xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 2 น้ำ ตอน ศิษย์กับครู

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
“หยุดได้แล้ว โจทะโร”
มูซาชิร้องห้าม เมื่อเห็นแม่ม่ายโฉมงามทำหน้ายุ่งยาก
“ทำไมถึงทำอะไรบ้า ๆ อย่างนั้นฮึ”
ถลึงตาห้ามก็แล้ว ดุเสียงเกรี้ยวก็แล้วโจทะโรก็ยังไม่หยุดคึก มิหนำซ้ำยังเอาหน้ากากซุกเข้าไปในอกเสื้อกิโมโนเสียด้วย
“น่า ขอข้าเถิดนะป้า น้า...นะ”
ว่าแล้วก็วิ่งลงจากเรือนหนีไป
“แย่จริง แย่จริง”
แม่ม่ายสาววิ่งตามไปพลางหัวเราะ เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีกว่านั้น จะโกรธก็ไม่ลงเพราะอีกฝ่ายยังเป็นเด็กไม่รู้ประสา
ไม่นานโจทาโรก็ไต่บันไดช้า ๆ ขึ้นมาชั้นบน
มูซาชิหันหน้าไปตั้งท่าว่าจะด่าทันทีที่เห็นหน้า
“โจ๊ะ...”
ใบหน้าแสยะยิ้มของนางปีศาจเขาแหลมเปี๊ยบที่โผล่ขึ้นมาทันทีทันควัน ทำเอานักดาบหนุ่มสะดุ้งสุดตัว กล้ามเนื้อเขม็งตึงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง มารู้สึกตัวอีกที่ก็ให้งงงันเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงตกอกตกใจขนาดนั้น...แต่พอยื่นหน้าเข้าไปพินิจพิจารณาหน้านางปีศาจที่โผล่ขึ้นมาที่หัวบันไดใกล้ ๆ ข้อสงสัยจึงกระจ่างใจว่า พลังจิตของปรมาจารย์ผู้แกะสลักหน้ากากละครโน พลังจิตที่แฝงอยู่ในเรียวปากที่กำลังหัวเราะของนางปีศาจนั้นเองที่ทำให้ตนตื่นตระหนก
“ท่านขอรับ เราไปกันเถอะ”
โจทาโรชวนทั้งที่ยังสวมหน้ากาก มูซาชิร้องบอกไปโดยยังไม่ขยับตัวลุกขึ้น
“ยังไม่คืนเขาอีกรึ เจ้าจะมาอยากได้ของสำคัญของคนอื่นเขาอย่างนี้ไม่ได้นะ”
“แต่ป้าเขาให้ข้าแล้ว บอกว่าเอาไปเถอะ”
“ไม่ดีหรอก เอาลงไปคืนเขาเดี๋ยวนี้เลย”
“เข้าเอาไปคืนแล้วแต่ป้าบอกว่าถ้าอยากได้จริง ๆ ป้าก็ให้ แต่ต้องดูแลรักษาเอาไว้ให้ดี ข้าให้สัญญาว่าจะดูแลรักษาหน้ากากอันนี้เป็นอย่างดีแน่นอน ป้าให้ข้าแล้วจริง ๆ นะ”
“เอ็งนี่มันน่าตีนัก”
นักดาบหนึ่งตะขิดตะขวงใจ เกรงใจแม่ม่ายสาวยิ่งนักที่มานอนข้างถึงสองคืนสองครา แม่นางมีไมตรีจิตมอบเครื่องนุ่งห่มที่อุตส่าห์เอาเสื้อผ้าเก่ามาแก้มาเย็บให้ใส่พอดีตัว แล้วเจ้าศิษย์ตัวร้ายจังมาพรากของรักไปเสียอีก
ครั้นจะจ่ายค่าตอบแทนให้เท่าที่พอมีแต่เห็นว่านางก็ไม่ได้ลำบากเรื่องเงินก็ได้แต่ยั้งมือเอาไว้ ครั้งจะให้สิ่งของที่มีค่าสมกันชดเชยไปตนก็ไม่มีสมบัติอะไรติดตัว จึงได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ ลงบันไดไปขอโทษขอโพย และส่งหน้ากากนางปีศาจที่แย่งจากโจทาโรคืนให้
แม่ม่ายสาวปัดไม้ปัดมือบอกว่า
“มาคิดดูอีกที เจ้าหนูรับเอาหน้ากากอันนั้นไปก็ดีแล้ว บางทีดิฉันอาจจะอยู่อย่างมีความสุขขึ้นเมื่อไม่มีหน้ากากอันนั้นก็ได้ โจทาโรอยากได้ก็เอาไปเถิด ท่านอย่าดุว่าอะไรเลยเจ้าค่ะ”
ยิ่งได้ฟังดังนั้น มูซาชิก็ยิ่งแน่ใจว่าประวัติความเป็นมาของหน้ากากอันนี้น่าจะต้องมีความหมายต่อแม่ม่ายโฉมงามจึงยังอึ้งอยู่ แต่ทาโรไม่ฟังอีร้าค่าอีรม วิ่งไปใส่รองเท้าฟางออกไปกระโดดหย็อย ๆ รออยู่นอกซุ้มประตูบ้านแล้ว
ยามบอกลา แม่ม่ายสาวดูอาลัยอาวรณ์กับมูซาชิมากกว่าหน้ากากนางปีศาจเสียอีก สั่งไม่ขาดคำว่าหากผ่านมาทางนาราอีก อย่าได้ลืมมาพักที่บ้านนี้เป็นอันขาด
“ข้าลาละ”
นักดาบหนุ่มร่างใหญ่ผูกเชือกรองเท้าฟางรัดข้อเท้าเรียบร้อยลุกขึ้นบอกลา ก็พอดีนางเมียร้านซาลาเปาโซอินมันจูน้องสาวแม่ม่ายเจ้าของบ้านวิ่งกระหืดกระหอบผ่านซุ้มประตูรั้วเข้ามาพร้อมร้องทักด้วยความดีใจว่า
“ดีจริง ๆ ที่ท่านยังอยู่” ว่าแล้วก็วิ่งเข้ามาตรงที่มูซาชิกำลังล่ำลากับแม่ม่ายโฉมงาม
“ไปไม่ได้นะเจ้าคะ ยังไปไม่ได้ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ก่อนอื่นท่านรีบกลับกันไปข้างบนเดี๋ยวนี้เลย เร็วเข้า
นางเร่งราวกับมีอะไรที่น่ากลัวอันตรายไล่หลังมา


2
มูซาชิใส่รองเท้าฟางพร้อมออกเดินทางอยู่แล้ว เงยหน้าขึ้นมองนางช้า ๆ
“อะไรรึที่ว่าเรื่องใหญ่”
“ก็พระจากสำนักโฮโซอินน่ะซี พอรู้ว่าท่านจะออกเดินทางเช้านี้ก็ยกขบวนถือทวนครบมือไปดักรออยู่ที่เนินฮันเนียซากะ”
“อ้อ”
“มีคนเห็นเจ้าสำนักรุ่นที่โฮโซอินสองร่วมขบวนมาด้วย พวกหนุ่ม ๆ ในเมืองกำลังแตกตื่นกันใหญ่ ว่าวันนี้แหละคงจะได้เห็นการประลองฝีมือครั้งใหญ่แน่ พอดีมีหลวงพ่อที่เป็นลูกค้าประจำคนหนึ่งผ่านมาผัวดิฉันก็เลยถามดูว่ามันอะไรกัน หลวงพ่อบอกว่าทางสำนักรู้มาว่านักดาบหนุ่มชื่อมิยาโมโตะ ที่มาพักแรมในบ้านญาติของเราสี่ห้าคืนมาแล้วนั้นจะออกเดินทางเช้านี้ จึงยกขบวนไปดักรอกลางทาง ดิฉันร้อนใจจึงรีบวิ่งมาบอกนี่แหละ”
นางเมียร้านซาลาเปาขมวดคิ้วที่โกนไว้เหลือแต่รอยโค้งเขียว ๆ พลางเร่งเจ้าหนุ่มนักดาบให้กลับขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ที่ห้องพักชั้นบนบ้านก่อนเดี๋ยวนี้เลย เพราะหากเดินทางออกจากนาราเช้านี้จะเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียที่กลางทาง รอจนค่ำแล้วดูลาดเลาให้ดีเสียก่อนค่อยออกเดินทางดีกว่า
“อ้อ”
มูซาชิรับคำแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ชานบ้านนั่นเอง ไม่ออกเดินไปที่ซุ้มประตูรั้วและไม่กลับขึ้นไปที่ห้องพักชั้นบน
“แม่นางบอกว่าพวกนั้นไปดักรอข้าอยู่ที่เนินฮันเนียซากะอย่างนั้นรึ”
“ดิฉันไม่แน่ใจนักหรอกว่าพวกนั้นจะไปดักอยู่ที่ไหนรู้แต่ว่าพากันเดินไปทางนั้น ผัวดิฉันก็ตกใจออกไปถามคนนั้นคนนี้ให้ทั่วว่ามันยังไงกัน พวกหนุ่ม ๆ ในเมืองบอกว่านอกจากพวกพระนักทวนที่โฮโซอินแล้ว พวกซามูไรไร้นายที่มาซ่องสุมกันอยู่ในนารายังรวมตัวกันคอยจับนักดาบชื่อมิยาโมโตะไปส่งให้ที่สำนักโฮโซอินด้วย...ท่านไปเที่ยวว่าร้ายป้ายสีโฮโซอินละมังถึงได้แค้นเคืองกันนัก”
“ข้าไม่เคยไปพูดอะไรกับใครทั้งนั้น”
“แต่ทางสำนักโฮโซอินกล่าวหาว่าท่าน จ้างคนเขียนคำเหยียดหยามสำนักตนไปติดทั่วนารา และโกรธกันเป็นไฟเลยทีเดียว”
“ข้าไม่รู้ ผิดคนละมัง”
“ยิ่งอย่างนั้นยิ่งต้องไม่เข้าไปยุ่งใหญ่ เชื่อข้าเถอะอย่าเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ๆ ปลี้ ๆ เลยนะท่าน”
“... ... ...”
มูซาชิมองผ่านชายคาบ้านออกไปบนท้องฟ้า คิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งจนลืมตอบนางเมียร้านซาลาเปา
ถ้าจะพูดถึงผู้ประสงค์ร้ายกับตน เท่าที่นึกได้เห็นจะมีอยู่พวกเดียว คือซามูไรไร้นายสามคนที่มาหาเมื่อวานหรือวานซืนก็ไม่รู้ ลืมไปแล้ว ชวนไปร่วมการประดาบพนันขันต่อที่คาซูงาชิตะ ถ้าจำไม่ผิดคนหนึ่งชื่อยามาโซเอะ ดันปาจิ คนหนึ่งชื่อยาซูกาวะ ยาซูเบ และอีกคนหนึ่งชื่อโอโทโมะ บันริว ซึ่งพอถูกตนปฏิเสธก็ทำหน้าบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจกลับออกไป
เป็นไปได้ว่าสามคนนั่นอาจแก้แค้นตนด้วยวิธีสกปรก ด้วยสวมรอยเป็นมิยาโมโตะ มูซาชิเที่ยวกล่าวร้ายสำนักโฮโซอินเสีย ๆ หาย ๆ โดยที่ตนไม่รู้ไม่เห็นด้วย อีกทั้งยังเขียนคำว่าร้ายไปติดตามที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองด้วย...ตรองดูแล้วน่าคิดว่าจะเป็นฝีมือของเจ้าพวกนั้น
“ไปกันเถอะ” มูซาชิชวนโจทาโรที่เข้ามาฟังความ ลุกขึ้นหยิบถึงสัมภาระขึ้นพาดป่า หยิบหมวกฟางขึ้นมาถือ แล้วหันไป
ล่ำลาและขอบอกขอบใจนางเมียร้านซาลาเปากับแม่ม่ายสาวเจ้าของบ้านพักแรม ก่อนก้าวเดินออกจากซุ้มประตู
แม่ม่ายโฉมงามตามออกมาถึงทางเดินหน้าบ้าน ถามน้ำตาคลอว่า “ท่านจะไปจริงหรือ”
“ขืนรออยู่ที่นี่จนถึงค่ำ บ้านของเจ้าก็จะเป็นอันตราย ข้าจะปล่อยให้คนที่มีบุญคุณอย่างท่านต้องเดือดร้อนไม่ได้”
“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ ดิฉันไม่กลัว”
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ขอบใจมากสำหรับทุกอย่าง---โจทาโรไปกันได้แล้ว ขอบคุณคุณป้าหรือยัง”
“ป้าขอรับ”
โจทาโรก้มหัวทำความเคารพด้วยท่าทางไม่คึกคักอย่างเคย จะว่าอาลัยอาวรณ์บ้านที่เคยพักนอนอยู่ก็ไม่ใช่
จะว่าไปโจทาโรยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของนักดาบที่ชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ ระหว่างอยู่ที่เกียวโตเจ้าหนูได้ยินแต่คนพูดกันว่านักดาบที่ตนยึดเอาเป็นครูคนนี้เป็นแค่นักรบฝึกหัดที่ออกเดินทางหาวิชาคนหนึ่งไม่ได้มีฝีมืออะไรนัก ดังนั้นพอได้ยินว่านักรบจากสำนักโฮโซอินถือทวนครบมือยกขมวนมาดักรอเป็นสิบเช่นนี้ ใจของเด็กน้อยจึงฝ่อด้วยความหวั่นเกรง

3
“โจทาโร”
มูซาชิชะงักเท้าหันกลับไปมอง
“ขอรับ”
โจทะโรสะดุ้งและเลิกคิ้ว
ศิษย์กับครูเดินอยู่บนทางสึกิงาเซะท่ามกลางหมู่ไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเรียงรายสองฟากทาง ห่างออกมาจากตัวเมืองนาราจนเห็นหลังคาวัดโตไดจิอยู่ไกล ๆ มองผ่านต้นไม่ใหญ่ออกไปเบื้องหน้าเห็นทางลาดเนินฮันเนียซากะอยู่ไม่ไกลนัก ทางขวาคือภูเขามิซากะที่ชูสองยอดขึ้นไปบนฟ้าคล้ายอกสาว
“เรียกข้าทำไมท่าน”
โจทาโรเดินตามหลังครูมาเงียบไม่พูดคุยและไม่ยิ้มร่าอย่างเคย ด้วยความหวาดหวั่นว่ากำลังใกล้ขบวนนักทวนที่มาดักรออยู่เข้าไปทุกย่างก้าว
เจ้าหนูน้อยหวาดหวั่นมาตั้งแต่ออกเดินทางแล้วได้ยินอะไรหน่อยก็สะดุ้งอะไรโดนตัวหน่อยก็ผวา
ตอนเดินผ่านมุมสลัวข้างวัดโทไดจิที่พื้นดินเปียกชื้น หยดน้ำค้างบนใบไม้ตกลงมาที่คอเท่านั้นเองก็สะดุ้งโหยงจนเกือบเผลอตัวร้องกรี๊ดออกมา เดินผ่านฝูงกาใจกล้าคนเดินผ่านเข้าไปจนเกือบโดนตัวก็ยังเฉยไม่บินหนี ก็รู้สึกประหลาดและกลัวขึ้นมา มองตามหลังครูไปก็เกิดระแวงว่าเงาของของครูทำไมเลือนลางไม่ชัดเจน
ไม่เข้าใจ...ครูน่าจะกลัวขบวนนักทวนสำนักโฮโซอินที่อาวุธครบมือมาเป็นสิบ แต่ทำไมถึงเดินมุ่งหน้าไปยังเนินฮันเนียซากะทั้งที่รู้ถูกดักคอยอยู่ ทำไมไม่หนีไปซ่อนตัวในภูเขาหรือตามวัดก็ยังได้

หรือว่าครูตั้งใจจะไปขอโทษพวกนั้น
โจทาโรคิดเท่าที่สติปัญญาของเด็กน้อยวัยนี้จะคิดได้
และถ้าครูขอโทษพวกสำนักโฮโซอินตนก็จะขอโทษด้วย ใครจะผิดใครจะถูกไม่ใช่ปัญหา
เดินกันมาดี ๆ อยู่ ๆ ครูก็หยุดและหันมาเรียกทำเอาสะดุ้งตกใจหมด
โจทาโรคิดว่าหน้าตนต้องซีดแน่เลยจึงเลยหน้าขึ้นมองฟ้าเพื่อซ่อนหน้าไม่ให้ครูเห็น
บังเอิญมูซาชิก็มองขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกัน โจทาโรจึงยิ่งใจแป้วลงไปอีก
ยังดีที่สีหน้าและน้ำเสียงของมูซาชิเป็นปกติไม่ได้แสดงว่าหวั่นเกรงกับอะไร
“โจทาโร ภูเขาแถบนี้เดินสายจังนะ มีนกอุงุยซุมาร้องเพลงเป็นจังหวะให้เดินด้วยได้ยินไหม”
“ฮะ? อะไรนะ”
“นกอุงุยซุไง”
“เอ้อ...อ้า จริงด้วย”
ศิษย์น้อยปากซีด มูซาชิเข้าใจดีและสงสารขึ้นมาจับใจ จิตใจของโจทาโรกำลังหวั่นไหวว่าตนจะต้องถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง
“อีกมานานก็จะถึงฮันเนียซากะ”
“ใช่ ผ่านนาราซากะมาแล้วเมื่อกี้นี้เอง”
“แล้วยังไง”
“... ... ...”
เสียงนกอุงุยซุเพรียกหากันฟังเยือกเย็นไม่ชุ่มชื่นใจอย่างเคย ดวงตาใสแจ๋วราวลูกแก้วยามนี้ดูหมองมัวเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับมูซาชิ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นดวงตาคู่เดียวกันกับเด็กชายผู้ร่าเริง ที่กระโดดโลดเต้นชูหน้ากากนางปีศาจวิ่งหนีคนตามแย่งอยู่เมื่อเช้านี้เอง
“ข้าคงต้องแยกทางกับเจ้าตรงนี้แล้วละ โจทาโร”
“... ... ...”
“ข้าจะเป็นคนไปเอง ถ้าไปด้วยกันเจ้าจะเป็นอันตราย และไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าจะต้องมาพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย”
โจทาโรน้ำตาร่วงเผาะไหลผ่านแก้มสองข้างลงมาเป็นทาง เจ้าตัวยกหลังมือขึ้นเช็ดพลางสะอึกสะอื้นจนตัวโยน
“ร้องไห้ทำไม เจ้าเป็นศิษย์ของนักรบที่กำลังเรียนรู้วิถีแห่งซามูไรมิใช่รึ จงขึ้นไปยืนดูเหตุการณ์อยู่บนที่สูงไกลออกไป หากเห็นข้าหนีเจ้าหนีตาม หากข้าตายเจ้าก็กลับไปทำงานร้านเหล้าที่เกียวโตตามเดิม เข้าใจนะ”


กำลังโหลดความคิดเห็น