นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว
และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ
(1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
“ร้องไห้ทำไม”
โจทาโรเงยหน้านองน้ำตาขึ้นมองมูซาชิ
สะอื้นพลางดึงแขนเสื้อนักดาบหนุ่มผู้เป็นครู
“หนีกันเถอะ”
“ซามูไรคือนักรบผู้ไม่หนีศัตรู
เจ้าเองกำลังมุ่งที่จะได้เป็นซามูไรไม่ใช่รึ”
“แต่ข้ากลัว ข้ากลัวตาย”
ปากคอและเนื้อตัวของโจทาโรสั่นไหวด้วยความกลัวจริง ๆ
ศิษย์น้อยรั้งแขนเสื้อครูไว้ไม่ยอมปล่อย
“หนีกันดีกว่า สงสารเด็กตาดำ
ๆ เถอะน้า...นะ หนีกันเถอะ”
“เฮ้อ
โดนเซ้าซี้อย่างนี้ข้าเองก็ชักจะใจอ่อนอยากหนีขึ้นมาบ้างแล้ว ข้าเข้าใจเอ็งดีเพราะตอนเป็นเด็กก็ไม่มีพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนเหมือนกับเจ้า
คิดอะไรก็ต้องเอาให้ได้ดังใจไม่แพ้กัน”
“งั้นจะรออะไร ไปกันเลย”
“ได้ยังไง
ข้าเป็นซามูไรและเจ้าก็เป็นลูกซามูไรมิใช่รึ”
โจทาโรหมดแรงทรุดลงนั่งบนพื้นดินตรงนั้นเอง
ยกมือเปื้อน ๆ ขั้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ จนดำมอมไปทั้งหน้า
“แต่เจ้าไม่ต้องห่วงเพราะข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะสู้ไม่ถอย
ไม่ใช่ซิ...ข้ามั่นใจว่าต้องชนะ พอใจไหม”
ศิษย์ตัวน้อยดูเหมือนไม่เชื่อคำปลอบใจของครู
จะให้เชื่อได้ยังไงเพราะได้ยินมาเต็มหูว่า
นักทวนฝีมือดีแห่งสำนักโฮโซอินยกขบวนกันมาซุ่มคอยอยู่ข้างหน้านี้เป็นสิบคน นักดาบที่ใคร
ๆ ลือกันว่าอ่อนหัดอย่างครูจะรับมือยังไงไหว
แค่ให้สู้กันตัวต่อตัวก็ยังมองไม่เห็นทางชนะ
วันนี้คือวันแห่งความเป็นความตาย มูซาชิเตรียมตัวและทำใจพร้อมไว้แล้วหากว่าถึงคราวจะต้องตาย
ที่ถูกต้องบอกว่า...เตรียมตัวที่จะตายทุกเมื่อมากกว่า
ตนรักและเวทนาโจทาโรก็จริง แต่ยามที่จิตใจเป็นเช่นนี้ เจ้าเด็กน้อยมันกวนใจน่ารำคาญเสียจริง
ทำให้หงุดหงิดจนต้องตวาดเสียงเขียวออกไปว่า
“คนอย่างเจ้าไม่มีวันได้เป็นนักรบ
กลับไปร้านเหล้าซะ ไปเดี๋ยวนี้เลย ไป้”
ได้ผล...โจทาโรหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นปลิดทิ้ง
ผลุดลุกขึ้นยืนเม้มปากแน่นและกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ถูกคนที่ตนนับถือว่าเป็นครูดูหมิ่นน้ำใจอย่างไม่ไว้หน้า
ส่วนมูซาชิ
พอตวาดลูกศิษย์ขาดคำก็ออกเดิน ก้าวยาว ๆ
ย่ำไปบนทางดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคงมุ่งตรงไปข้างหน้า
โจทาโรมองตามไป ทำท่าจะตะโกนเรียก
แต่ก็กลั้นเอาไว้ ยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าถลาไปซบกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง
มูซาชิไม่หันกลับไปมอง
แต่เสียงสะอื้นของโจทาโรยังไม่วายตามมารบกวนให้เห็นภาพศิษย์ตัวน้อยที่ถูกทิ้งให้เผชิญกับความหวาดกลัวและสิ้นหวังอยู่เดียวดาย
ไม่ได้
เราจะพาเจ้าเด็กน้อยไปร่วมชะตากรรมด้วยได้อย่างไร
มูซาชิสะเทือนใจอยู่ลึก ๆ
แต่ก็จำต้องตัดใจ
ลำพังตนเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะพาเด็กน้อยไปร่วมชะตากรรมด้วยได้อย่างไร
ทั้งเนื้อทั้งตัวมีดาบติดมืออยู่เล่มเดียว
วันนี้ยังมีลมหายใจแต่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งจะยังอยู่หรือว่าสิ้นใจ
สำหรับนักรบพเนจร
คนติดตามคือภาระ
ไม่นาน
มูซาชิก็เดินพ้นเขตป่าต้นซูงิออกมาที่ทุ่งกว้างเชิงเขา
และพอมาถึงทางแยกจากภูเขามิกาซะทางด้านโน้น ใครคนหนึ่งก็โบกมือร้องเรียกมาแต่ไกล
“ท่าน...ท่านมูซาชิ”
และพอเข้าไปใกล้
คน ๆ นั้นก็เข้ามาเดินเคียงข้างราวกับคุ้นเคยกันมานาน ถามขึ้นว่า
“ท่านจะไปไหนรึ”
อ๋อ...หนึ่งในซามูไรไร้นายนักพนันทั้งสามที่ตามมาชักชวนถึงบ้านแม่ม่าย
คนที่บอกว่าชื่อยามาโซเอะ ดันปาจินั่นเอง
...หนีไม่พ้นรึนี่
มูซาชิรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมาทันทีแต่ก็ฝืนทำเป็นดีด้วย ทักตอบไปว่า
“อ้อ
ท่านนั่นเอง...เมื่อวันก่อน”
“ใช่ เมื่อวันก่อนข้าต้องขอโทษที่ล่วงเกินท่าน”
ว่าแล้วก็รีบคำนับด้วยความเคารพสูงสุดจนดูเกินควร และกล่าวคำขอโทษขอโพยยืดยาวพลางสังเกตความรู้สึกบนใบหน้าของมูซาชิ
“กรุณาลืมเรื่องวันนั้นเสียให้หมดเถิด
คิดเสียว่าไม่มีใครมาพูดให้ได้ยินก็แล้วกัน”
2
แม้ยามาโซเอะ
ดันปาจิจะประจักษ์แจ้งในฝีมืออันน่าเกรงขามของมูซาชิมากับตาในการประลองวิทยายุทธ์ที่สำนักโฮโซอิน
แต่ก็ยังมองว่ามูซาชิเป็นแค่นักรบหนุ่มบ้านนอกอายุแค่ยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง
ที่ครีบเพิ่งจะแข็งพอว่ายออกสู่ท้องทะเลได้ไม่นาน และไม่ได้คิดว่าจะก้มหัวให้
“ท่านกำลังจะเดินทางไปไหน”
“คิดว่าจะข้ามอิงะไปทางอิเซะ
แล้วท่านล่ะ”
“ข้ามีธุระนิดหน่อยที่สึกิงาเซะ”
“ใกล้กับหุบเขายากิวใช่ไหมท่าน”
“ใช่ โอยากิวอยู่ห่างจากตรงนี้ไปราวโยชน์หนึ่ง
และไปต่ออีกราวร้อยเส้นก็ถึงโคงากิว”
“แล้วปราสาทของท่านยากิวผู้ยิ่งใหญ่เล่าอยู่ที่ไหน”
“ไม่ไกลจากวัดคาซางิเดระเท่าไรนัก
ข้าว่าท่านน่าจะหาเวลาแวะไปไหน ๆ ก็มาแถบนี้แล้ว
ตอนนี้ท่านมูเนโยชิผู้เป็นประมุขสละตำแหน่งจอมทัพย้ายจากปราสาทไปอยู่เรือนเล็กปฏิบัติตนราวปรมาจารย์ในวิถีแห่งชา
ส่วนมูเนโนริลูกชายของท่านเข้าไปมีตำแหน่งอยู่ในกองทัพท่านโชกุนโทกุงาวะที่เอโดะ”
“ข้าก็อยากแวะไปเหมือนกัน
แต่สำนักดาบของที่นั่นจะยอมรับซามูไรพเนจรอย่างข้าเข้ารับการฝึกรึ”
“นั่นน่ะซี
แต่ถ้ามีจดหมายแนะนำตัวไปคงไม่ยาก...ใช่ ๆ ที่สึกิงาเซะข้ารู้จักพ่อเฒ่าที่เข้าออกบ้านตระกูลยากิวอยู่คนหนึ่ง
เป็นช่างทำเสื้อเกราะ ข้าจะขอให้ช่วยเป็นคนแนะนำให้ก็ได้”
ดันปาจิเดินเคียงข้างมูซาชิไปบนทางที่ตัดผ่านทุ่งว่างกว้างใหญ่
มีต้นไม้ใหญ่อย่างซูงิและมากิยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นเพียงประปราย
ทางบางช่วงตอนเป็นเนินเตี้ย ๆ ลาดขึ้นลง
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้กับเนินฮันเนียซากะและมองไปที่อีกเนินหนึ่งข้างหน้า
มูซาชิก็ชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่เมื่อเห็นควันลอยขึ้นไปเหมือนใครกำลังก่อไฟ
“เอ๊ะ
นั่นควันอะไร”
“ทำไมรึ”
ดันปาจิยื่นหน้าเข้ามาถามมูซาชิจนชิดและทำหน้าเครียด
นักดาบหนุ่มชี้ไปที่เนินเขาตรงหน้า
“ควันบนเนินเขานั่นน่าสงสัย ท่านเห็นเป็นยังไง”
“น่าสงสัยยังไงรึ”
“น่าสงสัยเหมือน” มูซาชิเบนนิ้วมาชี้หน้าดันปาจิตรง
ๆ “สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของท่านตอนนี้น่ะซี”
“เอ๊ะ”
“นี่ไงล่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของมูซาชิ
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับไม่ใช่เสียงมนุษย์มนาก็กรีดก้องขึ้นทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบยามฤดูใบไม้ผลิ
ร่างของดันปาจิกระเด็นไปทางหนึ่ง
ร่างของมูซาชิลอยไปตั้งหลักห่างออกไปหลายก้าว
ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตาเดียว
“เฮ้ย”
เสียงใครคนหนึ่งอุทานเสียงลั่นด้วยความตกใจ
“เสร็จมัน”
อีกคนหนึ่งร้องลั่นไม่แพ้กัน
พอสิ้นเสียง
ชายสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนเนินข้างหน้า ยกมือขึ้นโบกไปมาอย่างตื่นตระหนกและพากันวิ่งเตลิดไป
มูซาชิลดดาบในมือ
คมดาบสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายวาววับ
นักดาบหนุ่มเดินต่อไปช้า
ๆ เหยียบย่ำดอกหญ้ามุ่งไปยังเนินที่เห็นควันไฟลอยขึ้นมา
3
ลมอ่อน
ๆ พัดผ่านเรือนผมอ่อนโยนราวลูบไล้ด้วยมือหญิง แต่ความตึงเครียดทำให้มูซาชิรู้สึกเหมือนเส้นผมทุกเส้นตั้งชัน
กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งเครียดราวกับเหล็กกล้า
นักดาบที่เพิ่งพิชิตศัตรูมาหมาด
ๆ ก้าวขึ้นไปยืนบนเนินและมองลงไปที่หนองน้ำ เห็นกองไฟกำลังลุกโพลนอยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย มาแล้ว”
ชายสองคนที่หนีไปเมื่อครู่ก่อนร้องบอกพลางวิ่งเข้าไปที่กลุ่มคนที่ล้อมอยู่รอบกองไฟ
คราวนี้เห็นหน้าชัดแล้วว่าสองคนนั้นคือยาซูกาวะ
ยาซูเบ กับ โอโทโมะ บันริวเพื่อนของยามาโซเอะ ดันปาจิผู้สิ้นชื่อไปแล้ว
จริงอย่างที่คิด
“มาแล้ว ?”
ใครคนหนึ่งทวนคำ และทันทีนั้นทุกคนรอบกองไฟก็ลุกพรึบขึ้นเกือบจะพร้อม
กะคร่าว ๆ ได้เกือบสามสิบคน
มองจากหน้าตาทางแล้วน่าจะเป็นพระจากสำนักโฮโซอินราวครึ่งหนึ่ง
ส่วนที่เหลือเป็นพวกซามูไรไร้นายและนักดาบพเนจรคละกันไป
มูซาชิก้าวออกไปยืนแสดงตัวเด่นอยู่บนเนินระหว่างทางไปยังเนินฮันเนียซากะ
การปรากฏตัวของนักดาบหนุ่มมีพลังพอที่จะให้ทุกคนในกลุ่มเงียบกริบลงทันทีและมองขึ้นมาด้วยความเกรงขาม
ยิ่งกว่านั้น
คราบเลือดสด ๆ ที่อาบใบมีดดาบในมือของมูซาชิยังแสดงให้เห็นชัดว่าสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว
ก่อนที่สองฝ่ายจะได้เห็นหน้ากัน
และผู้ประกาศสงครามไม่ใช่สำนักโฮโซอินที่ยกขบวนกันมาซุ่มคอยอยู่
แต่กลับเป็นมูซาชิผู้มาในมาดของผู้พิชิต
มูซาชิเห็นโอโทโมะกับยาซูกาวะแย่งกันรายงานเรื่องที่เพื่อนของตนตกเป็นเครื่องสังเวยดาบเป็นคนแรก
ยกไม้ยกมือทำท่าทำทางปากคอสั่น
“ยามาโซเอะ ยามาโซเอะ
มัน...”
พวกซามูไรไร้นายกัดฟันกรอด
พวกพระสำนักโฮโซอินจ้องมองขึ้นมาที่มูซาชิด้วยสายตาเคียดแค้น
และเรียกรวมพลจัดขบวนเตรียมปะจันบาน
แต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรือไม่ผิดอะไรกับกองทัพจากนรก
พระสำนักโฮโซอินสิบคนมีทวนเป็นอาวุธ
มีทั้งทวนรูปง้าวและทวนรูปหอกต่าง ๆ กัน
ผูกรัดแขนชุดพระสีดำให้เข้าที่ทะมัดทะแมงเตรียมสู้
เพื่อดำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิแห่งสำนักและเพื่อแก้แค้นแทนอากนนักทวนชั้นครูของสำนักผู้พ่ายฝีมือนักดาบผู้มาเยือน
“ทำโอหังไปเถิด
วันนี้แหละจะได้รู้กัน”
ทางด้านซามูไรไร้นายก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน
ทำหน้าที่ล้อมวงกั้นเอาไว้ไม่ให้มูซาชิหนีไปได้พร้อมกับเฝ้าดูการสู้รบไปด้วยตามแผนที่วางไว้
หลายคนพูดตลกหยอกล้อและหัวเราะกันครื้นเครง
พวกนี้ไม่ต้องจัดขบวนและไม่มีอะไรต้องเครียด
แค่ยืนล้อมเป็นวงอย่างที่ทำกันอยู่เป็นใช้ได้
และก็คงไม่ต้องใช้แรงใช้กำลังอะไรด้วย เพราะศัตรูซึ่งก็คือมูซาชิซึ่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บน
นั้นไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะหนีไปไหน
มูซาชิเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
ทุกก้าวเหยียบติดกับพื้นดิน เหยียบไปบนหญ้าอ่อนที่ปกคลุมชะง่อนผาทีละก้าว
ทีละก้าวใกล้เข้ามา ด้วยทีท่าราวพญานกอินทรีย์ที่พร้อมจะโผผินขึ้นจากพื้นดินได้ทุกวินาที
ดวงตาจับจ้องไปที่กลุ่มคน และก้าวเข้าใกล้...แดนมรณะ เข้าไปทุกที
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว
และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ
(1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
“ร้องไห้ทำไม”
โจทาโรเงยหน้านองน้ำตาขึ้นมองมูซาชิ
สะอื้นพลางดึงแขนเสื้อนักดาบหนุ่มผู้เป็นครู
“หนีกันเถอะ”
“ซามูไรคือนักรบผู้ไม่หนีศัตรู
เจ้าเองกำลังมุ่งที่จะได้เป็นซามูไรไม่ใช่รึ”
“แต่ข้ากลัว ข้ากลัวตาย”
ปากคอและเนื้อตัวของโจทาโรสั่นไหวด้วยความกลัวจริง ๆ
ศิษย์น้อยรั้งแขนเสื้อครูไว้ไม่ยอมปล่อย
“หนีกันดีกว่า สงสารเด็กตาดำ
ๆ เถอะน้า...นะ หนีกันเถอะ”
“เฮ้อ
โดนเซ้าซี้อย่างนี้ข้าเองก็ชักจะใจอ่อนอยากหนีขึ้นมาบ้างแล้ว ข้าเข้าใจเอ็งดีเพราะตอนเป็นเด็กก็ไม่มีพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนเหมือนกับเจ้า
คิดอะไรก็ต้องเอาให้ได้ดังใจไม่แพ้กัน”
“งั้นจะรออะไร ไปกันเลย”
“ได้ยังไง
ข้าเป็นซามูไรและเจ้าก็เป็นลูกซามูไรมิใช่รึ”
โจทาโรหมดแรงทรุดลงนั่งบนพื้นดินตรงนั้นเอง
ยกมือเปื้อน ๆ ขั้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ จนดำมอมไปทั้งหน้า
“แต่เจ้าไม่ต้องห่วงเพราะข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะสู้ไม่ถอย
ไม่ใช่ซิ...ข้ามั่นใจว่าต้องชนะ พอใจไหม”
ศิษย์ตัวน้อยดูเหมือนไม่เชื่อคำปลอบใจของครู
จะให้เชื่อได้ยังไงเพราะได้ยินมาเต็มหูว่า
นักทวนฝีมือดีแห่งสำนักโฮโซอินยกขบวนกันมาซุ่มคอยอยู่ข้างหน้านี้เป็นสิบคน นักดาบที่ใคร
ๆ ลือกันว่าอ่อนหัดอย่างครูจะรับมือยังไงไหว
แค่ให้สู้กันตัวต่อตัวก็ยังมองไม่เห็นทางชนะ
วันนี้คือวันแห่งความเป็นความตาย มูซาชิเตรียมตัวและทำใจพร้อมไว้แล้วหากว่าถึงคราวจะต้องตาย
ที่ถูกต้องบอกว่า...เตรียมตัวที่จะตายทุกเมื่อมากกว่า
ตนรักและเวทนาโจทาโรก็จริง แต่ยามที่จิตใจเป็นเช่นนี้ เจ้าเด็กน้อยมันกวนใจน่ารำคาญเสียจริง
ทำให้หงุดหงิดจนต้องตวาดเสียงเขียวออกไปว่า
“คนอย่างเจ้าไม่มีวันได้เป็นนักรบ
กลับไปร้านเหล้าซะ ไปเดี๋ยวนี้เลย ไป้”
ได้ผล...โจทาโรหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นปลิดทิ้ง
ผลุดลุกขึ้นยืนเม้มปากแน่นและกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ถูกคนที่ตนนับถือว่าเป็นครูดูหมิ่นน้ำใจอย่างไม่ไว้หน้า
ส่วนมูซาชิ
พอตวาดลูกศิษย์ขาดคำก็ออกเดิน ก้าวยาว ๆ
ย่ำไปบนทางดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคงมุ่งตรงไปข้างหน้า
โจทาโรมองตามไป ทำท่าจะตะโกนเรียก
แต่ก็กลั้นเอาไว้ ยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าถลาไปซบกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง
มูซาชิไม่หันกลับไปมอง
แต่เสียงสะอื้นของโจทาโรยังไม่วายตามมารบกวนให้เห็นภาพศิษย์ตัวน้อยที่ถูกทิ้งให้เผชิญกับความหวาดกลัวและสิ้นหวังอยู่เดียวดาย
ไม่ได้
เราจะพาเจ้าเด็กน้อยไปร่วมชะตากรรมด้วยได้อย่างไร
มูซาชิสะเทือนใจอยู่ลึก ๆ
แต่ก็จำต้องตัดใจ
ลำพังตนเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะพาเด็กน้อยไปร่วมชะตากรรมด้วยได้อย่างไร
ทั้งเนื้อทั้งตัวมีดาบติดมืออยู่เล่มเดียว
วันนี้ยังมีลมหายใจแต่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งจะยังอยู่หรือว่าสิ้นใจ
สำหรับนักรบพเนจร
คนติดตามคือภาระ
ไม่นาน
มูซาชิก็เดินพ้นเขตป่าต้นซูงิออกมาที่ทุ่งกว้างเชิงเขา
และพอมาถึงทางแยกจากภูเขามิกาซะทางด้านโน้น ใครคนหนึ่งก็โบกมือร้องเรียกมาแต่ไกล
“ท่าน...ท่านมูซาชิ”
และพอเข้าไปใกล้
คน ๆ นั้นก็เข้ามาเดินเคียงข้างราวกับคุ้นเคยกันมานาน ถามขึ้นว่า
“ท่านจะไปไหนรึ”
อ๋อ...หนึ่งในซามูไรไร้นายนักพนันทั้งสามที่ตามมาชักชวนถึงบ้านแม่ม่าย
คนที่บอกว่าชื่อยามาโซเอะ ดันปาจินั่นเอง
...หนีไม่พ้นรึนี่
มูซาชิรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมาทันทีแต่ก็ฝืนทำเป็นดีด้วย ทักตอบไปว่า
“อ้อ
ท่านนั่นเอง...เมื่อวันก่อน”
“ใช่ เมื่อวันก่อนข้าต้องขอโทษที่ล่วงเกินท่าน”
ว่าแล้วก็รีบคำนับด้วยความเคารพสูงสุดจนดูเกินควร และกล่าวคำขอโทษขอโพยยืดยาวพลางสังเกตความรู้สึกบนใบหน้าของมูซาชิ
“กรุณาลืมเรื่องวันนั้นเสียให้หมดเถิด
คิดเสียว่าไม่มีใครมาพูดให้ได้ยินก็แล้วกัน”
2
แม้ยามาโซเอะ
ดันปาจิจะประจักษ์แจ้งในฝีมืออันน่าเกรงขามของมูซาชิมากับตาในการประลองวิทยายุทธ์ที่สำนักโฮโซอิน
แต่ก็ยังมองว่ามูซาชิเป็นแค่นักรบหนุ่มบ้านนอกอายุแค่ยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง
ที่ครีบเพิ่งจะแข็งพอว่ายออกสู่ท้องทะเลได้ไม่นาน และไม่ได้คิดว่าจะก้มหัวให้
“ท่านกำลังจะเดินทางไปไหน”
“คิดว่าจะข้ามอิงะไปทางอิเซะ
แล้วท่านล่ะ”
“ข้ามีธุระนิดหน่อยที่สึกิงาเซะ”
“ใกล้กับหุบเขายากิวใช่ไหมท่าน”
“ใช่ โอยากิวอยู่ห่างจากตรงนี้ไปราวโยชน์หนึ่ง
และไปต่ออีกราวร้อยเส้นก็ถึงโคงากิว”
“แล้วปราสาทของท่านยากิวผู้ยิ่งใหญ่เล่าอยู่ที่ไหน”
“ไม่ไกลจากวัดคาซางิเดระเท่าไรนัก
ข้าว่าท่านน่าจะหาเวลาแวะไปไหน ๆ ก็มาแถบนี้แล้ว
ตอนนี้ท่านมูเนโยชิผู้เป็นประมุขสละตำแหน่งจอมทัพย้ายจากปราสาทไปอยู่เรือนเล็กปฏิบัติตนราวปรมาจารย์ในวิถีแห่งชา
ส่วนมูเนโนริลูกชายของท่านเข้าไปมีตำแหน่งอยู่ในกองทัพท่านโชกุนโทกุงาวะที่เอโดะ”
“ข้าก็อยากแวะไปเหมือนกัน
แต่สำนักดาบของที่นั่นจะยอมรับซามูไรพเนจรอย่างข้าเข้ารับการฝึกรึ”
“นั่นน่ะซี
แต่ถ้ามีจดหมายแนะนำตัวไปคงไม่ยาก...ใช่ ๆ ที่สึกิงาเซะข้ารู้จักพ่อเฒ่าที่เข้าออกบ้านตระกูลยากิวอยู่คนหนึ่ง
เป็นช่างทำเสื้อเกราะ ข้าจะขอให้ช่วยเป็นคนแนะนำให้ก็ได้”
ดันปาจิเดินเคียงข้างมูซาชิไปบนทางที่ตัดผ่านทุ่งว่างกว้างใหญ่
มีต้นไม้ใหญ่อย่างซูงิและมากิยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นเพียงประปราย
ทางบางช่วงตอนเป็นเนินเตี้ย ๆ ลาดขึ้นลง
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้กับเนินฮันเนียซากะและมองไปที่อีกเนินหนึ่งข้างหน้า
มูซาชิก็ชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่เมื่อเห็นควันลอยขึ้นไปเหมือนใครกำลังก่อไฟ
“เอ๊ะ
นั่นควันอะไร”
“ทำไมรึ”
ดันปาจิยื่นหน้าเข้ามาถามมูซาชิจนชิดและทำหน้าเครียด
นักดาบหนุ่มชี้ไปที่เนินเขาตรงหน้า
“ควันบนเนินเขานั่นน่าสงสัย ท่านเห็นเป็นยังไง”
“น่าสงสัยยังไงรึ”
“น่าสงสัยเหมือน” มูซาชิเบนนิ้วมาชี้หน้าดันปาจิตรง
ๆ “สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของท่านตอนนี้น่ะซี”
“เอ๊ะ”
“นี่ไงล่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของมูซาชิ
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับไม่ใช่เสียงมนุษย์มนาก็กรีดก้องขึ้นทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบยามฤดูใบไม้ผลิ
ร่างของดันปาจิกระเด็นไปทางหนึ่ง
ร่างของมูซาชิลอยไปตั้งหลักห่างออกไปหลายก้าว
ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตาเดียว
“เฮ้ย”
เสียงใครคนหนึ่งอุทานเสียงลั่นด้วยความตกใจ
“เสร็จมัน”
อีกคนหนึ่งร้องลั่นไม่แพ้กัน
พอสิ้นเสียง
ชายสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนเนินข้างหน้า ยกมือขึ้นโบกไปมาอย่างตื่นตระหนกและพากันวิ่งเตลิดไป
มูซาชิลดดาบในมือ
คมดาบสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายวาววับ
นักดาบหนุ่มเดินต่อไปช้า
ๆ เหยียบย่ำดอกหญ้ามุ่งไปยังเนินที่เห็นควันไฟลอยขึ้นมา
3
ลมอ่อน
ๆ พัดผ่านเรือนผมอ่อนโยนราวลูบไล้ด้วยมือหญิง แต่ความตึงเครียดทำให้มูซาชิรู้สึกเหมือนเส้นผมทุกเส้นตั้งชัน
กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งเครียดราวกับเหล็กกล้า
นักดาบที่เพิ่งพิชิตศัตรูมาหมาด
ๆ ก้าวขึ้นไปยืนบนเนินและมองลงไปที่หนองน้ำ เห็นกองไฟกำลังลุกโพลนอยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย มาแล้ว”
ชายสองคนที่หนีไปเมื่อครู่ก่อนร้องบอกพลางวิ่งเข้าไปที่กลุ่มคนที่ล้อมอยู่รอบกองไฟ
คราวนี้เห็นหน้าชัดแล้วว่าสองคนนั้นคือยาซูกาวะ
ยาซูเบ กับ โอโทโมะ บันริวเพื่อนของยามาโซเอะ ดันปาจิผู้สิ้นชื่อไปแล้ว
จริงอย่างที่คิด
“มาแล้ว ?”
ใครคนหนึ่งทวนคำ และทันทีนั้นทุกคนรอบกองไฟก็ลุกพรึบขึ้นเกือบจะพร้อม
กะคร่าว ๆ ได้เกือบสามสิบคน
มองจากหน้าตาทางแล้วน่าจะเป็นพระจากสำนักโฮโซอินราวครึ่งหนึ่ง
ส่วนที่เหลือเป็นพวกซามูไรไร้นายและนักดาบพเนจรคละกันไป
มูซาชิก้าวออกไปยืนแสดงตัวเด่นอยู่บนเนินระหว่างทางไปยังเนินฮันเนียซากะ
การปรากฏตัวของนักดาบหนุ่มมีพลังพอที่จะให้ทุกคนในกลุ่มเงียบกริบลงทันทีและมองขึ้นมาด้วยความเกรงขาม
ยิ่งกว่านั้น
คราบเลือดสด ๆ ที่อาบใบมีดดาบในมือของมูซาชิยังแสดงให้เห็นชัดว่าสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว
ก่อนที่สองฝ่ายจะได้เห็นหน้ากัน
และผู้ประกาศสงครามไม่ใช่สำนักโฮโซอินที่ยกขบวนกันมาซุ่มคอยอยู่
แต่กลับเป็นมูซาชิผู้มาในมาดของผู้พิชิต
มูซาชิเห็นโอโทโมะกับยาซูกาวะแย่งกันรายงานเรื่องที่เพื่อนของตนตกเป็นเครื่องสังเวยดาบเป็นคนแรก
ยกไม้ยกมือทำท่าทำทางปากคอสั่น
“ยามาโซเอะ ยามาโซเอะ
มัน...”
พวกซามูไรไร้นายกัดฟันกรอด
พวกพระสำนักโฮโซอินจ้องมองขึ้นมาที่มูซาชิด้วยสายตาเคียดแค้น
และเรียกรวมพลจัดขบวนเตรียมปะจันบาน
แต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรือไม่ผิดอะไรกับกองทัพจากนรก
พระสำนักโฮโซอินสิบคนมีทวนเป็นอาวุธ
มีทั้งทวนรูปง้าวและทวนรูปหอกต่าง ๆ กัน
ผูกรัดแขนชุดพระสีดำให้เข้าที่ทะมัดทะแมงเตรียมสู้
เพื่อดำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิแห่งสำนักและเพื่อแก้แค้นแทนอากนนักทวนชั้นครูของสำนักผู้พ่ายฝีมือนักดาบผู้มาเยือน
“ทำโอหังไปเถิด
วันนี้แหละจะได้รู้กัน”
ทางด้านซามูไรไร้นายก็รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน
ทำหน้าที่ล้อมวงกั้นเอาไว้ไม่ให้มูซาชิหนีไปได้พร้อมกับเฝ้าดูการสู้รบไปด้วยตามแผนที่วางไว้
หลายคนพูดตลกหยอกล้อและหัวเราะกันครื้นเครง
พวกนี้ไม่ต้องจัดขบวนและไม่มีอะไรต้องเครียด
แค่ยืนล้อมเป็นวงอย่างที่ทำกันอยู่เป็นใช้ได้
และก็คงไม่ต้องใช้แรงใช้กำลังอะไรด้วย เพราะศัตรูซึ่งก็คือมูซาชิซึ่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บน
นั้นไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะหนีไปไหน
มูซาชิเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
ทุกก้าวเหยียบติดกับพื้นดิน เหยียบไปบนหญ้าอ่อนที่ปกคลุมชะง่อนผาทีละก้าว
ทีละก้าวใกล้เข้ามา ด้วยทีท่าราวพญานกอินทรีย์ที่พร้อมจะโผผินขึ้นจากพื้นดินได้ทุกวินาที
ดวงตาจับจ้องไปที่กลุ่มคน และก้าวเข้าใกล้...แดนมรณะ เข้าไปทุกที