สถานการณ์โรคโควิด-19 ที่เริ่มมีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น ทำให้ประชาชนกังวล และเริ่มหาวิธีในการป้องกันตนเองจากเชื้อโรคนี้มากขึ้น เรื่องที่มีการแชร์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียอย่างมาก คือ การใช้วิตามินซีในการป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 และการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อสู้กับโรคโควิด-19 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น MGR Online มีคำตอบ
ในส่วนของ “วิตามินซี” จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 หรือไม่นั้น นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) ระบุว่า ตนไม่คิดว่าเรามีหลักฐานข้อมูลชัดเจนว่า การกินวิตามินซีจะมีประโยชน์ ข้อมูลเก่าเรื่องวิตามินกับโรคติดเชื้อกับโรคหวัด เป็นข้อมูลเก่ามากที่มีการบอกว่าการรับประทานวิตามินซีไม่สามารถป้องกันหวัดได้ตรงนี้มีหลักฐานมานานมากแล้วว่าไม่สามารถป้องกันหวัดได้ ไม่สามารถลดความรุนแรงได้ และไม่สามารถลดระยะเวลาของการเป็นหวัดได้ เพราะฉะนั้น วิตามินซีจึงไม่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่สามารถลดความุรนแรงและไม่สามารถลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้
“ส่วนโควิด-19 ก็ถือว่าเป็นหวัด เป็นกลุ่มไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการหวัดได้เหมือนกัน เข้าใจว่าถึงนาทีนี้คงยังไม่มีใครทำวิจัยเรื่องนี้ แต่หากจะอุปมาว่าโควิด-19 คล้ายกับเชื้อหวัดตัวอื่นๆ เหมือนกัน คิดว่าโอกาสที่จะสามารถป้องกัน ลดระยะเวลา ลดความรุนแรงได้คงจะต่ำมากๆ” นพ.ธนรักษ์กล่าว
ฟ้าทะลายโจรจะสามารถนำมาช่วยสู้โรคโควิด-19 ได้มากน้อยแค่ไหน
นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้ความเห็นว่า สารแอนโดรกราโฟไลด์ของ “ฟ้าทะลายโจร” มีผลการศึกษาที่ประเทศจีนว่า มีผลต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์น้อยลง และการแบ่งตัวของไวรัสลดน้อยลง แต่การจะนำมาใช้ต้องมีการศึกษาข้อมูลเรื่องนี้ในประเทศไทยด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองในหลอดทดลองว่า “สารแอนโดนกราโฟไลด์” จะมีผลต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ก่อโรคโควิด-19 อย่างไร ทำให้เชื้อลดจำนวนลงหรือไม่ หรือว่ามีผลเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้ยังต้องขอใช้เวลาในการศึกษา แต่หากพบว่าได้ผลดีก็จะมีการนำไปทดลองใช้ในผู้ป่วย ซึ่งจะมีการเสนอคณะกรรมกรจริยธรรมการวิจัยในคน โดยจะลองนำมาใช้ทั้งกับผู้ป่วยโรคโควิด-19 และผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ว่าช่วยให้อาการดีขึ้นหรือไม่อย่างไร
ดังนั้น การใช้สารแอนโดรกราโฟไลด์มาใช้ต่อสู้โรคโควิด-19 ยังต้องรอผลการศึกษาที่ชัดเจน แต่การจะใช้ฟ้าทะลายโจรในการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับโรคหวัดทั่วไป มีผลการศึกษาชัดเจนว่าสามารถช่วยได้
โดยฟ้าทะลายโจรมีความโดดเด่นใน 3 ด้าน คือ 1. กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ถ้าภูมิคุ้มกันแข็งแรงก็จะจัดการกับไวรัสได้ 2. ต้านการอักเสบ ช่วยลดความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัส และ 3. ต้านไวรัส โดยเฉพาะไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ ฟ้าทะลายโจรจะไปแย่งจับกับ adenosine receptor ทำให้ไวรัสไม่มีที่จับ เข้าไปทำลายเซลล์เราได้น้อยลง ทั้งนี้ ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง เปรียบเสมือนทหารในร่างกายที่คอยปกป้องข้าศึก จากการติดเชื้อ ช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัส
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถใช้ได้ทันทีเมื่อตอนเป็นหวัด โดยพักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าไปแพร่กระจาย เมื่อหายแล้วก็สามารถหยุดยาได้ ทั้งนี้ เพราะฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหลายกลไก แต่หากปล่อยให้เชื้อโรคเข้ามาเรื่อยๆ ก็ไม่สามารถป้องกันได้ อย่างแรกจึงต้องป้องกันก่อน เมื่อป่วยเป็นหวัดก็ใช้ฟ้าทะลายโจร แต่ถ้าใช้ในเชิงป้องกัน มองว่าไม่ควรทำในทุกคน แต่ควรทำในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก อย่างแถบสแกนดิเนเวียให้เด็กอายุ 4 ขวบขึ้นไป กินได้ หรือผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคปอด สามารถกินได้ในขนาดต่ำที่ไม่ใช่ขนาดเดียวกับการรักษา และพยายามเลือกใช้ ถ้าปลูกใช้ได้เองดีที่สุด
สำหรับการใช้เพื่อรักษาหวัด ผู้ใหญ่กินครั้งละ 3-4 แคปซูล วันละ 3-4 ครั้ง หากเป็นเด็กก็ลดลงครึ่งหนึ่ง แต่หากปลูกใช้เอง หากต้นเริ่มออกดอกราว 30% ก็สามารถเก็บดอกและใบมาตากแห้ง หรือคั่วแล้วเก็บไว้ในโหลสุญญากาศ เก็บไว้ประจำบ้าน เมื่อป่วยก็นำมาชงเป็นชาดื่ม โดยผู้ใหญ่ใช้ประมาณ 1 ช้องแกง ส่วนเด็กใช้ 1 ช้อนชาเล็ก ใส่น้ำร้อนต้มเป็นชาทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที แล้วดื่มวันละ 3-4 เวลา แต่ถ้าจะกินเพื่อป้องกันก็ให้เด็กกินครั้งละ 1 แคปซูล ผู้ใหญ่ 2 แคปซูล
“ย้ำว่า ถ้าเป็นหวัด 1. อย่าออกไปแพร่เชื้อ 2. กินน้ำให้เพียงพอ เพราะว่าไวรัสพวกนี้ถ้าแห้งมันจะเข้าไปในเซลล์ได้ง่าย 3. พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ภูมิมันขึ้น และ 4. กินฟ้าทะลายโจรได้ แต่ถ้าไปกินแล้ว พักผ่อนแล้ว 2-3 วันไม่ดีขึ้นเลย หรือเป็นรุนแรงมาก ปวดเมื่อยเนื้อตัวมากไข้สูงมาก หรือเด็กเป็นแล้วชัก ก็ต้องไปโรงพยาบาล” ภญ.ผกากรองกล่าว