ประชาชนจากทั่วประเทศเดินทางมาร่วมกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง เป็นวันที่ 168 วัน ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (19 เม.ย.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 168 วัน ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
เพราะวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 69 ปี จึงทำให้ นางกนกพร อนุสนธิ์ ชาวกรุงเทพฯ อยากใช้ช่วงเวลาวันสำคัญของชีวิตมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อขอพรให้ตัวเองและครอบครัวมีแต่ความร่มเย็น โดยนางกนกพร กล่าวว่า เดินทางมาสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ครั้งนี้ถือว่ารอไม่นาน เหมือนช่วง 100 วันแรก เพราะเคยรอนานที่สุดถึง 16 ชั่วโมง แต่การรอนานๆ นั้น ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกท้อถอยแม้แต่อย่างใด ถ้าเทียบกับสิ่งที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ท่านได้ทรงทำเพื่อปวงชนชาวไทย ไม่ว่าจะทุรกันดาร ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา สักกี่แดดกี่ฝน พระองค์ก็มิเคยทรงย่อท้อ เพราะทุกถิ่นที่ ที่พระองค์เสด็จฯไปนั้นเพื่อพระราชทานความสุขสบายให้แก่พสกนิกรของพระองค์แทบทั้งสิ้น
"ทุกครั้งที่ได้กราบสักการะพระบรมศพน้ำตาก็ไหลทุกครั้ง และนับตั้งแต่พระองค์เสด็จสวรรคต เวลาเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ทีไรก็ร้องไห้ทุกที จำได้ว่าเมื่อหลายปีมาแล้วเคยมีโอกาสได้เฝ้าฯ รับเสด็จท่าน 2 ครั้ง คือตอนเสด็จฯวันวิสาขบูชา ที่วัดพระแก้วมรกต และครั้งที่ 2 ตอนท่านเสด็จฯมาตรวจลานพระบรมรูปทรงม้า ทั้ง 2 ครั้งที่มีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความปลื้มปิติและดีใจที่สุด และจากนี้ไปเราจะนำคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 เรื่องความพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต จะประหยัดอดออม รักษาตนอยู่ในศีล 5 และจะสอนลูกสอนหลานให้เป็นคนดี ช่วยเหลือผู้อื่นที่อ่อนแอกว่า"
นางประไพ ชูชัยมังคลา อายุ 66 ปี ที่เดินทางจากบ้านย่านลาดพร้าว มาสักการะพระบรมศพทุกๆ วัน หลังจากพระราชพิธีครบ 100 วันมาแล้ว เผยว่า ตั้งแต่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตครบ 100 วัน ก็พยายามมาให้ได้ทุกวันตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ จะหยุดเสาร์อาทิตย์เพราะคิดว่าคนเยอะ อยากให้โอกาสคนอื่นบ้าง หรืออย่างเทศกาลสงกรานต์ก็ให้โอกาสผู้อื่นได้มาบ้าง ไม่กินที่คนอื่น เพราะเราอยู่ใกล้แค่นี้ หากวันไหนไม่ได้มาจะรู้สึกจิตใจไม่ดี จากวันนี้คงมีเวลาอีกไม่มากที่จะได้มาส่งเสด็จฯเป็นครั้งสุดท้าย วันถวายพระเพลิงอาจจะเข้าไม่ถึง ตอนนี้มีโอกาสก็มาดีกว่าจะได้ไม่รู้สึกเสียใจ
"ขึ้นไปกราบแต่ละวัน ความรู้สึกไม่เหมือนกัน บางครั้งก็ยังมีน้ำตา บางครั้งก็รู้สึกว่าพระองค์ทรงเหนื่อยมามากแล้ว ได้พักแล้ว หลังกราบพระบรมศพแล้วก็มักเดินไปชมนิทรรศการเย็นศิระ เพราะพระบริบาล ก็ยังร้องไห้ทุกวัน บางครั้งคิดว่าเห็นพระบรมฉายาลักษณ์นี้แล้วจะต้องร้องไห้ ก็เปลี่ยนไปดูสิ่งอื่น แต่ก็ยังมีน้ำตาอยู่ดี นอกจากมากราบแล้ว ชีวิตประจำวันก็ยังยึดเอาคำว่าพอเพียงมาใช้ทุกวัน ปลูกผักไว้กิน ประหยัด ตามคำสอนของพระองค์" นางประไพกล่าว
นางนวกมล ปัญโญแสง อายุ 51 ปี อาชีพปลูกต้นไม้ขาย ชาว ต.แม่กรณ์ อ.เมือง จ.เชียงราย กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นครั้งที่สอง โดยวันนี้เดินทางมาพร้อมกับน้องสาว และหลานสาวฝาแฝด ปลื้มใจมากที่ได้มีโอกาสเดินทางมากราบพระองค์อีกครั้งในวันนี้ เพราะรักพระองค์มาก รักที่สุด และถ้ามีโอกาสก็จะเดินทางมาอีกอย่างแน่นอน มากราบทีไรก็น้ำตาไหลทุกครั้ง เพราะตื้นตันใจที่พระองค์ทรงคิดค้นโครงการในพระราชดำริต่าง ๆเพื่อช่วยเหลือราษฎร ขณะขึ้นกราบก็อธิษฐานขอให้เกิดเป็นพสกนิกรใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ตลอดไป
"สำหรับพี่ก็ได้น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแบบอย่างในการประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิตครอบครัว คือไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ประหยัดและขยันอดทน รวมทั้งรู้รักสามัคคี ให้อภัยกันและกัน และมีความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนรอบข้าง และรู้สึกดีใจที่ไม่ว่าจะไปที่ใดก็เห็นคนไทยน้อมนำคำสอนของพระองค์ไปใช้ เพราะพระองค์ทำแต่สิ่งดีๆ ไว้มากมาย และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปีความดีและความมีพระเมตตาต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวโลก ที่ทุกคนจะไม่มีวันลืม" นางนวกมล กล่าว
ด้านนางนงคราญ ปัญโญแสง อายุ 49 ปี อาชีพทำสวนยาง ทำการเกษตร และขายอาหารตามสั่ง ชาว ต.ระงู อ.ระงู จ.สตูล กล่าวว่า หลักจากที่ตนและลูกสาวฝาแฝด เดินทางไปเผาศพคุณแม่ที่ จ.เชียงราย เสร็จแล้วอยากมากราบพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ 9 ด้วย จึงเดินทางมาพร้อมกับพี่สาว เพื่อมากราบพระองค์ก่อนเดินทางกลับ จ.สตูล เพราะตนคงไม่มีโอกาสได้เดินทางมาบ่อยเพราะติดภาระดูแลครอบครัว ซึ่งปกติก็กราบพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ที่ห้องพระที่บ้านเป็นประจำทุกวัน พระองค์ท่านเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตรใจและทรงเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ซึ่งตนก็ได้เดินตามรอยในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จากที่ดินลกล้างว่างเปล่าก็เข้าไปทำมาหากิน ทั้งปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ไว้กินไว้ขายและแจกคนรอบข้าง
"มากราบแล้วรู้สึกตื้นตันใจน้ำตาไหล ไม่สามารถอธิบายถึงความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ออกมาเป็นคำพูดได้ รู้แต่ว่ารักในหลวง รัชกาลที่ 9 มาก และคนไทยทั้งประเทศก็รักพระองค์ เพราะท่านทรงงานเพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ"
นางสุดใจ ตามบุญ อายุ 66 ปี แม่ค้าขายโจ๊ก ชาว อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี เดินทางมาพร้อมลูกสาว น.ส.อรนุช ตามบุญ ตั้งแต่เวลา 05.00 น. กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมากราบพระบรมศพ ทั้งๆ ที่อยากมาตั้งแต่ทราบข่าวเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว แต่อยากให้ประชาชนต่างจังหวัดที่อยู่ไกลได้มากราบก่อน เราเองอยู่ใกล้มาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พอทราบข่าวจากที่ส่งต่อกันว่าจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพตอนปลายปี วันนี้จึงรีบชวนกันมากราบ ประกอบกับอยู่ในช่วงปิดร้านสงกรานต์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทุกคืนจะกราบพระบรมฉายาลักษณ์และนึกถึงพระองค์ท่านเสมอ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย เมื่อก่อนเราเพียงรู้ว่าท่านทำอะไรมากมาย แต่เมื่อเราสูญเสียท่านไปแล้วยิ่งทำให้รู้มากกว่าเดิม เราเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านถึงขนาดนี้เลยหรือ ท่านทรงติดดิน ไม่ถือพระองค์ ลงพื้นที่ในถิ่นทุรกันดาร เนื้อตัวเปื้อนดินโคลน ทั้งนี้ก็เพื่อประชาชนของท่าน
ขณะที่เมื่อได้มีโอกาสขึ้นกราบพระบรมศพ รู้สึกขนลุกจนบอกไม่ถูก ตื้นตันใจที่เราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่ได้ใกล้ชิดพระองค์มากขนาดนี้ ทุกวันนี้ได้ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างทั้งเรื่องการใช้ชีวิตจากเมื่อก่อนเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่พระองค์เคยรับสั่งว่าคนเรามีความแตกต่างกัน เราจึงค่อยๆ ระงับอารมณ์ ปล่อยวางได้มากขึ้น และไม่ถือโกรธ พร้อมได้สอนต่อลูกหลานทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พออยู่พอใช้ ทำงานอย่างซื่อสัตย์ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และตั้งมั่นเป็นคนดี ทำประโยชน์เพื่อสังคม