นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ขอพบกับท่านเซกิชูไซหน่อยจะได้ไหม”
โอซือหัวเราะกิ๊ก แก้มนวลเป็นสีชมพูเรื่อน่ารัก
“ทำไมท่าโชตะถึงต้องขอฉันด้วยล่ะเจ้าคะ แปลกจริง”
“แปลกยังไง”
“ก็ฉันเป็นเพียงหญิงเป่าขลุ่ยเร่ร่อนมาแต่ท่านเป็นคนของตระกูลยากิว เข้านอกออกในเป็นประจำ ไม่เห็นจะต้องมาขอฉันเข้าพบท่านอย่างนี้เลย”
“อ้อ”
โชดะ คิซาเอมอนยิ้มด้วยความขบขัน
“แต่ที่นี่เป็นบ้านส่วนตัวของท่านเซกิชูไซ และแม่นางเป็นคนบ้านนี้จึงพิเศษกว่าใคร แต่อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย ขอเข้าเข้าไปพบท่านเถิดนะ”
“เชิญเจ้าค่ะ ท่านอยู่ที่ห้องชาชาตรงนี้เอง”
“อ้อ...กลับมาแล้วรึ”
ท่านเซกิชูไซสวมหมวกครูชงชาที่โอซือเย็บให้ วางท่าสง่างามร้องทักทันทีที่เห็นหน้าบริวารคนสนิท
“ขอรับ กระผมเอาจดหมายไปมอบให้พร้อมขนมตามที่ท่านสั่ง”
“แล้วไง กลับกันไปแล้วรึ”
“ยังน่ะซีขอรับ กระผมถึงได้รีบกลับมาเรียนท่าน คือพอกระผมกลับมายังไม่ทันจะเข้าประตูปราสาท เด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมวาตายะก็เอาจดหมายของซามูไรกลุ่มนั้นมาส่งให้ พร้อมกับสั่งให้มาบอกว่าเมื่อมีโอกาสเดินทางถึงถิ่นนี้แล้วก็ไม่อยากจากไปโดยไม่ได้มาเยือนสำนักดาบยากิว ถ้าทางเราไม่ขัดข้องก็ขอมาในวันพรุ่งนี้ และบอกด้วยว่าจะเข้ามาพบและคารวะท่านด้วย”
“ชิชะ เจ้าพวกอ่อนหัด น่ารำคาญเสียจริง”
เซกิชูไซทำหน้ายุ่งยากสมกับคำพูด
“เจ้าไม่ได้บอกรึว่าที่สำนักไม่มีใครสักคน มูเนโนริก็อยู่ที่เอโดะ โทชิโทชิอยู่ที่คูมาโมโตะ คนอื่นก็ไปที่นั่นที่นี่”
“บอกแล้วขอรับ”
“ข้าละเกลียดนัก พวกที่ดึงดันเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่อย่างนี้ ข้าเขียนทั้งจดหมายทั้งส่งคนไปชี้แจงอย่างแล้วก็ยังจะมาให้ได้ ไร้จรรยามารยาทโดยแท้”
“กระผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงขอรับ”
“มาเจอกับตัวเองอย่างนี้ถึงได้รู้ว่าพวกลูกชายตระกูลโยชิโอกะใช้ไม่ได้จริงอย่างที่เขาลือกัน”
“คนที่กระผมพบคือเด็นชิจิโร มาพักที่ในโรงเตี๊ยมวาตายะระหว่างทางกลับจากศาลเจ้าอิเซะ วางท่าหยิ่งผยอง ขัดหูขัดตามากขอรับ”
“จริงรึ ข้าได้ยินมาว่าโยชิโอกะ เค็มโปผู้พ่อเป็นคนดีมีฝีมือ ข้าเคยพบและชนถ้วยสาเกกันสองสามครั้งตอนไปเกียวโตกับท่านโคอิซุมิ---แต่พอถึงสมัยลูกดูเหมือนสำนักดาบโยชิโอกะจะเสื่อมถอยตกต่ำลง เจ้าหนุ่มคนนี้คงยังหลงเข้าใจตนผิดคิดว่าขึ้นชื่อว่าลูกชายของเค็มโปแล้วละก็ไม่มีสำนักดาบแห่งใดกล้าปฏิเสธคำท้าประลองฝีมือ จะคิดยังไงกับใครก็ช่างแต่ไม่ใช่ที่นี่ สำนักดาบยากิวไม่เห็นประโยชน์อันใดจากการที่จะรับคำท้าและปราบให้สิ้นฤทธิ์กลับไป”
“ซามูไรที่ชื่อเด็นชิจิโรดูมั่นใจในฝีดาบของตนมากเลยขอรับ ถ้าอยากประลองฝีมือจริง ๆ กระผมรับมือให้ก็ได้”
“พอ ๆ โชดะ เจ้าหยุดคิดเดี๋ยวนี้เลย พวกลูกชายคนมีชื่อมีเสียงใหญ่โตมักจะทะนงตนว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นกันทั้งนั้น และพยายามดึงโลกให้มาหมุนรอบตัวตนเอง คนประเภทนี้ลองได้มาประลองฝีมือที่นี่แล้วแพ้กลับไป ก็จะต้องไปว่าร้ายป้ายสีเราเสีย ๆ หาย ๆ ทั่วเกียวโตเป็นแน่ ลำพังข้าคนเดียวไม่เป็นอะไรดอก ห่วงแต่มูเนโนริ กับโทชิโทชิจะพลอยเดือดร้อนรำคาญไปด้วย”
“แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะขอรับ”
“ข้าจะให้ไม่มีการประลองฝีมืออะไรทั้งสิ้น แต่จะทำอย่างละมุนละม่อมที่สุด ให้เจ้าหนุ่มกลับไปด้วยรู้สึกดี ๆ ว่าได้รับการปฏิบัติอย่างสมเกียรติภูมิของลูกชายสำนักดาบที่ยิ่งใหญ่ แต่ครั้นจะส่งผู้ชายไปก็ดูเหมือนจะไม่เหมาะ”
ท่านผู้เฒ่าหันไปทางโอซือและบอกว่า
“ผู้หญิงน่าจะทำหน้าที่ได้แนบเนียนกว่า ใช่เรื่องแบบนี้ต้องผู้หญิง และที่เหมาะสมที่สุดก็คือโอซือ”
“ได้สิเจ้าคะ ไปกันเลย”
“โอซือ เจ้าไม่ต้องเร่งด่วนขนาดนั้นดอก เช้าวันพรุ่งนี้ก็ได้”
ว่าแล้วเซกิชูไซก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายสั้น ๆ แต่ได้ความลึกซึ้งตามแบบฉบับของนักชงชา และหยิบดอกโบตั๋นสีขาวที่เหลือจากปักแจกันดอกหนึ่งแนบไปเป็นนัยแทนคำจบจดหมายนั้น
“เอาจดหมายกับดอกไม้นี้ไปมอบให้เจ้าหนุ่มทระนง และบอกว่าเจ้ามาต้อนรับแทนเซกิชูไซไม่อาจมาได้ด้วยตัวเองเพราะเป็นหวัดนิดหน่อย”

2
เช้าวันรุ่งขึ้น โอซือแต่งตัวเรียบร้อยเข้าไปบอกเซกิชูไซแต่เช้าว่า
“ดิฉันไปละนะเจ้าคะ”
แล้วเอาผ้าเบาบางคลุมผมออกจากเรือนหลังน้อยเพื่อไปทำธุระที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อเดินมาถึงโรงม้าที่อยู่รอบนอกของบริเวณปราสาท โอซือก็เยี่ยมหน้าเข้าไปและร้องบอกว่า
“ขอยืมม้าสักตัวหนึ่งเถิด”
คนเลี้ยงม้าที่กำลังล้างคอกวุ่นอยู่เงยหน้าขึ้นทักเสียงใส
“โอซือ จะไปไหนหรือขอรับ”
“ท่านใช้ให้ไปทำธุระที่โรงเตี๊ยมวาตะยะท้ายปราสาทนี่แหละ”
“งั้นกระผมไปด้วย”
“ไม่ต้องดอกนาย”
“ไปคนเดียวได้หรือขอรับ”
“ฉันเป็นคนรักม้า และคุ้นเคยกับม้าดีมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านนอก”
โอซือควบม้าด้วยท่วงท่าสง่างามเป็นธรรมชาติ ผ่านไปตามทางจากปราสาทโคยากิวมุ่งไปยังหมู่บ้านท้ายปราสาท
ผ้าคลุมผมสีน้ำตาลอมแดงปลิวไสวไปตามลมเสริมให้ภาพนั้นงดงามจับตายิ่งไปอีก ผ้าคลุมผมกลายเป็นเครื่องแต่งตัวล้าสมัยไปแล้วสำหรับผู้หญิงตามเมืองใหญ่ แต่ในชนบทยังนิยมกันอยู่มากในหมู่ลูกสาว เจ้าของที่ดิน ผู้ครองแคว้นและคหบดี
ชาวไร่ชาวนาระหว่างทาง ต่างวางมือจากงาน เงยหน้าขึ้นจับตามองไปยังโอซือ มือหนึ่งถือจดหมายของเซกิชูไซแนบด้วยดอกโบตั๋นสีขาวที่กำลังแย้มกลีบบาน มือหนึ่งกุมบังเหียนควบม้าผ่านลิ่วราวลอยล่องไปกับสายลม
“แม่นางโอซือ”
“โอซือ แม่นางแห่งปราสาทโคยากิว เจ้าของเสียงขลุ่ยไพเราะจับใจ”
ต่างคนต่างพยักหน้าให้กันและกล่าวขวัญด้วยความชื่นชม
การที่ชื่อเสียงของโอซือเลื่องลือไปถึงชาวไร่ชาวนาท้ายปราสาทหลังจากที่มาอยู่ได้เพียงไม่นาน แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างเซกิชูไซกับชาวบ้านทุกระดับที่ลึกซึ้งไปกว่าความเป็นเจ้าของที่ดินกับลูกบ้านทั่วไป และเมื่อได้ข่าวว่าเซกิชูไซมีความสุขและบันเทิงใจยิ่งนักที่ได้สาวงามผู้เป่าขลุ่ยไพเราะจับใจที่ชื่อโอซือมาอยู่ด้วย ความเคารพรักที่มีต่อเซกิชูไซจึงแผ่มาถึงโอซือ ทั้งเมื่อยิ่งเห็นความงดงามน่ารักมีไมตรีจิตสนิทสนมของโอซือด้วยแล้วก็ยิ่งนิยมชมชอบดั่งขวัญใจ
และเมื่อควบม้ามาใกล้จะถึง โอซือก็หยุดม้าร้องถามหญิงชาวบ้านคนหนึ่งแบกลูกไว้บนหลัง นั่งล้างหม้ออยู่ที่ลำธารว่า
“เธอรู้ไหมว่าโรงเตี๊ยมที่ชื่อวาตายะอยู่ที่ไหน”
“แม่นางจะไปที่นั่นรึ อิฉันจะนำทางให้”
ว่าแล้วนางก็ทิ้งงานวิ่งตรงเข้ามาหาทันที
“ไม่ต้องหรอก แค่บอกทางให้ก็พอ ฉันไปเองได้”
“งั้นรึ วาตายะอยู่ไม่ไกลหรอกแม่นาง อีกนิดเดียวก็ถึง”
แต่อีกนิดเดียวของนางนั้น ถ้าให้เดินก็ออกจะไกลอยู่
“ขอบใจนะ”
“โรงเตี๊ยมนี้ต้องใช่วาตะยะแน่”
โอซือคิดพลางลงจากหลังม้าแล้วจูงไปผูกไว้ที่ต้นไม้ตรงชายคา
“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ”
สาวน้อยโคจะแล่นออกมาต้อนรับทันควัน
“หาที่พักแรมหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่หรอกแม่หนู ท่านเซกิชูไซแห่งปราสาทโคยากิวมอบหมายให้ฉันมาพูดธุระกับท่านโยชิโอกะ เด็นชิจิโร ที่พักอยู่ที่นี่”
โคจะรับคำแล้วหายเข้าไปข้างใน ไม่นานก็ออกมาบอกว่า
“เชิญเจ้าค่ะ”
โอซือมาถึงพอดีกับเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนของโรงเตี๊ยม นักเดินทางหลายคนเดินขวักไขว่ไปมา บ้างนั่งลงใส่รองเท้า บ้างยกสัมภาระขึ้นแบกหลัง เรียกหาพวกพ้องบ้างคนรับใช้บ้าง ขรมถมเถไปหมด หนุ่ม ๆ เห็นหญิงสาวทั้งสอสวยทั้งท่วงทีมีสง่าก็กระซิบถามกันว่าสาวบ้านไหน บ้าง แขกของใครบ้าง และมองโอซือที่เดินตามไปเด็กหญิงโคจะลึกเข้าไปในเรือน จนสุดสายตา
โยชิโกะ เด็นชิจิโร กับพวกร่ำสุรากันจนดึกดื่นเพิ่งจะลืมตาตื่น เมื่อเด็กหญิงโคจะขึ้นมาปลุกว่ามีคนจากปราสาทโคยากิวมาขอพบ ก็ตาลีตาลานลุกขึ้นเตรียมตัวต้อนรับนึกรำคาญว่าซามูไรร่างใหญ่หนวดเคราดำครึ้มเหมือนหมีมาแล้วยังจะมาทำไมอีก แต่ก็ต้องตลึงลานไปตาม ๆ กันเมื่อเห็นทูตโฉมงามจากปราสาทโคยากิวมาพร้อมกับดอกโบตั๋นสีขาวสดสวย
“ขอโทษแม่นาง ที่ห้องของเรารกรุงรังไม่ควรแก่การเป็นที่ต้อนรับเช่นนี้”
ทุกคนหน้าเจื่อนด้วยความอับอาย เพราะไม่เพียงแต่สภาพห้องแต่ผมเผ้ายังยุ่งเหยิงและเครื่องแต่งกายยับเยินจนต้องรีบจับเข้ารูปเป็นพัลวัน
“เชิญแม่นางทางนี้เถิด เชิญ เชิญ
3
“ท่านเซกิชูไซแห่งปราสาทโคยากิวมอบหมายให้ฉันมามอบดอกไม้และจดหมายฉบับนี้ให้แก่ท่าน”
โอซือเลื่อนดอกโบตั๋นสีขาวไปตรงหน้าเด็นชิจิโร
“เชิญรับไปด้วยเถิด”
“จดหมายรึ”
เด็นชิจิโรคลี่ม้วนจดหมายออกอ่าน
จดหมายของเซกิชูไซเป็นแถบกระดาษยาวไม่ถึงหนึ่งศอก ตัวอักษรลายพู่กันสีจาง ๆ เรียงเป็นแถวได้กลิ่นชานิด ๆ อ่านได้ความว่า...เราต้องขออภัยที่ต้องส่งจดหมายมาทักทายแทนตัวที่ไม่อาจมาพบเองได้ เพราะช่วงนี้เป็นหวัด เจ็บคอ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหายตามประสาคนชรา และขอส่งดอกโบตั๋นงามบริสุทธิ์ดอกนี้มาให้ ด้วยคิดว่าจะประเทืองอารมณ์ท่านที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล มากกว่าจะต้องมาทนรำคาญคนชราที่เป็นหวัดนั่งทำจมูกฟุตฟิต เราให้ดอกไม้เป็นคนนำดอกไม้มามอบให้ท่านด้วยความหวังว่าท่านจะให้อภัยที่ข้าเสียมารยาทครั้งนี้ เพราะทุกวันนี้เราปลีกตัวที่แก่ชราออกมามีชีวิตอยู่ห่างไกลจากสังคมไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเห็นตา เขียนมาด้วยความระลึกถึง...เซกิชูไซ
เด็นชิจิโรทำเสียงในจมูกอย่างไม่สบอารมณ์
“เท่านี้เองรึ”
“ของที่ท่านเซกิชูไซฝากมีเท่านี้ แต่ท่านได้ฝากคำพูดมากับฉันว่า ท่านอยากเชิญท่านมาดื่มน้ำชาด้วยกันสักถ้วย แต่ก็ขัดที่ว่าขณะนี้ในปราสาทไม่มีนักรบที่ได้เรื่องได้ราวพอจะต้อนรับท่านได้เลยสักคน พอดีกับมูเนโนริบุตรชายก็ไปประจำอยู่ที่เอโดะเสียด้วย จึงคิดว่าหากเรารับรองท่านได้ไม่ดีก็จะกลายเป็นเรื่องขบขันให้คนในนครหลวงได้หัวเราะกันครื้นเครงไปเสียเปล่า ๆ จึงต้องขอโทษอีกครั้ง และหวังว่าจะได้พบท่านในโอกาสที่ดีกว่านี้ในอนาคต---”
“อ้อ”
เด็นชิจิโรรับฟังแล้วทำหน้าประหลาดใจ
“ฟังคำพูดของท่านเซกิชูไซแล้ว ดูเหมือนท่านจะเข้าใจว่าเรามาด้วยความหวังที่จะเข้าร่วมพิธีชงชาอันทรงเกียรติของท่าน แต่ขอบอกตรง ๆ เลยว่าคนที่เกิดในตระกูลนักรบอย่างเราไม่เข้าใจเรื่องชาทั้งสิ้น เราแวะมาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะอยากเข้าเยี่ยมเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของท่านเซกิชูไซ และถือโอกาสขอคำแนะนำกลยุทธ์เชิงดาบให้เราได้เรียนรู้บ้างเท่านั้นเอง”
“ฉันรู้ว่าท่านเซกิชูไซเข้าใจความประสงค์ของท่านดี แต่ทุกวันนี้ท่านใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบ โดยมีสายลมและแสงเดือนเป็นเพื่อน และมีวิถีแห่งชาเป็นชีวิตจิตใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”
เด็นชิจิโรทำหน้าบึ้งตึง
“ช่วยเรียนท่านเซกิชูไซด้วยว่า ถ้าผ่านมาทางนี้อีกเราจะหาโอกาสพบกับท่านให้ได้”
ว่าแล้วก็เลื่อนดอกโบตั๋นคืนให้โอซือ
“สำหรับโบตั๋นสีขาวดอกนี้ ท่านเซกิชูไซมอบให้ท่านด้วยหวังว่าจะช่วยให้ท่านได้ชมให้ชื่นใจระหว่างการเดินทาง ขอให้ท่านเอากลับไปด้วย ถ้านั่งคานหามก็ขอให้เสียบเอาไว้ข้างกาย ถ้าขี่ม้าก็ขอให้เสียบไว้ที่อาน”
“อะไรนะ นี่คือของที่ระลึกอย่างนั้นรึ”
เด็นชิจิโรปรายตามองและเบ้ปากอย่างดูแคลน สีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ฝากบอกท่านด้วยแล้วกันว่าที่เกียวโตมีดอกโบตั๋นออกเกลื่อนไป”
เมื่อให้แล้วเขาไม่รับ โอซือก็ไม่คิดที่จะเซ้าซี้ จึงบอกลาเอาดื้อ ๆ
“ถ้าเช่นนั้น ฉันก็ขอตัว”
ว่าแล้วก็กรีดนิ้วดอกโบตั๋นขึ้นอย่างเบามือด้วยกิริยาเหมือนค่อย ๆ เปิดผ้าที่พันแผลกลัดหนองเอาไว้ ก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อมตามธรรมเนียม ก่อนลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องด้วยท่วงท่าสง่างาม รู้สึกได้ว่าทุกคนคนในห้องต้องกำลังขุ่นเคืองคุกรุ่น ไม่มีใจที่จะลุกมาส่งเลยสักคน พอออกมาที่ระเบียงทางเดินที่ทำด้วยไม้ขัดดำเป็นกระกาย โอซือก็ต้องยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ห้องที่มูซาชิพักอยู่ตั้งแต่มาถึงท้องถิ่นนี้เมื่อสิบกว่าวันก่อน อยู่ห่างออกไปจากตรงนั้นสองสามห้องบนระเบียงทางเดินเดียวกัน โอซือชำเลืองไปตามแนวทางเดินนิดหนึ่งแล้วพอหันหลังกลับเพื่อเดินไปทางด้านหน้าโรงเตี๊ยม ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูห้องของมูซาชิออกมาที่ทางเดิน
4
ใครคนนั้นวิ่งมาจนทันโอซือแล้วร้องเรียกเอาไว้
“จะกลับแล้วหรือเจ้าคะ”
โอซือหันกลับไปดูก็พบเด็กหญิงคนเดิมที่เป็นคนพาเธอไปที่ห้องของเด็นชิจิโร
“ใช่ ก็เสร็จธุระแล้วนี่”
“เร็วจัง”
โคจะชมแล้วมองไปที่ดอกไม้ในมือโอซือ
“ดอกโบตั๋น ไม่ยักรู้ว่ามีสีขาวด้วย”
“ใช่ นี่เป็นโบตั๋นสีขาวที่ปลูกในปราสาท อยากได้หรือ ฉันให้”
“อยากได้เจ้าค่ะ”
โอซือวางดอกไม้ลงบนมือเด็กหญิงโคจะที่ยื่นมาขอ
“ฉันไปก่อนนะ”
โอซือขึ้นนั่งบนหลังม้าและสะบัดผ้าขึ้นคลุมผม
“แล้วมาอีกนะเจ้าคะ”
เด็กหญิงโคจะส่งแขกแล้วก็เดินอวดดอกโบตั๋นสีขาวกับพวกคนรับใช้ในโรงเตี๊ยมไปทั่ว แต่ไม่มีใครสนใจใคร่ชมมากนักจึงผิดหวังถือกลับมาที่ห้องของมูซาชิ
“ท่านชอบดอกไม้ไหมเจ้าค่ะ”
“ดอกไม้”
มูซาชินั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างจับจ้องไปที่ปราสาทโคยากิวที่เห็นอยู่ไกล ๆ พลางคิดวนเวียนอยู่กับคำถามที่ครุ่นคิดมาหลายวันแล้วแต่ยังหาคำตอบไม่ได้
ทำยังไงถึงจะได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ของปราสาทแห่งนี้ ทำอย่างไรถึงจะได้พบกับเซกิชูไซ และทำอย่างไรจึงจะได้ประดาบกับได้ชื่อว่าพญามังกรเฒ่าผู้นั้น
“สวยดีนี่”
“ชอบไหม”
“ชอบสิ”
“ชื่อดอกโบตั๋น ---โบตั๋นสีขาว”
“พอดีเลย เอาไปปักแจกันนั่นสิ”
“ข้าปักไม่เป็น ท่านปักหน่อยสิ”
“เจ้าปักดีกว่า ปักอย่างไม่ต้องคิดอะไรนั่นแหละดี”
“ขั้นข้าเอาแจกันไปใส่น้ำก่อนนะ”
ว่าแล้วเด็กหญิงโคจะก็อุ้มแจกันออกไป
มูซาชิมองไปที่ดอกโบตั๋นและตาก็ไปสะดุดอยู่ที่รอยตัดตรงปลายก้านดอก
นักดาบหนุ่มพิศดูทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมตาจึงได้ไปสะดุดที่ตรงนั้น สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ
ไม่ได้ดูที่ดอกแต่จับจ้องที่ตรงรอยตัดปลายด้าน พิศแล้วพิศอีกไม่รู้เบื่อ
“อุ๊ย ๆ”
เด็กหญิงโคจะร้องเมื่อน้ำหกเรี่ยลงไปจากแจกันที่เดินประคองเข้ามาวางบนยกพื้นสำหรับวางสิ่งประดับห้อง รับดอกโบตั๋นจากมูซาชิมาเสียบลงไปอย่างไม่พิถีพิถัน
“ไม่ได้ความเลยท่าน”
แม้แต่เด็กน้อยดูก็รู้ว่าไม่ได้ความจริง ๆ
“ใช่ ก้านมันยาวไปหน่อย เอามานี่สิ ข้าจะตัดให้ยาวพอดีเลย”
เด็กหญิงโคจะหยิบดอกไม้จากแจกันขึ้นมาถือไว้
“ข้าจะตัดให้พอดีกับแจกัน เจ้าถือตั้งขึ้น ใช่...อย่างนั้น...เหมือนกับเวลาที่มันขึ้นอยู่บนพื้นดิน”
เด็กหญิงโคจะจับดอกโบตั๋นตั้งขึ้นตามที่มูซาชิบอก และในพริบตานั้นเองเด็กหญิงก็ร้องไห้จ้า ปาดอกไม้ไปทางหนึ่ง
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง---ดูวิธีที่มูซาชิตัดก้านดอกไม้ที่แสนจะบอบบางเสียบ้างว่ามันธรรมดาเสียเมื่อไร
ยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะตั้งตัว มีดสั้นในมือนักดาบหนุ่มที่ไม่รู้ว่าชักออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ฟันฉับลงมาพร้อมกับเสียงร้องเรียกพลังดังกึกก้อง
คมโลหะสะท้อนแสงวาบผ่านระหว่างมือทั้งสองของเด็กหญิงโคจะที่กำก้านดอกไม้อยู่
เสียงคมมีดแหวกอากาศ
เสียงเก็บดาบลงฝักดังกริ๊ก
ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันในเสี้ยววินาทีเดียว
มูซาชิไม่สนใจกับเสียงร้องไห้เพราะเสียขวัญของเด็กหญิงโคจะ
นักดาบหนุ่มหยิบก้านที่ติดดอกกับส่วนที่ถูกตัดขึ้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง
และเทียบรอยตัดของตนกับรอยตัดเดิม
จับจ้องจนตาแทบไม่กระพริบ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ขอพบกับท่านเซกิชูไซหน่อยจะได้ไหม”
โอซือหัวเราะกิ๊ก แก้มนวลเป็นสีชมพูเรื่อน่ารัก
“ทำไมท่าโชตะถึงต้องขอฉันด้วยล่ะเจ้าคะ แปลกจริง”
“แปลกยังไง”
“ก็ฉันเป็นเพียงหญิงเป่าขลุ่ยเร่ร่อนมาแต่ท่านเป็นคนของตระกูลยากิว เข้านอกออกในเป็นประจำ ไม่เห็นจะต้องมาขอฉันเข้าพบท่านอย่างนี้เลย”
“อ้อ”
โชดะ คิซาเอมอนยิ้มด้วยความขบขัน
“แต่ที่นี่เป็นบ้านส่วนตัวของท่านเซกิชูไซ และแม่นางเป็นคนบ้านนี้จึงพิเศษกว่าใคร แต่อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย ขอเข้าเข้าไปพบท่านเถิดนะ”
“เชิญเจ้าค่ะ ท่านอยู่ที่ห้องชาชาตรงนี้เอง”
“อ้อ...กลับมาแล้วรึ”
ท่านเซกิชูไซสวมหมวกครูชงชาที่โอซือเย็บให้ วางท่าสง่างามร้องทักทันทีที่เห็นหน้าบริวารคนสนิท
“ขอรับ กระผมเอาจดหมายไปมอบให้พร้อมขนมตามที่ท่านสั่ง”
“แล้วไง กลับกันไปแล้วรึ”
“ยังน่ะซีขอรับ กระผมถึงได้รีบกลับมาเรียนท่าน คือพอกระผมกลับมายังไม่ทันจะเข้าประตูปราสาท เด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมวาตายะก็เอาจดหมายของซามูไรกลุ่มนั้นมาส่งให้ พร้อมกับสั่งให้มาบอกว่าเมื่อมีโอกาสเดินทางถึงถิ่นนี้แล้วก็ไม่อยากจากไปโดยไม่ได้มาเยือนสำนักดาบยากิว ถ้าทางเราไม่ขัดข้องก็ขอมาในวันพรุ่งนี้ และบอกด้วยว่าจะเข้ามาพบและคารวะท่านด้วย”
“ชิชะ เจ้าพวกอ่อนหัด น่ารำคาญเสียจริง”
เซกิชูไซทำหน้ายุ่งยากสมกับคำพูด
“เจ้าไม่ได้บอกรึว่าที่สำนักไม่มีใครสักคน มูเนโนริก็อยู่ที่เอโดะ โทชิโทชิอยู่ที่คูมาโมโตะ คนอื่นก็ไปที่นั่นที่นี่”
“บอกแล้วขอรับ”
“ข้าละเกลียดนัก พวกที่ดึงดันเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่อย่างนี้ ข้าเขียนทั้งจดหมายทั้งส่งคนไปชี้แจงอย่างแล้วก็ยังจะมาให้ได้ ไร้จรรยามารยาทโดยแท้”
“กระผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงขอรับ”
“มาเจอกับตัวเองอย่างนี้ถึงได้รู้ว่าพวกลูกชายตระกูลโยชิโอกะใช้ไม่ได้จริงอย่างที่เขาลือกัน”
“คนที่กระผมพบคือเด็นชิจิโร มาพักที่ในโรงเตี๊ยมวาตายะระหว่างทางกลับจากศาลเจ้าอิเซะ วางท่าหยิ่งผยอง ขัดหูขัดตามากขอรับ”
“จริงรึ ข้าได้ยินมาว่าโยชิโอกะ เค็มโปผู้พ่อเป็นคนดีมีฝีมือ ข้าเคยพบและชนถ้วยสาเกกันสองสามครั้งตอนไปเกียวโตกับท่านโคอิซุมิ---แต่พอถึงสมัยลูกดูเหมือนสำนักดาบโยชิโอกะจะเสื่อมถอยตกต่ำลง เจ้าหนุ่มคนนี้คงยังหลงเข้าใจตนผิดคิดว่าขึ้นชื่อว่าลูกชายของเค็มโปแล้วละก็ไม่มีสำนักดาบแห่งใดกล้าปฏิเสธคำท้าประลองฝีมือ จะคิดยังไงกับใครก็ช่างแต่ไม่ใช่ที่นี่ สำนักดาบยากิวไม่เห็นประโยชน์อันใดจากการที่จะรับคำท้าและปราบให้สิ้นฤทธิ์กลับไป”
“ซามูไรที่ชื่อเด็นชิจิโรดูมั่นใจในฝีดาบของตนมากเลยขอรับ ถ้าอยากประลองฝีมือจริง ๆ กระผมรับมือให้ก็ได้”
“พอ ๆ โชดะ เจ้าหยุดคิดเดี๋ยวนี้เลย พวกลูกชายคนมีชื่อมีเสียงใหญ่โตมักจะทะนงตนว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นกันทั้งนั้น และพยายามดึงโลกให้มาหมุนรอบตัวตนเอง คนประเภทนี้ลองได้มาประลองฝีมือที่นี่แล้วแพ้กลับไป ก็จะต้องไปว่าร้ายป้ายสีเราเสีย ๆ หาย ๆ ทั่วเกียวโตเป็นแน่ ลำพังข้าคนเดียวไม่เป็นอะไรดอก ห่วงแต่มูเนโนริ กับโทชิโทชิจะพลอยเดือดร้อนรำคาญไปด้วย”
“แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะขอรับ”
“ข้าจะให้ไม่มีการประลองฝีมืออะไรทั้งสิ้น แต่จะทำอย่างละมุนละม่อมที่สุด ให้เจ้าหนุ่มกลับไปด้วยรู้สึกดี ๆ ว่าได้รับการปฏิบัติอย่างสมเกียรติภูมิของลูกชายสำนักดาบที่ยิ่งใหญ่ แต่ครั้นจะส่งผู้ชายไปก็ดูเหมือนจะไม่เหมาะ”
ท่านผู้เฒ่าหันไปทางโอซือและบอกว่า
“ผู้หญิงน่าจะทำหน้าที่ได้แนบเนียนกว่า ใช่เรื่องแบบนี้ต้องผู้หญิง และที่เหมาะสมที่สุดก็คือโอซือ”
“ได้สิเจ้าคะ ไปกันเลย”
“โอซือ เจ้าไม่ต้องเร่งด่วนขนาดนั้นดอก เช้าวันพรุ่งนี้ก็ได้”
ว่าแล้วเซกิชูไซก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายสั้น ๆ แต่ได้ความลึกซึ้งตามแบบฉบับของนักชงชา และหยิบดอกโบตั๋นสีขาวที่เหลือจากปักแจกันดอกหนึ่งแนบไปเป็นนัยแทนคำจบจดหมายนั้น
“เอาจดหมายกับดอกไม้นี้ไปมอบให้เจ้าหนุ่มทระนง และบอกว่าเจ้ามาต้อนรับแทนเซกิชูไซไม่อาจมาได้ด้วยตัวเองเพราะเป็นหวัดนิดหน่อย”
2
เช้าวันรุ่งขึ้น โอซือแต่งตัวเรียบร้อยเข้าไปบอกเซกิชูไซแต่เช้าว่า
“ดิฉันไปละนะเจ้าคะ”
แล้วเอาผ้าเบาบางคลุมผมออกจากเรือนหลังน้อยเพื่อไปทำธุระที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อเดินมาถึงโรงม้าที่อยู่รอบนอกของบริเวณปราสาท โอซือก็เยี่ยมหน้าเข้าไปและร้องบอกว่า
“ขอยืมม้าสักตัวหนึ่งเถิด”
คนเลี้ยงม้าที่กำลังล้างคอกวุ่นอยู่เงยหน้าขึ้นทักเสียงใส
“โอซือ จะไปไหนหรือขอรับ”
“ท่านใช้ให้ไปทำธุระที่โรงเตี๊ยมวาตะยะท้ายปราสาทนี่แหละ”
“งั้นกระผมไปด้วย”
“ไม่ต้องดอกนาย”
“ไปคนเดียวได้หรือขอรับ”
“ฉันเป็นคนรักม้า และคุ้นเคยกับม้าดีมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านนอก”
โอซือควบม้าด้วยท่วงท่าสง่างามเป็นธรรมชาติ ผ่านไปตามทางจากปราสาทโคยากิวมุ่งไปยังหมู่บ้านท้ายปราสาท
ผ้าคลุมผมสีน้ำตาลอมแดงปลิวไสวไปตามลมเสริมให้ภาพนั้นงดงามจับตายิ่งไปอีก ผ้าคลุมผมกลายเป็นเครื่องแต่งตัวล้าสมัยไปแล้วสำหรับผู้หญิงตามเมืองใหญ่ แต่ในชนบทยังนิยมกันอยู่มากในหมู่ลูกสาว เจ้าของที่ดิน ผู้ครองแคว้นและคหบดี
ชาวไร่ชาวนาระหว่างทาง ต่างวางมือจากงาน เงยหน้าขึ้นจับตามองไปยังโอซือ มือหนึ่งถือจดหมายของเซกิชูไซแนบด้วยดอกโบตั๋นสีขาวที่กำลังแย้มกลีบบาน มือหนึ่งกุมบังเหียนควบม้าผ่านลิ่วราวลอยล่องไปกับสายลม
“แม่นางโอซือ”
“โอซือ แม่นางแห่งปราสาทโคยากิว เจ้าของเสียงขลุ่ยไพเราะจับใจ”
ต่างคนต่างพยักหน้าให้กันและกล่าวขวัญด้วยความชื่นชม
การที่ชื่อเสียงของโอซือเลื่องลือไปถึงชาวไร่ชาวนาท้ายปราสาทหลังจากที่มาอยู่ได้เพียงไม่นาน แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างเซกิชูไซกับชาวบ้านทุกระดับที่ลึกซึ้งไปกว่าความเป็นเจ้าของที่ดินกับลูกบ้านทั่วไป และเมื่อได้ข่าวว่าเซกิชูไซมีความสุขและบันเทิงใจยิ่งนักที่ได้สาวงามผู้เป่าขลุ่ยไพเราะจับใจที่ชื่อโอซือมาอยู่ด้วย ความเคารพรักที่มีต่อเซกิชูไซจึงแผ่มาถึงโอซือ ทั้งเมื่อยิ่งเห็นความงดงามน่ารักมีไมตรีจิตสนิทสนมของโอซือด้วยแล้วก็ยิ่งนิยมชมชอบดั่งขวัญใจ
และเมื่อควบม้ามาใกล้จะถึง โอซือก็หยุดม้าร้องถามหญิงชาวบ้านคนหนึ่งแบกลูกไว้บนหลัง นั่งล้างหม้ออยู่ที่ลำธารว่า
“เธอรู้ไหมว่าโรงเตี๊ยมที่ชื่อวาตายะอยู่ที่ไหน”
“แม่นางจะไปที่นั่นรึ อิฉันจะนำทางให้”
ว่าแล้วนางก็ทิ้งงานวิ่งตรงเข้ามาหาทันที
“ไม่ต้องหรอก แค่บอกทางให้ก็พอ ฉันไปเองได้”
“งั้นรึ วาตายะอยู่ไม่ไกลหรอกแม่นาง อีกนิดเดียวก็ถึง”
แต่อีกนิดเดียวของนางนั้น ถ้าให้เดินก็ออกจะไกลอยู่
“ขอบใจนะ”
“โรงเตี๊ยมนี้ต้องใช่วาตะยะแน่”
โอซือคิดพลางลงจากหลังม้าแล้วจูงไปผูกไว้ที่ต้นไม้ตรงชายคา
“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ”
สาวน้อยโคจะแล่นออกมาต้อนรับทันควัน
“หาที่พักแรมหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่หรอกแม่หนู ท่านเซกิชูไซแห่งปราสาทโคยากิวมอบหมายให้ฉันมาพูดธุระกับท่านโยชิโอกะ เด็นชิจิโร ที่พักอยู่ที่นี่”
โคจะรับคำแล้วหายเข้าไปข้างใน ไม่นานก็ออกมาบอกว่า
“เชิญเจ้าค่ะ”
โอซือมาถึงพอดีกับเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนของโรงเตี๊ยม นักเดินทางหลายคนเดินขวักไขว่ไปมา บ้างนั่งลงใส่รองเท้า บ้างยกสัมภาระขึ้นแบกหลัง เรียกหาพวกพ้องบ้างคนรับใช้บ้าง ขรมถมเถไปหมด หนุ่ม ๆ เห็นหญิงสาวทั้งสอสวยทั้งท่วงทีมีสง่าก็กระซิบถามกันว่าสาวบ้านไหน บ้าง แขกของใครบ้าง และมองโอซือที่เดินตามไปเด็กหญิงโคจะลึกเข้าไปในเรือน จนสุดสายตา
โยชิโกะ เด็นชิจิโร กับพวกร่ำสุรากันจนดึกดื่นเพิ่งจะลืมตาตื่น เมื่อเด็กหญิงโคจะขึ้นมาปลุกว่ามีคนจากปราสาทโคยากิวมาขอพบ ก็ตาลีตาลานลุกขึ้นเตรียมตัวต้อนรับนึกรำคาญว่าซามูไรร่างใหญ่หนวดเคราดำครึ้มเหมือนหมีมาแล้วยังจะมาทำไมอีก แต่ก็ต้องตลึงลานไปตาม ๆ กันเมื่อเห็นทูตโฉมงามจากปราสาทโคยากิวมาพร้อมกับดอกโบตั๋นสีขาวสดสวย
“ขอโทษแม่นาง ที่ห้องของเรารกรุงรังไม่ควรแก่การเป็นที่ต้อนรับเช่นนี้”
ทุกคนหน้าเจื่อนด้วยความอับอาย เพราะไม่เพียงแต่สภาพห้องแต่ผมเผ้ายังยุ่งเหยิงและเครื่องแต่งกายยับเยินจนต้องรีบจับเข้ารูปเป็นพัลวัน
“เชิญแม่นางทางนี้เถิด เชิญ เชิญ
3
“ท่านเซกิชูไซแห่งปราสาทโคยากิวมอบหมายให้ฉันมามอบดอกไม้และจดหมายฉบับนี้ให้แก่ท่าน”
โอซือเลื่อนดอกโบตั๋นสีขาวไปตรงหน้าเด็นชิจิโร
“เชิญรับไปด้วยเถิด”
“จดหมายรึ”
เด็นชิจิโรคลี่ม้วนจดหมายออกอ่าน
จดหมายของเซกิชูไซเป็นแถบกระดาษยาวไม่ถึงหนึ่งศอก ตัวอักษรลายพู่กันสีจาง ๆ เรียงเป็นแถวได้กลิ่นชานิด ๆ อ่านได้ความว่า...เราต้องขออภัยที่ต้องส่งจดหมายมาทักทายแทนตัวที่ไม่อาจมาพบเองได้ เพราะช่วงนี้เป็นหวัด เจ็บคอ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหายตามประสาคนชรา และขอส่งดอกโบตั๋นงามบริสุทธิ์ดอกนี้มาให้ ด้วยคิดว่าจะประเทืองอารมณ์ท่านที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล มากกว่าจะต้องมาทนรำคาญคนชราที่เป็นหวัดนั่งทำจมูกฟุตฟิต เราให้ดอกไม้เป็นคนนำดอกไม้มามอบให้ท่านด้วยความหวังว่าท่านจะให้อภัยที่ข้าเสียมารยาทครั้งนี้ เพราะทุกวันนี้เราปลีกตัวที่แก่ชราออกมามีชีวิตอยู่ห่างไกลจากสังคมไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเห็นตา เขียนมาด้วยความระลึกถึง...เซกิชูไซ
เด็นชิจิโรทำเสียงในจมูกอย่างไม่สบอารมณ์
“เท่านี้เองรึ”
“ของที่ท่านเซกิชูไซฝากมีเท่านี้ แต่ท่านได้ฝากคำพูดมากับฉันว่า ท่านอยากเชิญท่านมาดื่มน้ำชาด้วยกันสักถ้วย แต่ก็ขัดที่ว่าขณะนี้ในปราสาทไม่มีนักรบที่ได้เรื่องได้ราวพอจะต้อนรับท่านได้เลยสักคน พอดีกับมูเนโนริบุตรชายก็ไปประจำอยู่ที่เอโดะเสียด้วย จึงคิดว่าหากเรารับรองท่านได้ไม่ดีก็จะกลายเป็นเรื่องขบขันให้คนในนครหลวงได้หัวเราะกันครื้นเครงไปเสียเปล่า ๆ จึงต้องขอโทษอีกครั้ง และหวังว่าจะได้พบท่านในโอกาสที่ดีกว่านี้ในอนาคต---”
“อ้อ”
เด็นชิจิโรรับฟังแล้วทำหน้าประหลาดใจ
“ฟังคำพูดของท่านเซกิชูไซแล้ว ดูเหมือนท่านจะเข้าใจว่าเรามาด้วยความหวังที่จะเข้าร่วมพิธีชงชาอันทรงเกียรติของท่าน แต่ขอบอกตรง ๆ เลยว่าคนที่เกิดในตระกูลนักรบอย่างเราไม่เข้าใจเรื่องชาทั้งสิ้น เราแวะมาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะอยากเข้าเยี่ยมเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของท่านเซกิชูไซ และถือโอกาสขอคำแนะนำกลยุทธ์เชิงดาบให้เราได้เรียนรู้บ้างเท่านั้นเอง”
“ฉันรู้ว่าท่านเซกิชูไซเข้าใจความประสงค์ของท่านดี แต่ทุกวันนี้ท่านใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบ โดยมีสายลมและแสงเดือนเป็นเพื่อน และมีวิถีแห่งชาเป็นชีวิตจิตใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”
เด็นชิจิโรทำหน้าบึ้งตึง
“ช่วยเรียนท่านเซกิชูไซด้วยว่า ถ้าผ่านมาทางนี้อีกเราจะหาโอกาสพบกับท่านให้ได้”
ว่าแล้วก็เลื่อนดอกโบตั๋นคืนให้โอซือ
“สำหรับโบตั๋นสีขาวดอกนี้ ท่านเซกิชูไซมอบให้ท่านด้วยหวังว่าจะช่วยให้ท่านได้ชมให้ชื่นใจระหว่างการเดินทาง ขอให้ท่านเอากลับไปด้วย ถ้านั่งคานหามก็ขอให้เสียบเอาไว้ข้างกาย ถ้าขี่ม้าก็ขอให้เสียบไว้ที่อาน”
“อะไรนะ นี่คือของที่ระลึกอย่างนั้นรึ”
เด็นชิจิโรปรายตามองและเบ้ปากอย่างดูแคลน สีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ฝากบอกท่านด้วยแล้วกันว่าที่เกียวโตมีดอกโบตั๋นออกเกลื่อนไป”
เมื่อให้แล้วเขาไม่รับ โอซือก็ไม่คิดที่จะเซ้าซี้ จึงบอกลาเอาดื้อ ๆ
“ถ้าเช่นนั้น ฉันก็ขอตัว”
ว่าแล้วก็กรีดนิ้วดอกโบตั๋นขึ้นอย่างเบามือด้วยกิริยาเหมือนค่อย ๆ เปิดผ้าที่พันแผลกลัดหนองเอาไว้ ก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อมตามธรรมเนียม ก่อนลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องด้วยท่วงท่าสง่างาม รู้สึกได้ว่าทุกคนคนในห้องต้องกำลังขุ่นเคืองคุกรุ่น ไม่มีใจที่จะลุกมาส่งเลยสักคน พอออกมาที่ระเบียงทางเดินที่ทำด้วยไม้ขัดดำเป็นกระกาย โอซือก็ต้องยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ห้องที่มูซาชิพักอยู่ตั้งแต่มาถึงท้องถิ่นนี้เมื่อสิบกว่าวันก่อน อยู่ห่างออกไปจากตรงนั้นสองสามห้องบนระเบียงทางเดินเดียวกัน โอซือชำเลืองไปตามแนวทางเดินนิดหนึ่งแล้วพอหันหลังกลับเพื่อเดินไปทางด้านหน้าโรงเตี๊ยม ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูห้องของมูซาชิออกมาที่ทางเดิน
4
ใครคนนั้นวิ่งมาจนทันโอซือแล้วร้องเรียกเอาไว้
“จะกลับแล้วหรือเจ้าคะ”
โอซือหันกลับไปดูก็พบเด็กหญิงคนเดิมที่เป็นคนพาเธอไปที่ห้องของเด็นชิจิโร
“ใช่ ก็เสร็จธุระแล้วนี่”
“เร็วจัง”
โคจะชมแล้วมองไปที่ดอกไม้ในมือโอซือ
“ดอกโบตั๋น ไม่ยักรู้ว่ามีสีขาวด้วย”
“ใช่ นี่เป็นโบตั๋นสีขาวที่ปลูกในปราสาท อยากได้หรือ ฉันให้”
“อยากได้เจ้าค่ะ”
โอซือวางดอกไม้ลงบนมือเด็กหญิงโคจะที่ยื่นมาขอ
“ฉันไปก่อนนะ”
โอซือขึ้นนั่งบนหลังม้าและสะบัดผ้าขึ้นคลุมผม
“แล้วมาอีกนะเจ้าคะ”
เด็กหญิงโคจะส่งแขกแล้วก็เดินอวดดอกโบตั๋นสีขาวกับพวกคนรับใช้ในโรงเตี๊ยมไปทั่ว แต่ไม่มีใครสนใจใคร่ชมมากนักจึงผิดหวังถือกลับมาที่ห้องของมูซาชิ
“ท่านชอบดอกไม้ไหมเจ้าค่ะ”
“ดอกไม้”
มูซาชินั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างจับจ้องไปที่ปราสาทโคยากิวที่เห็นอยู่ไกล ๆ พลางคิดวนเวียนอยู่กับคำถามที่ครุ่นคิดมาหลายวันแล้วแต่ยังหาคำตอบไม่ได้
ทำยังไงถึงจะได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ของปราสาทแห่งนี้ ทำอย่างไรถึงจะได้พบกับเซกิชูไซ และทำอย่างไรจึงจะได้ประดาบกับได้ชื่อว่าพญามังกรเฒ่าผู้นั้น
“สวยดีนี่”
“ชอบไหม”
“ชอบสิ”
“ชื่อดอกโบตั๋น ---โบตั๋นสีขาว”
“พอดีเลย เอาไปปักแจกันนั่นสิ”
“ข้าปักไม่เป็น ท่านปักหน่อยสิ”
“เจ้าปักดีกว่า ปักอย่างไม่ต้องคิดอะไรนั่นแหละดี”
“ขั้นข้าเอาแจกันไปใส่น้ำก่อนนะ”
ว่าแล้วเด็กหญิงโคจะก็อุ้มแจกันออกไป
มูซาชิมองไปที่ดอกโบตั๋นและตาก็ไปสะดุดอยู่ที่รอยตัดตรงปลายก้านดอก
นักดาบหนุ่มพิศดูทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมตาจึงได้ไปสะดุดที่ตรงนั้น สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ
ไม่ได้ดูที่ดอกแต่จับจ้องที่ตรงรอยตัดปลายด้าน พิศแล้วพิศอีกไม่รู้เบื่อ
“อุ๊ย ๆ”
เด็กหญิงโคจะร้องเมื่อน้ำหกเรี่ยลงไปจากแจกันที่เดินประคองเข้ามาวางบนยกพื้นสำหรับวางสิ่งประดับห้อง รับดอกโบตั๋นจากมูซาชิมาเสียบลงไปอย่างไม่พิถีพิถัน
“ไม่ได้ความเลยท่าน”
แม้แต่เด็กน้อยดูก็รู้ว่าไม่ได้ความจริง ๆ
“ใช่ ก้านมันยาวไปหน่อย เอามานี่สิ ข้าจะตัดให้ยาวพอดีเลย”
เด็กหญิงโคจะหยิบดอกไม้จากแจกันขึ้นมาถือไว้
“ข้าจะตัดให้พอดีกับแจกัน เจ้าถือตั้งขึ้น ใช่...อย่างนั้น...เหมือนกับเวลาที่มันขึ้นอยู่บนพื้นดิน”
เด็กหญิงโคจะจับดอกโบตั๋นตั้งขึ้นตามที่มูซาชิบอก และในพริบตานั้นเองเด็กหญิงก็ร้องไห้จ้า ปาดอกไม้ไปทางหนึ่ง
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง---ดูวิธีที่มูซาชิตัดก้านดอกไม้ที่แสนจะบอบบางเสียบ้างว่ามันธรรมดาเสียเมื่อไร
ยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะตั้งตัว มีดสั้นในมือนักดาบหนุ่มที่ไม่รู้ว่าชักออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ฟันฉับลงมาพร้อมกับเสียงร้องเรียกพลังดังกึกก้อง
คมโลหะสะท้อนแสงวาบผ่านระหว่างมือทั้งสองของเด็กหญิงโคจะที่กำก้านดอกไม้อยู่
เสียงคมมีดแหวกอากาศ
เสียงเก็บดาบลงฝักดังกริ๊ก
ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันในเสี้ยววินาทีเดียว
มูซาชิไม่สนใจกับเสียงร้องไห้เพราะเสียขวัญของเด็กหญิงโคจะ
นักดาบหนุ่มหยิบก้านที่ติดดอกกับส่วนที่ถูกตัดขึ้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง
และเทียบรอยตัดของตนกับรอยตัดเดิม
จับจ้องจนตาแทบไม่กระพริบ