จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
หน้าศาลเจ้ามิวะมีลำธารไหลผ่านแต่ก่อนเวลาน้ำหลากมาก ๆ ก็จะไหลล้นเข้าไปสระมิวะด้วย เดิมทีแหล่งน้ำของลำธารนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของน้ำที่พุขึ้นจากใต้ดินซึ่งตามปกติจะมีประมาณมากอยู่แล้ว เมื่อไหลผ่านศาลเจ้ามิวะไปได้นิดหนึ่งก็จะเลี้ยวไปกระโจนลงสู่หุบเหวเกิดเป็นแอ่งน้ำตกลึกล้ำมีพื้นที่กว่าสามร้อยตารางเมตร สี่ด้านเป็นหน้าผาสูงชัน เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจะสะท้อนผิวน้ำสีเขียวหยกให้ดูลึกลับอย่างน่าพิศวง แม้น้ำจะดูนิ่งแต่ความจริงแล้วมีวังวนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ทำให้ไม่สามารถเล่นน้ำหรือตกปลา
ศพคุณนายอากิโกะในชุดกิโมโนลอยอยู่บนผิวน้ำหมุนช้า ๆ ไปตามกระแสน้ำในวังวน
มองไปรอบ ๆ แล้วดูเหมือนจะถูกผลักตกลงมาจากหน้าผาสูงชัน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะยืนยันได้ว่าไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวตาย บริเวณหน้าผาพื้นดินแห้งดีแต่ภูเขาแถบนี้มักมีฝนตกตอนเช้าและช่วงพลบค่ำ ตอนเย็นวันที่ 3 สิงหากับเช้าวันที่ 4 ชาวบ้านบอกว่าฝนตกค่อนข้างหนัก ถึงจะมีรอยเท้าหรือร่องรอยการต่อสู้อยู่บนหน้าผาก็คงถูกฝนชะหายไปหมด ตำรวจจึงไม่พบหลักฐานอะไรเลย
ศพคุณนายอากิโกะที่พบเมื่อเช้าตรู่วันที่ 4 ถูกนำไปที่วัดโซรินจิ แพทย์นิติเวชมาผ่าชัณสูตรศพเสร็จเมื่อเย็นมากแล้ว ผลการตรวจภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะปรากฏว่า คุณนายคงจะถูกฆ่าหลังจากกินอาหารแล้วราวสามชั่วโมงถึงสามชั่วโมงครึ่ง
ความเป็นระเบียบในห้องกินข้าวของคฤหาสน์หย่อนยานลงไปมาก เพราะระยะนี้หลายคนจะออกไปข้างนอกกันตั้งแต่เช้า ทำให้จำนวนสมาชิกของห้องกินข้าวและเวลาที่เข้ามากินอาหารกันไม่คงที่ ถ้าจะให้ทันรถประจำทางเที่ยวแรกขนาดผู้ชายที่เดินเร็ว ๆ ยังต้องออกจากคฤหาสน์อุตางาวะตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง ดังนั้นเวลากินอาหารเช้าจึงต่างกันออกไป
ทว่าวันที่ 3 เมื่อวานนี้ คุณนายอากิโกะกินอาหารเช้าพร้อมกับผม เคียวโกะ ทนายคามิยามะและภรรยา ดาราดวงเด่นโคโจก็อยู่ด้วย ทนายคามิยามะซึ่งน่าจะรู้เวลาเที่ยงตรงดีกลับลืมดูนาฬิกาเรือนที่ตนภาคภูมิใจเสียอย่างนั้น ส่วนผมจำได้คร่าว ๆ ว่าราวเจ็ดโมงครึ่ง ตำรวจสันนิษฐานจากผลการชัณสูตรศพและสอบปากคำได้ว่า คุณนายถูกฆาตกรรมเมื่อประมาณ 10.30 น. ถึง 11.00 น.
หลังอาหารเย็นวันที่ 4 สารวัตรเหยี่ยวเรียกพวกเรา พร้อมทั้งหมอเอบิสึกะ นางพยาบาลโมโรอิ สาวใช้ชิซุเอะ และคนอื่น ๆ มารวมตัวกันที่ห้องใหญ่
“ผมลำบากใจจนอยากจะฆ่าตัวตายเสียเองเลยครับที่ต้องมารบกวนขอความร่วมมือจากทุกท่านไม่รู้จบสิ้นอย่างนี้ แต่ก็ขอให้อดทนให้ความร่วมมือกับตำรวจอีกครั้งเถิดครับ กรณีของคุณนายอากิโกะตำรวจไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือว่าถูกใครฆ่า แต่ในชั้นแรกนี้การมองว่าเป็นเหตุฆาตกรรมน่าจะสมเหตุสมผลกว่า ทำไมน่ะหรือครับ...คือโดยทั่วไปคนที่ฆ่าตัวตายนั้นจะต้องมีจุดมุ่งหมายอะไรหรือทำลงไปเพราะใคร ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็เดินมาแล้วกระโดดลงไปจากหน้าผา ที่เห็น ๆ มาจะถอดรองเท้าหรือไม่ก็วางของที่ถือติดตัวมาเอาไว้ก่อนกระโดด บางกรณีอย่างของคุณนายอากิโกะที่ใส่กิโมโน ก็จะจัดกิโมโนให้เข้าที่แล้วใช้แถบผ้าหรืออะไรผูกรัดเอาไว้กับขาตัวเองเพื่อไม่ให้ถลกขึ้นมาน่าเกลียด แต่ผมไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไปนะครับ ถึงจะตกลงจากหน้าผาทั้ง ๆ ที่ใส่รองเท้าพร้อมกระเป๋าถืออย่างนั้น เราก็ฟันธงลงไปไม่ได้ว่าคุณนายถูกฆาตกรรม แต่เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังหลายคดีที่ยังคลี่คลายไม่ได้เลยสักรายเดียวในคฤหาสน์แห่งนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เราจะต้องสืบสวนไปในแนวคดีฆาตกรรมอีกรายหนึ่งครับ”
สารวัตรเหยี่ยวเกริ่นก่อนเข้าเรื่องด้วยสำนวนที่เป็นทางการขึ้นทุกที “ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอดำเนินการสืบสวนตามขั้นตอนต่อไป คือก่อนอื่นจำเป็นต้องขอทราบที่อยู่ของแต่ละท่านเมื่อวาน หวังว่าจะได้รับความกรุณาจากทุกท่าน” นายตำรวจลงท้ายด้วยสำนวนสุภาพอ่อนน้อมราวกับเจ้าของร้านขายผักผลไม้พูดกับลูกค้า คงจะจับเส้นพวกเราถูกแล้วว่าไม่ชอบให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาวางก้ามทำอำนาจ
“ผมขอถามตามลำดับโดยเริ่มที่คุณโมคุเบเป็นคนแรก เมื่อวานดูเหมือนว่าคุณจะอยู่ที่เมือง N ตลอดทั้งวัน”
มิยาเกะ โมคุเบพยักหน้า
“วันนั้นผมขอให้เมียเจ้าของร้านสึโบเฮจัดอาหารเช้าให้เร็วหน่อยแล้วก็ออกจากบ้านไปก่อนเจ็ดโมงครึ่ง ขึ้นรถประจำทางเที่ยวแรกเข้าเมืองและกลับมาด้วยรถเที่ยวสุดท้ายครับ”
“วันนั้นคุณเห็นภรรยามีอากัปกิริยาอะไรที่แปลกจากธรรมดาบ้างหรือเปล่า”
“ในสายตาของผมเจ้าหล่อนทำอะไรแปลกอยู่บ่อย ๆ อันที่จริงถึงจะอยู่บ้านเดียวกันแต่เราก็แยกกันอยู่ มาที่นี่ก็พักแยกห้องกันครับ ใคร ๆ ที่นี่รู้กันดีว่าเจ้าหล่อนไปมีอะไรกับนายวานิหน้าตาเฉยโดยไม่เห็นหัวผม ผู้หญิงคนนี้ร่านถึงขนาดจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เกินสามวันถ้าไม่ได้เสพสุขกับผู้ชาย ก็จินตนาการกันเอาเองเถิดนะครับ ผมเองก็ไม่ได้เป็นตรวจสอบยืนยันความจริงอะไรนอกจากดูเอาจากพฤติกรรม การที่ผมกับเจ้าหล่อนไม่ได้อยู่กันอย่างสามีภรรยากันโดยพฤตินัยอย่างที่บอก ก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดแล้วใช่ไหมครับว่าเจ้าหล่อนไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น"
“หมายความว่าในชีวิตประจำวัน คุณกับคุณนายไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเลยอย่างนั้นหรือครับ”
“ไม่มีเลยครับ ห่างเหินกันยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก...ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่คนแปลกหน้า ต้องพูดว่าศัตรูจึงจะถูก เพราะมันอยู่ในภาวะที่ต้องห้ำหั่นกันเหมือนอยู่ในสมรภูมิ”
“อย่างนี้นี่เอง เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ป่านนี้ยังลืมกันไม่ลง ว่าแต่คุณทั้งสองไม่ตั้งใจจะทำสัญญาสันติภาพกันเลยหรือครับ”
“ไม่เลยครับ กรณีของผมมันคือเวรกรรมแตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศชาติอาจยั่งยืนไปชั่วนิรันดร์กาล แต่ชีวิตมนุษย์เราก็แค่ห้าสิบปีเท่านั้นไม่จำเป็นต้องไปทำสัญญาสันติภาพอะไรกับคนที่เรารังเกียจ จะว่าไปผมกับเจ้าหล่อนก็เหมือนคนที่หย่าร้างกันแล้วนั่นเองแหละครับ”
“ถึงปากจะพูดอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกว่าคุณยังตัดเยื่อใยไม่ขาด ไม่สมกับเป็นชายชาตรีสักเท่าไหร่”
ปิก้าสอดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
“เยื่อใยนั้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่ในอาณาจักรของผู้หญิง แต่พอผู้ชายอย่างคุณจะมีเยื่อใยกับเขาบ้างมันก็มีของแถมพ่วงมา นั่นก็คือความหยิ่งผยองและความหลงใหลได้ปลื้มในตัวเอง คิดว่าเมียเป็นทาสช่วงใช้คิดว่าเป็นสิ่งของ ไม่ผิดอะไรกับ เจ้าขุนมูลนายโง่ ๆ คนหนึ่ง คุณนายคงไม่ทนหรอกเพราะเขาเองเป็นถึงนักประพันธ์สตรีมีชื่อ จึงไม่แปลกอะไรที่จะก่อการขบถ คุณจะอิจฉาตาร้อนก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่การมาประจานเมียต่อหน้าคนอื่นว่าขาดผู้ชายไม่ได้เกินสามวันอย่างนี้ มันแสดงถึงสันดานต่ำทรามครับ ไม่นึกเลยว่าคุณจะไร้ศักดิ์ศรีน่ารังเกียจเป็นที่สุดอย่างนี้ แย่เกินคุณนายไปหลายขุม”
โมคุเบคาเขียวปั้ดด้วยความโกรธ ปากคอสั่นไม่อาจหาคำพูดมาต่อกรได้ทัน สารวัตรเหยี่ยวได้ช่องจึงตัดบทเข้าเรื่องเดิม
“ถ้าอย่างนั้นคุณโมคุเบก็ไม่รู้ซิครับว่าวันนั้นคุณนายวางแผนทำอะไรบ้าง”
“ไม่รู้เลยครับ”
“คุณโมคุเบมีเพื่อนอยู่ที่เมือง N หรือครับ”
“ไม่มีหรอกครับ แค่เบื่อขึ้นมาก็เลยขึ้นรถเข้าเมืองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไร แวะร้านหนังสือและพูดอะไรหยอกล้อเจ้าของร้านนิดหน่อย อ้อ...แล้วก็ซื้อนิตยสารมาเล่มหนึ่ง ก็แค่นั้น ถ้าเจ้าของร้านหนังสือจำหน้าผมไม่ได้ ผมก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันครับ”
“คุณบอกว่าไม่มีจุดหมายอะไรแต่ก็ออกไปแต่เช้าเพื่อให้ทันรถประจำทางเที่ยวแรก ผมขอถามทุกท่านว่าเวลาไปเมือง N ใคร ๆ ที่คฤหาสน์แห่งนี้จะต้องขึ้นรถประจำทางเที่ยวแรกกันทุกคนไปอย่างนั้นหรือครับ”
เมื่อไม่มีใครตอบ นางคิโซโนะเมียทนายจึงบอกว่า
“เมื่อวานดิฉันก็ไปเมือง N เหมือนกันแต่ไปรถเมล์เที่ยวสอง เพราะพวกผู้หญิงอย่างเราจะเข้าเมืองทีต้องเตรียม อะไร ๆ หลายอย่างและก็เดินช้ากว่าพวกผู้ชายเขา ส่วนใหญ่ก็จะไปรถเมล์เที่ยวสองค่ะ เมื่อวานดิฉันไปกับคุณเคียวโกะและพบคุณพยาบาลโมโรอิที่ป้ายรถเมล์ เราสามคนลงรถที่ถนนไทโชในเมือง N ดิฉันแยกกับคุณเคียวโกะที่นั่นแล้วก็ไปเดินซื้อของและทำอะไร ๆ มาพบกับคุณเคียวโกะอีกทีโดยบังเอิญตอนจะขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้าย คุณโมคุเบก็ขึ้นมาด้วยกันค่ะ”
“คุณเคียวโกะก็ไปซื้อของหรือครับ”
“เปล่าค่ะ ดิฉันไปหาเพื่อนที่เป็นภรรยาเจ้าของร้านกิโนโนชื่อฮมมะ เราเป็นเพื่อนกันช่วงสองสามปีก่อนที่ดิฉันอาศัยอยู่แถวนี้ค่ะ เมื่อวานดิฉันอยู่กับเพื่อนคนนี้ทั้งวัน”
สารวัตรพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปทางนางพยาบาลโมโรอิ
“บอกตรง ๆ ผมไม่ค่อยอยากถามคุณเลย มันไม่ถนัดปากยังไงไม่รู้ คิดว่าเวลาตอบคนไข้คุณคงไม่ตะคอกไร้น้ำเสียงเหมือนเวลาตอบตำรวจหรอกนะ เมื่อวานคุณไปไหนครับ”
“เมื่อวานวันอาทิตย์เป็นวันหยุด ดิฉันจึงเข้าเมืองไปซื้อยามาเก็บตุนไว้”
“ธุระแค่นั้นคงไม่ต้องใช้เวลาจนถึงรถเที่ยวสุดท้าย อยากให้คุณพยาบาลช่วยแจงรายละเอียดให้ฟังหน่อยครับ”
“ซื้อยาแล้วก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปค่ะ เวลามาเที่ยวเมืองในภูเขาลึกอย่างนี้ใคร ๆ เขาก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยกันทั้งนั้น”
“ก็จริงอยู่ เวลาคุณพูดอะไรรู้สึกว่ามันจะจริงไปทั้งนั้น นับถือเลยครับ”
สารวัตรเหยี่ยวถามตอบอย่างชาญฉลาดระหว่างสอบปากคำอย่างละเอียด เพื่อให้ได้หลักฐานยืนยันการอยู่ในเมือง N เมื่อวานนี้ของแต่ละคน ผลสุดท้ายมีเคียวโกะคนเดียวที่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน นางคิโซโนะเมียทนายบอกว่านางไปจับจ่ายซื้อของหลายอย่างและสนทนาหยอกล้อกับคนขาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนคุ้นหน้ากัน ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าจำไม่ได้นางก็จะไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันคำให้การนั้น
นางพยาบาลโมโรอิมาถึงเมือง N ด้วยรถประจำทางเที่ยวที่สองเมื่อเวลา 12.30 น. ไปซื้อยาที่ร้านขายยาซึ่งอยู่ตรงสุดทางรถประจำทาง และกลับคฤหาสน์ด้วยรถเที่ยวที่ออกจากเมือง N เมื่อเวลา 14.30 น. นางให้การว่าเมื่อรถประจำทางมาถึงเมือง N สิ่งแรกที่ทำคือเอาใบสั่งซื้อไปยื่นที่ร้านขายยา เสร็จแล้วจึงเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปในเมืองและกลับมารับห่อยาที่ร้านขายยาเตรียมไว้ให้ก่อนรถเที่ยว 14.30 น.จะออก นางพยาบาลโมโรอิไม่มีหลักฐานยืนยันที่อยู่ในช่วงสองชั่วโมงที่นางให้การว่าเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมือง N
ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะร้ายกาจที่สุดก็คือโมคุเบซึ่งให้การว่า ขึ้นรถประจำทางเที่ยวแรกจากหมู่บ้านมาถึงเมือง N เมื่อเวลา 10.30 น. และเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นั่นจนถึง 17.00 น.ซึ่งเป็นเวลาที่รถเที่ยวสุดท้ายออกจากเมือง N กลับหมู่บ้าน
“หกชั่วโมงครึ่งนะครับคุณโมคุเบ ระหว่างช่วงเวลานานขนาดนั้น ผมว่าน่าจะมีใครสักคนที่คุณคุยด้วยที่ไหนสักแห่งจำหน้าคุณได้”
“สารวัตรพูดตามทฤษฎีสามัญสำนึกกระมังครับ แต่มนุษย์เราแต่ละคนมีความเคยชินจนเป็นนิสัยต่างกันออกไป จะให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกรอบเห็นจะไม่ได้ เวลาเดินทางไปต่างถิ่นที่ไม่รู้จักมาก่อน ความทรงจำก็จะมีประมาณถนนหนทาง บ้านเรือน ป่าเขา และวัดวาอารามเท่านั้น ไม่ปะติดปะต่อกันเป็นภาพรวม จะมาถามว่าอะไรอยู่ตรงไหน เลี้ยวมุมถนนตรงนั้นแล้วเจออะไร ถนนนั้นนี้อยู่ถัดไปจากถนนอะไร คงไม่มีทางตอบได้ ผมเองก็เป็นแบบนั้นเข้าเมืองที่ก็เพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ที่จะไม่มีการหยุดสนทนาอะไรกับใครเป็นเรื่องเป็นราว อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนที่อยู่อย่างต้องคอยระวังหาหลักฐานยืนยันว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเวลาใดทุกวี่ทุกวัน นี่ถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ผมก็คงจะสร้างหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองไว้แล้วละคุณ”
สารวัตรเหยี่ยวพยักหน้าแล้วถามต่อ
“คุณโมคุเบครับ คุณพบคนรู้จักบนรถเมล์เที่ยวแรกบ้างหรือเปล่า”
“ไม่พบเลยครับ ความจริงผมไม่รู้จักใครที่หมู่บ้านนั้นสักคน ขึ้นไปบนรถก็ไม่ได้สังเกตเพราะตามปกติผมไม่มองหน้าใครอยู่แล้ว”
“คุณไม่ได้ไปกับหมอเอบิสึกะหรอกหรือครับ”
“เปล่าครับ” โมคุเบตอบ
“อ้าวแล้วหมอเอบิสึกะไปยังไงล่ะ รถเมล์เที่ยวสองเห็นมีแต่คุณเคียวโกะ คุณคิโซโนะ และคุณพยาบาลโมโรอิ”
หมอเอบิสึกะทำหน้าเหมือนรำคาญว่าพูดอะไรกันไร้สาระแต่ก็ยังตอบ
“ผมไปรถเมล์เที่ยวที่สาม”
“รถเที่ยวที่สามออกกี่โมงครับ”
หมอเอบิสึกะไม่ตอบสารวัตรจึงหยิบตารางเวลารถเมล์ออกมาดู
“เข้าใจละ หมอเอบิสึกะขึ้นรถเที่ยวที่ออกจากหมู่บ้าน 12.40 น. ถึงเมือง N 14.30 น.”
สารวัตรเหยี่ยวซักได้ความจนเป็นที่พอใจแล้วจึงย่นย่อการสอบปากคำนายแพทย์ขวางโลกเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วหันมาทางคาซุมะ
[ตัวละครในเรื่องที่ตายไปแล้ว 7 คน]
วานิ โมจิซึกิ แขกรับเชิญของทามาโอะ
อุตางาวะ ทามาโอะ ลูกสาวอุตางาวะ ทามอน น้องของคาซุมะ
อากิระ อุสึมิ กวีหลังค่อมแขกรับเชิญของทามาโอะ
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกสาวนางยูระ นางุโมะอาของคาซุมะ
คาโยโกะลูกสาวอุตางาวะ ทามอนเกิดจากหญิงรับใช้
อุตางาวะ ทามอน
อุสึงิ อากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ อยู่กับโมคุเบ
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
หน้าศาลเจ้ามิวะมีลำธารไหลผ่านแต่ก่อนเวลาน้ำหลากมาก ๆ ก็จะไหลล้นเข้าไปสระมิวะด้วย เดิมทีแหล่งน้ำของลำธารนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของน้ำที่พุขึ้นจากใต้ดินซึ่งตามปกติจะมีประมาณมากอยู่แล้ว เมื่อไหลผ่านศาลเจ้ามิวะไปได้นิดหนึ่งก็จะเลี้ยวไปกระโจนลงสู่หุบเหวเกิดเป็นแอ่งน้ำตกลึกล้ำมีพื้นที่กว่าสามร้อยตารางเมตร สี่ด้านเป็นหน้าผาสูงชัน เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจะสะท้อนผิวน้ำสีเขียวหยกให้ดูลึกลับอย่างน่าพิศวง แม้น้ำจะดูนิ่งแต่ความจริงแล้วมีวังวนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ทำให้ไม่สามารถเล่นน้ำหรือตกปลา
ศพคุณนายอากิโกะในชุดกิโมโนลอยอยู่บนผิวน้ำหมุนช้า ๆ ไปตามกระแสน้ำในวังวน
มองไปรอบ ๆ แล้วดูเหมือนจะถูกผลักตกลงมาจากหน้าผาสูงชัน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะยืนยันได้ว่าไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวตาย บริเวณหน้าผาพื้นดินแห้งดีแต่ภูเขาแถบนี้มักมีฝนตกตอนเช้าและช่วงพลบค่ำ ตอนเย็นวันที่ 3 สิงหากับเช้าวันที่ 4 ชาวบ้านบอกว่าฝนตกค่อนข้างหนัก ถึงจะมีรอยเท้าหรือร่องรอยการต่อสู้อยู่บนหน้าผาก็คงถูกฝนชะหายไปหมด ตำรวจจึงไม่พบหลักฐานอะไรเลย
ศพคุณนายอากิโกะที่พบเมื่อเช้าตรู่วันที่ 4 ถูกนำไปที่วัดโซรินจิ แพทย์นิติเวชมาผ่าชัณสูตรศพเสร็จเมื่อเย็นมากแล้ว ผลการตรวจภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะปรากฏว่า คุณนายคงจะถูกฆ่าหลังจากกินอาหารแล้วราวสามชั่วโมงถึงสามชั่วโมงครึ่ง
ความเป็นระเบียบในห้องกินข้าวของคฤหาสน์หย่อนยานลงไปมาก เพราะระยะนี้หลายคนจะออกไปข้างนอกกันตั้งแต่เช้า ทำให้จำนวนสมาชิกของห้องกินข้าวและเวลาที่เข้ามากินอาหารกันไม่คงที่ ถ้าจะให้ทันรถประจำทางเที่ยวแรกขนาดผู้ชายที่เดินเร็ว ๆ ยังต้องออกจากคฤหาสน์อุตางาวะตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง ดังนั้นเวลากินอาหารเช้าจึงต่างกันออกไป
ทว่าวันที่ 3 เมื่อวานนี้ คุณนายอากิโกะกินอาหารเช้าพร้อมกับผม เคียวโกะ ทนายคามิยามะและภรรยา ดาราดวงเด่นโคโจก็อยู่ด้วย ทนายคามิยามะซึ่งน่าจะรู้เวลาเที่ยงตรงดีกลับลืมดูนาฬิกาเรือนที่ตนภาคภูมิใจเสียอย่างนั้น ส่วนผมจำได้คร่าว ๆ ว่าราวเจ็ดโมงครึ่ง ตำรวจสันนิษฐานจากผลการชัณสูตรศพและสอบปากคำได้ว่า คุณนายถูกฆาตกรรมเมื่อประมาณ 10.30 น. ถึง 11.00 น.
หลังอาหารเย็นวันที่ 4 สารวัตรเหยี่ยวเรียกพวกเรา พร้อมทั้งหมอเอบิสึกะ นางพยาบาลโมโรอิ สาวใช้ชิซุเอะ และคนอื่น ๆ มารวมตัวกันที่ห้องใหญ่
“ผมลำบากใจจนอยากจะฆ่าตัวตายเสียเองเลยครับที่ต้องมารบกวนขอความร่วมมือจากทุกท่านไม่รู้จบสิ้นอย่างนี้ แต่ก็ขอให้อดทนให้ความร่วมมือกับตำรวจอีกครั้งเถิดครับ กรณีของคุณนายอากิโกะตำรวจไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือว่าถูกใครฆ่า แต่ในชั้นแรกนี้การมองว่าเป็นเหตุฆาตกรรมน่าจะสมเหตุสมผลกว่า ทำไมน่ะหรือครับ...คือโดยทั่วไปคนที่ฆ่าตัวตายนั้นจะต้องมีจุดมุ่งหมายอะไรหรือทำลงไปเพราะใคร ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็เดินมาแล้วกระโดดลงไปจากหน้าผา ที่เห็น ๆ มาจะถอดรองเท้าหรือไม่ก็วางของที่ถือติดตัวมาเอาไว้ก่อนกระโดด บางกรณีอย่างของคุณนายอากิโกะที่ใส่กิโมโน ก็จะจัดกิโมโนให้เข้าที่แล้วใช้แถบผ้าหรืออะไรผูกรัดเอาไว้กับขาตัวเองเพื่อไม่ให้ถลกขึ้นมาน่าเกลียด แต่ผมไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไปนะครับ ถึงจะตกลงจากหน้าผาทั้ง ๆ ที่ใส่รองเท้าพร้อมกระเป๋าถืออย่างนั้น เราก็ฟันธงลงไปไม่ได้ว่าคุณนายถูกฆาตกรรม แต่เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังหลายคดีที่ยังคลี่คลายไม่ได้เลยสักรายเดียวในคฤหาสน์แห่งนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เราจะต้องสืบสวนไปในแนวคดีฆาตกรรมอีกรายหนึ่งครับ”
สารวัตรเหยี่ยวเกริ่นก่อนเข้าเรื่องด้วยสำนวนที่เป็นทางการขึ้นทุกที “ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอดำเนินการสืบสวนตามขั้นตอนต่อไป คือก่อนอื่นจำเป็นต้องขอทราบที่อยู่ของแต่ละท่านเมื่อวาน หวังว่าจะได้รับความกรุณาจากทุกท่าน” นายตำรวจลงท้ายด้วยสำนวนสุภาพอ่อนน้อมราวกับเจ้าของร้านขายผักผลไม้พูดกับลูกค้า คงจะจับเส้นพวกเราถูกแล้วว่าไม่ชอบให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาวางก้ามทำอำนาจ
“ผมขอถามตามลำดับโดยเริ่มที่คุณโมคุเบเป็นคนแรก เมื่อวานดูเหมือนว่าคุณจะอยู่ที่เมือง N ตลอดทั้งวัน”
มิยาเกะ โมคุเบพยักหน้า
“วันนั้นผมขอให้เมียเจ้าของร้านสึโบเฮจัดอาหารเช้าให้เร็วหน่อยแล้วก็ออกจากบ้านไปก่อนเจ็ดโมงครึ่ง ขึ้นรถประจำทางเที่ยวแรกเข้าเมืองและกลับมาด้วยรถเที่ยวสุดท้ายครับ”
“วันนั้นคุณเห็นภรรยามีอากัปกิริยาอะไรที่แปลกจากธรรมดาบ้างหรือเปล่า”
“ในสายตาของผมเจ้าหล่อนทำอะไรแปลกอยู่บ่อย ๆ อันที่จริงถึงจะอยู่บ้านเดียวกันแต่เราก็แยกกันอยู่ มาที่นี่ก็พักแยกห้องกันครับ ใคร ๆ ที่นี่รู้กันดีว่าเจ้าหล่อนไปมีอะไรกับนายวานิหน้าตาเฉยโดยไม่เห็นหัวผม ผู้หญิงคนนี้ร่านถึงขนาดจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เกินสามวันถ้าไม่ได้เสพสุขกับผู้ชาย ก็จินตนาการกันเอาเองเถิดนะครับ ผมเองก็ไม่ได้เป็นตรวจสอบยืนยันความจริงอะไรนอกจากดูเอาจากพฤติกรรม การที่ผมกับเจ้าหล่อนไม่ได้อยู่กันอย่างสามีภรรยากันโดยพฤตินัยอย่างที่บอก ก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดแล้วใช่ไหมครับว่าเจ้าหล่อนไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น"
“หมายความว่าในชีวิตประจำวัน คุณกับคุณนายไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเลยอย่างนั้นหรือครับ”
“ไม่มีเลยครับ ห่างเหินกันยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก...ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่คนแปลกหน้า ต้องพูดว่าศัตรูจึงจะถูก เพราะมันอยู่ในภาวะที่ต้องห้ำหั่นกันเหมือนอยู่ในสมรภูมิ”
“อย่างนี้นี่เอง เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ป่านนี้ยังลืมกันไม่ลง ว่าแต่คุณทั้งสองไม่ตั้งใจจะทำสัญญาสันติภาพกันเลยหรือครับ”
“ไม่เลยครับ กรณีของผมมันคือเวรกรรมแตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศชาติอาจยั่งยืนไปชั่วนิรันดร์กาล แต่ชีวิตมนุษย์เราก็แค่ห้าสิบปีเท่านั้นไม่จำเป็นต้องไปทำสัญญาสันติภาพอะไรกับคนที่เรารังเกียจ จะว่าไปผมกับเจ้าหล่อนก็เหมือนคนที่หย่าร้างกันแล้วนั่นเองแหละครับ”
“ถึงปากจะพูดอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกว่าคุณยังตัดเยื่อใยไม่ขาด ไม่สมกับเป็นชายชาตรีสักเท่าไหร่”
ปิก้าสอดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
“เยื่อใยนั้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่ในอาณาจักรของผู้หญิง แต่พอผู้ชายอย่างคุณจะมีเยื่อใยกับเขาบ้างมันก็มีของแถมพ่วงมา นั่นก็คือความหยิ่งผยองและความหลงใหลได้ปลื้มในตัวเอง คิดว่าเมียเป็นทาสช่วงใช้คิดว่าเป็นสิ่งของ ไม่ผิดอะไรกับ เจ้าขุนมูลนายโง่ ๆ คนหนึ่ง คุณนายคงไม่ทนหรอกเพราะเขาเองเป็นถึงนักประพันธ์สตรีมีชื่อ จึงไม่แปลกอะไรที่จะก่อการขบถ คุณจะอิจฉาตาร้อนก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่การมาประจานเมียต่อหน้าคนอื่นว่าขาดผู้ชายไม่ได้เกินสามวันอย่างนี้ มันแสดงถึงสันดานต่ำทรามครับ ไม่นึกเลยว่าคุณจะไร้ศักดิ์ศรีน่ารังเกียจเป็นที่สุดอย่างนี้ แย่เกินคุณนายไปหลายขุม”
โมคุเบคาเขียวปั้ดด้วยความโกรธ ปากคอสั่นไม่อาจหาคำพูดมาต่อกรได้ทัน สารวัตรเหยี่ยวได้ช่องจึงตัดบทเข้าเรื่องเดิม
“ถ้าอย่างนั้นคุณโมคุเบก็ไม่รู้ซิครับว่าวันนั้นคุณนายวางแผนทำอะไรบ้าง”
“ไม่รู้เลยครับ”
“คุณโมคุเบมีเพื่อนอยู่ที่เมือง N หรือครับ”
“ไม่มีหรอกครับ แค่เบื่อขึ้นมาก็เลยขึ้นรถเข้าเมืองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไร แวะร้านหนังสือและพูดอะไรหยอกล้อเจ้าของร้านนิดหน่อย อ้อ...แล้วก็ซื้อนิตยสารมาเล่มหนึ่ง ก็แค่นั้น ถ้าเจ้าของร้านหนังสือจำหน้าผมไม่ได้ ผมก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันครับ”
“คุณบอกว่าไม่มีจุดหมายอะไรแต่ก็ออกไปแต่เช้าเพื่อให้ทันรถประจำทางเที่ยวแรก ผมขอถามทุกท่านว่าเวลาไปเมือง N ใคร ๆ ที่คฤหาสน์แห่งนี้จะต้องขึ้นรถประจำทางเที่ยวแรกกันทุกคนไปอย่างนั้นหรือครับ”
เมื่อไม่มีใครตอบ นางคิโซโนะเมียทนายจึงบอกว่า
“เมื่อวานดิฉันก็ไปเมือง N เหมือนกันแต่ไปรถเมล์เที่ยวสอง เพราะพวกผู้หญิงอย่างเราจะเข้าเมืองทีต้องเตรียม อะไร ๆ หลายอย่างและก็เดินช้ากว่าพวกผู้ชายเขา ส่วนใหญ่ก็จะไปรถเมล์เที่ยวสองค่ะ เมื่อวานดิฉันไปกับคุณเคียวโกะและพบคุณพยาบาลโมโรอิที่ป้ายรถเมล์ เราสามคนลงรถที่ถนนไทโชในเมือง N ดิฉันแยกกับคุณเคียวโกะที่นั่นแล้วก็ไปเดินซื้อของและทำอะไร ๆ มาพบกับคุณเคียวโกะอีกทีโดยบังเอิญตอนจะขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้าย คุณโมคุเบก็ขึ้นมาด้วยกันค่ะ”
“คุณเคียวโกะก็ไปซื้อของหรือครับ”
“เปล่าค่ะ ดิฉันไปหาเพื่อนที่เป็นภรรยาเจ้าของร้านกิโนโนชื่อฮมมะ เราเป็นเพื่อนกันช่วงสองสามปีก่อนที่ดิฉันอาศัยอยู่แถวนี้ค่ะ เมื่อวานดิฉันอยู่กับเพื่อนคนนี้ทั้งวัน”
สารวัตรพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปทางนางพยาบาลโมโรอิ
“บอกตรง ๆ ผมไม่ค่อยอยากถามคุณเลย มันไม่ถนัดปากยังไงไม่รู้ คิดว่าเวลาตอบคนไข้คุณคงไม่ตะคอกไร้น้ำเสียงเหมือนเวลาตอบตำรวจหรอกนะ เมื่อวานคุณไปไหนครับ”
“เมื่อวานวันอาทิตย์เป็นวันหยุด ดิฉันจึงเข้าเมืองไปซื้อยามาเก็บตุนไว้”
“ธุระแค่นั้นคงไม่ต้องใช้เวลาจนถึงรถเที่ยวสุดท้าย อยากให้คุณพยาบาลช่วยแจงรายละเอียดให้ฟังหน่อยครับ”
“ซื้อยาแล้วก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปค่ะ เวลามาเที่ยวเมืองในภูเขาลึกอย่างนี้ใคร ๆ เขาก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยกันทั้งนั้น”
“ก็จริงอยู่ เวลาคุณพูดอะไรรู้สึกว่ามันจะจริงไปทั้งนั้น นับถือเลยครับ”
สารวัตรเหยี่ยวถามตอบอย่างชาญฉลาดระหว่างสอบปากคำอย่างละเอียด เพื่อให้ได้หลักฐานยืนยันการอยู่ในเมือง N เมื่อวานนี้ของแต่ละคน ผลสุดท้ายมีเคียวโกะคนเดียวที่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน นางคิโซโนะเมียทนายบอกว่านางไปจับจ่ายซื้อของหลายอย่างและสนทนาหยอกล้อกับคนขาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนคุ้นหน้ากัน ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าจำไม่ได้นางก็จะไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันคำให้การนั้น
นางพยาบาลโมโรอิมาถึงเมือง N ด้วยรถประจำทางเที่ยวที่สองเมื่อเวลา 12.30 น. ไปซื้อยาที่ร้านขายยาซึ่งอยู่ตรงสุดทางรถประจำทาง และกลับคฤหาสน์ด้วยรถเที่ยวที่ออกจากเมือง N เมื่อเวลา 14.30 น. นางให้การว่าเมื่อรถประจำทางมาถึงเมือง N สิ่งแรกที่ทำคือเอาใบสั่งซื้อไปยื่นที่ร้านขายยา เสร็จแล้วจึงเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปในเมืองและกลับมารับห่อยาที่ร้านขายยาเตรียมไว้ให้ก่อนรถเที่ยว 14.30 น.จะออก นางพยาบาลโมโรอิไม่มีหลักฐานยืนยันที่อยู่ในช่วงสองชั่วโมงที่นางให้การว่าเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมือง N
ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะร้ายกาจที่สุดก็คือโมคุเบซึ่งให้การว่า ขึ้นรถประจำทางเที่ยวแรกจากหมู่บ้านมาถึงเมือง N เมื่อเวลา 10.30 น. และเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นั่นจนถึง 17.00 น.ซึ่งเป็นเวลาที่รถเที่ยวสุดท้ายออกจากเมือง N กลับหมู่บ้าน
“หกชั่วโมงครึ่งนะครับคุณโมคุเบ ระหว่างช่วงเวลานานขนาดนั้น ผมว่าน่าจะมีใครสักคนที่คุณคุยด้วยที่ไหนสักแห่งจำหน้าคุณได้”
“สารวัตรพูดตามทฤษฎีสามัญสำนึกกระมังครับ แต่มนุษย์เราแต่ละคนมีความเคยชินจนเป็นนิสัยต่างกันออกไป จะให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกรอบเห็นจะไม่ได้ เวลาเดินทางไปต่างถิ่นที่ไม่รู้จักมาก่อน ความทรงจำก็จะมีประมาณถนนหนทาง บ้านเรือน ป่าเขา และวัดวาอารามเท่านั้น ไม่ปะติดปะต่อกันเป็นภาพรวม จะมาถามว่าอะไรอยู่ตรงไหน เลี้ยวมุมถนนตรงนั้นแล้วเจออะไร ถนนนั้นนี้อยู่ถัดไปจากถนนอะไร คงไม่มีทางตอบได้ ผมเองก็เป็นแบบนั้นเข้าเมืองที่ก็เพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ที่จะไม่มีการหยุดสนทนาอะไรกับใครเป็นเรื่องเป็นราว อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนที่อยู่อย่างต้องคอยระวังหาหลักฐานยืนยันว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเวลาใดทุกวี่ทุกวัน นี่ถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ผมก็คงจะสร้างหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองไว้แล้วละคุณ”
สารวัตรเหยี่ยวพยักหน้าแล้วถามต่อ
“คุณโมคุเบครับ คุณพบคนรู้จักบนรถเมล์เที่ยวแรกบ้างหรือเปล่า”
“ไม่พบเลยครับ ความจริงผมไม่รู้จักใครที่หมู่บ้านนั้นสักคน ขึ้นไปบนรถก็ไม่ได้สังเกตเพราะตามปกติผมไม่มองหน้าใครอยู่แล้ว”
“คุณไม่ได้ไปกับหมอเอบิสึกะหรอกหรือครับ”
“เปล่าครับ” โมคุเบตอบ
“อ้าวแล้วหมอเอบิสึกะไปยังไงล่ะ รถเมล์เที่ยวสองเห็นมีแต่คุณเคียวโกะ คุณคิโซโนะ และคุณพยาบาลโมโรอิ”
หมอเอบิสึกะทำหน้าเหมือนรำคาญว่าพูดอะไรกันไร้สาระแต่ก็ยังตอบ
“ผมไปรถเมล์เที่ยวที่สาม”
“รถเที่ยวที่สามออกกี่โมงครับ”
หมอเอบิสึกะไม่ตอบสารวัตรจึงหยิบตารางเวลารถเมล์ออกมาดู
“เข้าใจละ หมอเอบิสึกะขึ้นรถเที่ยวที่ออกจากหมู่บ้าน 12.40 น. ถึงเมือง N 14.30 น.”
สารวัตรเหยี่ยวซักได้ความจนเป็นที่พอใจแล้วจึงย่นย่อการสอบปากคำนายแพทย์ขวางโลกเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วหันมาทางคาซุมะ
[ตัวละครในเรื่องที่ตายไปแล้ว 7 คน]
วานิ โมจิซึกิ แขกรับเชิญของทามาโอะ
อุตางาวะ ทามาโอะ ลูกสาวอุตางาวะ ทามอน น้องของคาซุมะ
อากิระ อุสึมิ กวีหลังค่อมแขกรับเชิญของทามาโอะ
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกสาวนางยูระ นางุโมะอาของคาซุมะ
คาโยโกะลูกสาวอุตางาวะ ทามอนเกิดจากหญิงรับใช้
อุตางาวะ ทามอน
อุสึงิ อากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ อยู่กับโมคุเบ