บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
3
รุริโกะยืนเงี่ยหูฟังอยู่ยี่สิบนาทีก็แล้วสามสิบนาทีก็แล้ว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงบิดาเข้าห้องนอน ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแต่นิดเดียว ภายในห้องเงียบกริบ ถึงจะยืนอยู่นานแต่เด็กสาวก็ไม่รู้สึกเมื่อยหรือง่วง ที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะประสาทตื่นตัวเต็มที่ เสียงแมลงนานาชนิดในสวนกรีดปีกดังชัดเจนราวกับมากรีดอยู่ข้างหู
นาฬิกาในห้องชั้นล่างตีบอกเวลาสองยามดังกังวานขึ้นมาจากความมืดมิด ความอดทนอยู่กับความหวาดของ รุริโกะก็มาถึงที่สิ้นสุด เธอตกลงใจที่จะเข้าไปชวนให้บิดาเข้านอนเสียที ทำใจแล้วถึงจะต้องมีปากมีเสียงกันก็ยอม แต่พอเอื้อมมือไปบิดลูกบิดที่ทำด้วยกระเบื้องสีขาว รุริโกะก็ใจเต้นขึ้นมาทันที เพราะประตูที่ปกติเปิดเข้าไปได้ง่าย ๆ นั้นกลับติดกึก
“ท่านพ่อล็อกกุญแจห้อง”
รุริโกะตัวชาด้วยความตื่นตระหนก รู้สึกหนาวเย็นราวถูกน้ำแข็งราดลงมาทั่วตัว
”ท่านพ่อ” เธอลืมตัวตะโกนเรียกเสียงแหลมเกือบเป็นเสียงกรีดร้อง เสียงของรุริโกะดูเหมือนจะปลุกให้บิดาที่เงียบงันอยู่เนินนานรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง เพราะมีเสียงขยับตัวทำอะไรสักอย่าง
“ท่านพ่อ เปิดประตูให้รุริหน่อยเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
รุริโกะเรียกซ้ำหลายครั้งแต่ไม่มีคำตอบจากบิดา ยิ่งไม่ได้รับคำตอบเด็กสาวก็ยิ่งใจเสีย อกใจร้อนเร่าหวาดวิตก เธอผลักประตูสุดแรงจนลำแขนเรียวบางทั้งสองข้างแทบจะหักเป็นเปลาะ ๆ
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ เปิดประตูหน่อยเจ้าค่ะ”
รุริโกะกรีดเสียงเล็กแหลมราวบ้าคลั่ง ราวกับพี่สาวของทันตาจีล* ที่กรีดร้องราวบ้าคลั่งอยู่หน้าบานประตูเหล็กที่ปีศาจคร่าตัวน้องชายอันเป็นที่รักกของนางเข้าไปในนั้น
“ท่านพ่อ ทำไมล็อกประตูอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ ปิดประตูทำอะไรอยู่ เปิดเจ้าค่ะ เปิด”
แต่ไม่มีคำตอบ ยิ่งบิดาไม่ตอบรุริโกะก็ยิ่งตื่นตระหนกติดวาดภาพไปต่าง ๆ นา ๆ แล้วพอนึกขึ้นมาได้เธอก็ถลาออกไปที่เฉลียงและปราดไปยังหน้าต่าง แต่ก็หมดหวังเพราะหน้าต่างด้านที่เปิดออกไปทางเฉลียงนั้นติดลูกกรงแน่นหนา รุริโกะหันกลับไปที่ประตูห้องอีกครั้ง คราวนี้ระดมกำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิด หลับหูหลับตากระแทกร่างบอบบางนั้นเข้ากับบานประตูที่ปิดสนิท ได้ผลแค่ทำให้ร่างของเธอกระดอนกลับมาเท่านั้นเอง
รุริโกะกรีดเสียงเรียกจนลำคอแทบจะแตกเป็นสายเลือด
“ท่านพ่อ ทำไมไม่เปิดประตู ทำอะไรอยู่รึเจ้าคะ ทำอะไรนักหนาจนถึงกับทิ้งรุริให้อยู่คนเดียวอย่างนี้ หากท่านพ่อเป็นอะไรไปรุริก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ท่านพ่อ...รุริเสียใจมากนะเจ้าคะ เรามีกันอยู่แค่นี้มีอะไร อย่างน้อยท่านพ่อน่าจะบอกรุริไม่ใช่หรือเจ้าคะ ไม่ว่าอะไรก็ตามขอให้รุริรู้ด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ รุริจะเสียใจมาก”
ว่าพลางทุบประตู ผลักด้วยกำลังน้อยนิดที่มีอยู่ ในที่สุดก็ทรุดลงเอาแก้มแนบประตูร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงนั้นเอง
เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นราวใจจะขาดสะท้านสะเทือนไปทั่วคฤหาสน์เก่าทรุดโทรมท่ามกลางความมืดมิด
4
ไม่นาน รุริโกะก็ฟื้นตัวเข้มแข็งขึ้นมาได้อีกครั้งด้วยสำนึกที่ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาทำตัวเป็นผู้หญิงอ่อนแอเอาแต่ร้องไห้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงระดมกำลังทั้งหมดที่มีในร่างกายอันบอบบางนั้นไปที่ลำแขนทั้งสอง ผลักประตูบานใหญ่ที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กสุดแรงหมายให้พังลงกับตาแต่ก็ไม่ได้ดั่งใจ จึงทุ่มตัวเข้าชนเสียงดังสนั่น คราวนี้เหมือนเกิดปาฏิหารย์ ประตูที่ปิดสนิทอยู่แง้มออกเล็กน้อยทำให้รุริโกะเสียหลักถลาเข้าไปในห้องจนเกือบจะล้มลงไปกระแทกพื้น หากท่านพ่อของเธอไม่รับเอาไว้ก่อนด้วยแขนทั้งสองที่ยังแข็งแกร่งแม้จะย่างเข้าสู่วัยชรา
“ท่านพ่อ” รุริโกะอุทานเสียงแหลม แล้วซบหน้าลงกับอกของบิดา หัวใจเต้นแรงคลายจะเป็นลมอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพยายามระงับจิตใจอย่างลำบาก
พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที รุริโกะเห็นใบหน้าของบิดาอาบไปด้วยน้ำตา บนโต๊ะมีกระดาษเขียนข้อความที่ดูเหมือนจดหมายสั่งเสียหลายฉบับวางซ้อนกันอยู่
“รุริ หนูจะเวทนาพ่อก็ได้ พ่อตัดใจจบชีวิตตนเองไม่สำเร็จ พ่อกลายเป็นคนขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตาย เสียงของรุริทำให้พ่อล้มเลิกความตั้งใจจนหมดสิ้น พอคิดว่ารุริจะเศร้าเสียใจและเป็นทุกข์เพียงไรแล้ว พ่อก็ไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าจบชีวิตตนเอง”
เมื่อบิดาเห็นอารมณ์ของลูกสาวค่อยสงบลงแล้ว จึงเริ่มพูดด้วยเสียงเหมือนกระซิบ
“ท่านพ่อพูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้น อะไรกันที่ทำให้ท่านพ่อถึงขนาดบอกว่าตัดสินใจตายอย่างนี้”
“พ่ออายเหลือเกิน รุริอย่าถามได้ไหม พ่อหมดสิ้นศักดิ์ศรีเข้าหน้าลูกไม่ติดแล้วคราวนี้ พ่อหลงกลร้ายกาจของไอ้คนเจ้าเล่ห์จนถลำตกลงไปในหลุมพรางที่มันขุดดักไว้ ไม่ผิดอะไรกับหมาจิ้งจอก หรือหมาป่าทะนุกิ ที่ติดกับนายพราน ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดตัวทรมาน พ่ออายมาก เกลียดตัวเองเหลือเกิน”
บิดาแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ มือทั้งสองที่กำหมัดแน่นนั้นสั่นสะท้านอย่างน่ากลัว
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์ต้องใช่นายโชดะแน่เลย นายโชดะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
รุริโกะคาดคั้น นัยตาเป็นประกายด้วยอารมณ์ร้อนแรงขึ้นมาอีกคน
“มานึกดูตอนนี้ มันเป็นกับดักเราชัด ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าคิโนะชิตะจะทรยศพ่ออย่างหน้าด้าน ๆ แบบนั้นได้ คิดแล้วเจ็บใจจนอกแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ “
บิดากัดฟันพูดเสียงสั่นด้วยความโกรธระคนแค้น จ้องเขม็งไปข้างหน้าราวกับนายคิโนะชิตะยืนอยู่ตรงนั้น”
“อะไรกัน นายคิโนะชิตะ นายคิโนะชิตะน่ะหรือเจ้าคะท่านพ่อ” รุริโอะตกตะลึง
“เงินทำให้จิตใจคนเราเน่าเฟะ ขนาดคนที่พ่อเคยเมตตา เคยทำงานรู้ใจกันมานายถึงสิบกว่าปียังขายพ่อได้เมื่อมีคนเอาเงินมาล่อ เงินตัวเดียวที่ทำให้นายนั่นทิ้งคนที่คุ้นเคยมีบุญคุณมานานปีไปอย่างไม่มีเยื่อใย กลายเป็นหมาช่วงใช้ของศัตรู คิดมาถึงตรงนี้พ่อเจ็บใจเหลือเกิน”
“นายคิโนะชิตะทำอะไรท่านพ่อหรือเจ้าคะ”
รุริโกะซัก ใบหน้างามของเด็กสาวซีดไปเมื่อเห็นบิดาอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างระงับไม่อยู่
“ม้วนภาพคะเคะจิกุที่หมอนั่นเอามาวันนั้นนั่นแหละคือกับดักที่เลวร้าย หนูรู้ไหมว่าภาพเขียนนั้นเป็นของใคร หมอนั่นบอกว่าเป็นของเพื่อน หนูรู้ไหมว่าเพื่อนนั่นคือใคร”
บิดาจ้องตาลูกสาวเขม็ง
“จะมีใครเสียอีกถ้าไม่ใช่นายโชดะ หมอนั่นเอาม้วนภาพของนายโชดะมาให้พ่อดู ทำเป็นว่าอยากขอให้ช่วยตรวจพิสูจน์”
“เพื่ออะไรหรือเจ้าคะ ทำไมถึงต้องทำอะไรอย่างนั้น แล้วท่านพ่อก็เอาไปคืนเขาทันทีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
คำของลูกสาวทำให้ใบหน้าของบิดาหมองคล้ำลงไปอีก ผู้สูงศักดิ์ปล่อยตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง
“รุริ ยกโทษให้พ่อเถิดนะ คนวางกับดักใจต่ำช้า แต่จิตใจของคนที่ติดกับก็ต่ำช้าไม่แพ้กัน”
บิดาก้มหน้าหลบสายตาลูกสาวด้วยความอดสู
5
อารมณ์พลุ่งพล่านทำให้สองพ่อลูกเงียบกันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดบิดาก็ทนอัดใจอยู่ไม่ได้จึงเริ่มเล่าด้วยเสียงเบาแทบกระซิบทั้ง ๆ ที่ก้มหน้าอยู่ว่า
“รุริ พ่อจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้หนูฟัง พ่อติดตื้น ๆ เลยหลงกลติดกับดักของคนเจ้าเล่และตัดสินใจทำผิดอย่างมหันต์ ไม่คิดฝันเลยว่าคนอย่างคิโนะชิตะจะทรยศหักหลัง แล้วกลายไปเป็นหมารับใช้ของนายโชดะ พ่ออายลูกเหลือเกินที่จะเล่าถึงการกระทำที่โง่เขลาของตนเอง ปีศาจร้ายเริ่มสำแดงเดชก็ตอนที่คิโนะชิตะเอาม้วนภาพมาฝากไว้ให้ช่วยตรวจพิสูจน์ แล้วบอกว่าจะใช้เวลานานเป็นเดือนหรือสองเดือนก็ได้ไม่เร่งรีบ และพอเสร็จก็ให้แจ้งไปจะได้มารับคืน เขาพูดอย่างนั้นพ่อก็เลยคิดจะเอาไปแก้ขัดเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤติไปได้สักเปราะหนึ่ง เพราะม้วนภาพนั้นเป็นของแท้และยิ่งมาอยู่ในมือพ่อก็ยิ่งล้ำค่าขึ้นไปอีก นำไปเสนอราคาสามหมื่นห้าหมื่นมีคนเอาทันที แล้วก็จริงอย่างนั้น
พ่อไม่ผิดอะไรกับสัตว์หน้าโง่ตัวหนึ่งที่เข้าไปกินเหยื่อที่นายพรานวางเอาไว้ในกับดักด้วยความหิวโซจนตรอก คนใจทรามวางกับดักพ่อให้ดิ้นไม่หลุดด้วยอำนาจเงิน มันใช้เงินซื้อลูกน้องที่เคยจงรักภักดีให้เอาภาพเขียนล้ำค่าเป็นเหยื่อมาล่อ พ่อกำลังเข้าตาจนจวนจะเหยียบเส้นตายก็ตะครุบทันทีโดยไม่ระแวงแคลงใจ ไอ้คนที่วางกับดักมันน่าชังไม่มีใครปาน แต่ไอ้คนที่หลงเข้าไปติดกับมันยิ่งน่าชังกว่า หัวเราะความโง่เขลาเบาปัญญาของพ่อเถิดลูกเอ๋ย ความเพียรพยายามทำดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยไม่ได้หวังทรัพย์สินเงินทองมาตลอดสามสิบปี มันกลายเป็นเถ้าธุลีไปจนหมดสิ้น”
บิดาพูดด้วยเสียงต่ำสั่นเครือ นั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีสลดหดหู่อย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต รุริโกะได้ฟังความและเห็นท่าทีของบิดาแล้วรู้สึกร้อนระอุไปทั้งตัวราวกับถูกสุมด้วยกองไฟ อารมณ์พลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธแค้น
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ใครวางกับดักอะไรยังไง”
เด็กสาวซัก ตัวสั่นเทาไปด้วยโทสะ มือขาวงามนิ้วเรียวราวลำเทียนพลอยสั่นระริก
“โชดะคือเจ้าของม้วนภาพล้ำค่าภาพนั้นตัวจริง มันไปแจ้งตำรวจว่าพ่อยักยอก”
บิดากัดฟันพูดเสียงลอดไรฟัน หน้าซีดขาวไม่มีสีเลือด
“เรื่องแบบนั้นผิดกฎหมายด้วยหรือเจ้าคะ”
รุริโกะเบิกตากว้างเป็นประกายวาววาม
“ผิดซิหนู รับของเขามาทางหนึ่งเอามาปล่อยทางหนึ่งมันไม่ถูก กฎหมายไม่อนุญาตให้เอาของที่รับฝากจากใครไปขายหรือเอาไปจำนำหรอกลูก”
“แต่ของอย่างนี้ หนูเคยเห็นเขาทำกันบ่อย ๆ ไม่เห็นเป็นอย่างไรเลย”
“ใช่ คนเขาทำกันเกลื่อนไป พ่อก็คิดอย่างนั้นถึงได้ทำลงไป แต่จริง ๆ แล้วมันวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น คอยว่าเมื่อไรพ่อจะเพลี่ยงพล้ำ พอได้ทีก็กระโจนเข้าใส่เลย”
มาถึงตรงนี้ หัวอกหัวใจของรุริโกะร้อนรุ่มไปด้วยความโกรธเกลียดนายโชดะราวกับจะลุกเป็นไฟ
“อมนุษย์ ไอ้อมนุษย์ตัวนี้มันจะเลวไปถึงไหน ทำไมมันถึงร้ายกาจกับเราไม่รู้จบอย่างนี้ หนูชังน้ำหน้ามันเหลือเกิน เกลียด...เกลียด เจ็บใจเหลือเกิน”
รุริโกะกรีดเสียงแหลมสูง
“พ่อเข้าใจความรู้สึกของหนูดี นี่ถ้ายังหนุ่ม ๆ พ่อไม่ปล่อยมันไว้อย่างนี้แน่ ๆ”
บิดายิ่งหน้าซีดขาวขึ้นไปอีกเมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว
“เสียดายเหลือเกิน นี่ถ้าหนูเกิดเป็นผู้ชายละก็เป็นได้เห็นดีกัน”
รุริโกะพูดจบแล้วซบหน้าลงร้องไห้กับโต๊ะ
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาดังแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง ค่ำคืนของวันฤดูร้อนย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด เสียงรถไฟฟ้าที่ดังอยู่ไกล ๆ ขาดหายไปนานแล้ว ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งรุริโกะหยุดร้องไห้และพูดทำลายความเงียบขึ้น
“โดนฟ้องอย่างนี้เราจะเป็นยังไง คงขอยอมความไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ”
รุริโกะถามด้วยความวิตกกังวลทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันหายสะอื้น
หยาดน้ำตาที่อาบใบหน้าสะท้อนแสงสลัวดูงามน่าพิศวง
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
3
รุริโกะยืนเงี่ยหูฟังอยู่ยี่สิบนาทีก็แล้วสามสิบนาทีก็แล้ว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงบิดาเข้าห้องนอน ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแต่นิดเดียว ภายในห้องเงียบกริบ ถึงจะยืนอยู่นานแต่เด็กสาวก็ไม่รู้สึกเมื่อยหรือง่วง ที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะประสาทตื่นตัวเต็มที่ เสียงแมลงนานาชนิดในสวนกรีดปีกดังชัดเจนราวกับมากรีดอยู่ข้างหู
นาฬิกาในห้องชั้นล่างตีบอกเวลาสองยามดังกังวานขึ้นมาจากความมืดมิด ความอดทนอยู่กับความหวาดของ รุริโกะก็มาถึงที่สิ้นสุด เธอตกลงใจที่จะเข้าไปชวนให้บิดาเข้านอนเสียที ทำใจแล้วถึงจะต้องมีปากมีเสียงกันก็ยอม แต่พอเอื้อมมือไปบิดลูกบิดที่ทำด้วยกระเบื้องสีขาว รุริโกะก็ใจเต้นขึ้นมาทันที เพราะประตูที่ปกติเปิดเข้าไปได้ง่าย ๆ นั้นกลับติดกึก
“ท่านพ่อล็อกกุญแจห้อง”
รุริโกะตัวชาด้วยความตื่นตระหนก รู้สึกหนาวเย็นราวถูกน้ำแข็งราดลงมาทั่วตัว
”ท่านพ่อ” เธอลืมตัวตะโกนเรียกเสียงแหลมเกือบเป็นเสียงกรีดร้อง เสียงของรุริโกะดูเหมือนจะปลุกให้บิดาที่เงียบงันอยู่เนินนานรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง เพราะมีเสียงขยับตัวทำอะไรสักอย่าง
“ท่านพ่อ เปิดประตูให้รุริหน่อยเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
รุริโกะเรียกซ้ำหลายครั้งแต่ไม่มีคำตอบจากบิดา ยิ่งไม่ได้รับคำตอบเด็กสาวก็ยิ่งใจเสีย อกใจร้อนเร่าหวาดวิตก เธอผลักประตูสุดแรงจนลำแขนเรียวบางทั้งสองข้างแทบจะหักเป็นเปลาะ ๆ
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ เปิดประตูหน่อยเจ้าค่ะ”
รุริโกะกรีดเสียงเล็กแหลมราวบ้าคลั่ง ราวกับพี่สาวของทันตาจีล* ที่กรีดร้องราวบ้าคลั่งอยู่หน้าบานประตูเหล็กที่ปีศาจคร่าตัวน้องชายอันเป็นที่รักกของนางเข้าไปในนั้น
“ท่านพ่อ ทำไมล็อกประตูอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ ปิดประตูทำอะไรอยู่ เปิดเจ้าค่ะ เปิด”
แต่ไม่มีคำตอบ ยิ่งบิดาไม่ตอบรุริโกะก็ยิ่งตื่นตระหนกติดวาดภาพไปต่าง ๆ นา ๆ แล้วพอนึกขึ้นมาได้เธอก็ถลาออกไปที่เฉลียงและปราดไปยังหน้าต่าง แต่ก็หมดหวังเพราะหน้าต่างด้านที่เปิดออกไปทางเฉลียงนั้นติดลูกกรงแน่นหนา รุริโกะหันกลับไปที่ประตูห้องอีกครั้ง คราวนี้ระดมกำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิด หลับหูหลับตากระแทกร่างบอบบางนั้นเข้ากับบานประตูที่ปิดสนิท ได้ผลแค่ทำให้ร่างของเธอกระดอนกลับมาเท่านั้นเอง
รุริโกะกรีดเสียงเรียกจนลำคอแทบจะแตกเป็นสายเลือด
“ท่านพ่อ ทำไมไม่เปิดประตู ทำอะไรอยู่รึเจ้าคะ ทำอะไรนักหนาจนถึงกับทิ้งรุริให้อยู่คนเดียวอย่างนี้ หากท่านพ่อเป็นอะไรไปรุริก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ท่านพ่อ...รุริเสียใจมากนะเจ้าคะ เรามีกันอยู่แค่นี้มีอะไร อย่างน้อยท่านพ่อน่าจะบอกรุริไม่ใช่หรือเจ้าคะ ไม่ว่าอะไรก็ตามขอให้รุริรู้ด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ รุริจะเสียใจมาก”
ว่าพลางทุบประตู ผลักด้วยกำลังน้อยนิดที่มีอยู่ ในที่สุดก็ทรุดลงเอาแก้มแนบประตูร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงนั้นเอง
เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นราวใจจะขาดสะท้านสะเทือนไปทั่วคฤหาสน์เก่าทรุดโทรมท่ามกลางความมืดมิด
4
ไม่นาน รุริโกะก็ฟื้นตัวเข้มแข็งขึ้นมาได้อีกครั้งด้วยสำนึกที่ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาทำตัวเป็นผู้หญิงอ่อนแอเอาแต่ร้องไห้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงระดมกำลังทั้งหมดที่มีในร่างกายอันบอบบางนั้นไปที่ลำแขนทั้งสอง ผลักประตูบานใหญ่ที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กสุดแรงหมายให้พังลงกับตาแต่ก็ไม่ได้ดั่งใจ จึงทุ่มตัวเข้าชนเสียงดังสนั่น คราวนี้เหมือนเกิดปาฏิหารย์ ประตูที่ปิดสนิทอยู่แง้มออกเล็กน้อยทำให้รุริโกะเสียหลักถลาเข้าไปในห้องจนเกือบจะล้มลงไปกระแทกพื้น หากท่านพ่อของเธอไม่รับเอาไว้ก่อนด้วยแขนทั้งสองที่ยังแข็งแกร่งแม้จะย่างเข้าสู่วัยชรา
“ท่านพ่อ” รุริโกะอุทานเสียงแหลม แล้วซบหน้าลงกับอกของบิดา หัวใจเต้นแรงคลายจะเป็นลมอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพยายามระงับจิตใจอย่างลำบาก
พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที รุริโกะเห็นใบหน้าของบิดาอาบไปด้วยน้ำตา บนโต๊ะมีกระดาษเขียนข้อความที่ดูเหมือนจดหมายสั่งเสียหลายฉบับวางซ้อนกันอยู่
“รุริ หนูจะเวทนาพ่อก็ได้ พ่อตัดใจจบชีวิตตนเองไม่สำเร็จ พ่อกลายเป็นคนขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตาย เสียงของรุริทำให้พ่อล้มเลิกความตั้งใจจนหมดสิ้น พอคิดว่ารุริจะเศร้าเสียใจและเป็นทุกข์เพียงไรแล้ว พ่อก็ไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าจบชีวิตตนเอง”
เมื่อบิดาเห็นอารมณ์ของลูกสาวค่อยสงบลงแล้ว จึงเริ่มพูดด้วยเสียงเหมือนกระซิบ
“ท่านพ่อพูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้น อะไรกันที่ทำให้ท่านพ่อถึงขนาดบอกว่าตัดสินใจตายอย่างนี้”
“พ่ออายเหลือเกิน รุริอย่าถามได้ไหม พ่อหมดสิ้นศักดิ์ศรีเข้าหน้าลูกไม่ติดแล้วคราวนี้ พ่อหลงกลร้ายกาจของไอ้คนเจ้าเล่ห์จนถลำตกลงไปในหลุมพรางที่มันขุดดักไว้ ไม่ผิดอะไรกับหมาจิ้งจอก หรือหมาป่าทะนุกิ ที่ติดกับนายพราน ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดตัวทรมาน พ่ออายมาก เกลียดตัวเองเหลือเกิน”
บิดาแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ มือทั้งสองที่กำหมัดแน่นนั้นสั่นสะท้านอย่างน่ากลัว
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์ต้องใช่นายโชดะแน่เลย นายโชดะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
รุริโกะคาดคั้น นัยตาเป็นประกายด้วยอารมณ์ร้อนแรงขึ้นมาอีกคน
“มานึกดูตอนนี้ มันเป็นกับดักเราชัด ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าคิโนะชิตะจะทรยศพ่ออย่างหน้าด้าน ๆ แบบนั้นได้ คิดแล้วเจ็บใจจนอกแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ “
บิดากัดฟันพูดเสียงสั่นด้วยความโกรธระคนแค้น จ้องเขม็งไปข้างหน้าราวกับนายคิโนะชิตะยืนอยู่ตรงนั้น”
“อะไรกัน นายคิโนะชิตะ นายคิโนะชิตะน่ะหรือเจ้าคะท่านพ่อ” รุริโอะตกตะลึง
“เงินทำให้จิตใจคนเราเน่าเฟะ ขนาดคนที่พ่อเคยเมตตา เคยทำงานรู้ใจกันมานายถึงสิบกว่าปียังขายพ่อได้เมื่อมีคนเอาเงินมาล่อ เงินตัวเดียวที่ทำให้นายนั่นทิ้งคนที่คุ้นเคยมีบุญคุณมานานปีไปอย่างไม่มีเยื่อใย กลายเป็นหมาช่วงใช้ของศัตรู คิดมาถึงตรงนี้พ่อเจ็บใจเหลือเกิน”
“นายคิโนะชิตะทำอะไรท่านพ่อหรือเจ้าคะ”
รุริโกะซัก ใบหน้างามของเด็กสาวซีดไปเมื่อเห็นบิดาอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างระงับไม่อยู่
“ม้วนภาพคะเคะจิกุที่หมอนั่นเอามาวันนั้นนั่นแหละคือกับดักที่เลวร้าย หนูรู้ไหมว่าภาพเขียนนั้นเป็นของใคร หมอนั่นบอกว่าเป็นของเพื่อน หนูรู้ไหมว่าเพื่อนนั่นคือใคร”
บิดาจ้องตาลูกสาวเขม็ง
“จะมีใครเสียอีกถ้าไม่ใช่นายโชดะ หมอนั่นเอาม้วนภาพของนายโชดะมาให้พ่อดู ทำเป็นว่าอยากขอให้ช่วยตรวจพิสูจน์”
“เพื่ออะไรหรือเจ้าคะ ทำไมถึงต้องทำอะไรอย่างนั้น แล้วท่านพ่อก็เอาไปคืนเขาทันทีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
คำของลูกสาวทำให้ใบหน้าของบิดาหมองคล้ำลงไปอีก ผู้สูงศักดิ์ปล่อยตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง
“รุริ ยกโทษให้พ่อเถิดนะ คนวางกับดักใจต่ำช้า แต่จิตใจของคนที่ติดกับก็ต่ำช้าไม่แพ้กัน”
บิดาก้มหน้าหลบสายตาลูกสาวด้วยความอดสู
5
อารมณ์พลุ่งพล่านทำให้สองพ่อลูกเงียบกันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดบิดาก็ทนอัดใจอยู่ไม่ได้จึงเริ่มเล่าด้วยเสียงเบาแทบกระซิบทั้ง ๆ ที่ก้มหน้าอยู่ว่า
“รุริ พ่อจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้หนูฟัง พ่อติดตื้น ๆ เลยหลงกลติดกับดักของคนเจ้าเล่และตัดสินใจทำผิดอย่างมหันต์ ไม่คิดฝันเลยว่าคนอย่างคิโนะชิตะจะทรยศหักหลัง แล้วกลายไปเป็นหมารับใช้ของนายโชดะ พ่ออายลูกเหลือเกินที่จะเล่าถึงการกระทำที่โง่เขลาของตนเอง ปีศาจร้ายเริ่มสำแดงเดชก็ตอนที่คิโนะชิตะเอาม้วนภาพมาฝากไว้ให้ช่วยตรวจพิสูจน์ แล้วบอกว่าจะใช้เวลานานเป็นเดือนหรือสองเดือนก็ได้ไม่เร่งรีบ และพอเสร็จก็ให้แจ้งไปจะได้มารับคืน เขาพูดอย่างนั้นพ่อก็เลยคิดจะเอาไปแก้ขัดเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤติไปได้สักเปราะหนึ่ง เพราะม้วนภาพนั้นเป็นของแท้และยิ่งมาอยู่ในมือพ่อก็ยิ่งล้ำค่าขึ้นไปอีก นำไปเสนอราคาสามหมื่นห้าหมื่นมีคนเอาทันที แล้วก็จริงอย่างนั้น
พ่อไม่ผิดอะไรกับสัตว์หน้าโง่ตัวหนึ่งที่เข้าไปกินเหยื่อที่นายพรานวางเอาไว้ในกับดักด้วยความหิวโซจนตรอก คนใจทรามวางกับดักพ่อให้ดิ้นไม่หลุดด้วยอำนาจเงิน มันใช้เงินซื้อลูกน้องที่เคยจงรักภักดีให้เอาภาพเขียนล้ำค่าเป็นเหยื่อมาล่อ พ่อกำลังเข้าตาจนจวนจะเหยียบเส้นตายก็ตะครุบทันทีโดยไม่ระแวงแคลงใจ ไอ้คนที่วางกับดักมันน่าชังไม่มีใครปาน แต่ไอ้คนที่หลงเข้าไปติดกับมันยิ่งน่าชังกว่า หัวเราะความโง่เขลาเบาปัญญาของพ่อเถิดลูกเอ๋ย ความเพียรพยายามทำดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยไม่ได้หวังทรัพย์สินเงินทองมาตลอดสามสิบปี มันกลายเป็นเถ้าธุลีไปจนหมดสิ้น”
บิดาพูดด้วยเสียงต่ำสั่นเครือ นั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีสลดหดหู่อย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต รุริโกะได้ฟังความและเห็นท่าทีของบิดาแล้วรู้สึกร้อนระอุไปทั้งตัวราวกับถูกสุมด้วยกองไฟ อารมณ์พลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธแค้น
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ใครวางกับดักอะไรยังไง”
เด็กสาวซัก ตัวสั่นเทาไปด้วยโทสะ มือขาวงามนิ้วเรียวราวลำเทียนพลอยสั่นระริก
“โชดะคือเจ้าของม้วนภาพล้ำค่าภาพนั้นตัวจริง มันไปแจ้งตำรวจว่าพ่อยักยอก”
บิดากัดฟันพูดเสียงลอดไรฟัน หน้าซีดขาวไม่มีสีเลือด
“เรื่องแบบนั้นผิดกฎหมายด้วยหรือเจ้าคะ”
รุริโกะเบิกตากว้างเป็นประกายวาววาม
“ผิดซิหนู รับของเขามาทางหนึ่งเอามาปล่อยทางหนึ่งมันไม่ถูก กฎหมายไม่อนุญาตให้เอาของที่รับฝากจากใครไปขายหรือเอาไปจำนำหรอกลูก”
“แต่ของอย่างนี้ หนูเคยเห็นเขาทำกันบ่อย ๆ ไม่เห็นเป็นอย่างไรเลย”
“ใช่ คนเขาทำกันเกลื่อนไป พ่อก็คิดอย่างนั้นถึงได้ทำลงไป แต่จริง ๆ แล้วมันวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น คอยว่าเมื่อไรพ่อจะเพลี่ยงพล้ำ พอได้ทีก็กระโจนเข้าใส่เลย”
มาถึงตรงนี้ หัวอกหัวใจของรุริโกะร้อนรุ่มไปด้วยความโกรธเกลียดนายโชดะราวกับจะลุกเป็นไฟ
“อมนุษย์ ไอ้อมนุษย์ตัวนี้มันจะเลวไปถึงไหน ทำไมมันถึงร้ายกาจกับเราไม่รู้จบอย่างนี้ หนูชังน้ำหน้ามันเหลือเกิน เกลียด...เกลียด เจ็บใจเหลือเกิน”
รุริโกะกรีดเสียงแหลมสูง
“พ่อเข้าใจความรู้สึกของหนูดี นี่ถ้ายังหนุ่ม ๆ พ่อไม่ปล่อยมันไว้อย่างนี้แน่ ๆ”
บิดายิ่งหน้าซีดขาวขึ้นไปอีกเมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว
“เสียดายเหลือเกิน นี่ถ้าหนูเกิดเป็นผู้ชายละก็เป็นได้เห็นดีกัน”
รุริโกะพูดจบแล้วซบหน้าลงร้องไห้กับโต๊ะ
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาดังแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง ค่ำคืนของวันฤดูร้อนย่างเข้าสู่ยามดึกสงัด เสียงรถไฟฟ้าที่ดังอยู่ไกล ๆ ขาดหายไปนานแล้ว ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งรุริโกะหยุดร้องไห้และพูดทำลายความเงียบขึ้น
“โดนฟ้องอย่างนี้เราจะเป็นยังไง คงขอยอมความไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ”
รุริโกะถามด้วยความวิตกกังวลทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันหายสะอื้น
หยาดน้ำตาที่อาบใบหน้าสะท้อนแสงสลัวดูงามน่าพิศวง