโสต นั้นไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้ นอกจากโอซือที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน
จากนั้นพระทากูอันจึงออกเดินทางมุ่งหน้ามาทางนี้ การได้พบกับโอซือบนเนินใกล้หุบเขายากิวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เรื่องที่โอซือเล่าให้ฟังนั้นทำให้รู้สึกเสียดายยิ่งนักจนต้องถอนใจยืดยาว
โธ่ ไม่น่าคลาดกันเลย
มูซาชิเพิ่งจะวิ่งหายลับจากสายตาไปทางอิงะเดี๋ยวนี้เอง
3
ระหว่างทางที่ทั้งสามพากันเดินจากเนินต้นคูรุมิไปถึงกระท่อมน้อยของท่านเซกิชูไซ โอซือตอบคำซักถามของทากูอันที่ระดมเข้ามาโดยไม่ปิดบัง หลังจากนั้นโอซือก็ได้เล่าถึงเรื่องราวที่ตนได้พบพานทุกช่วงตอนให้ฟังจนกระทั่งมาพบกันครั้งนี้ ด้วยความรู้สึกที่ว่าถ้าเป็นหลวงพี่คนนี้ เธอเปิดใจให้อย่างไม่มีข้อแม้ทั้งความในใจ ขอคำปรึกษาเรื่องส่วนตัวและ...มูซาชิ
“อืม...อืม”
หลวงพี่ทากูอันฟังไปพยักหน้าเป็นจังหวะไปด้วยอย่างไม่เบื่อหน่าย เหมือนพี่ชายฟังน้องสาวระบายความในใจ
“จริง ผู้หญิงสามารถเลือกทางเดินชีวิตอย่างที่ผู้ชายไม่อาจเลือกได้ โอซืออยากปรึกษากับอาตมาว่าจากนี้ไปจะเลือกทางเดินชีวิตยังไงดีใช่ไหม”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“อ้าว”
“จนมาถึงขั้นนี้แล้ว ดิฉันไม่ลังเลหรอกเจ้าค่ะ”
หลวงพี่ทากูอันกำลังพิศดูใบหน้าด้านข้างของนางที่ก้มต่ำลงไป และเห็นความหม่นหมองที่แทบจะทำให้ดอกไม้ใบหญ้าสีสวยพลอยหมองตามไปด้วย แต่หางเสียงที่แฝงพลังเด็ดเดี่ยวทำเอาหลวงพี่ต้องเบิกตาและมองซ้ำ
“ถ้าดิฉันลังเลว่าจะทำยังไงดี เลิกล้มความตั้งใจดีไหมอยู่ละก็ ดิฉันก็คงไม่ออกมาจากวัดชิปโปจิหรอกนะเจ้าคะ...และตอนนี้ดิฉันก็ตกลงใจแล้วว่าจะไปทางไหน แต่ถ้าการเลือกทางไปของดิฉันจะทำให้มูซาชิเดือดร้อน ถ้าการมีชีวิตของดิฉันทำให้มูซาชิเป็นทุกข์ ดิฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดการกับตัวเอง”
“หมายความว่ายังไง”
“ดิฉันบอกไม่ได้”
“โอซือ ระวังรักษาตัวเอาไว้ให้ดี”
“ระวังอะไรหรือเจ้าคะ”
“ยมทูตกำลังดึงผมดำงามของเจ้ากลางวันแสก ๆ”
“ดิฉันไม่เห็นรู้สึกอะไร”
“ใช่ไหม ก็เพราะยมทูตท่านออมแรงเอาไว้น่ะซี แต่โอซือ...รักเขาข้างเดียวมันไม่ถึงกับต้องตายหรอกนะ ฮะ ฮะ ฮะ”
โอซือโกรธเมื่อเห็นหลวงพี่ฟังเรื่องของนางไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ฮึ...คนไม่เคยรักไม่เข้าใจหรอก พูดไปก็เสียเวลาเปล่าเหมือนพระพยายามสอนปรัชญาเซ็นให้คนบ้า ไม่รู้เหมือนกันว่าปรัชญาเซ็นกล่าวถึงสัจธรรมแห่งความรักไว้ว่ายังไง แต่ในชีวิตจริงนั้นคนตายเพราะความรักนั้นมีแน่นอน สำหรับผู้หญิงการเทศนาเรื่องโลกและชีวิตมีประโยชน์กว่าการอธิบายปรัชญาเซ็น...เลิกพูดดีกว่า
โอซือคิดแล้วทำหน้างอกัดริมฝีปากแน่น หลวงพี่เห็นนางเงียบไปจึงทำหน้าจริงจังขึ้น
“โอซือ เจ้าน่าจะเกิดเป็นผู้ชาย ชายใดหากมีความเด็ดเดียวเช่นเจ้า จะต้องทำประโยชน์ให้แก่แว่นแคว้นของตนได้มากทีเดียว”
“อ้อ เป็นผู้ชายละก็ดี...ถ้าเป็นหญิงก็ใช้ไม่ได้ เพราะจะทำให้มูซาชิเดือดร้อนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“อย่ามาย้อนแย้งคำพูดของอาตมาหน่อยเลย ไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักนิด---แต่ความจริงมีอยู่ว่า แม้เจ้าจะแสดงความรักต่อมูซาชิเพียงไร เขาก็หนีไป แล้วอย่างนี้จะจับตัวเขาได้เมื่อไรกัน”
“ดิฉันไม่ได้กำลังเล่นสนุกอยู่นะเจ้าคะ ไม่เห็นหรือว่าดิฉันทุกข์ทรมานแค่ไหน”
“ไม่ได้พบกันนานสักเท่าไร เจ้ากลายเป็นคนช่างยอกช่างย้อนเหมือนผู้หญิงพื้น ๆ คนหนึ่งไปเสียแล้ว”
“ก็ดิฉัน...ไม่เอาละ ไม่อยากเถียง พระผู้ทรงปัญญาอย่างหลวงพี่ทากูอันไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงหรอก”
“อาตมาก็เถียงไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่ถนัดเรื่องผู้หญิงเสียด้วย”
จู่ ๆ โอซือก็หยุดเดินและหันหลังกลับ
“โจทะโรมานี่”
แล้วออกเดินด้วยหันไปทางอื่น ทิ้งให้หลวงพี่ทากูอันยืนงงอยู่ตรงนั้น
4
หลวงพี่ทากูอันขมวดคิ้ว ยืนนิ่งมองตามหลังสาวเจ้ากับหนุ่มน้อยที่กำลังเดินลงเนินไป ดวงตามีประกายเศร้าคล้ายสิ้นหวังอยู่อึดใจหนึ่งก่อนเรียกนางเอาไว้
“โอซือ เจ้าจะไปไหนมาไหนตามใจชอบโดยไม่อำลาท่านเซกิชูไซอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ดิฉันอำลาท่านด้วยใจ และอีกอย่าง เดิมทีดิฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่ดูแลท่านที่กระท่อมน้อยนานถึงเพียงนี้อยู่แล้ว”
“เจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจเลยรึ”
“ยังไงหรือเจ้าคะ”
“วัดชิปโปจิในป่าบนภูเขาที่มิมาซากะซึ่งเจ้าเคยอยู่มาแต่เล็กแต่น้อยก็ว่างดงามสงบสุขแล้ว ที่หุบเขายากิวนี้ก็ไม่แพ้กัน สงบและสันติสุขเหมาะกับสาวงามผู้มีจิตใจอ่อนโยนอย่างโอซือยิ่งนัก อาตมาไม่อยากให้เจ้าออกไปผจญโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากด้วยหยาดเหงื่อ เลือดและน้ำตา อยากให้ใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางป่าเขาและสายน้ำ เหมือนกับเจ้านกกระจ้อยเสียงหวานที่กำลังร้องเพลงให้กันฟังอยู่ในแมกไม้ตรงโน้น”
โอซือหัวเราะและบอกว่า
“ขอบใจเจ้าค่ะ หลวงพี่ทากูอัน”
ถ้าจะไม่สำเร็จ
หลวงพี่รำพึงพลางถอนใจ ท่านตระหนักรู้ว่าหญิงสาวที่เพิ่งจะแรกรุ่นและกำลังจะสิ่งเตลิดไปข้างหน้าด้วยความดึงดันเหมือนคนตามืดมัวนางนี้ไม่มีพละกำลังอันใดที่จะต่อสู้กับโลกและชีวิต
“โอซือ หนทางที่เจ้าเลือกเดินนั้นเป็นทางที่ไร้แสงสว่าง”
“ไร้แสงสว่าง ?”
“เจ้าก็เป็นคนที่เติบโตมาในวัดย่อมรู้ดีว่าการว่ายเวียนอยู่ในห้วงกิเลศตัณหาที่มืดมิดไร้แสงสว่างนั้น นำมนุษย์เราไปสู่ความทุกข์ทรมาน ความเศร้าโศกเพียงไร ย่อมรู้ดีว่ายากนักที่จะช่วยให้หลุดพ้นความทุกข์อันไม่มีที่สิ้นสุดนั้นออกมาได้”
“แต่ดิฉันไม่เคยมีทางสว่างเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา”
“มีสิโอซือ”
หลวงพี่สวนคำ รีบก้าวเข้าไปใกล้โอซือและจับมือนางขึ้นมากุม พยายามประคับประคองความหวังอันริบหรี่นั้นเอาไว้ด้วยคำพูดที่ใส่อารมณ์เอื้ออารีเป็นที่สุด
“อาตมาจะไปพูดกับท่านเซกิชูไซเองนะ ว่าขอให้เจ้าตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ปราสาทโคยากิว อยู่กินกับชายคนดีที่เจ้าเลือกมีลูกกับเขาและดูแลครอบครัวอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงกระทำ ซึ่งจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างท้องถิ่นแห่งนี้ให้แข็งแกร่งมั่นคงเท่าที่หญิงหนึ่งจะทำได้ และเจ้าจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร”
“ดิฉันซาบซึ้งในความหวังดีของหลวงพี่เหลือเกินเจ้าค่ะ แต่ทว่า...”
“ทำอย่างที่อาตมาบอกเถิด โอซือ”
หลวงพี่เผลอตัวออกแรงดึงมือนางโดยไม่ได้ตั้งใจ และหันไปทางโจทาโร
“เจ้าหนู มาสิ มาด้วยกัน”
โจทะโรสั่นหัวดิก
“ไม่เอา ข้าจะตามครูของข้าไป”
“เอาเถอะ จะไปก็ไป แต่ต้องกลับไปลาท่านเซกิชูไซที่กระท่อมของท่านเสียก่อน”
“จริงด้วย ข้าต้องกลับไปที่ปราสาท เพราะลืมหน้ากากเอาไว้ ข้าต้องกลับไปเอาก่อน”
ว่าแล้วก็ออกวิ่งกลับไปที่ปราสาททันที หนทางจะมืดหรือสว่างนั้นดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับหนุ่มน้อยผู้นี้
เมื่อเห็นโอซือยังยืนนิ่งอยู่ตรงทางสองแพร่ง หลวงพี่ทากูอันค่อยอุ่นใจขึ้นและชวนพูดคุยเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเป็นเพื่อนกันมาแต่ก่อนกาล ค่อย ๆ หว่านล้อมให้สาวเจ้าเห็นถึงภัยอันตรายในชีวิตที่กำลังออกไปเผชิญ และหนทางแห่งความสุขของผู้หญิงยังมีอีกมากนัก ไม่ได้มีแต่ทางที่นางกำลังจะมุ่งหน้าไปเพียงทางเดียว แต่ไม่ว่าจะสาธยายเพียงไรก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะขยับใจของโอซือได้แม้แต่น้อย
“ได้แล้ว ได้แล้ว”
โจทะโรสวมหน้ากากนางปีศาจวิ่งโลดกลับมา พอเห็นเข้าหลวงพี่ทากูอันก็ผงะและตลึงงัน---หน้ากากบนใบหน้าโจทะโรทำให้หลวงพี่เห็นภาพใบหน้าในอนาคตของโอซือ สาวงามผู้ใสซื่อ หลังผ่านการเดินทางไปบนหาทางที่ไร้แสงสว่างเป็นเดือนเป็นปี อยู่ในจินตนาการ
“---หลวงพี่ทากูอัน ดิฉันลาเจ้าค่ะ”
โอซือบอกพร้อมผละออกไปหนึ่งก้าว โจทะโรถลาเข้าไปจับแขนเสื้อนางเอาไว้
“ไปกันเถอะโอซือ เร็วเข้า”
หลวงพี่ทากูอันมองขึ้นไปที่หมู่เมฆบนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน พูดด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนความเสียใจที่ตนไม่มีพลังพอจะยังยั้งสาวเจ้าเอาไว้ได้
“อาตมาคงจะพูดได้แค่นี้ จะช่วยอะไรก็พอช่วยได้แต่การช่วยผู้หญิงนั้นช่างยากนัก ดูเหมือนพระพุทธองค์เองก็ทรงตรัสเอาไว้เช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้น ดิฉันก็จะขอลาท่านเซกิชูไซจากตรงนี้ ยังไงหลวงพี่ช่วยลาท่านแทนดิฉันอีกแรงหนึ่งด้วยนะเจ้าคะ”
“เฮ้อ อาตมาชักจะคิดแล้วซีว่าบ้าหรือเปล่าที่มาเป็นพระ เพราะไม่ว่าจะไปที่ใดพบแต่คนที่เลือกทางผิดพากันไปลงนรกทั้งนั้น โอซือ...เวลาเจ้าตกอยู่ในอันตรายถึงเป็นถึงตายละก็เรียกชื่ออาตมาเอาไว้ เข้าใจไหม นึกถึงชื่ออาตมาแล้วเรียกดัง ๆ อย่าลืมนะ ไปเถอะ...ไปให้สุดเท่าที่จะไปได้นะโอซือ”
--------------------------------------------มิยาโมโตะ มูซาชิ ภาคน้ำ จบลงเพียงเท่านี้-------------------------------------------------