xs
xsm
sm
md
lg

เทพเจ้าของเด็กเฝ้าร้าน (2)

เผยแพร่:   โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์

มะงุโระ หรือ ทูน่า
ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


การทำดี ไม่จำเป็นต้องมีใครรู้ และผู้ที่ได้รับผลแห่งความดีนั้นพึงระลึกถึงผู้ให้ด้วยใจซาบซึ้ง

‘ลูกค้าคนนั้น’ ใน “เทพเจ้าของเด็กเฝ้าร้าน” จะเป็นใครก็ช่างเถิด แต่ด้วยความเมตตาของ ‘ลูกค้าคนนั้น’ เด็กเฝ้าร้านนึกถึงทีไร ก็มีแต่ความชื่นใจและซาบซึ้ง

ชิงะ นะโอะยะ (志賀直哉;Shiga Naoya) ประพันธ์ “โคะโซ โนะ คะมิซะมะ” (小僧の神様;Kozō no kami-sama; เทพเจ้าของเด็กเฝ้าร้าน) ไว้เมื่อ พ.ศ.2463 หรือเกือบร้อยปีมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ คนญี่ปุ่นก็ยังรักเรื่องสั้นเรื่องนี้ และในบรรยากาศแห่งความอาลัย เรื่องนี้สื่อความหมายได้เหมาะสม สร้างรอยยิ้มและความชื่นใจได้เมื่ออ่านไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย

และนี่คือส่วนที่ 2 ที่ต่อจากส่วนแรกในครั้งก่อน (ส่วนแรก http://manager.co.th/Japan/ViewNews.aspx?NewsID=9590000106308)

***********************************************

“วันก่อน ลองไปร้านซูชิที่นายบอกแล้วนะ”
“เป็นไงล่ะ”
“อร่อยดีทีเดียว แต่พูดก็พูดเถอะ เห็นลูกค้าที่ร้าน ทุกคนเอามือทำอย่างงี้ หยิบขึ้นมาแล้วก็พลิกเอาด้านที่มีปลาคว่ำลง แล้วก็ใส่ปากเข้าไปพรวดเดียว ปกติกินกันแบบนี้น่ะหรือ”
“ก็นะ อย่างปลามะงุโระน่ะ ส่วนใหญ่ก็กินแบบนั้นแหละ”
“แล้วทำไมถึงเอาชิ้นปลาลงล่างล่ะ”
“ก็คือว่า ถ้าปลาเสียรส ลิ้นก็จะรู้สึกแหยะๆ ได้ทันทีไง”
“พอได้ยินแบบนี้ เลยคิดว่าคำว่า ‘ปกติ’ ของ B ก็ออกจะน่าสงสัยอยู่นา” ว่าแล้ว A ก็หัวเราะ และตอนนั้นเอง A ก็เล่าเรื่องเด็กเฝ้าร้าน และพูดต่อไปว่า “น่าสงสารออก อยากจะช่วยสักหน่อยนะ”
“น่าจะเลี้ยงไปซะหน่อย ถ้าบอกว่า กินซะเถอะ กินได้เท่าไรก็กินไป ก็คงจะดีใจโข”
“เด็กเฝ้าร้านคงจะดีใจอยู่หรอก แต่ทางนี้สิ เหงื่อเย็นๆ จะไหล”
“เหงื่อเย็น ๆ? หมายความว่า ไม่กล้าล่ะซี”
“กล้าหรือไม่กล้าก็ไม่รู้แหละ แต่จะยังไงก็ตาม ความกล้าแบบนั้นน่ะไม่มีหรอก ถ้าออกไปด้วยกันทันที แล้วพาไปเลี้ยงที่อื่นละก็ ยังอาจจะทำได้”
“ฮื่ม นั่นสิเนอะ” B เห็นด้วย

* * *

A อยากรู้ขึ้นมาว่าลูกตัวน้อยของตนที่กำลังเรียนอนุบาลและโตขึ้นเรื่อยๆ นั้นน้ำหนักเท่าไร ด้วยความรู้สึกนี้ จึงคิดว่าจะเอาตาชั่งคันเล็กๆ ไปวางที่ห้องอาบน้ำ จะได้ชั่งน้ำหนักตัว และอยู่มาวันหนึ่ง บังเอิญเขาไปที่ร้านในย่านคันดะ ซึ่งเป็นร้านที่เซ็งกิชิทำงานอยู่
ตาชั่งโบราณ
เซ็งกิชิไม่รู้จัก A แต่ A จำเซ็งกิชิได้

ตรงบริเวณที่เป็นทางปูด้วยคอนกรีตทอดยาวอยู่ด้านข้างไปถึงด้านในของร้าน มีตาชั่งตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก วางเรียงกันตามลำดับอยู่เจ็ดแปดคัน A เลือกคันที่เล็กที่สุดจากตาชั่งที่ตั้งเรียงกันอยู่ เขาคิดว่าภรรยาและลูกคงจะดีใจมากถ้าได้ตาชั่งคันเล็กๆ น่ารัก มีรูปทรงเหมือนกับตาชั่งที่ใช้ในลานจอดรถหรือร้านส่งของ

หัวหน้าคนงานประจำร้านหยิบบัญชีแบบเก่าขึ้นมา แล้วพูดว่า
“จะให้ส่งไปที่ไหนครับ”
“อืม...” A มองเซ็งกิชิพลางคิดเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เด็กเฝ้าร้านคนนั้น ตอนนี้มือว่างไหมล่ะนั่น”
“ครับ ไม่มีอะไรยุ่งเป็นพิเศษ...”
“ถ้างั้น ให้ขนตาชั่ง แล้วมาพร้อมกับฉันได้ไหมล่ะ เพราะกำลังรีบ”
“รับทราบครับ เอาละครับ จะเอาไปใส่รถเข็น แล้วก็จะให้ไปด้วยทันทีเลยนะครับ”
รถลากในญี่ปุ่น
A คิดว่า วันก่อนเลี้ยงไม่ได้ แต่วันนี้จะเลี้ยงเด็กเฝ้าร้านคนนี้ที่ไหนสักแห่งแทน

พอจ่ายเงินแล้ว หัวหน้าคนงานประจำร้านก็เอาบัญชีอีกเล่มออกมา และพูดว่า “แล้วก็ กรุณาเขียนที่อยู่กับชื่อตรงนี้ให้หน่อยได้ไหมครับ”

A ใจหายเล็กน้อย เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีกฎเกณฑ์การปฏิบัติอยู่ว่า เวลาซื้อตาชั่ง ต้องเขียนหมายเลขตาชั่งพร้อมกับที่อยู่และชื่อนามสกุลของคนซื้อส่งให้ด้วย เขารู้สึกว่าการบอกให้ทราบชื่อและเลี้ยงอาหารก็จะทำให้เหงื่อเย็นๆ ไหลเหมือนกันเป็นแน่แท้ แต่ไม่มีทางเลือก หลังจากที่คิดแล้วคิดอีก จึงเขียนบ้านเลขที่มั่วๆ กับชื่อมั่วๆ ส่งให้

* * *

ลูกค้าเดินทอดน่องไม่รีบร้อน ส่วนที่ด้านหลัง ห่างไปราววาสองวา เซ็งกิชิซึ่งลากรถเข็นเล็กๆ ที่ใส่ตาชั่งอยู่ก็ตามติดไป

พอมาถึงหน้าบริเวณที่พักรถลากแห่งหนึ่ง ลูกค้าให้เซ็งกิชิรอ แล้วเข้าไปข้างใน ครู่เดียวตาชั่งก็ถูกย้ายไปใส่รถลากต่างหากที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว ลูกค้าเอ่ยกับคนลากรถนั้นว่า “เอาละ รบกวนหน่อยนะ พอไปถึงที่แล้วก็รับเงินปลายทางนะ เขียนบอกไว้แล้วในนามบัตร”
ย่านคันดะในอดีตกับปัจจุบัน
ครั้นลูกค้าออกมา คราวนี้ก็พูดมาทางเซ็งกิชิว่า “ขอบคุณหนูด้วย อยากจะเลี้ยงอะไรหนูสักหน่อย ไปแถวโน้นด้วยกันไป” เขาพูดพลางยิ้ม

เซ็งกิชิรู้สึกว่าเป็นเรื่องแสนดี และออกจะไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง แต่อันที่จริงก็ดีใจ เขาคำนับปะหลกๆ ติดกันสองสามที

ผ่านหน้าร้านโซะบะก็แล้ว หน้าร้านซูชิก็แล้ว หน้าร้านไก่ก็แล้ว

คิดจะไปไหนกันนะ? เซ็งกิชิชักจะหวาดหวั่นเล็กน้อย

พอลอดใต้ทางรถไฟยกระดับที่สถานีคันดะ ออกไปที่ข้าง ๆ มะสึยะ แล้วข้ามรางรถไฟ ลูกค้าก็หยุดยืนที่หน้าร้านซูชิร้านเล็กๆ ที่อยู่ในตรอก

“รอเดี๋ยวนะ” พูดเช่นนี้แล้ว ลูกค้าก็เข้าไปข้างในเพียงลำพัง ส่วนเซ็งกิชิลดคันจับรถเข็นลงแล้วยืนรอ

ครู่เดียวลูกค้าก็ออกมา หลังจากนั้น คุณแม่บ้านผู้ดูแลร้าน ซึ่งยังอ่อนวัยและมีกิริยางาม ก็ออกมา แล้วพูดว่า
“หนู เชิญเข้ามาเลยค่ะ”

ลูกค้าบอกว่า “ฉันจะกลับก่อนละ เชิญรับประทานให้พอเถิด” พูดดังนี้แล้ว ก็สาวเท้าอย่างเร่งรีบราวกับจะหลบหนี แล้วมุ่งไปยังทางรถไฟ

ที่ร้านซูชิแห่งนั้น เซ็งกิชิกวาดซูชิปริมาณสามคนกินเสียเรียบ เขาตะกรุมตะกรามกินเกลี้ยงในชั่วครู่ราวกับสุนัขอดอยากผอมโซที่ได้อาหารอย่างไม่คาดฝัน ในร้านไม่มีแขกคนอื่น คุณแม่บ้านประจำร้านอุตส่าห์เลื่อนฉากกั้นห้องมาปิดไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวให้เซ็งกิชิ ซึ่งเขาก็ไม่ได้มองไม่ได้สนใจอะไร ตั้งหน้าตั้งตากินเท่าที่ใจอยาก จนพุงกาง

พอคุณแม่บ้านเข้ามาเติมน้ำชาและพูดกับเขาว่า “ไม่รับเพิ่มอีกหรือคะ” เซ็งกิชิก็หน้าแดง
“ไม่ครับ พอแล้ว” เขาตอบและหลุบตาลงมองข้างล่าง แล้วก็สาละวนเริ่มเตรียมตัวกลับ
“ถ้าเช่นนั้น กรุณามาทานอีกนะ เพราะยังมีค่าอาหารที่ได้รับมาเหลืออยู่มากเลยล่ะค่ะ”

เซ็งกิชิเงียบ
“คุณรู้จักกับคุณผู้ชายคนนั้นมาก่อนหรือ”
“เปล่าครับ”
“อ้าว...” พูดดังนี้แล้ว คุณแม่บ้านก็มองหน้าสามีที่เข้ามาในนั้น
“เขาเป็นคนที่มาดดี จะยังไงก็ตามเถิดคุณหนู ถ้าไม่มาอีก ทางเราจะลำบากนะ”
ขณะที่ใส่เกี๊ยะไปด้วย เซ็งกิชิได้แต่คำนับไปโดยไม่คิด

* * *

พอ A แยกจากเด็กเฝ้าร้านแล้ว ก็ออกไปที่ทางรถไฟด้วยความรู้สึกราวกับถูกไล่กวด เรียกรถรับจ้างที่ผ่านมาแถวนั้นพอดี และมุ่งไปที่บ้านของ B ทันที

A รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างประหลาด เมื่อวันก่อน ตัวเองเห็นท่าทางที่น่าสงสารของเด็กเฝ้าร้านและรู้สึกเห็นใจอย่างจับจิต คิดว่าถ้ามีอะไรพอจะทำให้เด็กคนนั้นได้ก็อยากจะทำ และด้วยโอกาสที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ วันนี้ก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำจนลุล่วงแล้ว เด็กเฝ้าร้านก็พอใจ ตัวเองก็น่าจะรู้สึกพอใจด้วย การทำให้คนดีใจไม่ใช่เรื่องไม่ดี เป็นธรรมดาที่ตัวเองย่อมจะรู้สึกได้ถึงความปราโมทย์บางอย่าง แต่ทว่า ยังไงกันล่ะ ทำไมถึงเกิดความรู้สึกเหงาอย่างประหลาด ความรู้สึกไม่เป็นสุข ทำไมกันล่ะ? เกิดขึ้นจากไหนกันนะ? มันคล้ายกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากก่อเรื่องไม่ดีโดยไม่มีใครรู้

หรืออาจเป็นเพราะ สิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นมีความจงใจแปลก ๆ แทรกอยู่ว่านั่นคือการทำความดี และถูกเพ่งเล็งวิพากษ์วิจารณ์จากจิตใจที่แท้จริง ถูกหักหลัง ถูกหัวเราะเยาะ ทั้งหมดนี้กระมังที่ทำให้เกิดความเปล่าเปลี่ยวใจ? ถ้าหากคิดถึงเรื่องที่ทำลงไปให้น้อยลง คิดในแบบสบายใจ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลกระมัง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเพราะตัวเองคิดมากไปโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง แต่อย่างไรก็ช่าง สิ่งที่ทำไปไม่ใช่เรื่องน่าอับอายเสียหน่อย แล้วเขาก็คิดว่า อย่างน้อยทำไปแล้วก็ไม่ได้เกิดความขุ่นมัวในใจเสียหน่อย

วันนั้น เขามีนัดว่าจะไปหา B ซึ่งกำลังรออยู่ หลังจากพบกันแล้ว พอตกกลางคืน ก็ใช้รถของ B พากันออกไปฟังงานแสดงดนตรีของคุณนาย Y

ครั้นตกดึก A ก็กลับบ้าน ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวแปลกๆ ของเขาหมดสิ้นไปหลังจากได้พบกับ B และได้ฟังเสียงร้องเพลงเดี่ยวๆ อันทรงพลังของคุณนาย Y

“แหม ขอบคุณสำหรับตาชั่งนะคะ” ภรรยาดีอกดีใจกับตาชั่งคันเล็กดังที่คาดไว้ ส่วนลูกหลับไปแล้ว แต่ภรรยาก็บอกว่าลูกดีใจมาก
“จะว่าไปนะ เด็กเฝ้าร้านคนที่ผมเจอที่ร้านซูชิเมื่อวันก่อนน่ะ เจออีกแล้ว”
“อ้าวเหรอ ที่ไหนคะ”
“เป็นเด็กเฝ้าร้านตาชั่งน่ะ”
“ช่างบังเอิญเจอนะคะ”

A เล่าเรื่องการเลี้ยงซูชิให้เด็กเฝ้าร้าน และเล่าความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวที่เกิดตามมานั้นให้ภรรยาฟังด้วย

“ทำไมกันล่ะ ความรู้สึกเหงา ๆ แบบนั้นน่ะ แปลกจัง” ภรรยาผู้มีอัธยาศัยดีขมวดคิ้วด้วยท่าทางเป็นห่วง และครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นลอย ๆ ว่า “อืม เข้าใจความรู้สึกนะ”
“เคยรู้สึก ไม่รู้ว่าทำไม แต่คิดว่าเคยเป็นแบบนั้นน่ะ”
“อย่างนั้นรึ”
“ใช่ เคยเกิดความรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แล้วคุณ B ว่าไงบ้างล่ะคะ”
“ไม่ได้เล่าเรื่องเด็กเฝ้าร้านให้ B ฟังน่ะ”
“เหรอ แต่เด็กเฝ้าร้านต้องดีใจมากแน่ ๆ ก็อยู่ ๆ มีคนมาเลี้ยงอาหารให้โดยไม่คาดฝันนี่คะ เป็นใคร ก็ดีใจทั้งนั้นแหละ ฉันก็อยากให้มีคนมาเลี้ยงแบบนั้นมั่งนะ โทรศัพท์สั่งซูชิมากินหน่อยสิคะคุณ”

* * *

เซ็งกิชิลากรถเข็นเปล่ากลับ เขาพุงกางอย่างมาก มาจนถึงขณะนี้ก็เคยกินอิ่มอยู่บ่อยๆ แต่การอิ่มด้วยของอร่อยอย่างนี้ นึกไม่ออกเลยว่าเคยมีประสบการณ์

จู่ ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องน่าอับอายที่ร้านซูชิข้างทางที่เคียวบะชิเมื่อวันก่อน ในที่สุดก็นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ครั้นแล้ว ก็เริ่มรู้สึกได้ว่าการได้รับเลี้ยงอาหารวันนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น และคิดว่าอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนั้นต้องอยู่ที่นั่นแน่ ๆ คงใช่แน่ๆ แต่ทำไมถึงรู้ล่ะว่าเขาทำงานอยู่ที่ไหน?

เซ็งกิชิคิดว่า มันออกจะแปลกอยู่ หากจะว่าไปแล้ว ร้านที่เขาถูกพาไปวันนี้ ใช่แน่ว่าคือร้านที่หัวหน้าคนงานประจำร้านคุยกันเมื่อวันก่อน ลูกค้าคนนั้นรู้เรื่องทั้งหมดที่พวกหัวหน้าคนงานคุยกันได้อย่างไร?

เซ็งกิชิรู้สึกฉงนยิ่งนัก ในหัวของเซ็งกิชิ เขานึกไม่ถึงว่า A กับ B จะคุยเรื่องเดียวกันกับที่พวกหัวหน้าคนงานคุยกัน เขานึกไปเองว่า ต้องใช่แน่ๆ ว่าในเวลาเดียวกันกับตอนที่ตัวเขาเองได้ยินหัวหน้าคนงานคุยกันแต่เรื่องร้านซูชิ ลูกค้าคนนั้นก็ล่วงรู้ด้วย และวันนี้จึงพาเขาไป เขาคิดว่าถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ก็อธิบายไม่ได้ว่า ทำไมถึงผ่านเลยหน้าร้านซูชิไปสองสามแห่ง จนกระทั่งไปถึงร้านนั้น

จะอย่างไรก็ตาม เขาคิดไปในแนวทางที่ว่า ลูกค้าคนนั้นคงไม่ใช่แค่คนธรรมดา ไหนจะเรื่องที่ตัวเองอับอายที่ร้านซูชิ ไหนจะข่าวลือเรื่องร้านซูชิที่หัวหน้าคนงานคุยกันอีก และเหนือสิ่งอื่นใดคือ การมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจของตน และเลี้ยงอาหารจนอิ่มหนำเสียขนาดนั้น เขาคิดว่าต้องไม่ใช่วิสัยของมนุษย์ที่จะทำได้ และคิดว่าอาจจะเป็นเทพเจ้าก็ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น คงจะเป็นนักพรต หรืออาจจะเป็นเทพเจ้าอินะริแห่งพืชผล
เทพเจ้าอินะริ หรือ สุนัขจิ้งจอก
เหตุที่ทำให้เขานึกถึงเทพเจ้าอินะริ คือ เขาเคยเห็นเหตุการณ์ที่ป้าของเขาซึ่งมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าอินะริเกิดอาการประหลาดเหมือนเสียสติเพราะเทพเจ้าลงทรง ร่างกายที่เทพเจ้ามาสถิตสั่นพั่บ ๆ และเอ่ยคำทำนายประหลาด พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดในที่ห่างไกลได้ถูกต้องแม่นยำ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็น แต่การที่เทพเจ้าอินะริจะมาแต่งตัวแบบตะวันตกก็ออกจะเป็นเรื่องประหลาดอยู่ แม้กระนั้น ความรู้สึกที่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาคือเรื่องเหนือธรรมชาติก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

* * *

ความเปล่าเปลี่ยวอย่างประหลาดชนิดหนึ่งของ A หายไปพร้อมกับวันวารโดยไม่เหลือร่องรอย แต่ความรู้สึกแปลกๆ ก็ทำให้เขาไม่อาจไปเดินผ่านหน้าร้านแห่งนั้นที่คันดะได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขาไม่นึกอยากจะออกไปที่ร้านซูชินั่นด้วย

“ก็ดีนะคะ ถ้าสั่งมาทานที่บ้านเรา จะได้กินด้วยกันทุกคนเลย” ภรรยาพูดยิ้ม ๆ
A ฟังแล้วก็ไม่ได้ยิ้มตอบแม้แต่น้อย และพูดว่า
“คนขี้ขลาดอย่างผม จะไม่ทำเรื่องเล่น ๆ แบบนั้นเด็ดขาด”

* * *

สำหรับเซ็งกิชิ ‘ลูกค้าคนนั้น’ กลายเป็นเรื่องที่ลืมไม่ลงมากขึ้น ๆ นั่นมนุษย์หรือ? เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติหรือ? ตอนนี้เรื่องนั้นแทบจะไม่เป็นปัญหาอะไรแล้ว เขาได้แต่รู้สึกขอบคุณอย่างบอกไม่ถูก

เวลาที่เขาเสียใจ เวลาที่ทุกข์ร้อน ก็จะนึกถึง ‘ลูกค้าคนนั้น’ ทุกครั้งไป แค่เพียงนึกถึง ก็ช่วยปลอบใจได้ เขาเชื่อว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ‘ลูกค้าคนนั้น’ จะนำพรอันไม่คาดฝันมาปรากฏตรงหน้าตน

* * *

ผู้ประพันธ์ขอวางพู่กันลง ณ ตรงนี้ จริง ๆ แล้ว เดิมคิดจะเขียนต่อไปว่า เด็กเฝ้าร้านมีความปรารถนาต้องการจะยืนยันตัวตนที่แท้จริงของ ‘ลูกค้าคนนั้น’ จึงขอให้หัวหน้าคนงานประจำร้านบอกบ้านเลขที่กับชื่อ แล้วจะออกไปพบ เด็กเฝ้าร้านลองไปตามที่อยู่นั้น แต่ทว่าบ้านเลขที่นั้นไม่มีคนอยู่ แต่มีศาลเทพเจ้าอินะริเล็ก ๆ ตั้งอยู่ แล้วเด็กเฝ้าร้านก็ตกใจ ผู้ประพันธ์คิดไว้ว่าจะเขียนแบบนี้ แต่รู้สึกว่าการเขียนเช่นนั้นจะโหดร้ายกับเด็กเฝ้าร้านมากไปหน่อย จึงตัดสินใจหยุดเขียนลงเสียก่อน ดังตอนจบที่ปรากฏข้างต้น

**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.manager.co.th

กำลังโหลดความคิดเห็น