นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
พอคิดว่าลูกชายคนที่สองของตระกูลโยชิโอกะที่ชายสามคนพูดถึงในห้องแช่น้ำแร่น่าหมายถึงเด็นชิจิโรน้องชายของเซอิจูโร มูซาชิก็เกร็งตัวระวังระไวขึ้นทันที
ตอนไปเยือนสำนักดาบโยชิโอกะที่ชิโจในเกียวโต ได้ยินศิษย์ที่นั่นคุยกันว่าเด็นชิจิโรไม่อยู่เพราะไปสักการะศาลเจ้าอิเซะกับเพื่อน คิดตามวันเวลาแล้วก็ไม่แปลกอะไรที่นักดาบเอกแห่งนครหลวงผู้นี้จะแวะพักที่นี่ระหว่างเดินทางกลับ และชายทั้งสามอาจเป็นเด็นชิจิโรกับเพื่อนที่เดินทางไปศาลเจ้าอิเซะด้วยกันก็ได้
รู้สึกว่าข้าจะโชคไม่ค่อยดีเวลาลงแช่น้ำแร่
มูซาชิคิดอยู่ในใจ ประสาททุกส่วนตื่นตัวระวังภัยเต็มที่ นักดาบหนุ่มไม่เคยลืมบทเรียน ที่ทำให้อับอายขายหน้ายิ่งนัก นึกขึ้นมาทีไรใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว ตอนหลงกลแม่เฒ่าโอซุงิแม่ของฮนอิเด็น มาตาฮาจิ ถูกเจ้าหน้าที่ล้อมจับทั้งที่กำลังเปลือยกายแช่น้ำอยู่อย่างสบายใจที่หมู่บ้านมิยาโมโตะบ้านเกิด แล้วครั้งนี้ยังจะมาตกที่นั่งต้องเผชิญหน้ากับลูกชายคนหนึ่งของโยชิโอกะ เค็มโปในสภาพเปลือยเปล่าอย่างนี้น่ะหรือ
แม้จะอยู่ระหว่างการเดินทางไปอิเซะ แต่ก็คิดว่าข่าวมูซาชิไปเยือนสำนักดาบของตนที่ชิโจจะต้องแพร่ไปถึงหูเด็นชิจิโรบ้างไม่มากก็น้อย และถ้ารู้ว่าชายร่างใหญ่ในอ่างแช่น้ำแร่คนนี้คือมิยาโมโตะ มูซาชิ ก็คงจะแล่นไปหยิบดาบจากห้องพักข้าง ๆ นี้มาตั้งท่าคุมเชิงแทนคำทักทายแน่นอน
แต่ขณะที่มูซาชิเกร็งกายพร้อมรับมืออยู่นั้น ชายทั้งสามไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะเบนความสนใจมาทางนี้ ได้แต่คุยฟุ้งเรื่องที่ตนส่งสารไปยังบ้านของตระกูลยากิวทันทีที่มาถึง
โยชิโอกะเป็นตระกูลนักดาบชั้นเอกของโชกุนอาชิกางะคุโบ และเค็มโปเจ้าสำนักคนก่อนก็เป็นคนที่คุ้นเคยกันดีกับเซกิชูไซสมัยที่ยังใช้ชื่อว่ามูเนโยชิแห่งสำนักยากิว ดังนั้นเมื่อได้รับสารจากลูกชายของเค็มโปที่เดินทางผ่านก็ไม่อาจทำเพิกเฉย จึงมอบหมายให้ โชดะ คิซาเอมอนผู้เป็นบริวารนำสารตอบรับเป็นเชิงทักทายไปมอบให้
นักดาบหนุ่มแห่งนครหลวงเห็นตีความเอาแต่ดีเข้าตนเอง และดูแคลนว่าสำนักดาบยากิวไม่แน่จริงบ้าง ไม่พร้อมเสี่ยงเมื่อรู้ว่าจะต้องประลองฝีมือกับนักดาบเอกของโยชิโอกะบ้าง คุยโวกันไประหว่างชำระล้างเหงื่อไคลจากการเดินทาง---
มูซาชิที่ได้เดินดูรอบอาณาบริเวณของปราสาทยากิวรวมทั้งสังเกตการดำรงชีวิตของผู้คนในหุบเขายากิวมาอย่างละเอียดหัวเราะคิดบ้องตื้นของชายทั้งสามอย่างไม่หยุดอยู่ในใจ แม้จะพยายามระงับแล้วแต่ก็ยังมีเสียงดังลอดออกมาบ้าง
สำนักยากิว ณ ชนบทแห่งนี้เปรียบเสมือนกบในบ่อลึกตามคำพังเพย

นักดาบนครหลวงกลุ่มนี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่เปรียบเสมือนมหาสมุทร ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้งอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เคยสนใจที่จะนึกถึงความลึกล้ำของภูมิปัญญาและความยิ่งใหญ่ที่กบสั่งสมเพิ่มพูนอยู่ภายในบ่อลึกแห่งนี้โดยที่ไม่มีใครรู้ นักรบบ้านนอกที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางการปกครองและความเจริญรุ่งเรืองนั้น ได้ซุ่มสร้างพลังอยู่ก้นบึ้งของบ่อที่ขุดลงไปถึงตาน้ำ พลังนั้นแข็งแกร่งขึ้นไม่รู้ว่ากี่สิบ ๆ ปีหรือร้อยปี ผ่านกาลเวลาแห่งดอกไม้บานและใบไม้ร่วงหล่นไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน จนวันหนึ่งบ่อน้ำเก่าแก่ในชื่อของสำนักยากิวก็ได้ให้กำเนิดเซกิชูไซหรือนามเดิมมูเนโยชิผู้ เป็นปรมาจารย์แห่งวิทยายุทธ์ และบุตรชายนามมูเนโนริผู้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจจากโทกูงาวะ อีเอยาซุให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลโชกุนที่เอโดะ ส่วนบุตรชายคนอื่นซึ่งได้แก่โกโรซาเอมอนและโทชิก็ได้ชื่อว่าเป็นนักรบผู้กล้าหาญมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทุกแว่นแคว้น ทั้งรุ่นหลานก็มีเฮียวโงะ โทชิโทชินักรบระดับขุนพลผู้ได้รับฉายาลูกมังกรในกองทัพของคาโต คิโยมาซะแห่งฮิโงะ และยังมีกบผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายตัวที่ผงาดขึ้นจากบ่อลึกเก่าแก่แห่งนี้สู่โลกกว้าง
ถ้าเทียบกันด้านชื่อเสียงแล้วโยชิโอกะอาจเหนือกว่ายากิวมากก็จริง แต่ไม่กี่วันว่านี้มันกลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว โดยที่เด็นชิจิโรและเพื่อนคนอื่นในห้องอาบน้ำนี้ยังไม่ตระหนักรู้
มูซาชิยังไม่หายขบขันทั้งยังเวทนา ที่ชายทั้งสามยังคุยโวและยกตนข่มท่านอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
จนไม่อาจข่มไม่ให้แสดงความรู้สึกออกมาบนใบหน้าไม่ได้ จึงเลี่ยงไปที่มุมหนึ่งของห้องอาบน้ำและสยายผมออก ใช้ก้อนดินเหนียวถูที่โคนผมจนทั่วแล้วสระออก เป็นครั้งแรกในไม่รู้กี่ยามที่ได้สยายผมออกสระจนสะอาดและหัวเบาเช่นนี้
ระหว่างนั้น...
“สบายเนื้อสบายตัวดีจริง”
“ความวิเศษของการเดินทาง อยู่ที่ความรู้สึกเมื่อขึ้นจากน้ำแร่ อย่างนี้นี่เอง”
“และที่วิเศษกว่านั้นก็คือ...”
“จะมีอะไรเลิศไปกว่าการได้ดื่มสาเกที่มีสาวงามคอยรินให้ในยามค่ำคืนอีกเล่าท่าน”
ชายทั้งสามคุยกันอย่างสบายอารมณ์ขณะเช็ดเนื้อเช็ดตัวและพากันออกไปจากห้องแช่น้ำ
2
มูซาชิเช็ดผมที่สบายฟูอยู่จนแห้งรวบขึ้นรัดไว้เป็นทรงเดิมก่อนกลับห้องพัก
“อ้าว เป็นไรไปล่ะเจ้า”
นักดาบหนุ่มร้องทักเมื่อเห็นเด็กหญิงโคจะที่ท่าทางเหมือนเด็กชายซน ๆ กำลังร้องไห้กระซิก ๆ อยู่ที่มุมห้อง
“ท่านเจ้าคะ เจ้าเด็กคนนั้นมันตีหนู”
“โกหก”
โจทาโรยืนหน้างออยู่อีกมุมหนึ่ง ร้องเถียงเสียงลั่น
“ทำไมรังแกผู้หญิง”
มูซาชิดุ
“ก็นางนั่นอยากมาว่าครูอ่อนแอทำไมล่ะ”
“ไม่จริ๊ง ไม่ได้พูด”
“เจ้าพูด ข้าได้ยิน”
“ไม่มีใครพูดสักคนว่าท่านอ่อนแอ เจ้านั่นแหละที่มาทำคุยโวอย่างนั้นอย่างนี้ เล่าว่าครูของเจ้าเป็นนักดาบผู้มีฝีมือดีเป็นหนึ่งในญี่ปุ่น ฟันซามูไรไร้นายตายเป็นสิบ ๆ ที่ทุ่งฮันเนียโนะ ข้าหมั่นไส้ ก็เลยคุยทับว่าอาจารย์ดาบที่เก่งกาจที่สุดในญี่ปุ่นคือท่านเจ้าของที่ดินในอาณาจักรยากิวของเราแห่งนี้ต่างหาก พูดแค่นี้ทำไมถึงต้องตบหน้าข้าด้วย”
มูซาชิหัวเราะ
“อย่างนี้นี่เอง แย่มากเด็กคนนี้ ขอโทษนะโคจะ เดี๋ยวข้าจะดุให้”
โจทาโรทำหน้าบึ้ง
“โจทาโร”
“ขอรับ”
“ไปอาบน้ำ”
“ข้าไม่ชอบน้ำร้อน”
“ข้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่เนื้อตัวเหม็นขี้เหงื่อเต็มทน ไปอาบดีกว่านะ”
“พรุ่งนี้ ข้าจะไปว่ายน้ำที่แม่น้ำ”
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานวันจนคุ้นเคย โจทาโรก็ยิ่งแสดงธาตุแท้ของเด็กดื้อออกมาให้เห็น แต่มูซาชิกลับชอบ
ไม่นานเด็กหญิงโคจะก็ยกถาดอาหารมาให้ที่ห้อง
หน้ายังงอ ไม่พูดไม่จาและจ้องตากับโจทาโรไม่ยอมหลบกันและกัน
ช่วงหลายวันมานี้ มูซาชิมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก
ทำอย่างไรความปรารถนาจึงจะบรรลุความเป็นจริง
ความปรารถนานั้นก็คือการที่จะได้พบกับเซกิชูไซมูเนโยชิ ปรมาจารย์แห่งสำนักยากิว
แม้จะรู้ตัวดีว่าความปรารถนานั้นใหญ่เกินตัวนักรบพเนจรคนหนึ่ง แต่มูซาชิก็เชื่อว่าจะต้องมีความเป็นไปได้อยู่ที่ไหนสักแห่ง จึงได้มาพักรอโอกาสเหมาะอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้
อ่านใจของนักดาบหนุ่มที่เลือดนักสู้กำลังร้อนระอุ ออกมาเป็นคำพูดได้ว่า---
เมื่อถึงคราวที่ข้าต้องสู้ก็ขอสู้กับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ แม้ต้องเดิมพันด้วยชีวิต เมื่อมาถึงถิ่นนี้แล้วหากไม่ได้ประดาบกับยากิว มูเนโยชิ การแสวงหาวิทยายุทธ์บนวิถีแห่งดาบก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป ผลอาจปรากฏว่าสามารถพิชิตฝีมือดาบของยากิวผู้ยิ่งใหญ่ อาจสิ้นชื่อฝีมือดาบแห่งตน
และใครก็ตามที่ไม่รู้ใจกัน ได้ยินความปรารถนาของนักรบหนุ่มผู้นี้ก็คงจะหัวเราะและว่าบ้าบิ่น
มูซาชิเองก็รู้ตัวว่าที่ตนคิดทำอยู่นั้นมันเกินขอบเขตของสามัญสำนึก
อย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ครองปราสาท บุตรชายคนหนึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับปรมาจารย์ของนักรบในรัฐบาลโชกุนที่ เอโดะ ยากิวตระกูลนักรบที่สืบทอดมาหลายชั่วคนตระกูลนี้กำลังย่างเข้าสู่ยุครุ่งเรือง จากการเป็นคลื่นลูกใหม่อยู่ในกระแสความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย กุมอนาคตของชาติเอาไว้ในกำมือ
ครั้งนี้เราจะได้ประลองฝีมืออย่างแท้จริง
มูซาชิเตรียมใจพร้อมสู้แม้ในระหว่างที่เคี้ยวข้าว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
พอคิดว่าลูกชายคนที่สองของตระกูลโยชิโอกะที่ชายสามคนพูดถึงในห้องแช่น้ำแร่น่าหมายถึงเด็นชิจิโรน้องชายของเซอิจูโร มูซาชิก็เกร็งตัวระวังระไวขึ้นทันที
ตอนไปเยือนสำนักดาบโยชิโอกะที่ชิโจในเกียวโต ได้ยินศิษย์ที่นั่นคุยกันว่าเด็นชิจิโรไม่อยู่เพราะไปสักการะศาลเจ้าอิเซะกับเพื่อน คิดตามวันเวลาแล้วก็ไม่แปลกอะไรที่นักดาบเอกแห่งนครหลวงผู้นี้จะแวะพักที่นี่ระหว่างเดินทางกลับ และชายทั้งสามอาจเป็นเด็นชิจิโรกับเพื่อนที่เดินทางไปศาลเจ้าอิเซะด้วยกันก็ได้
รู้สึกว่าข้าจะโชคไม่ค่อยดีเวลาลงแช่น้ำแร่
มูซาชิคิดอยู่ในใจ ประสาททุกส่วนตื่นตัวระวังภัยเต็มที่ นักดาบหนุ่มไม่เคยลืมบทเรียน ที่ทำให้อับอายขายหน้ายิ่งนัก นึกขึ้นมาทีไรใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว ตอนหลงกลแม่เฒ่าโอซุงิแม่ของฮนอิเด็น มาตาฮาจิ ถูกเจ้าหน้าที่ล้อมจับทั้งที่กำลังเปลือยกายแช่น้ำอยู่อย่างสบายใจที่หมู่บ้านมิยาโมโตะบ้านเกิด แล้วครั้งนี้ยังจะมาตกที่นั่งต้องเผชิญหน้ากับลูกชายคนหนึ่งของโยชิโอกะ เค็มโปในสภาพเปลือยเปล่าอย่างนี้น่ะหรือ
แม้จะอยู่ระหว่างการเดินทางไปอิเซะ แต่ก็คิดว่าข่าวมูซาชิไปเยือนสำนักดาบของตนที่ชิโจจะต้องแพร่ไปถึงหูเด็นชิจิโรบ้างไม่มากก็น้อย และถ้ารู้ว่าชายร่างใหญ่ในอ่างแช่น้ำแร่คนนี้คือมิยาโมโตะ มูซาชิ ก็คงจะแล่นไปหยิบดาบจากห้องพักข้าง ๆ นี้มาตั้งท่าคุมเชิงแทนคำทักทายแน่นอน
แต่ขณะที่มูซาชิเกร็งกายพร้อมรับมืออยู่นั้น ชายทั้งสามไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะเบนความสนใจมาทางนี้ ได้แต่คุยฟุ้งเรื่องที่ตนส่งสารไปยังบ้านของตระกูลยากิวทันทีที่มาถึง
โยชิโอกะเป็นตระกูลนักดาบชั้นเอกของโชกุนอาชิกางะคุโบ และเค็มโปเจ้าสำนักคนก่อนก็เป็นคนที่คุ้นเคยกันดีกับเซกิชูไซสมัยที่ยังใช้ชื่อว่ามูเนโยชิแห่งสำนักยากิว ดังนั้นเมื่อได้รับสารจากลูกชายของเค็มโปที่เดินทางผ่านก็ไม่อาจทำเพิกเฉย จึงมอบหมายให้ โชดะ คิซาเอมอนผู้เป็นบริวารนำสารตอบรับเป็นเชิงทักทายไปมอบให้
นักดาบหนุ่มแห่งนครหลวงเห็นตีความเอาแต่ดีเข้าตนเอง และดูแคลนว่าสำนักดาบยากิวไม่แน่จริงบ้าง ไม่พร้อมเสี่ยงเมื่อรู้ว่าจะต้องประลองฝีมือกับนักดาบเอกของโยชิโอกะบ้าง คุยโวกันไประหว่างชำระล้างเหงื่อไคลจากการเดินทาง---
มูซาชิที่ได้เดินดูรอบอาณาบริเวณของปราสาทยากิวรวมทั้งสังเกตการดำรงชีวิตของผู้คนในหุบเขายากิวมาอย่างละเอียดหัวเราะคิดบ้องตื้นของชายทั้งสามอย่างไม่หยุดอยู่ในใจ แม้จะพยายามระงับแล้วแต่ก็ยังมีเสียงดังลอดออกมาบ้าง
สำนักยากิว ณ ชนบทแห่งนี้เปรียบเสมือนกบในบ่อลึกตามคำพังเพย
นักดาบนครหลวงกลุ่มนี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่เปรียบเสมือนมหาสมุทร ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้งอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เคยสนใจที่จะนึกถึงความลึกล้ำของภูมิปัญญาและความยิ่งใหญ่ที่กบสั่งสมเพิ่มพูนอยู่ภายในบ่อลึกแห่งนี้โดยที่ไม่มีใครรู้ นักรบบ้านนอกที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางการปกครองและความเจริญรุ่งเรืองนั้น ได้ซุ่มสร้างพลังอยู่ก้นบึ้งของบ่อที่ขุดลงไปถึงตาน้ำ พลังนั้นแข็งแกร่งขึ้นไม่รู้ว่ากี่สิบ ๆ ปีหรือร้อยปี ผ่านกาลเวลาแห่งดอกไม้บานและใบไม้ร่วงหล่นไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน จนวันหนึ่งบ่อน้ำเก่าแก่ในชื่อของสำนักยากิวก็ได้ให้กำเนิดเซกิชูไซหรือนามเดิมมูเนโยชิผู้ เป็นปรมาจารย์แห่งวิทยายุทธ์ และบุตรชายนามมูเนโนริผู้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจจากโทกูงาวะ อีเอยาซุให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลโชกุนที่เอโดะ ส่วนบุตรชายคนอื่นซึ่งได้แก่โกโรซาเอมอนและโทชิก็ได้ชื่อว่าเป็นนักรบผู้กล้าหาญมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทุกแว่นแคว้น ทั้งรุ่นหลานก็มีเฮียวโงะ โทชิโทชินักรบระดับขุนพลผู้ได้รับฉายาลูกมังกรในกองทัพของคาโต คิโยมาซะแห่งฮิโงะ และยังมีกบผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายตัวที่ผงาดขึ้นจากบ่อลึกเก่าแก่แห่งนี้สู่โลกกว้าง
ถ้าเทียบกันด้านชื่อเสียงแล้วโยชิโอกะอาจเหนือกว่ายากิวมากก็จริง แต่ไม่กี่วันว่านี้มันกลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว โดยที่เด็นชิจิโรและเพื่อนคนอื่นในห้องอาบน้ำนี้ยังไม่ตระหนักรู้
มูซาชิยังไม่หายขบขันทั้งยังเวทนา ที่ชายทั้งสามยังคุยโวและยกตนข่มท่านอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
จนไม่อาจข่มไม่ให้แสดงความรู้สึกออกมาบนใบหน้าไม่ได้ จึงเลี่ยงไปที่มุมหนึ่งของห้องอาบน้ำและสยายผมออก ใช้ก้อนดินเหนียวถูที่โคนผมจนทั่วแล้วสระออก เป็นครั้งแรกในไม่รู้กี่ยามที่ได้สยายผมออกสระจนสะอาดและหัวเบาเช่นนี้
ระหว่างนั้น...
“สบายเนื้อสบายตัวดีจริง”
“ความวิเศษของการเดินทาง อยู่ที่ความรู้สึกเมื่อขึ้นจากน้ำแร่ อย่างนี้นี่เอง”
“และที่วิเศษกว่านั้นก็คือ...”
“จะมีอะไรเลิศไปกว่าการได้ดื่มสาเกที่มีสาวงามคอยรินให้ในยามค่ำคืนอีกเล่าท่าน”
ชายทั้งสามคุยกันอย่างสบายอารมณ์ขณะเช็ดเนื้อเช็ดตัวและพากันออกไปจากห้องแช่น้ำ
2
มูซาชิเช็ดผมที่สบายฟูอยู่จนแห้งรวบขึ้นรัดไว้เป็นทรงเดิมก่อนกลับห้องพัก
“อ้าว เป็นไรไปล่ะเจ้า”
นักดาบหนุ่มร้องทักเมื่อเห็นเด็กหญิงโคจะที่ท่าทางเหมือนเด็กชายซน ๆ กำลังร้องไห้กระซิก ๆ อยู่ที่มุมห้อง
“ท่านเจ้าคะ เจ้าเด็กคนนั้นมันตีหนู”
“โกหก”
โจทาโรยืนหน้างออยู่อีกมุมหนึ่ง ร้องเถียงเสียงลั่น
“ทำไมรังแกผู้หญิง”
มูซาชิดุ
“ก็นางนั่นอยากมาว่าครูอ่อนแอทำไมล่ะ”
“ไม่จริ๊ง ไม่ได้พูด”
“เจ้าพูด ข้าได้ยิน”
“ไม่มีใครพูดสักคนว่าท่านอ่อนแอ เจ้านั่นแหละที่มาทำคุยโวอย่างนั้นอย่างนี้ เล่าว่าครูของเจ้าเป็นนักดาบผู้มีฝีมือดีเป็นหนึ่งในญี่ปุ่น ฟันซามูไรไร้นายตายเป็นสิบ ๆ ที่ทุ่งฮันเนียโนะ ข้าหมั่นไส้ ก็เลยคุยทับว่าอาจารย์ดาบที่เก่งกาจที่สุดในญี่ปุ่นคือท่านเจ้าของที่ดินในอาณาจักรยากิวของเราแห่งนี้ต่างหาก พูดแค่นี้ทำไมถึงต้องตบหน้าข้าด้วย”
มูซาชิหัวเราะ
“อย่างนี้นี่เอง แย่มากเด็กคนนี้ ขอโทษนะโคจะ เดี๋ยวข้าจะดุให้”
โจทาโรทำหน้าบึ้ง
“โจทาโร”
“ขอรับ”
“ไปอาบน้ำ”
“ข้าไม่ชอบน้ำร้อน”
“ข้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่เนื้อตัวเหม็นขี้เหงื่อเต็มทน ไปอาบดีกว่านะ”
“พรุ่งนี้ ข้าจะไปว่ายน้ำที่แม่น้ำ”
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานวันจนคุ้นเคย โจทาโรก็ยิ่งแสดงธาตุแท้ของเด็กดื้อออกมาให้เห็น แต่มูซาชิกลับชอบ
ไม่นานเด็กหญิงโคจะก็ยกถาดอาหารมาให้ที่ห้อง
หน้ายังงอ ไม่พูดไม่จาและจ้องตากับโจทาโรไม่ยอมหลบกันและกัน
ช่วงหลายวันมานี้ มูซาชิมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก
ทำอย่างไรความปรารถนาจึงจะบรรลุความเป็นจริง
ความปรารถนานั้นก็คือการที่จะได้พบกับเซกิชูไซมูเนโยชิ ปรมาจารย์แห่งสำนักยากิว
แม้จะรู้ตัวดีว่าความปรารถนานั้นใหญ่เกินตัวนักรบพเนจรคนหนึ่ง แต่มูซาชิก็เชื่อว่าจะต้องมีความเป็นไปได้อยู่ที่ไหนสักแห่ง จึงได้มาพักรอโอกาสเหมาะอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้
อ่านใจของนักดาบหนุ่มที่เลือดนักสู้กำลังร้อนระอุ ออกมาเป็นคำพูดได้ว่า---
เมื่อถึงคราวที่ข้าต้องสู้ก็ขอสู้กับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ แม้ต้องเดิมพันด้วยชีวิต เมื่อมาถึงถิ่นนี้แล้วหากไม่ได้ประดาบกับยากิว มูเนโยชิ การแสวงหาวิทยายุทธ์บนวิถีแห่งดาบก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป ผลอาจปรากฏว่าสามารถพิชิตฝีมือดาบของยากิวผู้ยิ่งใหญ่ อาจสิ้นชื่อฝีมือดาบแห่งตน
และใครก็ตามที่ไม่รู้ใจกัน ได้ยินความปรารถนาของนักรบหนุ่มผู้นี้ก็คงจะหัวเราะและว่าบ้าบิ่น
มูซาชิเองก็รู้ตัวว่าที่ตนคิดทำอยู่นั้นมันเกินขอบเขตของสามัญสำนึก
อย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ครองปราสาท บุตรชายคนหนึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับปรมาจารย์ของนักรบในรัฐบาลโชกุนที่ เอโดะ ยากิวตระกูลนักรบที่สืบทอดมาหลายชั่วคนตระกูลนี้กำลังย่างเข้าสู่ยุครุ่งเรือง จากการเป็นคลื่นลูกใหม่อยู่ในกระแสความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย กุมอนาคตของชาติเอาไว้ในกำมือ
ครั้งนี้เราจะได้ประลองฝีมืออย่างแท้จริง
มูซาชิเตรียมใจพร้อมสู้แม้ในระหว่างที่เคี้ยวข้าว