คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน เมื่อก่อนดูเหมือนญี่ปุ่นจะเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่ประชาชนมักใส่หน้ากากอนามัยให้เห็นในที่สาธารณะทั้งที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการแพทย์หรือในแลป แต่เดี๋ยวนี้ก็มีคนชาติอื่นสวมหน้ากากอนามัยกันมากขึ้นนะคะ บทความสัปดาห์นี้ฉันจะเล่าให้ฟังว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงสวมหน้ากากอนามัยกระทั่งในยามไม่มีโรคหรือฝุ่นระบาด และในตอนท้ายจะกล่าวถึงว่าหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้จริงหรือไม่เพียงใด
หนึ่งในสาเหตุหลักที่คนญี่ปุ่นสวมหน้ากากอนามัยนั้นแน่นอนว่าก็เพื่อป้องกันหวัด แต่ใช่ว่าจะเพื่อป้องกันไม่ให้หวัดของคนอื่นมาติดตน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่น ๆ ติดหวัดจากตัวเองมากกว่า นี่เป็นเหตุผลเดียวกันกับแพทย์และพยาบาลในห้องผ่าตัดที่สวมหน้ากากอนามัย นั่นก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ติดเชื้อจากแพทย์และพยาบาล ดังนั้น คนญี่ปุ่นที่สวมหน้ากากอนามัยเวลาตนเป็นหวัดนั้น ลึก ๆ ก็คงเพราะเกรงใจคนอื่นและไม่อยากให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเพราะตน อีกอย่างคือเป็นมารยาททางสังคมด้วย การสวมหน้ากากอนามัยด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงอาจสะท้อนถึงลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นได้เช่นกัน
อีกสาเหตุสำคัญได้แก่การป้องกันฝุ่นโดยเฉพาะละอองเกสร ซึ่งมีผู้แพ้เป็นจำนวนมากในญี่ปุ่น คนต่างชาติเองที่แต่เดิมไม่เคยเป็น เมื่ออยู่ญี่ปุ่นนานหลายปีเข้าจะมีบางคนที่ค่อย ๆ เป็นภูมิแพ้ละอองเกสรมากขึ้น อาการก็คล้าย ๆ เป็นหวัดคือ จาม น้ำมูกน้ำตาไหล คันตา บางคนที่เป็นหนัก ๆ ต้องฉีดยา รวมทั้งป้องกันตัวด้วยการใส่เสื้อแขนยาว ใส่แว่นตากันฝุ่นละอองโดยเฉพาะ รวมทั้งสวมหน้ากากอนามัย เรียกได้ว่าพยายามป้องกันไม่ให้โดนละอองติดมามากที่สุด และเมื่อถึงบ้านก็ต้องสะบัดเอาละอองเกสรออกจากเสื้อกันหนาวเพื่อลดการนำละอองเกสรเข้าบ้านด้วย
ว่าแต่ช่วงนี้เป็นฤดูละอองเกสรแพร่กระจายในญี่ปุ่น แต่หน้ากากอนามัยกลับขาดตลาด สร้างความลำบากให้แก่ผู้เป็นภูมิแพ้ไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกเหนือจากเหตุผลสองข้อข้างต้นแล้ว คนญี่ปุ่นสวมหน้ากากอนามัยกันด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเป็นใคร ไม่อยากให้ใครเห็นหน้าตอนนี้ ไม่อยากยุ่งกับใคร และเพื่อความสบายใจด้วย
อย่างดาราญี่ปุ่นหลายคนเองก็ต้องพึ่งหน้ากากอนามัยยามไปไหนมาไหนส่วนตัวในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเวลาไปออกเดท หรือเจอกับคนรัก เวลามีสกู๊ปข่าวเปิดเผยออกมาก็จะได้เห็นหน้าของดาราที่สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งที่จริงแล้วก็ปิดบังหน้าตาและบุคลิกได้ไม่มิดเท่าไหร่ ถ้าเดินผ่านแล้วสังเกตดี ๆ ก็คงพอจะบอกได้ว่าเป็นใครอยู่เหมือนกัน
ผู้ร้ายบางคนเวลาจะแอบไปทำอะไรไม่ดี หรือตอนถูกจับเป็นผู้ต้องหาแล้วออกสื่อ ก็จะสวมหน้ากากอนามัยปิดบังหน้าตาไว้ จะว่าไปแล้วก็นึกถึงคนที่เป็นภูมิแพ้ละอองเกสรที่ต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิด หรืออุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อกันละอองเกสรอยู่เหมือนกันนะคะ ว่าถ้าปกปิดกันเต็มยศแล้วจะดูเข้าข่ายเป็นบุคคลต้องสงสัยหรือเปล่า :)
วิธีป้องกันละอองเกสรดอกไม้ (สวมหมวก แว่นตา หน้ากาก ผ้าพันคอ รวบผม และเลี่ยงเสื้อผ้าที่ละอองเกสรติดง่าย)
นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงหลายคนที่สวมหน้ากากอนามัยเพราะไม่ได้แต่งหน้า เช่น อาจจะแค่ไปซื้อของนิดหน่อยแถวบ้าน หรือไปทำธุระที่ไม่ต้องเจอผู้คนที่รู้จัก การสวมหน้ากากอนามัยไว้ก็ดูจะเป็นวิธีที่สะดวกดี ไหน ๆ ก็ไม่มีคนมองด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่แล้วเพราะคนญี่ปุ่นสวมหน้ากากอนามัยกันจนเป็นเรื่องปกติ
อีกทั้งยังมีบางคนที่สวมหน้ากากอนามัยเพราะไม่อยากยุ่งกับใครด้วย เพราะเวลาสวมหน้ากากอนามัยแล้ว คนอื่นก็ไม่มีใครสนใจจะมองหรือสังเกตว่าหน้าตาเป็นอย่างไร คนที่สวมหน้ากากอนามัยจึงเหมือนได้อยู่ในโลกส่วนตัว คงจะคล้ายกับเวลาสวมแว่นกันแดดนะคะ แม้จะมีวัตถุประสงค์ใส่เพื่อกันไม่ให้แดดแยงตา แต่ผลพลอยได้คือรู้สึกมั่นใจกว่าเดิม และไม่ได้ใส่ใจสายตาคนรอบข้างมากเท่ากับเวลาไม่ได้สวมแว่นกันแดด ฉันจำได้ว่าในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดู มีฉากหนึ่งที่ผู้ใหญ่แนะให้เด็กสวมแว่นกันแดดไว้ แล้วจะรู้สึกกล้าหาญขึ้น คงเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ กัน
เมื่อดูเหตุผลทั้งหมดข้างต้นว่าทำไมคนญี่ปุ่นจึงสวมหน้ากากอนามัย ก็เห็นได้ชัดขึ้นมาว่ามีจุดร่วมอย่างหนึ่งคือเพื่อ “ความสบายใจ” ในเมื่อการสวมหน้ากากอนามัยช่วยลดความกังวลใจว่าจะถูกมองอย่างไร บวกกับความรู้สึกเสมือนได้อยู่ในโลกส่วนตัวท่ามกลางฝูงชนที่เป็นตัวของตัวเองได้ยากอย่างญี่ปุ่น ก็คงทำให้การสวมหน้ากากอนามัยเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางเกินขอบเขตของการป้องกันโรคและฝุ่นไปด้วย
ญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่หน้ากากอนามัยแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่านั้น แต่มีแบบที่ทำมุมตรงกลางใบหน้าพอดีเพื่อให้เข้ารูปกับโครงหน้าและปิดมิดชิดทุกด้าน ใส่แล้วดูคล้าย ๆ ยอดมนุษย์พันธุ์ใหม่ และยังมีแบบป้องกันเครื่องสำอางเลอะ หรือช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้จมูกเวลาอากาศแห้งในหน้าหนาวด้วย อย่างหลังนี้จะมีแผ่นคล้าย ฟองน้ำชุบน้ำมาด้วย พอเอาใส่ช่องเสียบบนหน้ากาก แผ่นชุบน้ำนี้ก็จะอยู่บริเวณจมูกพอดี
ยิ่งไปกว่านั้น หน้ากากอนามัยยังมีทั้งขนาดปกติและขนาดเล็กให้เลือก การพัฒนาหน้ากากออกมาหลากชนิดตามความต้องการที่แตกต่างกันในชีวิตประจำวันเช่นนี้ คงไม่มีที่ไหนเหมือนญี่ปุ่นอีกแล้ว
ด้วยความที่การสวมหน้ากากอนามัยเวลาเป็นหวัดเป็นมารยาททางสังคมอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น และผู้คนก็ชินกับการสวมหน้ากากอนามัยกันตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบใหม่ออกมาเรื่อย ๆ จึงมีคนญี่ปุ่นจำนวนมากที่ไม่ทันคิดหรือไม่ทราบว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่สวมหน้ากากอนามัย พอไปต่างประเทศก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนชาติอื่นจึงไม่สวมหน้ากากอนามัยเวลาเป็นหวัด
เคยได้ยินคนญี่ปุ่นเล่าว่า เมื่อก่อนเวลาคนญี่ปุ่นมาอเมริกาก็มักตกเป็นเป้าหมายของการปล้น เพราะโจรคิดว่ารวย คนญี่ปุ่นกลัวว่าจะถูกปล้นก็เลยป้องกันไว้ก่อนด้วยการใส่หน้ากากอนามัยไว้ โจรจะได้ไม่รู้ว่าคนชาติอะไร แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งระบุชัดเข้าไปอีกว่า "นี่คือคนญี่ปุ่น!" เพราะคนชาติอื่นไม่ค่อยมีใครเขาใส่หน้ากากอนามัยกันในชีวิตประจำวัน เรื่องนี้ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร แต่ก็คงพอจะชี้ให้เห็นว่าการสวมหน้ากากอนามัยในชีวิตประจำวันอย่างเป็นเรื่องปกติคงจะเป็นเอกลักษณ์ของสังคมญี่ปุ่นจริง ๆ นะคะ
ฉันพอทราบมาว่าประเทศในเอเชียตะวันออกอื่น ๆ ก็สวมหน้ากากอนามัยเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าเป็นเฉพาะในช่วงที่มีโรคระบาดหรือปัญหาฝุ่นรุนแรง ไม่แน่ใจว่านอกเหนือจากนี้แล้วยังใส่ด้วยเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องแบบคนญี่ปุ่นหรือเปล่า
ส่วนไทยเองก็เพิ่งจะหันมาสวมหน้ากากอนามัยกันเมื่อตอนเกิดวิกฤติฝุ่น PM2.5 เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ก่อนหน้านั้นเคยมีคนสวมหน้ากากอนามัยตอนอยู่ในเมืองไทยเพราะเธอเป็นหวัด แต่กลับถูกมองด้วยสายตาไม่สู้ดีนักจึงต้องเลิกใส่ เดี๋ยวนี้คงไม่ต้องกังวลแล้ว
ในแถบยุโรปหรืออเมริกาก็มองว่าคนที่สวมหน้ากากอนามัยนั้น หากไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ ก็ต้องเป็นคนที่ป่วยหนักมาก หรืออีกอย่างคือเป็นโจรผู้ร้ายไปเลย ได้ข่าวว่าเคยมีทัวร์คนญี่ปุ่นซึ่งสวมหน้ากากอนามัยพากันไปเดินอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในอังกฤษ สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนที่มาซื้อของกันพอสมควรทีเดียวค่ะ
หมอชาวอเมริกันคนหนึ่งถึงขนาดพูดว่า “ถ้าผมเห็นคนใส่หน้ากากอนามัยในนิวยอร์กละก็ ผมจะรู้สึกว่าเขาป่วยทางสมองมากกว่าป่วยเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ”
อย่างไรก็ดี ว่ากันว่าหน้ากากอนามัยอาจไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสจากคนอื่นเท่าใดนัก แต่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของสารคัดหลั่งจากการไอหรือจามโดยคนสวมหน้ากากที่มีเชื้อไวรัส ด้วยเหตุที่มันถูกผลิตมาเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหลัง แต่ไม่ได้ถูกผลิตมาเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเช่นนี้เอง มันจึงไม่ได้มีตัวกรองที่เหมาะสมสำหรับป้องกันอนุภาคขนาดเล็กมาก และไม่ได้แนบสนิทพอดีกับใบหน้านัก จึงทำให้หน้ากากอนามัยป้องกันไวรัสจากคนอื่นไม่ค่อยได้ ยิ่งถ้าสวมแค่ปิดปากหรือปิดครึ่งจมูกหรือถอดหน้ากากอนามัยออกเวลาพูด ก็คงแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เมื่อนึกถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของญี่ปุ่นที่ขึ้นไปเก็บข้อมูลบนเรือไดมอนด์พรินเซส ซึ่งพยายามป้องกันตัวอย่างดีแล้วด้วยการสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือ รวมทั้งไม่ได้อยู่ในห้องร่วมกับผู้โดยสารหรือลูกเรือ ก็ยังติดเชื้อไวรัสโคโรนามาจนได้ ก็ทำให้น่าคิดจริง ๆ นะคะว่าหน้ากากอนามัยมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้จริงหรือ ? ขนาดศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ฯ ยังประกาศชัดเจนเลยว่า ไม่แนะนำให้คนที่ไม่ได้ป่วยสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
นักวิชาการด้านสาธารณสุขทางฝั่งตะวันตกบอกว่า การศึกษาและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังมีไม่มากพอที่จะระบุได้ว่าหน้ากากอนามัยมีผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสในชุมชนได้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องประชาชนสวมหน้ากากอนามัยไม่ถูกวิธี ไม่เปลี่ยนบ่อย ๆ และไม่ได้กำจัดอย่างถูกสุขอนามัยอีกด้วย ทำให้การใช้หน้ากากอนามัยไม่เกิดประโยชน์
ปัจจุบันมีคนเอเชียที่หันมาใช้หน้ากากผ้ากันมากขึ้นแทนหน้ากากอนามัยที่ขาดตลาด หรือเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะซักแล้วเอามาใช้ใหม่ได้ อีกทั้งยังมีการสอนทำหน้ากากผ้าทางโลกออนไลน์ด้วย แต่อันที่จริงแล้วมีการศึกษาพบว่าใช้หน้ากากผ้าแบบทำเองยิ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคมากกว่าเดิมด้วยค่ะ
เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพของหน้ากากผ้าเทียบกับหน้ากากอนามัยที่ใช้ทางการแพทย์ (A cluster randomised trial of cloth masks compared with medical masks in healthcare workers) โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างผู้ทำงานในวอร์ดที่มีความเสี่ยงสูงในโรงพยาบาล 14 แห่งในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม รวมทั้งสิ้น 1607 คน โดยให้แบ่งออกเป็นกลุ่มสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ กลุ่มสวมหน้ากากผ้า และกลุ่มควบคุม(ปฏิบัติตามแนวทางปกติและใส่หน้ากาก) ทุกคนต้องสวมหน้ากากไว้ตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ที่เข้าร่วมการศึกษา
ผลจากการศึกษาพบว่ากลุ่มที่ใช้หน้ากากผ้ามีการติดเชื้อในทางเดินหายใจสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยอนุภาคสามารถซึมผ่านเข้าหน้ากากผ้าได้ถึงเกือบร้อยละ 97 (หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ร้อยละ 44) ยิ่งไปกว่านั้นความชื้นที่เก็บสะสมในหน้ากากผ้า การใช้หน้ากากผ้าซ้ำ รวมถึงการกรองที่ไม่มีประสิทธิภาพยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้ออีกด้วย
โดยสรุปแล้ว การไม่มีหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เลยก็ได้นะคะ อีกทั้งบุคลากรทางการแพทย์ในหลายประเทศก็พูดคล้ายกันว่า การป้องกันเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจที่ได้ผลคือ การหมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ คอยระวังที่จะไม่เอามือมาสัมผัส ตา จมูก ปากก่อนล้างมือ ไม่ไอหรือจามโดยไม่ใช้ทิชชูป้องไว้ ถ้าป่วยให้อยู่บ้าน เป็นต้น วิธีเหล่านี้มีความสำคัญยิ่งและอาจให้ผลในการป้องกันไวรัสได้ดียิ่งกว่าหน้ากากอนามัยเสียอีก
มีอีกอย่างที่อยากฝากไว้ก่อนจากกันไปในสัปดาห์นี้ค่ะ ช่วงนี้มีข่าวลือจำนวนมากในโลกโซเชียลเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าที่ไม่เป็นความจริง อย่างในญี่ปุ่นเองก็มีคนมั่วขึ้นมาว่าวิตามินดีป้องกันไวรัสชนิดนี้ได้ หากได้รับข่าวสารลอย ๆ อะไรมา ลองตรวจสอบแหล่งข่าวและข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือหลายแห่งดู จะได้ไม่เป็นเหยื่อคนกุข่าวโคมลอยนะคะ
ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพให้แข็งแรง แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.
"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.