ผู้จัดการรายวัน 360 - "ม็อบ 3 นิ้ว"ไม่สนฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งเวที ปิดแยกราชประสงค์ จัดกิจกรรมเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ-ปฏิรูปสถาบัน "มายด์" จัดหนักทิ้งทวน ปราศรัยจาบจ้วงสถาบันฯ ก่อนขึ้นศาลคดี ม.112 วันนี้ (25 ม.ค.) ตร.จัด 18 กองร้อยดูแล ด้านรอง โฆษก ตร. พร้อมเก็บหลักหลักฐาน หากมีรุนแรงตามจัดการแน่ ผบ.ตร.แจงไม่ได้ขอโทษม็อบที่ทำผิดกฎหมาย ใช้ความรุนแรง แต่ขอโทษกับความผิดพลาดในการทำงานของตำรวจ ยันใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยางตามความจำเป็น กรมราชทัณฑ์ สั่งเรือนจำพิจารณาเปิดเยี่ยมญาติผ่านไลน์ระหว่างกักตัว ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัว "เพนกวิน" คดีละเมิดอำนาจศาล ขณะที่ศาลแพ่งยกคำร้องนักข่าวประชาไท ขอศาลคุ้มครองไม่ให้ปิดกั้นเส้นทาง-สลายการชุมนุม ด้าน มช. ออกแถลงการณ์ยันผู้บริหารวิจิตรศิลป์ทำหน้าที่ถูกต้อง-ชี้คนเข้าใช้พื้นที่ไม่ได้รับอนุญาตทำสิ่งส่อผิด กม.
วานนี้ 24มี.ค.) การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่แยกราชประสงค์ มีมวลชนทะยอยเดินทางมาตั้งแต่เวลา 16.30 น. และเริ่มขยายลงไปยังพื้นผิวจราจร เพื่อทำการปิดถนนและตั้งเวทีปราศรัย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ได้จัดกำลังดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ชุมนุม 18 กองร้อย ต่อมา พ.ต.อ.จักรกฤษ โฉสูงเนิน ผกก.สน.ลุมพินี ได้ นำประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอ่านให้ผู้ชุมนุมฟังว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ท่ามกลางเสียงตะโกนด่าทอ และขับไล่ของผู้ชุมนุม ส่วนภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน จำนวน 2 กองร้อย รวมทั้งมีรถฉีดน้ำแรงดันสูง หรือ จีโน่ 2 คัน ,รถควบคุมผู้ต้องหา, รถเครื่องขยายเสียง และรถดับเพลิง เตรียมพร้อม
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก สตช.กล่าวถึงการดูแลผู้ชุมนุมว่า เป็นการชุมนุมที่ผิดพ.ร.บ.ควบคุมโรค และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากมีความรุนแรง หรือมีความวุ่นวาย ตำรวจมีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะต้องดูในจุดของการชุมนุม ต้องไม่กระทบกับสิทธิของผู้อื่น แม้ว่าไม่มีความรุนแรง แต่ตำรวจเก็บรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนการตั้งเวทีปราศรัย ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมีความผิดตามกฎหมาย
"สิ่งที่เจ้าหน้าที่ห่วงคือ การอำนวยความสะดวกด้านการจราจรที่ไม่อยากให้ประชาชนในบริเวณนี้ได้รับความเดือดร้อน และจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญของเศรษฐกิจในประเทศของกรุงเทพฯ "
พ.ต.อ.กฤษณะ ยังกล่าวถึง การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ในการสังเกตการณ์และบันทึกภาพ ขอให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และผู้ที่ไม่มีปลอกแขนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เราจะเร่งดำเนินการจัดหามาให้ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นสื่อจริง ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย และการประสานงานระหว่างสื่อ เราเร่งที่จะสร้างความเข้าใจรวมทั้งสื่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย นอกจากนี้ ยูทูปเบอร์ ที่มาถ่ายการชุมนุมจะต้องลงทะเบียนสื่อด้วย
ทั้งนี้ ตามกำหนดการ จะมีแกนนำคนสำคัญขึ้นปราศัย ประกอบด้วย น.ส.ภัทราวดี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ น.ส.เบนจา อะปัญ และ ครูใหญ่ อรรถพล บัวพัฒน์
เมื่อใกล้เวลานัดหมายมวลชนได้ทยอยเข้ารวมตัวในพื้นที่ ปักหลักชุมนุมบนผิวจราจรทำให้การจราจรบริเวณแยกราชประสงค์ต้องปิดลง นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมตั้งเวทีปราศรัย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าอ่านประกาศแจ้งให้ยุติการชุมนุมเนื่องจากผิดกฎหมาย โดยมีแกนนำและแนวร่วมสลับกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกจำคุกอยู่ในเรือนและ รวมถึงการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน
น.ส.เบนจา อะปัญ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เครือข่ายกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ราษฎร" หรือม็อบ 3 นิ้ว ขึ้นปราศรัยบนเวที ว่า นับตั้งแต่ปีที่แล้ว เราลงมาสู้บนถนนต้องการประชาธิปไตย ไม่ว่าต่อสู้ด้วยวิธีไหน รัฐใช้กฎหมายปิดกั้นยับยั้งเสมอ ใช้ความรุนแรงสลาย แต่วันนี้เรากลับมาแล้วปิดแยกราชประสงค์ ต่อให้จับเพื่อนเรากี่คน เราก็จะออกมาไม่หยุด และจะดีมากถ้าเพื่อนในเรือนจำได้ออกมาสู้ด้วยกัน เพื่อนเราถูก ป.อาญา ม.112 เพราะต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้ประเทศดีขึ้น ไม่ใช่เป็นกบฎ ล้มเลือกตั้ง รัฐประหาร ตนเป็นคนหนึ่งที่โดน 112 ถามว่าทำให้ตนหยุดได้หรือ เราต้องยกเลิก 112 เราสูญเสียมามากพอแล้ว ถ้าใช้ 112 จัดการทั้งราชประสงค์คุกจะขังไหวหรือ เพื่อนเราฝากให้เราสู้ต่อ อดทนวันแห่งชัยชนะจะมาถึงแน่นอน
นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ แกนนำกลุ่มราษฎร ได้ขึ้นปราศรัยโจมตีการคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมระบุด้วยว่า กรณีที่อัยการนัดสั่งคดีความผิดมาตรา112 จากกรณีการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมัน ขอให้มวลชนสู้ต่อไป และไม่ต้องห่วงว่าตนจะเข้าไปอยู่ในเรือนจำ
ด้าน นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโดยยืนยันว่า การชุมนุมยังยึด 3 ข้อเรียกร้องหลัก แต่ไม่สามารถพูดได้ว่าการชุมนุมในแต่ละครั้งจะเป็นเช่นไร เพราะมีหลายกลุ่มเข้าร่วม ยืนยันว่าการชุมนุมไหนที่มีอุดมการณ์ตรงกันก็จะเข้าร่วม แต่หากมีความรุนแรงก็จะไม่เข้าร่วม
เวลา 20.00 น. นายธัชพงศ์ แกดำ หรือ บอย พิธีกรเวทีปราศรัย ได้ชักชวนผู้ชุมนุมบนถนนราชดำริ ร่วมกันเปิดแฟลชโทรศัพท์พร้อมกันจนสว่างไสว พร้อมประกาศว่าการแสดงออกครั้งนี้สื่อให้เห็นว่าแฟลชม็อบที่เราเคยร่วมกันทำมาจะกลับมาอีกครั้ง จากนั้นได้ชักชวนผู้ชุมนุมให้ร้องเพลงร่วมกัน
เวลา 20.20 น. น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ หนึ่งในผู้ปราศรัยหลักในการชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ หรือ "ม็อบ 24 มีนา" ได้ขึ้นปราศรัยว่า อยากจะส่งสารสำคัญนี้ให้ถึงทุกคนให้มากที่สุด เหมือนเป็นการพูดครั้งสุดท้าย เพราะไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ว่าจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นและศรัทธาในพลังของตัวเอง พร้อมได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำและในฐานะประชาชนขอเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขใน 3 เรื่อง คือการทหาร การเมือง และเรื่องเศรษฐกิจ
“การรักอย่างไม่มีขอบเขต รักอย่างไม่มีเงื่อนไข รักแล้วต้องตามใจทุกอย่าง แม้จะรู้ว่าคนกระทำผิด ก็ต้องหลับหูหลับตา แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ก็จะตามใจจนสุดทาง ไม่ตักเตือนกันใช่หรือไม่ ในฐานะประชาชนเจ้าของประเทศ"
เวลา 20.50 น. น.ส.เบนจา ได้ขึ้นเวทีขอบคุณมวลชนที่เดินทางมาร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้ และได้เชิญชวนให้ร่วมเพลงด้วยกัน ก่อนจะประกาศแยกย้ายในเวลา 21.00 น.
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า การปราศรัยของน.ส.ภัสราวลี หรือมายด์ ในครั้งนี้ มีการใช้วาจาค่อนข้างหยาบคายและรุนแรง และมีการจาบจ้างสถาบันฯ รวมทั้งดูเหมือนจะเป็นการขึ้นเวทีปราศรัยครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเดินทางไปรายงานตัวที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ กับพวกรวม 13 คน ในวันนี้ (25 มี.ค.) คดีที่อัยการยื่นฟ้องฐานความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 กรณีชุมนุมอ่านแถลงการณ์หน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 63
ผบ.ตร.ปัดขอโทษม็อบที่ทำผิดกฎหมาย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึง ความพร้อมในการดูแลความสงบเรียบร้อยการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ว่า ได้ไปพูดคุยกับกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้ชี้แจงและดำเนินการตามหลักปฏิบัติประจำอยู่แล้วในเรื่องการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน จะใช้ตามกฎกติกา ข้อกฎหมาย ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ ขวัญกำลังใจ เป็นเรื่องการคุยกันปกติ และหวังว่าจะไม่มีอะไร แต่ได้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาก็พร้อมรับมือ
ส่วนประเด็นเรื่องที่ ผบ.ตร.ได้มีการประกาศขอโทษเป็นการขอโทษผู้ชุมนุม หรือประชาชน นั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ที่พูดถ้าไปฟังของผมมีเทปอยู่แล้ว ผมบอกว่า อะไรที่ตำรวจผิดพลาดไปก็ขอโทษ เราพูดถึงความผิดพลาด เช่นถ้าว่าสมมติไปโดนกระสุนเข้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็ขอโทษเรื่องนั้นแต่ไม่ได้ไปขอโทษม็อบที่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ไปขอโทษคนที่ใช้ความรุนแรง พวกนั้นเราก็ต้องใช้กำลังบังคับ ใช้การบังคับใช้กฎหมายก็จับกุมไป ส่วนเรื่องยุทธวิธี คงต้องไปตามมาตรฐานของเรา อย่างคราวที่แล้ววันก่อนได้นำตำรวจเข้าสนามตรวจสอบเรื่องการใช้อาวุธ เรื่องการยิงปืน ก็ต้องการความแม่น เที่ยงตรงให้มากกว่านี้
สำหรับข้อสังเกตมีกลุ่มคนเบื้องหลังหรือไม่ที่พยายามที่จะส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตอนนี้เราก็มีการดำเนินคดีมาโดยตลอด ใครที่ทำแบบนั้น มีการสืบสวนเชิงลึกและดำเนินคดี ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้บอกว่าจะดำเนินคดีใครบ้าง แต่ก็จะเห็นว่ามีการจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำการใช้ความรุนแรงไม่มีประโยชน์กับใคร และอยากให้ประชาชนเข้าใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เราไม่ได้เป็นคนที่ก่อให้เกิดความรุนแรง เรามีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายตามความจำเป็นตามเหตุผล และขอร้องว่าไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรจริงๆ ทำมาก็มีแต่ความเสียหายด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้อะไร
"ยืนยันไม่ได้ว่าจะไม่มีน้ำหรือแก๊ส แต่ยืนยันได้ว่าเจ้าหน้าที่จะใช้ตามสถานการณ์ ก็พยายามทำให้ทุกครั้งเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด ทุกครั้งก็จะมีการทบทวนบทเรียน เรื่องยุทธวิธี เรื่องต่างๆ ที่จำเป็น เพราะเราต้องพัฒนาคนของเรา หากอะไรผิดก็ต้องแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าไปขอโทษม็อบหรือไปขอโทษคนที่ทำผิด ไม่ใช่อย่างนั้น พวกที่ตั้งประเด็นไปอย่างนั้นก็สุดแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรก็สุดแล้วแต่ท่าน แต่ทำให้คนเข้าใจผิด เป็นการด้อยค่า ทำลายความเชื่อถือของหน่วยบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วย ก็เลยต้องมาอธิบายกันใหม่" ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวถึงกรณีที่มีสื่อมวลชนและภาคีกฎหมายฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผบ.ตร. ว่า เป็นสิทธิของท่าน เราก็มีหน้าที่ต้องนำชี้แจง เสนอข้อเท็จจริง ก็อยู่ที่กระบวนการพิจารณาของศาล ทั้งนี้ไม่กังวลอะไรก็ต้องยึดหลักของเรา เราทำงานก็ต้องอยู่ในหลักในกติกา ถ้าเราอยู่ในหลักในกติกาเราสามารถตอบได้ทุกเรื่อง
ราชทัณฑ์ทำระเบียบกลางดูแลม็อบ 3 นิ้ว
ที่กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวถึงการควบคุมดูแล กลุ่มม็อบแกนนำคณะราษฎร ว่า ปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการควบคุมผู้ต้องขัง และผู้ต้องกักขัง ที่เป็นที่สนใจของประชาชน ดังนี้
1. นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ อยู่ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี 2. น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล อยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง 3. นายภาณุพงศ์ จาดนอก 4. นายปิยรัฐ จงเทพ 5. นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม 6. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา 7. นายอานนท์ นำภา 8. นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 9. นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ อยู่ที่สถานกักขังกลางจ.ปทุมธานี และ 10. นายพรหมศร วีระธรรมจารี ที่เรือนจำอ.ธัญบุรี ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในห้องแยกกักโรคตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ในแต่ละเรือนจำ โดยหากพ้นระยะกักตัวแล้วจะได้รับการจำแนกเพื่อส่งตัวไปควบคุมตามแดนต่างๆ ต่อไป
ที่ผ่านมา กรมราชทัณฑ์ประสบปัญหาในการประสานการทำงานให้เป็นแนวทางเดียวกันอยู่บ้าง เนื่องจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมราชทัณฑ์ ประกอบไปด้วย เรือนจำทัณฑสถาน และสถานกักขัง มีมากถึง143 แห่ง ทั่วประเทศ แม้ว่าภายใต้ระเบียบหลักจะมีการเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน แต่อาจจะไม่ได้มีการเขียนระบุในส่วนของรายละเอียด ทำให้ในบางครั้งผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องใช้ดุลพินิจของตนเองในการตัดสินใจ ซึ่งอาจจะมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันเล็กน้อย ภายใต้กรอบข้อบังคับ แต่ก็อาจจะสร้างความไม่พอใจ รวมถึงเป็นประเด็นสงสัยต่อสาธารณชนตามที่เป็นข่าว
"กรมราชทัณฑ์ จึงได้ดำเนินการจัดทำ Standard Operation Procedures หรือ SOPs เพื่อเป็นระเบียบกลางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะรายละเอียดพื้นฐานที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อลดการใช้ดุลพินิจของผู้ปฏิบัติงานลงให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง และช่วยปรับปรุงระเบียบข้อบังคับที่อาจจะไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการทบทวนเอกสาร และคำสั่งที่เคยประกาศไปแล้วทั้งหมด เพื่อจัดทำร่างและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการจัดทำร่างดังกล่าวได้แล้วเสร็จภายในช่วงกลางเดือน เม.ย. 64 นี้"
ส่วนการเปิดเยี่ยมญาติผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องระบุให้ชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ต้องขังที่อยู่ในระหว่างกักตัว 14 วัน ที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ผู้บริหารเรือนจำ และทัณฑสถานใช้ดุลพินิจเพื่อพิจารณาเปิดเยี่ยมได้ เพียงแต่จะต้องจัดสถานที่ สำหรับการเยี่ยมผ่านแอปพลิเคชันไลน์เป็นการเฉพาะ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ ได้มีหนังสือกำชับไปยังผู้บริหารเรือนจำและทัณฑสถานแต่ละแห่ง เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ให้มีการทบทวนระเบียบการเยี่ยมอีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีโอกาสพบปะญาติในระหว่างกักตัว โดยเฉพาะในผู้ต้องขังรับใหม่และผู้ต้องขังคดีการเมืองที่เป็นที่สนใจของประชาชน ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวล ทั้งต่อญาติ และลดความเครียดของผู้ต้องขังได้
สำหรับอาการของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ที่อยู่ในช่วงอดอาหาร ทางทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่พยาบาล ได้เข้าตรวจอาการ นายพริษฐ์ ยังคงปฏิเสธการรับประทานอาหารและการตรวจวัดระดับน้ำตาลปลายนิ้ว เนื่องจากวิตกกังวลในเรื่องความปลอดภัย ผลการตรวจร่างกายอื่นๆ พบว่า ยังมีระดับความรู้สึกตัวที่ดี มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย จากการอดอาหาร โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้รับประทานอาหารอื่นทดแทน อาทิ ขนมปัง นม น้ำหวาน เกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และยังคงมีผื่นบริเวณหน้าอก และหลังอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จ่ายยารับประทานและยาทา เพื่อรักษาอาการดังกล่าวแล้ว ส่วนสภาพร่างกายทั่วไป ยังถือว่าปกติ ไม่น่าเป็นห่วง
ศาลแพ่งยกคำร้องนักข่าวประชาไทย
วันเดียวกันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก น.ส.จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้รับมอบอำนาจจาก นายศรายุทธ ตั้งประเสริฐ หรือ กุ้ย ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวประชาไท ป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดตาม พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จากกรณีนายศรายุทธ ได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนยางจากเหตุการณ์สลายชุมนุมของกลุ่มนักข่าวประชาไท ส่งทนายยื่นฟ้อง ตร. ขอศาลคุ้มครองนักข่าว-ผู้ชุมนุม ไม่ปิดกั้นเส้นทาง-สลายการชุมนุม
รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า ศาลแพ่งได้พิเคราะห์และยำคำร้องของนักข่าวประชาไท ชี้เป็นการขอล่วงหน้ากรณีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งสิ้น ศาลจึงไม่อาจบังคับได้
ศาลอาญายกคำร้อง "แม่เพนกวิน" ขอประกันตัวลูกชาย ละเมิดอำนาจศาล
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ อายุ 51 ปี มารดาของนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ จำเลยคดีดูหมิ่นเบื้องสูง ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม ฯ ตามตรา 112 ,116 ฯลฯ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินส่ดจำนวน 20,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ นายพริษฐ์ บุตรชาย ที่ศาลอาญามีคำสั่งให้กักขัง15 วัน ฐานละเมิดอำนาจศาล เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยศาลพิเคราะแล้ว เห็นว่า ศาลอาญาเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวมาแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
มช.ยันผู้บริหารวิจิตรศิลป์ทำหน้าที่ถูกต้อง
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่ได้มีกลุ่มบุคคลเข้ามาใช้สถานที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นพื้นที่ ในความรับผิดชอบของคณะวิจิตรศิลป์ โดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำการที่ไม่เหมาะสม เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย ผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ พบธงชาติไทยมีการดัดแปลงและมีข้อความที่ไม่เหมาะสมปรากฏอยู่ รวมถึงสิ่งของอื่นในบริเวณดังกล่าว จึงเก็บไว้เพื่อให้เจ้าของมารับคืนนั้น
มหาวิทยาลัย พิจารณาเห็นว่าผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำกับดูแลสถานที่และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อีกทั้งเป็นการปกป้องชื่อเสียงของนักศึกษา บุคลากรและมหาวิทยาลัยโดยรวมเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว
วานนี้ 24มี.ค.) การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่แยกราชประสงค์ มีมวลชนทะยอยเดินทางมาตั้งแต่เวลา 16.30 น. และเริ่มขยายลงไปยังพื้นผิวจราจร เพื่อทำการปิดถนนและตั้งเวทีปราศรัย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ได้จัดกำลังดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ชุมนุม 18 กองร้อย ต่อมา พ.ต.อ.จักรกฤษ โฉสูงเนิน ผกก.สน.ลุมพินี ได้ นำประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอ่านให้ผู้ชุมนุมฟังว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ท่ามกลางเสียงตะโกนด่าทอ และขับไล่ของผู้ชุมนุม ส่วนภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน จำนวน 2 กองร้อย รวมทั้งมีรถฉีดน้ำแรงดันสูง หรือ จีโน่ 2 คัน ,รถควบคุมผู้ต้องหา, รถเครื่องขยายเสียง และรถดับเพลิง เตรียมพร้อม
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก สตช.กล่าวถึงการดูแลผู้ชุมนุมว่า เป็นการชุมนุมที่ผิดพ.ร.บ.ควบคุมโรค และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากมีความรุนแรง หรือมีความวุ่นวาย ตำรวจมีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะต้องดูในจุดของการชุมนุม ต้องไม่กระทบกับสิทธิของผู้อื่น แม้ว่าไม่มีความรุนแรง แต่ตำรวจเก็บรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนการตั้งเวทีปราศรัย ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมีความผิดตามกฎหมาย
"สิ่งที่เจ้าหน้าที่ห่วงคือ การอำนวยความสะดวกด้านการจราจรที่ไม่อยากให้ประชาชนในบริเวณนี้ได้รับความเดือดร้อน และจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญของเศรษฐกิจในประเทศของกรุงเทพฯ "
พ.ต.อ.กฤษณะ ยังกล่าวถึง การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ในการสังเกตการณ์และบันทึกภาพ ขอให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และผู้ที่ไม่มีปลอกแขนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เราจะเร่งดำเนินการจัดหามาให้ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นสื่อจริง ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย และการประสานงานระหว่างสื่อ เราเร่งที่จะสร้างความเข้าใจรวมทั้งสื่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย นอกจากนี้ ยูทูปเบอร์ ที่มาถ่ายการชุมนุมจะต้องลงทะเบียนสื่อด้วย
ทั้งนี้ ตามกำหนดการ จะมีแกนนำคนสำคัญขึ้นปราศัย ประกอบด้วย น.ส.ภัทราวดี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ น.ส.เบนจา อะปัญ และ ครูใหญ่ อรรถพล บัวพัฒน์
เมื่อใกล้เวลานัดหมายมวลชนได้ทยอยเข้ารวมตัวในพื้นที่ ปักหลักชุมนุมบนผิวจราจรทำให้การจราจรบริเวณแยกราชประสงค์ต้องปิดลง นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมตั้งเวทีปราศรัย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าอ่านประกาศแจ้งให้ยุติการชุมนุมเนื่องจากผิดกฎหมาย โดยมีแกนนำและแนวร่วมสลับกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกจำคุกอยู่ในเรือนและ รวมถึงการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน
น.ส.เบนจา อะปัญ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เครือข่ายกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ราษฎร" หรือม็อบ 3 นิ้ว ขึ้นปราศรัยบนเวที ว่า นับตั้งแต่ปีที่แล้ว เราลงมาสู้บนถนนต้องการประชาธิปไตย ไม่ว่าต่อสู้ด้วยวิธีไหน รัฐใช้กฎหมายปิดกั้นยับยั้งเสมอ ใช้ความรุนแรงสลาย แต่วันนี้เรากลับมาแล้วปิดแยกราชประสงค์ ต่อให้จับเพื่อนเรากี่คน เราก็จะออกมาไม่หยุด และจะดีมากถ้าเพื่อนในเรือนจำได้ออกมาสู้ด้วยกัน เพื่อนเราถูก ป.อาญา ม.112 เพราะต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้ประเทศดีขึ้น ไม่ใช่เป็นกบฎ ล้มเลือกตั้ง รัฐประหาร ตนเป็นคนหนึ่งที่โดน 112 ถามว่าทำให้ตนหยุดได้หรือ เราต้องยกเลิก 112 เราสูญเสียมามากพอแล้ว ถ้าใช้ 112 จัดการทั้งราชประสงค์คุกจะขังไหวหรือ เพื่อนเราฝากให้เราสู้ต่อ อดทนวันแห่งชัยชนะจะมาถึงแน่นอน
นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ แกนนำกลุ่มราษฎร ได้ขึ้นปราศรัยโจมตีการคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมระบุด้วยว่า กรณีที่อัยการนัดสั่งคดีความผิดมาตรา112 จากกรณีการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมัน ขอให้มวลชนสู้ต่อไป และไม่ต้องห่วงว่าตนจะเข้าไปอยู่ในเรือนจำ
ด้าน นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโดยยืนยันว่า การชุมนุมยังยึด 3 ข้อเรียกร้องหลัก แต่ไม่สามารถพูดได้ว่าการชุมนุมในแต่ละครั้งจะเป็นเช่นไร เพราะมีหลายกลุ่มเข้าร่วม ยืนยันว่าการชุมนุมไหนที่มีอุดมการณ์ตรงกันก็จะเข้าร่วม แต่หากมีความรุนแรงก็จะไม่เข้าร่วม
เวลา 20.00 น. นายธัชพงศ์ แกดำ หรือ บอย พิธีกรเวทีปราศรัย ได้ชักชวนผู้ชุมนุมบนถนนราชดำริ ร่วมกันเปิดแฟลชโทรศัพท์พร้อมกันจนสว่างไสว พร้อมประกาศว่าการแสดงออกครั้งนี้สื่อให้เห็นว่าแฟลชม็อบที่เราเคยร่วมกันทำมาจะกลับมาอีกครั้ง จากนั้นได้ชักชวนผู้ชุมนุมให้ร้องเพลงร่วมกัน
เวลา 20.20 น. น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ หนึ่งในผู้ปราศรัยหลักในการชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ หรือ "ม็อบ 24 มีนา" ได้ขึ้นปราศรัยว่า อยากจะส่งสารสำคัญนี้ให้ถึงทุกคนให้มากที่สุด เหมือนเป็นการพูดครั้งสุดท้าย เพราะไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ว่าจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นและศรัทธาในพลังของตัวเอง พร้อมได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำและในฐานะประชาชนขอเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขใน 3 เรื่อง คือการทหาร การเมือง และเรื่องเศรษฐกิจ
“การรักอย่างไม่มีขอบเขต รักอย่างไม่มีเงื่อนไข รักแล้วต้องตามใจทุกอย่าง แม้จะรู้ว่าคนกระทำผิด ก็ต้องหลับหูหลับตา แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ก็จะตามใจจนสุดทาง ไม่ตักเตือนกันใช่หรือไม่ ในฐานะประชาชนเจ้าของประเทศ"
เวลา 20.50 น. น.ส.เบนจา ได้ขึ้นเวทีขอบคุณมวลชนที่เดินทางมาร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้ และได้เชิญชวนให้ร่วมเพลงด้วยกัน ก่อนจะประกาศแยกย้ายในเวลา 21.00 น.
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า การปราศรัยของน.ส.ภัสราวลี หรือมายด์ ในครั้งนี้ มีการใช้วาจาค่อนข้างหยาบคายและรุนแรง และมีการจาบจ้างสถาบันฯ รวมทั้งดูเหมือนจะเป็นการขึ้นเวทีปราศรัยครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเดินทางไปรายงานตัวที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ กับพวกรวม 13 คน ในวันนี้ (25 มี.ค.) คดีที่อัยการยื่นฟ้องฐานความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 กรณีชุมนุมอ่านแถลงการณ์หน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 63
ผบ.ตร.ปัดขอโทษม็อบที่ทำผิดกฎหมาย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึง ความพร้อมในการดูแลความสงบเรียบร้อยการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ว่า ได้ไปพูดคุยกับกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้ชี้แจงและดำเนินการตามหลักปฏิบัติประจำอยู่แล้วในเรื่องการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน จะใช้ตามกฎกติกา ข้อกฎหมาย ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ ขวัญกำลังใจ เป็นเรื่องการคุยกันปกติ และหวังว่าจะไม่มีอะไร แต่ได้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาก็พร้อมรับมือ
ส่วนประเด็นเรื่องที่ ผบ.ตร.ได้มีการประกาศขอโทษเป็นการขอโทษผู้ชุมนุม หรือประชาชน นั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ที่พูดถ้าไปฟังของผมมีเทปอยู่แล้ว ผมบอกว่า อะไรที่ตำรวจผิดพลาดไปก็ขอโทษ เราพูดถึงความผิดพลาด เช่นถ้าว่าสมมติไปโดนกระสุนเข้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็ขอโทษเรื่องนั้นแต่ไม่ได้ไปขอโทษม็อบที่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ไปขอโทษคนที่ใช้ความรุนแรง พวกนั้นเราก็ต้องใช้กำลังบังคับ ใช้การบังคับใช้กฎหมายก็จับกุมไป ส่วนเรื่องยุทธวิธี คงต้องไปตามมาตรฐานของเรา อย่างคราวที่แล้ววันก่อนได้นำตำรวจเข้าสนามตรวจสอบเรื่องการใช้อาวุธ เรื่องการยิงปืน ก็ต้องการความแม่น เที่ยงตรงให้มากกว่านี้
สำหรับข้อสังเกตมีกลุ่มคนเบื้องหลังหรือไม่ที่พยายามที่จะส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตอนนี้เราก็มีการดำเนินคดีมาโดยตลอด ใครที่ทำแบบนั้น มีการสืบสวนเชิงลึกและดำเนินคดี ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้บอกว่าจะดำเนินคดีใครบ้าง แต่ก็จะเห็นว่ามีการจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำการใช้ความรุนแรงไม่มีประโยชน์กับใคร และอยากให้ประชาชนเข้าใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เราไม่ได้เป็นคนที่ก่อให้เกิดความรุนแรง เรามีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายตามความจำเป็นตามเหตุผล และขอร้องว่าไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรจริงๆ ทำมาก็มีแต่ความเสียหายด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้อะไร
"ยืนยันไม่ได้ว่าจะไม่มีน้ำหรือแก๊ส แต่ยืนยันได้ว่าเจ้าหน้าที่จะใช้ตามสถานการณ์ ก็พยายามทำให้ทุกครั้งเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด ทุกครั้งก็จะมีการทบทวนบทเรียน เรื่องยุทธวิธี เรื่องต่างๆ ที่จำเป็น เพราะเราต้องพัฒนาคนของเรา หากอะไรผิดก็ต้องแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าไปขอโทษม็อบหรือไปขอโทษคนที่ทำผิด ไม่ใช่อย่างนั้น พวกที่ตั้งประเด็นไปอย่างนั้นก็สุดแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรก็สุดแล้วแต่ท่าน แต่ทำให้คนเข้าใจผิด เป็นการด้อยค่า ทำลายความเชื่อถือของหน่วยบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วย ก็เลยต้องมาอธิบายกันใหม่" ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวถึงกรณีที่มีสื่อมวลชนและภาคีกฎหมายฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติและผบ.ตร. ว่า เป็นสิทธิของท่าน เราก็มีหน้าที่ต้องนำชี้แจง เสนอข้อเท็จจริง ก็อยู่ที่กระบวนการพิจารณาของศาล ทั้งนี้ไม่กังวลอะไรก็ต้องยึดหลักของเรา เราทำงานก็ต้องอยู่ในหลักในกติกา ถ้าเราอยู่ในหลักในกติกาเราสามารถตอบได้ทุกเรื่อง
ราชทัณฑ์ทำระเบียบกลางดูแลม็อบ 3 นิ้ว
ที่กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวถึงการควบคุมดูแล กลุ่มม็อบแกนนำคณะราษฎร ว่า ปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการควบคุมผู้ต้องขัง และผู้ต้องกักขัง ที่เป็นที่สนใจของประชาชน ดังนี้
1. นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ อยู่ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี 2. น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล อยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง 3. นายภาณุพงศ์ จาดนอก 4. นายปิยรัฐ จงเทพ 5. นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม 6. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา 7. นายอานนท์ นำภา 8. นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 9. นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ อยู่ที่สถานกักขังกลางจ.ปทุมธานี และ 10. นายพรหมศร วีระธรรมจารี ที่เรือนจำอ.ธัญบุรี ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในห้องแยกกักโรคตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ในแต่ละเรือนจำ โดยหากพ้นระยะกักตัวแล้วจะได้รับการจำแนกเพื่อส่งตัวไปควบคุมตามแดนต่างๆ ต่อไป
ที่ผ่านมา กรมราชทัณฑ์ประสบปัญหาในการประสานการทำงานให้เป็นแนวทางเดียวกันอยู่บ้าง เนื่องจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมราชทัณฑ์ ประกอบไปด้วย เรือนจำทัณฑสถาน และสถานกักขัง มีมากถึง143 แห่ง ทั่วประเทศ แม้ว่าภายใต้ระเบียบหลักจะมีการเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน แต่อาจจะไม่ได้มีการเขียนระบุในส่วนของรายละเอียด ทำให้ในบางครั้งผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องใช้ดุลพินิจของตนเองในการตัดสินใจ ซึ่งอาจจะมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันเล็กน้อย ภายใต้กรอบข้อบังคับ แต่ก็อาจจะสร้างความไม่พอใจ รวมถึงเป็นประเด็นสงสัยต่อสาธารณชนตามที่เป็นข่าว
"กรมราชทัณฑ์ จึงได้ดำเนินการจัดทำ Standard Operation Procedures หรือ SOPs เพื่อเป็นระเบียบกลางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะรายละเอียดพื้นฐานที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อลดการใช้ดุลพินิจของผู้ปฏิบัติงานลงให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง และช่วยปรับปรุงระเบียบข้อบังคับที่อาจจะไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการทบทวนเอกสาร และคำสั่งที่เคยประกาศไปแล้วทั้งหมด เพื่อจัดทำร่างและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการจัดทำร่างดังกล่าวได้แล้วเสร็จภายในช่วงกลางเดือน เม.ย. 64 นี้"
ส่วนการเปิดเยี่ยมญาติผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องระบุให้ชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ต้องขังที่อยู่ในระหว่างกักตัว 14 วัน ที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ผู้บริหารเรือนจำ และทัณฑสถานใช้ดุลพินิจเพื่อพิจารณาเปิดเยี่ยมได้ เพียงแต่จะต้องจัดสถานที่ สำหรับการเยี่ยมผ่านแอปพลิเคชันไลน์เป็นการเฉพาะ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ ได้มีหนังสือกำชับไปยังผู้บริหารเรือนจำและทัณฑสถานแต่ละแห่ง เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ให้มีการทบทวนระเบียบการเยี่ยมอีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีโอกาสพบปะญาติในระหว่างกักตัว โดยเฉพาะในผู้ต้องขังรับใหม่และผู้ต้องขังคดีการเมืองที่เป็นที่สนใจของประชาชน ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวล ทั้งต่อญาติ และลดความเครียดของผู้ต้องขังได้
สำหรับอาการของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ที่อยู่ในช่วงอดอาหาร ทางทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่พยาบาล ได้เข้าตรวจอาการ นายพริษฐ์ ยังคงปฏิเสธการรับประทานอาหารและการตรวจวัดระดับน้ำตาลปลายนิ้ว เนื่องจากวิตกกังวลในเรื่องความปลอดภัย ผลการตรวจร่างกายอื่นๆ พบว่า ยังมีระดับความรู้สึกตัวที่ดี มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย จากการอดอาหาร โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้รับประทานอาหารอื่นทดแทน อาทิ ขนมปัง นม น้ำหวาน เกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และยังคงมีผื่นบริเวณหน้าอก และหลังอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จ่ายยารับประทานและยาทา เพื่อรักษาอาการดังกล่าวแล้ว ส่วนสภาพร่างกายทั่วไป ยังถือว่าปกติ ไม่น่าเป็นห่วง
ศาลแพ่งยกคำร้องนักข่าวประชาไทย
วันเดียวกันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก น.ส.จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้รับมอบอำนาจจาก นายศรายุทธ ตั้งประเสริฐ หรือ กุ้ย ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวประชาไท ป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดตาม พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จากกรณีนายศรายุทธ ได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนยางจากเหตุการณ์สลายชุมนุมของกลุ่มนักข่าวประชาไท ส่งทนายยื่นฟ้อง ตร. ขอศาลคุ้มครองนักข่าว-ผู้ชุมนุม ไม่ปิดกั้นเส้นทาง-สลายการชุมนุม
รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า ศาลแพ่งได้พิเคราะห์และยำคำร้องของนักข่าวประชาไท ชี้เป็นการขอล่วงหน้ากรณีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งสิ้น ศาลจึงไม่อาจบังคับได้
ศาลอาญายกคำร้อง "แม่เพนกวิน" ขอประกันตัวลูกชาย ละเมิดอำนาจศาล
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ อายุ 51 ปี มารดาของนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ จำเลยคดีดูหมิ่นเบื้องสูง ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม ฯ ตามตรา 112 ,116 ฯลฯ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินส่ดจำนวน 20,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ นายพริษฐ์ บุตรชาย ที่ศาลอาญามีคำสั่งให้กักขัง15 วัน ฐานละเมิดอำนาจศาล เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยศาลพิเคราะแล้ว เห็นว่า ศาลอาญาเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวมาแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
มช.ยันผู้บริหารวิจิตรศิลป์ทำหน้าที่ถูกต้อง
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่ได้มีกลุ่มบุคคลเข้ามาใช้สถานที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นพื้นที่ ในความรับผิดชอบของคณะวิจิตรศิลป์ โดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำการที่ไม่เหมาะสม เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย ผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ พบธงชาติไทยมีการดัดแปลงและมีข้อความที่ไม่เหมาะสมปรากฏอยู่ รวมถึงสิ่งของอื่นในบริเวณดังกล่าว จึงเก็บไว้เพื่อให้เจ้าของมารับคืนนั้น
มหาวิทยาลัย พิจารณาเห็นว่าผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำกับดูแลสถานที่และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อีกทั้งเป็นการปกป้องชื่อเสียงของนักศึกษา บุคลากรและมหาวิทยาลัยโดยรวมเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว