xs
xsm
sm
md
lg

คุณนายไข่มุก ตอนที่ 13 เจ้าหล่อนผู้แสนจะเปราะบาง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"

1

คำที่รุริโกะชมเชยคะสึฮิโกะซึ่งไม่มีใครในห้องนั้นฟังออกว่าทีเล่นหรือทีจริงนั้น สำหรับนายโชดะมันคือคำพูดที่ลบหลู่หยามน้ำหน้าเขาอย่างรุนแรง อารมณ์โกรธและริษยาพลุ่งขึ้นมาสุดขีดจนแทบจะขว้างถ้วยข้าวและตะเกียบในมือใส่หน้าเจ้าหล่อน ทว่าแม้ปากจะพรั่งพรูคำพูดบาดหูบาดใจ แต่พอเห็นใบหน้าผ่องใสกระจ่างราวท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วงที่เจิดจ้าในยามนี้แล้ว มือของชายร่างใหญ่ก็อ่อนปวกเปียกลง อย่าว่าแต่ขว้างปาถ้วยข้าวหรือตะเกียบออกไปเลย แม้แต่จะเอื้อมนิ้วสักนิ้วไปแตะต้องก็ยังทำไม่ได้

นายโชดะได้แต่คิดพลุ่งพล่านอยู่ในใจว่า หากปล่อยไว้เช่นนี้นับวันรุริโกะกับคะสึฮิโกะลูกชายด้อยปัญญาของเขาจะยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นทุกวัน และเขาก็จะทุกข์ระทมขึ้นยิ่งขึ้นเพียงนั้น นายโชดะตัดสินใจในบัดดลนั้นว่าจะต้องแยกทั้งคู่ออกจากกันให้ได้ อย่างน้อยก็จนกว่าเขากับรุริโกะจะได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ ตามพฤตินัย

“ฮะ ฮะ ฮะ” อยู่ ๆ ชายร่างใหญ่ก็หัวเราะเสียงดังออกมา “ตามใจ...ถ้าเธอชอบเจ้าคนบ๊อง ๆ อย่างนั้นก็พากันไปเถอะ อย่างเธอนี่เขาเรียกว่าคนหัวรั้นละรู้เอาไว้ ฮะ ฮะ ฮะ”

นายโชดะอัดกลั้นความริษยาและโทสะลงไปไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ พลางหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไร

“ขอบคุณมากค่ะ ที่อนุญาตให้เราไปด้วยกันในที่สุด”

รุริโกะยิ้มหวานใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตอนนั้นเองที่นายโชดะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ทันควัน

“ใช่...ใช่ ฉันลืมบอกเธอไปว่า ระยะนี้ฉันรู้สึกมึน ๆ หัวยังไงไม่รู้ เมื่อวันเลยไปให้หมอคนโดตรวจ หมอบอกว่าเป็นอาการที่เกิดจากความเครียดก็เลยแนะนำให้ไปพักผ่อนตากอากาศแถวชายทะเล มาคิดดูก็เห็นจริงด้วยว่าควรพักผ่อนเสียหน่อย เพราะตั้งแต่เดือนกรกฏาคมมานี่ฉันยุ่งมากกับการก่อตั้งบริษัทใหม่ ต้องวิ่งไปโน่นไปนี่ไม่ได้หยุดแทบทุกวัน ขนาดมั่นใจว่าตนเองมีพลังเหลือเฟือก็ยังเครียดจนออกอาการได้เหมือนกัน ความจริงมันก็แค่สมองเครียดไม่มีอะไรมาก แต่ก็อยากทิ้งงานไปพักผ่อนนอนเล่นที่ฮะยะมะสบาย ๆ สักเดือนหนึ่ง ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ไกลพอจะเดินทางไปมาทำงานที่โตเกียวทุกวันได้ ฉันอยากให้เธอไปด้วยจริง ๆ “

นายโชดะลงท้ายด้วยคำเน้นย้ำที่รุริโกะยากจะปฏิเสธ

“ไปฮะยะมะ”

หญิงสาวอุทานแล้วนิ่งไปเพราะหาคำมาพูดต่อไม่ทัน

“ใช่...ฮะยะมะ เมื่อฤดูใบไม้ผลิต้นปีนี้ฉันซื้อบ้านพักตากอากาศที่ฮะยะมะจากท่านสมาชิกสภาขุนนางฮะยะชิ ตั้งแต่ซื้อมาฉันไปพักแค่สองสามครั้ง และมินะโกะเพิ่งไปหลบร้อนมาเมื่อฤดูร้อนปีนี้เอง ฤดูใบไม้ร่วงอย่างตอนนี้ที่นั่นน่าจะเงียบดี ฉันเลยอยากไปพักผ่อนให้สบายใจเสียหน่อย”

นายโชดะพูดเสียงเรียบ ๆ เหมือนกับว่าการไปพักผ่อนที่ฮะยะมะไม่มีความหมายอะไร แต่รุริโกะอ่านความคิดที่ไม่ชอบมาพากลที่แฝงอยู่ในส่วนลึกของคำพูดของเขาได้ชัดเจน ใช่ละซี...เมื่อไปอยู่กันสองต่อสองที่ฮะยะมะ...อะไรจะเกิดขึ้น...มันแน่เสียยิ่งกว่าแน่ แต่รุริโกะหยิ่งเกินกว่าจะคิดหนี และคิดท้าทายอยู่ในทีว่า ไม่ว่าจะตกไปอยู่ในอันตรายชนิดไหนเธอจะปกป้องตนเองเอาตัวรอดให้ดู

เธอไม่แสดงท่าทีหวั่นไหวเลยสักนิดแต่กลับบอกด้วยสีหน้าแจ่มใสว่า

“ดีค่ะ ดิฉันเองก็ชอบใช้ชีวิตเงียบ ๆ แบบนั้นเหมือนกัน”

“อย่างนั้นรึ ขอบใจนะที่เธอตกลงไปกับฉัน”

นายโชดะบอกด้วยความยินดีจากใจจริง เพราะถ้ารุริโกะไปฮะยะมะกับเขา นอกจากจะแยกเจ้าหล่อนจาก คะสึฮิโกะได้แล้ว ยังจะมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองถ้าไม่นับคนรับใช้ที่ตามไป บ้านพักตากอากาศแห่งนั้นเป็นเรือนญี่ปุ่นที่ไม่มีห้องแบบฝรั่งเลย และเมื่อเขาได้ครองกายของรุริโกะผู้เย่อหยิ่งคนนี้สำเร็จ เจ้าหล่อนก็จะไม่ผิดอะไรกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไร้พิษสงคนหนึ่งเท่านั้น

หญิงพรหมจรรย์ทั่วไปแม้จะไม่ชอบหน้าชายที่ถูกบังคับให้เป็นคู่ครองเพียงใด แต่พอแต่งงานกันแล้วก็เห็นเกาะแขนสามีกันแจทั้งนั้น รุริโกะก็เช่นกัน ถ้าเขาพิชิตร่างกายเจ้าหล่อนได้ครั้งหนึ่งแล้ว ต่อจากนั้นเจ้าหล่อนก็อาจกลายเป็นหญิงที่แสนจะเปราะบางคนหนึ่ง นายโชดะคิดของเขาอย่างนั้น

“ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะเลย ดิฉันจะได้ไปซื้อข้าวของที่จำเป็นที่ห้างมิสึโคะชิสำหรับเอาไปใช้ที่นั่น”

รุริโกะบอกอย่างกระตือรือร้น ร่าเริงแจ่มใสไม่เหมือนคนที่รู้ตัวว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เต็มที
ตำหนักฮะยะมะ ที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิมาตั้งแต่สมัยเมจิมีชื่อเสียงจากการเป็นที่สวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิไทโช
2

ถ้าสามีเป็นที่รัก การไปฮะยะมะครั้งนี้ย่อมเป็นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่หวานฉ่ำ แต่ไม่ใช่สำหรับรุริโกะ การเดินทางจากโตเกียวไปอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับนายโชดะนั้นไม่ผิดอะไรกับการเดินไปสู่สุสาน คฤหาสน์ในโตเกียวยังดีที่มีหูมีตาผู้คนมากหน้าหลายตาคอยดูคอยฟัง ในส่วนตัวของนายโชดะเมื่อให้สัญญากันแล้วก็ไม่อาจกล้ำกรายล่วงล้ำเกินเส้น แต่ที่ฮะยะมะมันอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เท่าที่ผ่านมารุริโกะถือว่าเธออยู่เหนือมือศัตรูในการต่อสู้ เพราะเธอมีที่มั่นอันแข็งแกร่งแม้ว่าจะเล็กมากที่มีทหารยามชื่อคะสึฮิโกะคอยคุ้มครองด้วยความภักดีอย่างหัวปักหัวปำ แต่ที่ฮะยะมะรุริโกะไม่มีอะไรเลย เธอจะต้องสู้กับศัตรูด้วยมือเปล่าอย่างเดียว จะแพ้หรือชนะนั้นแล้วแต่สวรรค์จะบัญชา สิ่งที่จะทำได้อย่างเดียวตอนนี้คือต้องหันหน้าเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิตจนวินาทีสุดท้าย...รุริโกะคิดของเธออย่างนี้

รุริโกะจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต่าง ๆ สำหรับการใช้ชีวิตที่บ้านตากอากาศชายทะเล ทั้ง ๆ จิตใจว้าวุ่นไปด้วยความวิตกกังวลไม่สงบสุข เธอไม่ลืมซุกมีดสั้นด้ามหนึ่งไว้ก้นกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเสื้อผ้าและเครื่องสำอางเอาไว้เต็มเอี๊ยด เป็นการเตรียมตัวที่สำคัญที่สุดสำหรับการไปใช้ชีวิตตามลำพังสองต่อสองที่บ้านพักตากอากาศฮะยะมะ

มีดสั้นด้ามนี้คือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่รัฐบุรุษผู้สูงศักดิ์มอบให้ธิดาสุดที่รักเมื่อส่งตัวให้แก่ชายที่เขาเกลียดชังอย่างไม่มีใดเปรียบ

“มีดด้ามนี้เป็นของแม่ที่นำติดตัวมาเป็นมีดป้องกันตัวตามธรรมเนียมของเจ้าสาว ผู้หญิงสมัยโบราณจะพกมีดติดตัวไว้เสมอเพื่อปกป้องพรหมจารี ถ้ารุริออกเรือนไปธรรมดาอย่างคนอื่นเขาหนูก็ไม่จำเป็นต้องมี แต่การแต่งงานเช่นครั้งนี้รุริอาจจำเป็นต้องใช้ ขอให้ใช้มันป้องกันตัวให้รอดปลอดภัยด้วยเถิด”

คำพูดของท่านพ่ออาจฟังดูง่าย ๆ แต่ความหมายนั้นลึกล้ำนัก ตั้งแต่ได้มีดสั้นเล่มนี้มารุริโกะพกติดตัวไม่ห่างกาย เป็นสิ่งที่เธอเตรียมติดตัวเอาไว้เป็นอาวุธสุดท้ายของสุดท้ายในการต่อสู้ มีดเล่มนี้ช่วยให้เธอมีความกล้าที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตาม ช่วยให้เธอประจันหน้ากับชายร่างใหญ่โตทรงพลังอย่างนายโชดะได้โดยไม่พรั่นพรึงเลยแม่แต่ครั้งเดียว

คนที่ตกใจที่สุดเมื่อรู้ว่ารุริโกะจะจากโตเกียวไปชั่วระยะหนึ่งก็คือคะสึฮิโกะ พอเห็นหญิงสาวเริ่มเตรียมตัวเดินทางเขาก็บอกว่าจะไปด้วย แล้วลากกระเป๋าใบใหญ่ของบิดาออกมา จับเสื้อผ้าของตนยัด ๆ ลงไปอย่างไม่มีระเบียบจนเต็ม สุดท้ายยังไม่ลืมไปเอาอ่างตักน้ำอาบประจำตัวใส่ลงไปด้วย ทำเอาพวกคนรับใช้หัวเราะด้วยความขบขันไปตาม ๆ กัน เด็กหนุ่มบอกว่าไม่ยอมให้รุริโกะทิ้งเขาไว้ที่บ้านแล้วจากนั้นก็เดินตามติดรุริโกะอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว นายโชดะมองพฤติกรรมของลูกชายผู้ไม่เต็มเต็งของเขาอย่างขัดใจเต็มที

เช้าวันออกเดินทาง พอรู้ว่าตนจะถูกทิ้งไว้ที่บ้านคะสึฮิโกะก็อาละวาดใหญ่โตราวกับคนบ้า เท่าที่ผ่านมาเด็กหนุ่มผู้นี้จะเกิดอาการเหมือนคนบ้าแบบนี้ครั้งสองครั้งทุกปี ครั้งนี้พอเห็นรุริโกะกับบิดาก้าวขึ้นรถเขาก็วิ่งเท้าเปล่าลงมาที่รถแล้วพยายามกระชากประตูรถให้เปิดออก ทนายหน้าหอและเสมียนสามสี่คนเข้ามาช่วยกันจับตัวดึงออกมา แต่ก็ถูกสลัดกระเด็นออกไปคนละทางสองทางด้วยพละกำลังของคนที่กำลังบ้าคลั่ง แล้วยังเกาะติดอยู่กับรถยนต์ไม่ยอมปล่อย

ใจของรุริโกะสั่นไหวเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงความเด็ดเดี่ยวอย่างเอาเป็นเอาตายของคะสึฮิโกะ เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มด้อยปัญญาผู้นี้เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงที่คอยพันแข้งพันขานายของมันไม่มีห่างอยู่ตลอดเวลา

“ดูซิ...แกอยากไปถึงขนาดนี้ คุณจะไม่พาไปด้วยหรือคะ”

รุริโกะหันไปถามสามี เธอยิ้มหวานกับเขาแต่คราวนี้ไม่อาจห้ามรอยเย้ยหยันนิดไว้ได้ทัน

“บ้าน่า”

นายโชดะดุ แล้วโผล่หน้าออกไปสั่งบริวารเสียงเกรี้ยวกราด

“พวกนายไม่ต้องเกรงใจเลย ลากออกไปให้พ้น ถ้ายังอาละวาดอยู่ก็จับไปขังห้องไว้สักระยะหนึ่ง จัดคนไปคอยเฝ้าไว้ให้ดีด้วย เข้าใจนะ”

นายโชดะดูจนบริวารออกแรงดึงตัวคะสึฮิโกะออกไปพ้นตัวรถแล้ว จึงทำสัญญาณให้คนขับออกรถ

รุริโกะขยับตัวให้นั่งเข้าที่ระหว่างที่รถเริ่มเคลื่อนออกจากที่ เสียงร้องไห้โฮ ๆ ของคะสึฮิโกะดังตามหลังมาจนไกล

3
อากาศแจ่มใสสมกับอยู่ในฤดูใบไม้ร่วงระหว่างสองสามวันที่มาอยู่ฮะยะมะ ท้องฟ้าสีสวยเหนือภูเขาและท้องทะเลอย่างที่ไม่มีให้เห็นในโตเกียว ทะเลเรียบสงบแทบทุกวันนาน ๆ ทีจะได้ยินเสียงคลื่นซัดฝั่งแว่วมาเบา ๆ สีของทะเลจางลงไปจากสีเข้มในฤดูร้อนจนเป็นสีครามอ่อน ๆ มองไปไกล ๆ เห็นเทือกเขาอิซุอยู่ลาง ๆ

เมืองฮะยะมะในช่วงใกล้สิ้นเดือนตุลาคมเงียบเชียบ บ้านพักตากอากาศไม่ว่าบ้านไหนไม่มีคนมาพักปิดประตูสนิทกันทั้งนั้น บ้านพักตากอากาศของนายโชดะอยู่ติดทะเลใกล้กับพระตำหนัก พอออกจากประตูรั้วก็ถึงหาดทรายขาว เกลียวคลื่นทิ้งรอยและฟองคลื่นขาว ๆ เอาไว้เมื่อเคลื่อนคล้อยไปจากหาด

นายโชดะเดินทางจากฮะยะมะเข้าไปทำงานที่โตเกียวแทบทุกวัน ระหว่างที่สามีไม่อยู่รุริโกะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบโดยไม่มีใครสักคนมารบกวน

เธอออกไปเดินเล่นคนเดียวที่ชายหาดที่แทบไร้ผู้คน มองเงาของตนเองที่ทอดตัวเดียวดายอยู่บนพื้นทราย มองท้องทะเลที่กว้างไกลสุดขอบฟ้า มองท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วงที่ปลอดโปร่งแจ่มใสจนดูสูงลิ่วและกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าโลกมนุษย์เราชั่งต่ำต้อยด้อยค่าเสียจริง ยิ่งหันมามองตัวเองที่แต่งงานอย่างไร้ใจรักมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะแก้แค้น มันเหมือนเป็นการทำอะไรที่สิ้นคิดทำให้สิ้นหวังและทุกข์ทรมานใจ

ตั้งแต่มาอยู่ที่ฮะยะมะ ช่วงสามสี่วันแรกนายโชดะดูเหมือนจะพอใจที่สามารถพารุริโกะมาอยู่ในเขตปลอดภัยสำหรับเขาแล้ว ชายร่างใหญ่ทำตัวเป็นสามีที่ดี ตอนเย็นเมื่อกลับจากโตเกียวเขาไม่ลืมที่จะมีของขวัญหรืออาหารเลิศรสติดมือมาเอาใจรุริโกะทุกครั้ง

เย็นวันที่ห้าอากาศเริ่มไม่ดีมาตั้งแต่หลังเที่ยงเสียงคลื่นซัดฝั่งแรงขึ้นทุกที รุริโกะผู้ไม่คุ้นชินกับทะเลรู้สึกหวั่นใจเมื่อได้ยินเสียงคลื่นสูงโถมเข้าซัดชายฝั่ง พ่อเฒ่าคนเฝ้าบ้านมองกลุ่มเมฆดำที่เคลื่อนตัวลงต่ำเหนือท้องทะเลที่มืดครึ้มแล้วพร่ำบอกซ้ำหลายครั้ง “คืนนี้อาจมีพายุ”

ยิ่งบ่ายคล้อยลมก็ยิ่งแรงขึ้น ในทะเลที่ค่อย ๆ มืดลงมืดลงคลื่นใหญ่โยนตัวขึ้นด้วยกำลังแรงจนยอดคลื่นเป็นฟองขาวถาโถมตามกันเข้ามาเป็นระลอก รุริโกะมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปที่ทะเลด้วยความหวาดกังวล ลมแรงหอบทรายหมุนคว้างขึ้นไปแล้วปบ่อยให้กระเด็นมากระทบกระจกหน้าต่างกราวใหญ่

“ปิดประตูกันฝนเร็วเข้า”

รุริโกะกลัวจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่สั่งคนรับใช้ แล้วทรุดตัวลงนั่งตัวลีบอยู่ในห้องที่ปิดสนิททุกด้าน ภายใต้แสงจากดวงไฟที่วันนี้ดูสลัวลงอย่างประหลาด รุริโกะที่เก่งมากเวลาสู้กับมนุษย์ด้วยกันนั้น กลายเป็นผู้หญิงขี้ขลาดธรรมดาคนหนึ่งเมื่อมาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลเช่นนี้

บ้านที่สร้างบนฐานดินเปราะบางไม่มั่นคงบนชายหาดสั่นสะเทือนจนดูเหมือนว่าจะถูกพายุพัดหอบเอาไปเมื่อไรไม่รู้ คลื่นใหญ่ที่ซัดสาดชายฝั่งด้วยกำลังแรงเสียงดังสะท้อนสะเทือน จนน่าเกรงว่าจะถาโถมเข้ามากลืนกินบ้านหลังนี้เข้าไปในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

ตั้งแต่แต่งงานกันมา วันนี้เป็นวันแรกที่รุริโกะคอยการกลับมาของสามีอย่างใจจดใจจ่อ ตามปกติแค่คิดว่าสามีจะกลับมาเท่านั้นเนื้อตัวจะแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว อกใจเต้นระทึก แต่ไม่ใช่วันนี้
เพราะเธอกำลังรอคอยการกลับมาของเขา คิดที่จะยึดเอาแขนทั้งสองที่แข็งแกร่งราวเหล็กกล้าของเขาเป็นที่พึ่ง
ทะเลฮะยะมะวันพายุพัดจัด
การเดินทางด้วยรถยนต์จากที่จอดรถหน้าสถานีรถไฟซุชิ ผ่านถนนเลียบชายฝั่งกลับบ้านนั้นเป็นการเดินทางที่เสี่ยงอันตรายยามมีพายุและทะเลบ้าคลั่งเช่นนี้

“อากาศแปรปรวนแบบนี้ มาทางอะบุซุริจะเป็นอันตรายไหมนะ”

รุริโกะหลุดปากแสดงความเป็นห่วงใยออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ขณะที่กำลังปรารภกับคนรับใช้อยู่นั้นเอง พายุก็โหมกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรงจนตัวบ้านที่สร้างค่อนข้างแข็งแรงนั้นถึงกับสั่นสะเทือน กันสาดที่ยึดไว้กับพื้นดินด้วยสายโซ่ถูกลมแรงกระหน่ำเกิดเสียงเสียดสีกันอย่างน่ากลัวว่าสายโซ่จะหลุดจากที่ยึด
กำลังโหลดความคิดเห็น