นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
สองฟากทางลาดเนินที่ขรุขระด้วยก้อนกรวดสายนี้เรียงรายไปด้วยบ้านเก่าแก่หลังคามุงแผ่นไม้ตะไคร่จับคลาคล่ำ สูงบ้างเตี้ยบ้างคละกันไปตลอดทาง ได้กลิ่นเหม็นของปลาหมักเกลือย่างโชยมาจากที่ไหนสักแห่ง ในยามเที่ยงของวันที่แดดสว่างแจ่มสดใส
ทันใดนั้นเอง....
“กลับมาทำไมไอ้ผัวสันดาน ปล่อยให้ลูกให้เมียแทบจะอดตายอยู่กับปลาแห้งเน่า ๆ แล้วยังมีหน้าซมซานกลับมา”
เสียงผู้หญิงร้องด่ากราดเกรี้ยวออกมาจากบ้านโกโรโกโสหลังหนึ่ง ตามมาด้วยชามใบหนึ่งร่อนออกมาแตกดังเปรื่องเป็นสองเสี่ยงอยู่กับพื้น ชายอายุเกือบห้าสิบท่าทางเหมือนเป็นช่างอะไรสักอย่างตาลีตาลานกลิ้งออกมาไล่ ๆ กันเหมือนกับถูกถีบ
“จะไปไหน ไอ้ผัวสันดาน”
นางเมียผมกระเซิง อกเสื้อกิโมโนเปิดหราเห็นนมยานคล้ายแม่วัวกระโจนตามออกมาทั้งตีนเปล่า ตรงเข้าขยุ้มกลุ่มผมกลางกระบาลไว้แน่น แล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตบเจ้าผัวจนหน้าหันซ้ายขวาไม่ยั้งมือ
เสียงเด็กอ่อนร้องควาก ๆ ราวถูกน้ำร้อน ระคนเสียงหมาเห่าขรม คนบ้านใกล้เรือนเคียงกรูกันออกมาช่วยแยกคู่พิพาท
มูซาชิเหลียวหลังไปมองแล้วยิ้มขรึม ๆ อยู่ในร่มเงาของหมวกฟาง นักดาบหนุ่มยืนอยู่หน้าโรงปั้นถ้วยชามซึ่งอยู่ติดกับที่เกิดเหตุมาได้พักหนึ่งแล้ว เฝ้าดูช่างผู้ชำนาญหมุนแท่นและใช้ไม้พายขึ้นรูปก้อนดินเป็นถ้วยชาม อย่างเพลิดเพลินจนลืมสิ่ง ต่าง ๆ รอบตัวเหมือนเด็กที่ได้พบสิ่งถูกใจ
มูซาชิเบนสายตากลับมาที่โรงปั้นถ้วยชามตามเดิม ด้วยความหลงใหลในท่วงทีการทำงานอย่างมีสมาธิมั่นคงนักของช่างทั้งสอง ผู้ไม่เงยหน้าขึ้นมองสิ่งใดเลยราวกับฝังจิตวิญญาณไว้กับก้อนดินเหนียวบนแท่น
ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอะไรทำนองนี้อยู่แล้วมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นระหว่างหยุดยืนดูอยู่ข้างทาง มูซาชิจึงเริ่มรู้สึกอยากสัมผัสกับดินเหนียวด้วยมือตนเองขึ้นมา และคิดว่าอย่างน้อยน่าจะปั้นถ้วยชาได้สักใบ
ทว่า เมื่อจับจ้องการทำงานของช่างวัยเกือบหกสิบอย่างละเอียด เวลาที่จับพายด้วยปลายนิ้วตกแต่งดินเหนียวที่ขึ้นรูปเป็นถ้วยชาใบหนึ่งด้วยความประณีตแล้ว จึงได้คิดว่าออกจะประเมินฝีมือตนเองสูงเกินไปเสียแล้ว
ฝีมือเยี่ยมแท้ กว่าจะทำได้ขนาดนั้นคงต้องฝึกกันนานมาก
ระยะนี้ ใจของมูซาชิจะดื่มด่ำลึกซึ้งทุกครั้งที่ได้เห็นฝีมือและศิลปะของผู้คน และนับถือในความสามารถอันเยี่ยมยอดของบรรดาช่างและศิลปินไปทั้งสิ้นทั้งปวงและคิดอยู่เสมอว่า
คนอย่างเราคงไม่มีวันทำได้
มูซาชิกวาดตามองไปรอบ ๆ โรงปั้นถ้วยชาม ก็เห็นจานชาม คนโท จอกสาเก เหยือก และอีกหลาย ๆ อย่างวางคละกันไว้ บนแผ่นกระดานที่เคยเป็นบานประตูอยู่ที่มุมหนึ่ง ขายในราคาถูกให้คนที่มาไหว้พระที่วัดคิโยมิซุแวะซื้อติดมือกลับไป...เมื่อคิดถึงจิตใจของช่างซึ่งแม้รู้ว่าถ้วยชามดินเผาที่ตนปั้นจะมีราคาขายที่ถูกขนาดนั้น ก็ยังใช้สมาธิในการทำงานอย่างสุดฝีมือไม่มีย่อหย่อนแล้ว มูซาชิตระหนักว่าหนทางที่ตนมุ่งไปสู่จุดหมายบนวิถีแห่งดาบนั้นยังยาวไกลนัก
จากการที่ได้ไปเยือนสำนักดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายแห่งในนครหลวงรวมทั้งสำนักของโยชิโอกะ เค็มโป ตลอดยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมา มูซาชิรู้สึกผิดหวังแต่ในเวลาเดียวกันก็เกิดความเชื่อมั่นในฝีมือดาบของตนยิ่งขึ้นว่าไม่ได้อ่อนด้อยอย่างที่คิด
นักดาบหนุ่มเดินทางมุ่งหน้ามายังเกียวโต ด้วยความคาดหมายว่าจะได้พบกับนักดาบผู้เก่งกล้าในวิทยายุทธ์ เนื่องจากเคยเป็นฐานการปกครองรัฐบาลโชกุนและเป็นศูนย์รวมของกองทัพอันมีขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าไม่มีสำนักดาบสักแห่งเดียวที่เขาสามารถคุกเข่าลงกับพื้นและก้มศีรษะแสดงความเคารพด้วยใจจริงก่อนกลับออกมา
หลังชนะการประลองฝีมือ มูซาชิจะเดินลอดซุ้มประตูสำนักดาบแห่งนั้นกลับออกมาจากด้วยใจที่อ้างว้างทุกครั้งไป
ข้าชนะด้วยฝีมือ หรือชนะเพราะคู่ต่อสู้อ่อนแอกันแน่
มูซาชิยังไม่มั่นใจ แต่ที่แน่ ๆ คือหากนักดาบในนครหลวงทุกคนมีฝีมือระดับที่เขาได้พานพบมาจนถึงวันนี้ ก็น่าสงสัยนักว่าจะฝากความหวังไว้กับอนาคตของสังคมที่นี่ได้อย่างไร
ความทะนงตนในฝีมือดาบที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วนั้นถูกสกัดให้นิ่งลงด้วยภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ขณะจับตามองช่างวัยใกล้ชรานั่งปั้นถ้วยชามที่มีราคาไม่กี่อัฐ รู้สึกได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามของสมาธิในการใช้ฝีมือและศิลปะ มิใช่ว่าจะมั่งมีมาจากไหนดูจากเรือนไม้กระดานซ่อมซ่อก็รู้ว่าวันนี้พรุ่งนี้จะมีกินหรือไม่ และสังคมก็ไม่เคยปราณีใคร
มูซาชิก้มศีรษะแสดงความคารวะช่างที่เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยดินเหนียวอยู่ในใจ ก่อนก้าวเดินออกจากหน้าโรงปั้นถ้วยชาม และเมื่อมองขึ้นไปก็พบทางเดินขึ้นไปยังวัดคิโยมิซุที่รู้จักกันในชื่อว่าวัดน้ำใสบนชะง่อนผา
2
“ท่าน ท่านซามูไร”
ใครคนหนึ่งส่งเสียงเรียก ระหว่างที่มูซาชิกำลังเดินขึ้นเนินซังเน็นซากะ
“เรียกข้ารึ”
มูซาชิหันไปถาม ก็พบว่าเจ้าของเสียงเรียกคือชายหนวดเคราเฟิ้ม คาดผ้าเตี่ยวผืนเดียวเปลือยหน้าแข้ง ถือไม้เท้าเหมือนพวกคนแบกคานหามพาคนขึ้นเนิน
“ท่านมิยาโมโตะใช่ไหมขอรับ”
“เออ”
“ชื่อมิยาโมโตะ”
“อือ”
“ขอบพระคุณขอรับ”
ว่าแล้วก็วิ่งลงไปทางเนินจาวังซากะ มูซาชิมองตามไปเห็นเจ้านั่นผลุบหายเข้าไปในร้านที่ดูคล้ายน้ำชา ตรงที่พวกหามกระเช้าเกาะกลุ่มเรียกลูกค้ากันอยู่ท่ามกลางแสงแดดสว่างแจ่มใส ซึ่งตนเดินผ่านมาเมื่อครู่นี้ ใครกันที่ให้หมอนั่นมาถามชื่อสกุลเรา...มูซาชิหยุดยืนคอยอยู่เผื่อว่าเจ้าตัวจะเผยโฉมออกมา แต่เมื่อไม่เห็นใครจึงเดินขึ้นเนินมุ่งหน้าไปยังหมู่วิหารในบริเวณวัดใหญ่ หยุดยืนภาวนาที่วิหารเซ็นจูโด ที่ฮิงันอิน ขอให้ช่วยคุ้มครองพี่สาวผู้อยู่คนเดียวที่บ้านเกิด...ขอให้ช่วยทดสอบทาเกโซผู้ต่ำต้อยคนนี้ด้วยความทุกข์ยากนานาประการบนวิถีแห่งดาบ เพื่อที่จะได้เป็นหนึ่งในปฐพี และถ้าเป็นไม่ได้ก็ให้ตายไป
หลังสักการะทั้งพระพุทธและเทพเจ้าจิตใจของมูซาชิก็ปลอดโปร่งราวได้รับการชำระล้างด้วยน้ำทิพย์ สมองแจ่มใสเฉียบคมด้วยคำสั่งสอนที่ถ่ายทอดมาจากหลวงพี่ทากูอันอย่างปราศจากซึ่งคำพูด ประกอบกับความรอบรู้หลากหลายจากหนังสือและข้อเขียนอันทรงคุณค่า
นักดาบหนุ่มถอดหมวกฟางโยนลงไปกับพื้นก่อนทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าที่ริมหน้าผา มองลงไปเห็นนครหลวงในมุมกว้าง บนพื้นดินข้างกายหน่ออ่อนของพันธุ์ไม้โผล่พ้นขึ้นมาสูงเทียมกัน
เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที...
ความทะเยอทะยานอันซื่อบริสุทธ์ของวัยหนุ่มเบ่งบานคับอกของมูซาชิ
อยากให้ชีวิตนี้ของข้าเป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่
มูซาชิวาดฝันไกลโพ้นออกไปสุดหล้า ไกลเกินกว่าใคร ๆ ที่มาไหว้พระ หรือมาเดินชมธรรมชาติอยู่ท่ามกลางความสดชื่นรื่นรมย์ของยามต้นฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อครั้งที่อ่านพบตำนานโบราณเรื่องหนึ่งในหนังสืออะไรสักเล่มตอนถูกกักตัวอยู่บนยอดปราสาท เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วในสมัยเท็งเงียว มาซากาโดะแห่งตระกูลไทระกับซูมิโตโมะแห่งตระกูลฟูจิวาระ ขุนพลผู้มีความใฝ่สูงในอำนาจทั้งคู่ได้เจรจาตกลงกันว่าหากได้ชัยชนะในสงครามจะแบ่งอาณาจักรญี่ปุ่นไปครองครองกันคนละครึ่ง มูซาชิเห็นเป็นเรื่องขบขันเพราะไม่คิดว่าจะเป็นจริงไปได้ แต่มาบัดนี้เจ้าหนุ่มไม่อาจหัวเราะได้เมื่อรู้ตัวว่าตนเองก็กำลังฝันถึงสิ่งที่เป็นไปได้ยากแม้ว่าเนื้อหาของความฝันจะต่างกัน มูซาชิกำลังฝันที่จะสร้างวิถีชีวิตของตนเอง ซึ่งนั่นคือสิทธิที่คนหนุ่มพึงมีและไม่มีผู้ใดสามารถใช้อำนาจใดมาลิดรอนได้
มูซาชิคิดไปถึง โอดะ โนบูนางะ
คิดไปถึง โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
ขุนพลทั้งสองต่างก็มีความฝันกันทั้งนั้น ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปและยุคสมัยเปลี่ยนแปลง บัดนี้สงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่จึงกลายเป็นความฝันของคนในอดีต และผู้คนหันมาโหยหาสันติภาพหลังจากที่ห่างหายไปนาน แต่เมื่อคิดไปถึง โทกุงาวะ อีเอยาซุ ผู้ยืนหยัดต่อสู้ด้วยพลังใจอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวนานเท่านานจนบรรลุสุดยอดแห่งความปรารถนาในที่สุดแล้ว มูซาชิจึงประจักษ์แก่ใจว่าการตั้งความฝันให้ถูกต้องตรงกับอุดมการณ์ของตนนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก
สำหรับข้าที่เป็นคนรุ่นใหม่แห่งรัชสมัยเคอิโจนี้ ข้าจะมีชีวิตอยู่บนวิถีที่ตนเองกำหนด เพราะจะยึดเอาวิถีของโนบุนางะเป็นแบบอย่างก็ล้าสมัยจะยึดแนวฮิเดโยชิก็ดูสูงเกินเอื้อม...และข้าก็จะฝัน จะฝันอย่างอิสระอย่างที่ไม่มีผู้ใดอาจเข้ามากีดกั้น ทุกคนมีสิทธิฝัน แม้แต่คนแบกคานหามผู้ต่ำต้อยคนนั้น
แต่...มูซาชิผลักเรื่องความฝันไปทางหนึ่ง และดึงความคิดกลับสู่ห้วงแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
ดาบ
บนวิถีชีวิตแห่งตนมี...ดาบ
แม้จะอยู่ในช่วงสงคราม แต่สามขุนพล...โนบุนางะ ฮิเดโยชิ และอีเอยาซุ ก็ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและการดีอยู่ดีให้แก่ในสังคม และสุดท้ายอีเอยาซุก็ได้จัดการรวบรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่น จนไม่จำเป็นต้องทำสงครามนองเลือดแย่งชิงอำนาจระหว่างแว่นแคว้นกันอีกต่อไป
เมื่อคิดในแง่นี้ เกียวโตที่มองลงไปจากฮิงาชิยามะไม่ได้อยู่ท่ามกลางเมฆลมที่เคลื่อนไหวรุนแรง เช่นในช่วงก่อนเกิดสงครามที่เซกิงาฮาระ
เปลี่ยนไปแล้ว โลกไม่ได้อยู่ในยุคที่ต้องการแสนยานุภาพทางทหารของโนบุนางะ และฮิเดโยชิอีกต่อไป
มูซาชิจมดิ่งอยู่กับความคิดถึงดาบกับสังคม...ดาบกับชีวิต เชื่อมโยงกับความฝันอันแรงกล้าของตน...นักดาบหนุ่มผู้มุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในยุทธจักร
จนกระทั่ง ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาจากด้านล่างของหน้าผาว่า
“นั่นไง อยู่ตรงนั้น”
และเมื่อลงมองไปก็เห็นเจ้าคนแบกคานหามหน้ารกไปด้วยหนวดเคราที่พบเมื่อตะกี้ กำลังชี้ไม้ถือในมือขึ้นมาที่ตน
3
มูซาชิถลึงตาจ้องลงไปที่คนแบกคานหามที่รวมกลุ่มเอะอะกันอยู่ใต้หน้าผา
“เฮ้ย เจ้านั่นจ้องพวกเราเขม็งเลยว่ะ”
“อ้าว...อ้าวลุกขึ้นเดินไปแล้ว”
ว่าแล้วก็พากันไต่หน้าผาตามขึ้นมาเป็นแถว มูซาชิทำท่าว่าไม่สนใจและเดินขึ้นเนินเรื่อยไปแต่ก็ต้องชะงักเท้า เพราะพบพวกเดียวกันนั้น ยืนกอดอกบ้าง ยืนเอาไม้เท้ายันพื้นบ้าง ตั้งท่ายียวนขวางทางอยู่ ส่วนที่ตามขึ้นมาก็ตีวงล้อมอยู่ห่าง ๆ
“... ... ...”
พอมูซาชิเหลียวหลังไปดู กลุ่มคนแบกคานหามก็หยุดนิ่ง คนหนึ่งหัวเราะเห็นฟันขาวตะโกนบอกเพื่อนว่า
“เฮ้ย มันจ้องดูชื่อโบสถ์ว่ะ”
มูซาชิเดินขึ้นเนินมายืนอยู่หน้าบันไดขึ้นโบสถ์ใหญ่และพอดีเห็นกรอบชื่อที่ติดกับขื่อไม้เก่าแก่ห้อยลงมาจึงจ้องมองอยู่ นักดาบหนุ่มรำคาญพวกนักเลงท้องถิ่นที่ทำมาตีรวนโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อยากแผดเสียงดังตะเพิดออกไปให้กระจุยไปเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปหาเรื่องกับพวกนักเลงกระจิบกระจอก จึงได้แต่ยืนวางท่ามองป้ายชื่อโบสถ์นิ่งอยู่
“มาแล้ว มาแล้ว”
“นายแม่มาแล้ว”
คณะพรรคคนแบกคานหามกระซิบบอกกันเป็นช่วง ๆ พลางหัวเราะกันครึกครื้น
มูซาชิหันขวับไปดูตามสายตาของพวกนั้นก็พบว่า ซุ้มประตูด้านตะวันตกของวัดคิโยมิซุตอนนี้มีผู้คนแห่เข้ามาคับคั่ง ทั้งคนที่มาไหว้พระ พวกหลวงพ่อหลวงพี่ และคนขายของ ต่างคนรุมเข้ามาสอดส่ายสายตาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นสองชั้นสามชั้นหลังพวกนักหามกระเช้า
เสียงร้องดังเป็นจังหวะแทรกขึ้นมากลบเสียงโจษขานของผู้คน
“เอ้า ฮึบ ๆ ฮุยเล”
“ฮึบ ๆ ฮุยเล”
เสียงดังเป็นจังหวะคึกคะนองนั้นดังใกล้เข้ามาจากด้านล่างของเนินซังเน็นซากะ ไม่นานกระเช้าที่มีแม่เฒ่าวัยราวหกสิบคนหนึ่งนั่งมาก็ผ่านเข้ามาในบริเวณวัด ตามมาด้วยกระเช้าของชายวัยห้าสิบกว่าปีท่าทางเป็นซามูไรบ้านนอกหน้าตา โทรม ๆ คนหนึ่ง
“พอ ๆ “
แม่เฒ่าสั่งเสียงดังโบกมือให้คนแบกคานหามหยุด และพอลงมาได้นางก็ปราดไปที่กระเช้าหลังทันที
“อากง คราวนี้อย่าปล่อยให้มันหลุดมือไปได้เด็ดขาดเลยนะ”
ผู้เฒ่าทั้งสองคือโอซูงินายแม่บ้านใหญ่กับพ่อเฒ่าฟูจิกาวะ กงโรกุจากหมู่บ้านมิยาโมโตะที่ตามไล่ล่าเจ้าหนุ่มทาเกโซมาด้วยความแค้นโดยทำใจแล้วว่าแม้จะตายกลางทางก็ยอม
“อยู่ไหน ไอ้วายร้ายมันอยู่ที่ไหน”
“เจ้าว่ามันอยู่ที่ไหน”
นายแม่บ้านใหญ่เดินกุมดาบส่ายอาด ๆ นำพ่อเฒ่าแหวกกลุ่มคนที่มุงดูกันอยู่เข้าไปในวงล้อม คนแบกคานหามแย่งกันบอก
“อยู่ตรงนั้นไงขอรับ นายแม่”
“ต้องรีบหน่อยนะขอรับ”
“หน้าตาท่าทางมันดูเอาจริงอยู่”
“ต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
คนแบกคานหามเข้ามากลุ้มรุมให้กำลังใจและแนะนำด้วยความห่วงใหญ่ ขณะที่ฝูงคนที่มารุมดูเหตุการณ์ต่างสบตากันด้วยความฉงน บางคนซุบซิบถามกันว่า
“แก...ยายเฒ่าจะดวลกับซามูไรหนุ่มตัวโตคนนั้นจริงเหรอ”
“ถ้าจะจริงนะแก”
“ตาเฒ่าผู้ช่วยแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว เขามีเรื่องอะไรกันไม่รู้นะ”
“ก็คงมีแหละแก”
“อ้าว นั่นยายโกรธอะไรน่ะดุตาใหญ่เลยแก ท่าทางโหดน่าดูเลย”
แม่เฒ่าโอซุงิรับกระบวยใส่น้ำที่คนแบกคานหามคนหนึ่งวิ่งไปตักมาให้ขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วส่งให้อากง
“แกจะตื่นเต้นไปทำไมอากง เจ้าทาเกโซมันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน เพิ่งจะเริ่มจับดาบได้ไม่เท่าไรก็คงแค่พอฟาดฟันได้
ว่าแล้วนางก็เดินจ้ำอ้าว ๆ นำหน้าไปที่หน้าบันไดขึ้นตัวโบสถ์ นั่งแปะลงบนขั้นบันไดแล้วล้วงลูกประคำออกมาจากอกเสื้อ แล้วหลับตาสวดพึมพำพลางนับลูกประคำไปทีละเม็ด โดยไม่สนใจกับทาเกโซศัตรูตัวฉกาจที่ยืนเด่นอยู่แทบจะประชิดตัวกัน และผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมอยู่ตรงนั้น
4
อากงตามเข้ามาสวดภาวนากับแม่เฒ่าโอซุงิ
เมื่อความตึงเครียดผ่านไป คนโดยรอบก็มองผู้เฒ่าทั้งสองด้วยความขบขัน คนหนึ่งถึงกับหัวเราะออกมา
“ใครหัวเราะ” คนแบกคานหามคนหนึ่งหันไปตวาด
“ขำอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาหัวเราะกันเล่น พวกเจ้าไม่รู้อะไรแล้วอย่ามาทำสะเออะ นายแม่คนนี้เดินทางรอนแรมมาไกลจากแคว้นซากุ เพื่อล้างแค้นชายใจทรามที่ลักพาเจ้าสาวของลูกชายนางหนีไป นายแม่ขึ้นมาไหว้พระที่วัดคิโยมิซุทุกวันนับได้ห้าสิบกว่าวันแล้ว วันนี้เจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ชายใจทรามที่แม่เฒ่าตามไล่ล่าเดินผ่านมาทางจาวังซากะ แม่เฒ่าเห็นแวบหนึ่งก็เอะใจจึงให้เราตามไปสืบ จึงได้ตัว”
เมื่อคนหนึ่งเริ่มเล่าอีกคนก็สอดขึ้น
“นายแม่ช่างสมกับคนที่มีเชื้อสายซามูไร คิดจริงทำจริงไม่เหมือนกับกับเรา ๆ อายุปูนนี้แล้วแทนที่จะอยู่บ้านเลี้ยงหลานให้เพลิดเพลินใจ กลับออกเดินทางมาตกระกำลำบากอยู่ตามป่าตามเขา เพื่อกู้ชื่อเสียงลงตระกูลให้พ้นจากความอับอายแทนลูกชาย ข้าขอก้มหัวให้ด้วยความนับถือใจของนางจริง ๆ”
ยังไม่ทันขาดคำดี อีกคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็เสริมขึ้น
“พวกข้าเทใจช่วยนายแม่สุด ๆ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่สินจ้างรางวัล อย่างค่าเหล้าสาเกที่นางให้เป็นพิเศษทุกวัน แต่เพราะนับถือใจนาง นับถือความเป็นคนกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของนาง ที่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะประดาบกับซามูไรหนุ่มเพื่อล้างแค้นให้ได้ทั้งที่เป็นผู้หญิงอายุปูนนี้ ผู้มีคุณธรรมย่อมอยู่ข้างผู้อ่อนแอ ดังนั้นหากนายแม่เกิดพลาดท่าเสียที พวกข้านี่แหละจะดาหน้าเข้าไปล้างแค้นแทน จริงไหมทุกคน”
“แน่นอน”
“ข้าไม่ยอมให้นายแม่ถูกเจ้านั้นทำร้ายต่อหน้าต่อตาเป็นอันขาด”
ฝ่ายฝูงชนที่เข้ามารุมดู เมื่อได้ฟังเรื่องราวของแม่เฒ่าจากปากของพวกคนแบกคานหาม ต่างร้อนรนเป็นเจ็บเป็นแค้นแทนและเอะอะขึ้นมาทันที
“สู้ สู้” คนหนึ่งร้องปลุกใจ แต่อีกคนขมวดคิ้ว
“แต่...แกว่าลูกชายของแม่เฒ่าหายไปไหนวะ”
“ลูกชายเหรอ เออ จริงด้วย”
ดูเหมือนพวกคนแบกคานหามก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ซักถามดูบางคนบอกว่าอาจตายไปแล้วก็ได้ คนหนึ่งบอกว่าแกตามล้างแค้นศัตรูพร้อมกับตามหาลูกชายไปด้วยว่าเป็นตายร้ายดียังไง
ระหว่างที่โจษขานกันอยู่นั้น แม่เฒ่าโอซุงิก็สวดครบจำนวนลูกประคำและเก็บเข้าไว้ในอกเสื้อตามเดิม
ทันใดนั้นเอง ทั้งคนแบกคานหามและผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ต้องตกตะลึงจังงัง เมื่อแม่เฒ่าตะโกนสุดเสียง
“ทาเกโซ”
พร้อมกับสะบัดมือซ้ายไปกุมด้ามมีดสั้นที่เอวไว้อย่างฉับพลัน
มูซาชิยืนนิ่งราวท่อนไม้อยู่ใกล้ ๆ นั้นมาตั้งแต่ต้น
อากงที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่ายื่นหน้าออกมาร้องเฮ้ย
มูซาชิยังยืนนิ่งคล้ายไม่รู้ว่าจะตอบโต้ว่าอย่างไร
นึกไปถึงคำเตือนของหลวงพี่ทากูอันตอนแยกทางกันที่ท้ายปราสาทฮิเมจิ แต่ก็ไม่นึกว่าจะมาตกอยู่ในสภาพที่ถูกพวกคนแบกคานหามเอาเรื่องของตนมาประจานต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้ เดิมทีมูซาชิไม่ใส่ใจกับการที่ตนถูกรังเกียจเดียดฉันจากคนในตระกูลฮนอิเด็นอยู่แล้ว คิดว่าเป็นเรื่องของอารมณ์และการรักษาหน้าตาในสังคมแคบ ๆ ของบ้านเกิด และหากฮนอิเด็น มาตาฮาจิมาอยู่ด้วยที่นี่ความจริงทั้งหลายก็จะคลี่คลายกระจ่างขึ้น
แต่ตอนนี้มูซาชิทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างไร การจะให้ตนรับคำท้าแม่เฒ่าที่กร้าวแกร่งแต่ใจส่วนกายอ่อนแอแทบทรงตัวไม่อยู่กับซามูไรเฒ่าคู่นี้นั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน ทางเดียวที่ทำได้คือยืนทำหน้ายุ่งยากนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
พวกคนแบกคานหามเห็นเช่นนั้นก็ยั่วโมโหกันคะนองปาก
“ดูมันซี”
“สงสัยจะกลัวว่ะ”
“มามะ มาให้นายแม่กุดหัวเสียให้สมแค้น”
แล้วพูดเสียดสีหยาบ ๆ คาย ๆ ไม่หยุดปาก
แม่เฒ่าโอซุงิกระพริบตาถี่ ๆ สั่นหน้าแรง ๆ ราวกับพยายามบรรเทาความตื่นเต้น และอยู่ ๆ ก็หันขวับไปตวาดพวกคนแบกคานหามเสียงเกรี้ยว
“เงียบ... พวกเอ็งอยู่เป็นพยานให้ข้าเท่านั้นเป็นพอ และขออย่างเดียวหากฆ่าสองคนถูกไอ้ชายใจชั่วฆ่าตาย ช่วยส่งกระดูกกลับไปที่หมู่บ้านมิยาโมโตะด้วย นอกนั้นไม่ต้องพูดอะไรให้หนวกหูและไม่ต้องช่วยข้าด้วย เข้าใจนะ”
ว่าแล้วก็ชักดาบออกจากฝัก จ้องตามูซาชิเขม็งแล้วย่างก้าวเข้าหาด้วยมาดของหญิงตระกูลซามูไร
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
สองฟากทางลาดเนินที่ขรุขระด้วยก้อนกรวดสายนี้เรียงรายไปด้วยบ้านเก่าแก่หลังคามุงแผ่นไม้ตะไคร่จับคลาคล่ำ สูงบ้างเตี้ยบ้างคละกันไปตลอดทาง ได้กลิ่นเหม็นของปลาหมักเกลือย่างโชยมาจากที่ไหนสักแห่ง ในยามเที่ยงของวันที่แดดสว่างแจ่มสดใส
ทันใดนั้นเอง....
“กลับมาทำไมไอ้ผัวสันดาน ปล่อยให้ลูกให้เมียแทบจะอดตายอยู่กับปลาแห้งเน่า ๆ แล้วยังมีหน้าซมซานกลับมา”
เสียงผู้หญิงร้องด่ากราดเกรี้ยวออกมาจากบ้านโกโรโกโสหลังหนึ่ง ตามมาด้วยชามใบหนึ่งร่อนออกมาแตกดังเปรื่องเป็นสองเสี่ยงอยู่กับพื้น ชายอายุเกือบห้าสิบท่าทางเหมือนเป็นช่างอะไรสักอย่างตาลีตาลานกลิ้งออกมาไล่ ๆ กันเหมือนกับถูกถีบ
“จะไปไหน ไอ้ผัวสันดาน”
นางเมียผมกระเซิง อกเสื้อกิโมโนเปิดหราเห็นนมยานคล้ายแม่วัวกระโจนตามออกมาทั้งตีนเปล่า ตรงเข้าขยุ้มกลุ่มผมกลางกระบาลไว้แน่น แล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตบเจ้าผัวจนหน้าหันซ้ายขวาไม่ยั้งมือ
เสียงเด็กอ่อนร้องควาก ๆ ราวถูกน้ำร้อน ระคนเสียงหมาเห่าขรม คนบ้านใกล้เรือนเคียงกรูกันออกมาช่วยแยกคู่พิพาท
มูซาชิเหลียวหลังไปมองแล้วยิ้มขรึม ๆ อยู่ในร่มเงาของหมวกฟาง นักดาบหนุ่มยืนอยู่หน้าโรงปั้นถ้วยชามซึ่งอยู่ติดกับที่เกิดเหตุมาได้พักหนึ่งแล้ว เฝ้าดูช่างผู้ชำนาญหมุนแท่นและใช้ไม้พายขึ้นรูปก้อนดินเป็นถ้วยชาม อย่างเพลิดเพลินจนลืมสิ่ง ต่าง ๆ รอบตัวเหมือนเด็กที่ได้พบสิ่งถูกใจ
มูซาชิเบนสายตากลับมาที่โรงปั้นถ้วยชามตามเดิม ด้วยความหลงใหลในท่วงทีการทำงานอย่างมีสมาธิมั่นคงนักของช่างทั้งสอง ผู้ไม่เงยหน้าขึ้นมองสิ่งใดเลยราวกับฝังจิตวิญญาณไว้กับก้อนดินเหนียวบนแท่น
ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอะไรทำนองนี้อยู่แล้วมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นระหว่างหยุดยืนดูอยู่ข้างทาง มูซาชิจึงเริ่มรู้สึกอยากสัมผัสกับดินเหนียวด้วยมือตนเองขึ้นมา และคิดว่าอย่างน้อยน่าจะปั้นถ้วยชาได้สักใบ
ทว่า เมื่อจับจ้องการทำงานของช่างวัยเกือบหกสิบอย่างละเอียด เวลาที่จับพายด้วยปลายนิ้วตกแต่งดินเหนียวที่ขึ้นรูปเป็นถ้วยชาใบหนึ่งด้วยความประณีตแล้ว จึงได้คิดว่าออกจะประเมินฝีมือตนเองสูงเกินไปเสียแล้ว
ฝีมือเยี่ยมแท้ กว่าจะทำได้ขนาดนั้นคงต้องฝึกกันนานมาก
ระยะนี้ ใจของมูซาชิจะดื่มด่ำลึกซึ้งทุกครั้งที่ได้เห็นฝีมือและศิลปะของผู้คน และนับถือในความสามารถอันเยี่ยมยอดของบรรดาช่างและศิลปินไปทั้งสิ้นทั้งปวงและคิดอยู่เสมอว่า
คนอย่างเราคงไม่มีวันทำได้
มูซาชิกวาดตามองไปรอบ ๆ โรงปั้นถ้วยชาม ก็เห็นจานชาม คนโท จอกสาเก เหยือก และอีกหลาย ๆ อย่างวางคละกันไว้ บนแผ่นกระดานที่เคยเป็นบานประตูอยู่ที่มุมหนึ่ง ขายในราคาถูกให้คนที่มาไหว้พระที่วัดคิโยมิซุแวะซื้อติดมือกลับไป...เมื่อคิดถึงจิตใจของช่างซึ่งแม้รู้ว่าถ้วยชามดินเผาที่ตนปั้นจะมีราคาขายที่ถูกขนาดนั้น ก็ยังใช้สมาธิในการทำงานอย่างสุดฝีมือไม่มีย่อหย่อนแล้ว มูซาชิตระหนักว่าหนทางที่ตนมุ่งไปสู่จุดหมายบนวิถีแห่งดาบนั้นยังยาวไกลนัก
จากการที่ได้ไปเยือนสำนักดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายแห่งในนครหลวงรวมทั้งสำนักของโยชิโอกะ เค็มโป ตลอดยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมา มูซาชิรู้สึกผิดหวังแต่ในเวลาเดียวกันก็เกิดความเชื่อมั่นในฝีมือดาบของตนยิ่งขึ้นว่าไม่ได้อ่อนด้อยอย่างที่คิด
นักดาบหนุ่มเดินทางมุ่งหน้ามายังเกียวโต ด้วยความคาดหมายว่าจะได้พบกับนักดาบผู้เก่งกล้าในวิทยายุทธ์ เนื่องจากเคยเป็นฐานการปกครองรัฐบาลโชกุนและเป็นศูนย์รวมของกองทัพอันมีขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าไม่มีสำนักดาบสักแห่งเดียวที่เขาสามารถคุกเข่าลงกับพื้นและก้มศีรษะแสดงความเคารพด้วยใจจริงก่อนกลับออกมา
หลังชนะการประลองฝีมือ มูซาชิจะเดินลอดซุ้มประตูสำนักดาบแห่งนั้นกลับออกมาจากด้วยใจที่อ้างว้างทุกครั้งไป
ข้าชนะด้วยฝีมือ หรือชนะเพราะคู่ต่อสู้อ่อนแอกันแน่
มูซาชิยังไม่มั่นใจ แต่ที่แน่ ๆ คือหากนักดาบในนครหลวงทุกคนมีฝีมือระดับที่เขาได้พานพบมาจนถึงวันนี้ ก็น่าสงสัยนักว่าจะฝากความหวังไว้กับอนาคตของสังคมที่นี่ได้อย่างไร
ความทะนงตนในฝีมือดาบที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วนั้นถูกสกัดให้นิ่งลงด้วยภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ขณะจับตามองช่างวัยใกล้ชรานั่งปั้นถ้วยชามที่มีราคาไม่กี่อัฐ รู้สึกได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามของสมาธิในการใช้ฝีมือและศิลปะ มิใช่ว่าจะมั่งมีมาจากไหนดูจากเรือนไม้กระดานซ่อมซ่อก็รู้ว่าวันนี้พรุ่งนี้จะมีกินหรือไม่ และสังคมก็ไม่เคยปราณีใคร
มูซาชิก้มศีรษะแสดงความคารวะช่างที่เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยดินเหนียวอยู่ในใจ ก่อนก้าวเดินออกจากหน้าโรงปั้นถ้วยชาม และเมื่อมองขึ้นไปก็พบทางเดินขึ้นไปยังวัดคิโยมิซุที่รู้จักกันในชื่อว่าวัดน้ำใสบนชะง่อนผา
2
“ท่าน ท่านซามูไร”
ใครคนหนึ่งส่งเสียงเรียก ระหว่างที่มูซาชิกำลังเดินขึ้นเนินซังเน็นซากะ
“เรียกข้ารึ”
มูซาชิหันไปถาม ก็พบว่าเจ้าของเสียงเรียกคือชายหนวดเคราเฟิ้ม คาดผ้าเตี่ยวผืนเดียวเปลือยหน้าแข้ง ถือไม้เท้าเหมือนพวกคนแบกคานหามพาคนขึ้นเนิน
“ท่านมิยาโมโตะใช่ไหมขอรับ”
“เออ”
“ชื่อมิยาโมโตะ”
“อือ”
“ขอบพระคุณขอรับ”
ว่าแล้วก็วิ่งลงไปทางเนินจาวังซากะ มูซาชิมองตามไปเห็นเจ้านั่นผลุบหายเข้าไปในร้านที่ดูคล้ายน้ำชา ตรงที่พวกหามกระเช้าเกาะกลุ่มเรียกลูกค้ากันอยู่ท่ามกลางแสงแดดสว่างแจ่มใส ซึ่งตนเดินผ่านมาเมื่อครู่นี้ ใครกันที่ให้หมอนั่นมาถามชื่อสกุลเรา...มูซาชิหยุดยืนคอยอยู่เผื่อว่าเจ้าตัวจะเผยโฉมออกมา แต่เมื่อไม่เห็นใครจึงเดินขึ้นเนินมุ่งหน้าไปยังหมู่วิหารในบริเวณวัดใหญ่ หยุดยืนภาวนาที่วิหารเซ็นจูโด ที่ฮิงันอิน ขอให้ช่วยคุ้มครองพี่สาวผู้อยู่คนเดียวที่บ้านเกิด...ขอให้ช่วยทดสอบทาเกโซผู้ต่ำต้อยคนนี้ด้วยความทุกข์ยากนานาประการบนวิถีแห่งดาบ เพื่อที่จะได้เป็นหนึ่งในปฐพี และถ้าเป็นไม่ได้ก็ให้ตายไป
หลังสักการะทั้งพระพุทธและเทพเจ้าจิตใจของมูซาชิก็ปลอดโปร่งราวได้รับการชำระล้างด้วยน้ำทิพย์ สมองแจ่มใสเฉียบคมด้วยคำสั่งสอนที่ถ่ายทอดมาจากหลวงพี่ทากูอันอย่างปราศจากซึ่งคำพูด ประกอบกับความรอบรู้หลากหลายจากหนังสือและข้อเขียนอันทรงคุณค่า
นักดาบหนุ่มถอดหมวกฟางโยนลงไปกับพื้นก่อนทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าที่ริมหน้าผา มองลงไปเห็นนครหลวงในมุมกว้าง บนพื้นดินข้างกายหน่ออ่อนของพันธุ์ไม้โผล่พ้นขึ้นมาสูงเทียมกัน
เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที...
ความทะเยอทะยานอันซื่อบริสุทธ์ของวัยหนุ่มเบ่งบานคับอกของมูซาชิ
อยากให้ชีวิตนี้ของข้าเป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่
มูซาชิวาดฝันไกลโพ้นออกไปสุดหล้า ไกลเกินกว่าใคร ๆ ที่มาไหว้พระ หรือมาเดินชมธรรมชาติอยู่ท่ามกลางความสดชื่นรื่นรมย์ของยามต้นฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อครั้งที่อ่านพบตำนานโบราณเรื่องหนึ่งในหนังสืออะไรสักเล่มตอนถูกกักตัวอยู่บนยอดปราสาท เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วในสมัยเท็งเงียว มาซากาโดะแห่งตระกูลไทระกับซูมิโตโมะแห่งตระกูลฟูจิวาระ ขุนพลผู้มีความใฝ่สูงในอำนาจทั้งคู่ได้เจรจาตกลงกันว่าหากได้ชัยชนะในสงครามจะแบ่งอาณาจักรญี่ปุ่นไปครองครองกันคนละครึ่ง มูซาชิเห็นเป็นเรื่องขบขันเพราะไม่คิดว่าจะเป็นจริงไปได้ แต่มาบัดนี้เจ้าหนุ่มไม่อาจหัวเราะได้เมื่อรู้ตัวว่าตนเองก็กำลังฝันถึงสิ่งที่เป็นไปได้ยากแม้ว่าเนื้อหาของความฝันจะต่างกัน มูซาชิกำลังฝันที่จะสร้างวิถีชีวิตของตนเอง ซึ่งนั่นคือสิทธิที่คนหนุ่มพึงมีและไม่มีผู้ใดสามารถใช้อำนาจใดมาลิดรอนได้
มูซาชิคิดไปถึง โอดะ โนบูนางะ
คิดไปถึง โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
ขุนพลทั้งสองต่างก็มีความฝันกันทั้งนั้น ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปและยุคสมัยเปลี่ยนแปลง บัดนี้สงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่จึงกลายเป็นความฝันของคนในอดีต และผู้คนหันมาโหยหาสันติภาพหลังจากที่ห่างหายไปนาน แต่เมื่อคิดไปถึง โทกุงาวะ อีเอยาซุ ผู้ยืนหยัดต่อสู้ด้วยพลังใจอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวนานเท่านานจนบรรลุสุดยอดแห่งความปรารถนาในที่สุดแล้ว มูซาชิจึงประจักษ์แก่ใจว่าการตั้งความฝันให้ถูกต้องตรงกับอุดมการณ์ของตนนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก
สำหรับข้าที่เป็นคนรุ่นใหม่แห่งรัชสมัยเคอิโจนี้ ข้าจะมีชีวิตอยู่บนวิถีที่ตนเองกำหนด เพราะจะยึดเอาวิถีของโนบุนางะเป็นแบบอย่างก็ล้าสมัยจะยึดแนวฮิเดโยชิก็ดูสูงเกินเอื้อม...และข้าก็จะฝัน จะฝันอย่างอิสระอย่างที่ไม่มีผู้ใดอาจเข้ามากีดกั้น ทุกคนมีสิทธิฝัน แม้แต่คนแบกคานหามผู้ต่ำต้อยคนนั้น
แต่...มูซาชิผลักเรื่องความฝันไปทางหนึ่ง และดึงความคิดกลับสู่ห้วงแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
ดาบ
บนวิถีชีวิตแห่งตนมี...ดาบ
แม้จะอยู่ในช่วงสงคราม แต่สามขุนพล...โนบุนางะ ฮิเดโยชิ และอีเอยาซุ ก็ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและการดีอยู่ดีให้แก่ในสังคม และสุดท้ายอีเอยาซุก็ได้จัดการรวบรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่น จนไม่จำเป็นต้องทำสงครามนองเลือดแย่งชิงอำนาจระหว่างแว่นแคว้นกันอีกต่อไป
เมื่อคิดในแง่นี้ เกียวโตที่มองลงไปจากฮิงาชิยามะไม่ได้อยู่ท่ามกลางเมฆลมที่เคลื่อนไหวรุนแรง เช่นในช่วงก่อนเกิดสงครามที่เซกิงาฮาระ
เปลี่ยนไปแล้ว โลกไม่ได้อยู่ในยุคที่ต้องการแสนยานุภาพทางทหารของโนบุนางะ และฮิเดโยชิอีกต่อไป
มูซาชิจมดิ่งอยู่กับความคิดถึงดาบกับสังคม...ดาบกับชีวิต เชื่อมโยงกับความฝันอันแรงกล้าของตน...นักดาบหนุ่มผู้มุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในยุทธจักร
จนกระทั่ง ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาจากด้านล่างของหน้าผาว่า
“นั่นไง อยู่ตรงนั้น”
และเมื่อลงมองไปก็เห็นเจ้าคนแบกคานหามหน้ารกไปด้วยหนวดเคราที่พบเมื่อตะกี้ กำลังชี้ไม้ถือในมือขึ้นมาที่ตน
3
มูซาชิถลึงตาจ้องลงไปที่คนแบกคานหามที่รวมกลุ่มเอะอะกันอยู่ใต้หน้าผา
“เฮ้ย เจ้านั่นจ้องพวกเราเขม็งเลยว่ะ”
“อ้าว...อ้าวลุกขึ้นเดินไปแล้ว”
ว่าแล้วก็พากันไต่หน้าผาตามขึ้นมาเป็นแถว มูซาชิทำท่าว่าไม่สนใจและเดินขึ้นเนินเรื่อยไปแต่ก็ต้องชะงักเท้า เพราะพบพวกเดียวกันนั้น ยืนกอดอกบ้าง ยืนเอาไม้เท้ายันพื้นบ้าง ตั้งท่ายียวนขวางทางอยู่ ส่วนที่ตามขึ้นมาก็ตีวงล้อมอยู่ห่าง ๆ
“... ... ...”
พอมูซาชิเหลียวหลังไปดู กลุ่มคนแบกคานหามก็หยุดนิ่ง คนหนึ่งหัวเราะเห็นฟันขาวตะโกนบอกเพื่อนว่า
“เฮ้ย มันจ้องดูชื่อโบสถ์ว่ะ”
มูซาชิเดินขึ้นเนินมายืนอยู่หน้าบันไดขึ้นโบสถ์ใหญ่และพอดีเห็นกรอบชื่อที่ติดกับขื่อไม้เก่าแก่ห้อยลงมาจึงจ้องมองอยู่ นักดาบหนุ่มรำคาญพวกนักเลงท้องถิ่นที่ทำมาตีรวนโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อยากแผดเสียงดังตะเพิดออกไปให้กระจุยไปเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปหาเรื่องกับพวกนักเลงกระจิบกระจอก จึงได้แต่ยืนวางท่ามองป้ายชื่อโบสถ์นิ่งอยู่
“มาแล้ว มาแล้ว”
“นายแม่มาแล้ว”
คณะพรรคคนแบกคานหามกระซิบบอกกันเป็นช่วง ๆ พลางหัวเราะกันครึกครื้น
มูซาชิหันขวับไปดูตามสายตาของพวกนั้นก็พบว่า ซุ้มประตูด้านตะวันตกของวัดคิโยมิซุตอนนี้มีผู้คนแห่เข้ามาคับคั่ง ทั้งคนที่มาไหว้พระ พวกหลวงพ่อหลวงพี่ และคนขายของ ต่างคนรุมเข้ามาสอดส่ายสายตาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นสองชั้นสามชั้นหลังพวกนักหามกระเช้า
เสียงร้องดังเป็นจังหวะแทรกขึ้นมากลบเสียงโจษขานของผู้คน
“เอ้า ฮึบ ๆ ฮุยเล”
“ฮึบ ๆ ฮุยเล”
เสียงดังเป็นจังหวะคึกคะนองนั้นดังใกล้เข้ามาจากด้านล่างของเนินซังเน็นซากะ ไม่นานกระเช้าที่มีแม่เฒ่าวัยราวหกสิบคนหนึ่งนั่งมาก็ผ่านเข้ามาในบริเวณวัด ตามมาด้วยกระเช้าของชายวัยห้าสิบกว่าปีท่าทางเป็นซามูไรบ้านนอกหน้าตา โทรม ๆ คนหนึ่ง
“พอ ๆ “
แม่เฒ่าสั่งเสียงดังโบกมือให้คนแบกคานหามหยุด และพอลงมาได้นางก็ปราดไปที่กระเช้าหลังทันที
“อากง คราวนี้อย่าปล่อยให้มันหลุดมือไปได้เด็ดขาดเลยนะ”
ผู้เฒ่าทั้งสองคือโอซูงินายแม่บ้านใหญ่กับพ่อเฒ่าฟูจิกาวะ กงโรกุจากหมู่บ้านมิยาโมโตะที่ตามไล่ล่าเจ้าหนุ่มทาเกโซมาด้วยความแค้นโดยทำใจแล้วว่าแม้จะตายกลางทางก็ยอม
“อยู่ไหน ไอ้วายร้ายมันอยู่ที่ไหน”
“เจ้าว่ามันอยู่ที่ไหน”
นายแม่บ้านใหญ่เดินกุมดาบส่ายอาด ๆ นำพ่อเฒ่าแหวกกลุ่มคนที่มุงดูกันอยู่เข้าไปในวงล้อม คนแบกคานหามแย่งกันบอก
“อยู่ตรงนั้นไงขอรับ นายแม่”
“ต้องรีบหน่อยนะขอรับ”
“หน้าตาท่าทางมันดูเอาจริงอยู่”
“ต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
คนแบกคานหามเข้ามากลุ้มรุมให้กำลังใจและแนะนำด้วยความห่วงใหญ่ ขณะที่ฝูงคนที่มารุมดูเหตุการณ์ต่างสบตากันด้วยความฉงน บางคนซุบซิบถามกันว่า
“แก...ยายเฒ่าจะดวลกับซามูไรหนุ่มตัวโตคนนั้นจริงเหรอ”
“ถ้าจะจริงนะแก”
“ตาเฒ่าผู้ช่วยแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว เขามีเรื่องอะไรกันไม่รู้นะ”
“ก็คงมีแหละแก”
“อ้าว นั่นยายโกรธอะไรน่ะดุตาใหญ่เลยแก ท่าทางโหดน่าดูเลย”
แม่เฒ่าโอซุงิรับกระบวยใส่น้ำที่คนแบกคานหามคนหนึ่งวิ่งไปตักมาให้ขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วส่งให้อากง
“แกจะตื่นเต้นไปทำไมอากง เจ้าทาเกโซมันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน เพิ่งจะเริ่มจับดาบได้ไม่เท่าไรก็คงแค่พอฟาดฟันได้
ว่าแล้วนางก็เดินจ้ำอ้าว ๆ นำหน้าไปที่หน้าบันไดขึ้นตัวโบสถ์ นั่งแปะลงบนขั้นบันไดแล้วล้วงลูกประคำออกมาจากอกเสื้อ แล้วหลับตาสวดพึมพำพลางนับลูกประคำไปทีละเม็ด โดยไม่สนใจกับทาเกโซศัตรูตัวฉกาจที่ยืนเด่นอยู่แทบจะประชิดตัวกัน และผู้คนจำนวนมากที่รายล้อมอยู่ตรงนั้น
4
อากงตามเข้ามาสวดภาวนากับแม่เฒ่าโอซุงิ
เมื่อความตึงเครียดผ่านไป คนโดยรอบก็มองผู้เฒ่าทั้งสองด้วยความขบขัน คนหนึ่งถึงกับหัวเราะออกมา
“ใครหัวเราะ” คนแบกคานหามคนหนึ่งหันไปตวาด
“ขำอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาหัวเราะกันเล่น พวกเจ้าไม่รู้อะไรแล้วอย่ามาทำสะเออะ นายแม่คนนี้เดินทางรอนแรมมาไกลจากแคว้นซากุ เพื่อล้างแค้นชายใจทรามที่ลักพาเจ้าสาวของลูกชายนางหนีไป นายแม่ขึ้นมาไหว้พระที่วัดคิโยมิซุทุกวันนับได้ห้าสิบกว่าวันแล้ว วันนี้เจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ชายใจทรามที่แม่เฒ่าตามไล่ล่าเดินผ่านมาทางจาวังซากะ แม่เฒ่าเห็นแวบหนึ่งก็เอะใจจึงให้เราตามไปสืบ จึงได้ตัว”
เมื่อคนหนึ่งเริ่มเล่าอีกคนก็สอดขึ้น
“นายแม่ช่างสมกับคนที่มีเชื้อสายซามูไร คิดจริงทำจริงไม่เหมือนกับกับเรา ๆ อายุปูนนี้แล้วแทนที่จะอยู่บ้านเลี้ยงหลานให้เพลิดเพลินใจ กลับออกเดินทางมาตกระกำลำบากอยู่ตามป่าตามเขา เพื่อกู้ชื่อเสียงลงตระกูลให้พ้นจากความอับอายแทนลูกชาย ข้าขอก้มหัวให้ด้วยความนับถือใจของนางจริง ๆ”
ยังไม่ทันขาดคำดี อีกคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็เสริมขึ้น
“พวกข้าเทใจช่วยนายแม่สุด ๆ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่สินจ้างรางวัล อย่างค่าเหล้าสาเกที่นางให้เป็นพิเศษทุกวัน แต่เพราะนับถือใจนาง นับถือความเป็นคนกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของนาง ที่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะประดาบกับซามูไรหนุ่มเพื่อล้างแค้นให้ได้ทั้งที่เป็นผู้หญิงอายุปูนนี้ ผู้มีคุณธรรมย่อมอยู่ข้างผู้อ่อนแอ ดังนั้นหากนายแม่เกิดพลาดท่าเสียที พวกข้านี่แหละจะดาหน้าเข้าไปล้างแค้นแทน จริงไหมทุกคน”
“แน่นอน”
“ข้าไม่ยอมให้นายแม่ถูกเจ้านั้นทำร้ายต่อหน้าต่อตาเป็นอันขาด”
ฝ่ายฝูงชนที่เข้ามารุมดู เมื่อได้ฟังเรื่องราวของแม่เฒ่าจากปากของพวกคนแบกคานหาม ต่างร้อนรนเป็นเจ็บเป็นแค้นแทนและเอะอะขึ้นมาทันที
“สู้ สู้” คนหนึ่งร้องปลุกใจ แต่อีกคนขมวดคิ้ว
“แต่...แกว่าลูกชายของแม่เฒ่าหายไปไหนวะ”
“ลูกชายเหรอ เออ จริงด้วย”
ดูเหมือนพวกคนแบกคานหามก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ซักถามดูบางคนบอกว่าอาจตายไปแล้วก็ได้ คนหนึ่งบอกว่าแกตามล้างแค้นศัตรูพร้อมกับตามหาลูกชายไปด้วยว่าเป็นตายร้ายดียังไง
ระหว่างที่โจษขานกันอยู่นั้น แม่เฒ่าโอซุงิก็สวดครบจำนวนลูกประคำและเก็บเข้าไว้ในอกเสื้อตามเดิม
ทันใดนั้นเอง ทั้งคนแบกคานหามและผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ต้องตกตะลึงจังงัง เมื่อแม่เฒ่าตะโกนสุดเสียง
“ทาเกโซ”
พร้อมกับสะบัดมือซ้ายไปกุมด้ามมีดสั้นที่เอวไว้อย่างฉับพลัน
มูซาชิยืนนิ่งราวท่อนไม้อยู่ใกล้ ๆ นั้นมาตั้งแต่ต้น
อากงที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่ายื่นหน้าออกมาร้องเฮ้ย
มูซาชิยังยืนนิ่งคล้ายไม่รู้ว่าจะตอบโต้ว่าอย่างไร
นึกไปถึงคำเตือนของหลวงพี่ทากูอันตอนแยกทางกันที่ท้ายปราสาทฮิเมจิ แต่ก็ไม่นึกว่าจะมาตกอยู่ในสภาพที่ถูกพวกคนแบกคานหามเอาเรื่องของตนมาประจานต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้ เดิมทีมูซาชิไม่ใส่ใจกับการที่ตนถูกรังเกียจเดียดฉันจากคนในตระกูลฮนอิเด็นอยู่แล้ว คิดว่าเป็นเรื่องของอารมณ์และการรักษาหน้าตาในสังคมแคบ ๆ ของบ้านเกิด และหากฮนอิเด็น มาตาฮาจิมาอยู่ด้วยที่นี่ความจริงทั้งหลายก็จะคลี่คลายกระจ่างขึ้น
แต่ตอนนี้มูซาชิทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างไร การจะให้ตนรับคำท้าแม่เฒ่าที่กร้าวแกร่งแต่ใจส่วนกายอ่อนแอแทบทรงตัวไม่อยู่กับซามูไรเฒ่าคู่นี้นั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน ทางเดียวที่ทำได้คือยืนทำหน้ายุ่งยากนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
พวกคนแบกคานหามเห็นเช่นนั้นก็ยั่วโมโหกันคะนองปาก
“ดูมันซี”
“สงสัยจะกลัวว่ะ”
“มามะ มาให้นายแม่กุดหัวเสียให้สมแค้น”
แล้วพูดเสียดสีหยาบ ๆ คาย ๆ ไม่หยุดปาก
แม่เฒ่าโอซุงิกระพริบตาถี่ ๆ สั่นหน้าแรง ๆ ราวกับพยายามบรรเทาความตื่นเต้น และอยู่ ๆ ก็หันขวับไปตวาดพวกคนแบกคานหามเสียงเกรี้ยว
“เงียบ... พวกเอ็งอยู่เป็นพยานให้ข้าเท่านั้นเป็นพอ และขออย่างเดียวหากฆ่าสองคนถูกไอ้ชายใจชั่วฆ่าตาย ช่วยส่งกระดูกกลับไปที่หมู่บ้านมิยาโมโตะด้วย นอกนั้นไม่ต้องพูดอะไรให้หนวกหูและไม่ต้องช่วยข้าด้วย เข้าใจนะ”
ว่าแล้วก็ชักดาบออกจากฝัก จ้องตามูซาชิเขม็งแล้วย่างก้าวเข้าหาด้วยมาดของหญิงตระกูลซามูไร