จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
5
คะสึไคชู อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แห่งรัฐบาลโชกุนเลื่อนหินลับมีดเข้ามาใกล้แล้วค่อย ๆ เริ่มบรรจงลับมีดด้ามจิ๋วคู่มือ พอลับเสร็จก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับด้ามมีดเอื้อมไปสะกิดคมมีดที่ท้ายทอยเพื่อเค้นเลือดเสียออกมาเช็ดกับกระดาษที่เตรียมไว้จนพอ แล้วจึงทำอย่างเดียวกันกับนิ้ว พอดีกับโทะระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่เล่าเรื่องจบ
“เอ้า...ดื่มกาแฟเสียก่อน ถ้าปล่อยให้เย็นละก้อกินไม่ลงเลยละเอ็ง” ไคชูพยักหน้าไปทางถ้วยกาแฟที่เป็นเครื่องดื่มสุดหรูของยุคสมัย และยังใช้คมมีดสะกิดตรงนั้นตรงนี้บีบเลือดร้ายออกทิ้ง ท่าทางของท่านดูเหมือนว่ากำลังใช้สมองคิดคลี่คลายเงื่อนงำของปริศนาห้องปิดตายอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง
“ใครก็ตามที่ได้ฟังเรื่องนี้จะต้องคิดว่าคนที่น่าจะเป็นคนร้ายมากที่สุดคือโยะชิโอะกับนางโอะมะกิ เพราะถ้าปล่อยให้นายโทเบมีชีวิตอยู่ต่อไปโยะชิโอะก็จะหมดโอกาสได้สืบมรดกของตระกูลคะวะกิ นางโอะมะกิก็จะตกอยู่ในฐานะที่ไม่ผิดอะไรกับผู้หญิงข้างถนน แต่ถ้าฆ่าเสียสมบัติพัสถานก็จะตกมาถึงตนตามกฎหมายเพราะอย่างไรเสียคนตายก็พูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว การที่โยะชิโอะลอบขึ้นไปที่โกดังกลางดึกตอนตีหนึ่ง เอาไม้จิ้มฟันอันยาวสอดเข้าไปยกสลักกลอนเปิดเข้าไปในห้องก็เพราะตั้งใจจะเข้าไปฆ่าน้าของตัวเองอย่างที่พ่อนักสืบรูปงามชินจูโรพูดน่ะถูกต้อง แต่พอลอบเข้าไปถึงห้องข้างในก็พบว่าโทเบถูกใครสักคนฆ่าตายอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว โยชิโอะตกใจวิ่งหนีออกมาจากที่เกิดเหตุและคงคิดว่านางโอะมะกิเป็นคนฆ่า ความที่โยชิโอะรู้ดีว่านางผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจเพียงใดมันจึงกลัวมาก เพราะเดาได้ว่าพอตำรวจสืบจนได้หลักฐานครบถ้วนแล้วว่านางเป็นคนฆ่าโทเบ นางก็จะใช้มารยาสารพัดโน้มน้าวให้ตำรวจเชื่อว่านางร่วมมือกับโยชิโอะฆาตกรรมนายโทเบ เพราะอย่างนั้นมันถึงหวาดกังวลหลบหนีหัวซุกหัวซุน แต่นางโอะมะกิไม่ใช่ฆาตกร เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงเมาเหล้าขนาดนั้นจะแทงผู้ชายที่เดียวขาดใจตาย จะว่าผู้ชายอาจเผลอตัวเพราะประมาทเห็นว่าเป็นคนรักก็ตามที แต่ผู้หญิงจะมีแรงมากมายขนาดแทงทะลุได้อย่างนั้นเชียวรึ มันยากอยู่นะเอ็ง และยิ่งวันนั้นโทเบกำลังอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดโกรธจัดถึงขนาดโยนใบหย่าใส่หน้านางเมีย แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะเผลอไผลให้ผู้หญิงเมาเหล้าถือมีดเข้ามาแทงเอาอย่างนั้น” ไคชูยังไม่หยุดมือที่สาละวนอยู่กับการคัดเลือดร้ายทิ้ง
“ฉันว่านักสืบชินจูโร ยูกิ เขามองออกนะว่าไอ้ขี้ดินเป็นหย่อม ๆ น่ะมันคือสิ่งพรางตา คือฆาตกรจับจุดได้ว่านางโอะมะกิจะต้องถูกโทเบเอาใบหย่าฟาดหน้า และโยะชิโอะจะต้องถูกตัดน้าตัดหลาน คนที่รู้เรื่องนี้นอกจากคะซุเกะแล้วก็ไม่เห็นมีใครอีก ถ้าหมอนี่เป็นคนฆ่านายโทเบจริงใคร ๆ คงตกใจไปตาม ๆ กัน แต่ฆาตรกรตัวจริงส่วนใหญ่มันก็ทำนองนี้แหละ คะซุเกะต้องแค้นใจมากที่ถูกโทเบไล่ออกจากงาน คนเรายิ่งเป็นคนซื่อตรงเพียงใดความเคียดแค้นย่อมล้ำลึกเพียงนั้น การที่หมอนั่นออกไปตกระกำลำบากอยู่ถึงห้าเดือนมันต้องทำให้ความคิดความอ่านเพี้ยนไปบ้างละ นายท่านยกโทษให้กลับมาทำงานตามเดิมได้ก็ดีใจละแต่จะให้ดักดานอยู่แค่หัวหน้าเสมียนมันจะพอไหม คนเราพอได้ลิ้มรสความยากจนเข้าครั้งหนึ่งแล้วถ้ามีโอกาสอีกครั้งก็มักจะหวังสูงขึ้นไปเป็นธรรมดา ถ้าคะซุเกะลงมือฆ่าโทเบความสงสัยก็จะไปตกอยู่ที่นางโอะมะกิที่ถูกใบหย่ากับโยะชิโอะที่ถูกตัดญาติขาดมิตรแน่นอน ส่วนเจ้าชูซะกุที่ถูกโทเบไล่ออกก็เหมือนกันนั้น หลังจากที่โทเบถูกฆ่าตายไปแล้วอย่างนี้มันจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ก็ไม่รู้ได้ แต่ถึงจะอยู่ต่อไปคนอย่างหมอนั่นก็ไม่มีบารมีพอที่จะเป็นหัวหน้าเสมียนควบคุมดูแลลูกน้องได้ คนที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของสังคมก็คือเจ้าคะซุเกะคนนี้ และในเมื่อไม่มีใครมากีดขวางอีกแล้วมันก็จะเข้าครองตำแหน่งใหญ่ค้ำฟ้าอยู่ในร้านเพียงคนเดียว ส่วนแม่หนูอะยะผู้อ่อนแอขี้โรคนั้นอีกไม่นานก็จะคงตายไปเพราะโรคร้าย ทีนี้สมบัติพัสถานทั้งหมดของตะกูลคะวะกิก็จะตกอยู่ในกำมือของคะซุเกะคนเดียว และในเมื่อหมอนี่เป็นคนดีในสายตาของสังคมถึงมันจะเข้าครอบครองเป็นเจ้าของสมบัติของตระกูลนี้ ก็ไม่มีใครมาว่าอะไร คะซุเกะมันมองลึกถึงขนาดนั้นเชียวละเอ็ง”
ไคชูว่าพลางเก็บมีดกับหินลับเข้าที่
“คะซุเกะออกจากเรือนใหญ่ที่เป็นตัวร้าน เดินเข้าซอยอ้อมมาด้านหลังแล้วปีนข้ามรั้วลอบเข้าไปในโกดังสินค้า คงพอดีกับตอนที่นางโอะมะกิกับโยะชิโอะกำลังถูกนายโทเบด่าเกรี้ยวกราด มันก็เลยเข้าไปแอบอยู่ในห้องข้าง ๆ ซุ่มคอยจนคนทั้งสองเดินคอตกออกไปจึงเข้าไปแทงนายโทเบทีเดียวทะลุหน้าอกขาดใจตาย ที่นางโอะมะกิเมาสาเกกลับขึ้นไปเอะอะเอ็ดตะโรในโกดังและพยายามจะเข้าไปในห้องของโทเบแต่เข้าไม่ได้น่ะ ก็เพราะเจ้าคะซุเกะมันขัดสลักกลอนจากข้างใน และมันก็จะต้องใช้ตาปูห้านิ้วขัดสลักเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วยแน่ มันแทงนายโทเบตายไปเรียบร้อยและกำลังกลบเกลื่อนหลักฐาน ดูว่าทำอะไรตกเอาไว้บ้างหรือเปล่า ทิ้งร่องรอยไว้บ้างไหม คนที่เคร่งระเบียบวินัยนั้น ถึงเวลาคับขันเข้าจริง ๆ จะกล้าอย่างบ้าบิ่นและระวังตัวดีมาก เจ้าคะซุเกะคอยจนทุกอย่างเงียบสงบดีแล้วจึงแฝงตัวกลับออกไปได้ ที่มันบอกว่าแวะดื่มสาเกจอกหนึ่งที่แผงลอยในงานศาลเจ้าน่ะ ฟังดูก็สอดคล้องกับเหตุการณ์ เอ็งว่าไหม”
นักดาบร่างใหญ่รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันกับความเฉียบคม ลึกล้ำ และถูกต้อง ของดวงตาแห่งสมองของท่านผู้นี้จนพูดไม่ออกได้แต่ถอนใจออกมาเบา ๆ
*
ยังมีเวลานิดหน่อยก่อนถึงเที่ยงซึ่งเป็นเวลานัดหมาย โทะระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่หัวใจพองโตไปด้วยความปิติที่ดวงตาแห่งสมองของเขามองรูปคดีได้อย่างทะลุปรุโปร่งหลังจากได้รับการชี้แนะจากท่านผู้ใหญ่ที่เขาเคารพ เขาไม่มีสมาธิที่จะสงบนิ่งคอยเวลาอยู่ที่บ้าน จึงปั้นข้าวเหน็บชายพกมากินเป็นอาหารกลางวันออกเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านของชินจูโร ยูกิตั้งแต่สี่โมงเช้า พอไปถึงก็เดินทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องพลางชำเลืองซ้ายทีขวาทีผ่านสวนตรงไปที่ห้องทำงานของนักสืบเอก
นักดาบร่างใหญ่พบว่าวันนี้นอกจากเขาแล้วยังมีคนสอดรู้สอดเห็นอีกคนหนึ่งมาเฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่เช้า และเมื่อเผชิญหน้ากันเขาก็ต้องแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะคน ๆ นั้นคือคุณหนูโอะริเอะแห่งคฤหาสน์คะโน เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเช้าเธออ่านหนังสือพิมพ์พบข่าวว่าวันนี้สุภาพบุรุษนักสืบจะออกโรงวิเคราะห์คดีสำคัญ เธอเองก็อยากใช้ดวงตาแห่งสมองถอดรหัสปริศนาเพื่อจับฆาตกรตัวจริงด้วยเหมือนกัน จึงขี่ม้ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ พอมาถึงก็แล่นเข้าไปหาชินจูโรถึงห้องทำงาน
“คุณขี่ม้าไม่เป็นหรือคะ”
“ก็เป็นนะครับ แต่ผมไม่มีม้า”
“อ้าว แล้วเวลาไปนิงเงียวโจ คุณไปยังไงล่ะคะ ไกลออกอย่างนั้น”
“เดินไปครับ”
“ตายจริง งั้นฉันเดี๋ยวฉันไปเอาม้ามาให้”
“ผมไม่ได้ไปคนเดียวครับ แต่มีคณะพรรคติดตามไปด้วย”
“รู้ค่ะ นายนักสืบเชลยศักดิ์เต๊ะท่าหัวสูง กับนักดาบร่างใหญ่ไร้มารยาท”
“แล้วยังมีคุณจ่าโยะชิดะ อีกคนหนึ่งด้วยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็สี่ตัวนะคะ”
พูดเสร็จก็ขี่ม้ากลับไปโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม และไม่นานก็กลับมาพร้อมกับคนเลี้ยงม้าจูงม้า 4 ตัวมาผูกไว้ในสวน
ตอนนั้นการขี่ม้ากำลังเป็นที่นิยมกันมาก พวกผู้หญิงก็เอากับเขาด้วยโดยจะใส่กางเกงกิโมโนแบบผู้ชายขี่ม้าไปอวดโฉมตามย่านการค้าที่มีผู้คนมาชุมนุมกันคึกคักจอแจ ความนิยมไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น ชาวบ้านธรรมดาบางคนก็นิยมกันบ้างแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ รู้บ้างไม่รู้บ้าง ส่วนผู้หญิงก็เห็นมีแต่พวกนางโลมตามสถานเริงรมย์เท่านั้น ทว่าสำหรับผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการกลับรังเกียจเหยียดหยามความนิยมขี่ม้า ดูถูกคนขี่ม้าว่าเป็นป่าคนเถื่อน เป็นไพร่ชั้นต่ำ และนางโลม สุภาพบุรุษสุภาพสตรีผู้มีความรู้จะไม่เที่ยวขี่ม้าตากหน้าไปตามท้องถนน แต่นั่นไม่ใช่คุณหนูโอะริเอะผู้ทวนกระแสสามัญสำนึกจนเป็นนิสัย เธอเห็นว่าการขี่ม้านั้นดูน่าสนุกเหลือเกินจนทนลองขี่ดูไม่ได้ แล้วก็ต้องตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งเพราะมันสนุกจริง ๆ ไม่มีใดเทียม จากนั้นมาเธอก็ชอบที่จะขี่ม้าไปไหน ๆ ตามใจชอบโดยไม่สนใจสายตาของคนเดินถนนที่จ้องมอง ชินจูโรสุภาพบุรุษผู้ทรงคุณวุฒิรู้สึกลำบากใจที่มีม้าเข้ามาอยู่ในสวนของเขาถึงสี่ตัว แต่เมื่อคิดไตร่ตรองคำพูดของคุณหนู โอะริเอะ เขาก็ไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธออกมาได้
พอคณะพรรคมาครบทุกคนพร้อมออกเดินทาง คนที่ทำหน้างอไม่พอใจก็คือนักดาบร่างใหญ่ ไม่ใช่เพราะขี่ม้าไม่เป็นแต่ชุดกิโมโนที่เขาสวมอยู่มันไม่เหมาะกับการขี่ม้าเอาเสียเลย แต่คำวิเคราะห์คดีอันแสนจะหลักแหลมที่อัดอั้นอยู่ในอกทำให้เขาต้องบอกตนเองให้กัดฟันทนเอาหน่อย
ขบวนม้าห้าตัวที่คนขี่มีลักษณะแปลกไม่ซ้ำกันโดยมีจ่าชิกะโซขี่นำไปด้วยท่าทางเนือย ๆ ผ่านไปตามถนนมุ่งสู่ย่าน นิงเงียวโจตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ต่างชี้ชวนกันดูและโจทย์ขานกันไปต่าง ๆ นา ๆ ประมาณนี้
“เฮ้ย ดูนั่นซี แปลกว่ะ หรือจะเป็นกายกรรมบนหลังม้าคณะของญี่ปุ่นออกมาเดินขบวนเรียกลูกค้า คงกำลังจะมาตั้งเต๊นแสดงแข่งกับคณะจากอิตาลีเจ้าโน้นละมัง นายคนที่จับปลายหนวดขมวดอยู่ตลอดเวลานั่นคงจะเป็นโฆษก แม่หนูคนสวยนักแสดงและขับร้องนั่นเด็ดดวงแท้ ๆ อย่างนี้คณะของอิตาลีนั่นเทียบไม่ติดเลยว่าไหม เอ๊ะ แล้วคนตัวใหญ่นั่นล่ะ ชักสงสัยแล้วซีว่านายคนนี้เกิดที่ญี่ปุ่นแน่หรือ ดูเถื่อน ๆ ยังไงไม่รู้ ฮะ...ฮ้า รู้ละ หมอนี่น่าสนใจมาก คือยังงี้ไง...ที่ญี่ปุ่นนี่หาสัตว์ป่ายากมากใช่ไหม พอคณะแสดงหาสัตว์ป่าไม่ทันก็เอาหมอนี่แหละคลุมหนังเสือกระโดดลอดห่วงไฟไง เป็นพระเอกเลยละ”
เมื่อขบวนม้าของคณะพรรคนักสืบชินจูโรมาถึงร้านคะวะกิที่นิงเงียวโจปรากฏว่าตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหามาคอย
อยู่แล้ว คะซุเกะอดีตหัวหน้าเสมียนก็อยู่ในกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันอยู่ตรงนั้นด้วย
ศพของโทเบบรรจุอยู่ในโลงไม้สีขาวตั้งไว้ในมุมสงบ อะยะลูกสาวคนเดียวของผู้ตายอุตส่าห์พาสังขารที่ถูกรุมเร้าด้วยโรคร้ายมาเคารพศพพ่อและพอเห็นหน้าพ่อเท่านั้นก็เป็นลมหมดสติ ไข้ขึ้นสูง ต้องเข้าไปนอนซมอยู่ในห้อง ชินจูโรสั่งให้ปิดประตูหน้าร้านแล้วเรียกผู้เกี่ยวข้องทุกคนมารวมตัวกัน พร้อมทั้งให้ตำรวจแก้มัดโยะชิโอะที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีนี้ด้วย
“นอนตารางมาคืนหนึ่งเป็นยังไงบ้าง นายโทเบเลี้ยงดูเจ้ามานานปีและเจ้าก็ทำงานตอบแทนบุญคุณน้าอย่างขยันขันแข็งดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปมีอะไร ๆ กับนางโอะมะกิก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ทำชั่วขนาดนี้นอนตารางแค่คืนเดียวมันไม่พอที่จะลุแก่โทษให้เจ้าได้หรอกนะ”
สุภาพบุรุษนักสืบพูดเสียงแข็งเป็นเชิงดุด่า ก่อนที่จะบอกว่า
“เอาละ บอกมาซิว่ากระเป๋ายาสูบที่เจ้าบอกว่าเก็บมาจากข้างศพของโทเบน่ะอยู่ที่ไหน”
“กระผมทิ้งลงแม่น้ำโอคะวะไปแล้วขอรับ”
“เจ้าพกกระเป๋ายาสูบติดเอวไว้เสมอรึ”
“ไม่ได้พกไว้เสมอหรอกขอรับ เวลาทำงานในร้านหรือทำอะไร ๆ กระผมก็ไม่ได้พกมันติดตัว”
“คืนเกิดเหตุตอนที่นายโทเบเรียกหาตัวเจ้าน่ะ เจ้าอยู่ในร้านและพอถูกเรียกก็ขึ้นไปที่โกดังใช่ไหม”
“อ๊า...” โยะชิโอะอุทานเสียงดัง
“จริงอย่างที่ท่านพูดทุกอย่างเลยขอรับ อารามที่กระผมตื่นตระหนกตกใจจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จริงทีเดียว คืนนั้นกระผมทำงานอยู่ในร้านจึงไม่ได้พกกระเป๋ายาสูบขึ้นไปหาคุณน้าบนโกดัง ตอนนี้กระผมจำได้ชัดเจนแล้วขอรับ”
นักสืบเอกพยักหน้ายิ้ม ๆ
“ถึงเจ้าคิดจะพกกระเป๋ายาสูบติดตัวขึ้นไปบนโกดังด้วยเจ้าก็ไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ เพราะตอนนั้นกระเป๋ายาสูบอันตรธานจากห้องของเจ้าไปซุกอยู่ในอกเสื้อของฆาตกรเรียบร้อยแล้ว ฆาตกรเอากระเป๋ายาสูบของเจ้าซุกไว้ในอกเสื้อออกจากบ้านไปตอนสองทุ่ม แวะไปที่โรงมหรสพคะเนะโมะโตะก่อน แต่นักเล่าเรื่องขำขันที่ออกโรงชุดแรก ๆ เล่าเรื่องไม่ค่อยสนุก มันก็เลยชวนคนนั้นคนนี้คุยกันอยู่ในโรง ทีแรกคิดว่านาน ๆ ทีได้ฟังตั้งแต่ฉากแรก ๆ คงดีเหมือนกันแต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ทนฟังอยู่ไม่ไหว จึงไปขอให้คนดูแลเกี๊ยะที่คุ้นหน้ากันดีหยิบเกี๊ยะออกมาให้แล้วบอกว่าจะออกไปเดินดูอะไรตามร้านรวงในงานศาลเจ้าสักหน่อยเดี๋ยวจะกลับมาใหม่ พอออกจากโรงมหรสพมันก็เดินเข้าซอยอ้อมไปด้านหลัง เหยียบถังขยะปีนรั้วลอบเข้ามาในบริเวณบ้าน ถอดเกี๊ยะซุกไว้ในอกเสื้อ มองซ้ายมองขวาเดินเท้าเปล่าผ่านสวนย่องกริบเข้าไปในโกดัง สำรวจดูข้างในโกดังจนแน่ใจแล้วจึงขึ้นไปชั้นบน แง้มประตูแทรกตัวเข้าไปซ่อนอยู่ในห้องข้าง ๆ ห้องนั่งเล่น ซึ่งโทเบกับ คะซุเกะกำลังจับมือกันร้องไห้พลางให้คำมั่นสัญญาซึ่งกันและกัน”
คนที่ลุกขึ้นตะครุบตัวชูซะกุเอาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะวิ่งหนีไปได้คือฮะนะโนะยะ อิงงะ นักสืบผู้นี้ถึงจะด้อยสติปัญญาด้านการสืบและการใช้ดวงตาแห่งสมอง แต่จะว่องไวราวลมกรดทันทีที่รู้ตัวผู้ร้ายและตะครุบจับไว้ได้ไม่มีพลาด และพอจับตัวชูซะกุมอบให้กับตำรวจเรียบร้อยแล้วเขาก็วางท่าราวกับเป็นนักสืบเอกผู้คลี่คลายปมปริศนาด้วยตนเอง ปิดปลายหนวดเชิดหน้าอย่างผยอง
สุภาพบุรุษนักสืบรูปงามคอยให้เสียงเอะอะซาลงแล้ว จึงไขปริศนาให้ฟังกันดังนี้
“เจ้าชูซะกุวางแผนฆ่านายโทเบมาตั้งแต่คืนวันที่ 4 ทำไมหรือ...ก็เพราะพฤติกรรมทุจริตร้ายกาจของมันเริ่มแดงออกมาทีละเรื่องสองเรื่องจนดูเหมือนว่านายท่านจะไม่ไว้ใจมันอีกต่อไป และพอดีมันได้ยินจากปากของนายท่านเลยทีเดียวว่ารู้เรื่องที่โยะชิโอะกับโอะมะกิเป็นชู้กันแล้วจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับสองคนนั่นและไล่ออกจากบ้าน มันก็เลยตัดสินในลงมือ ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 5 ศาลเจ้าซุยเท็งงูมีงานออกร้านและคืนนั้นมันได้ออกเวรไม่ต้องเฝ้าร้าน เจ้าชูซะกุรู้ดีว่าคืนวันงานเช่นนี้ลูกค้าจะเข้ามาซื้อของกันแน่นและคนในร้านจะยุ่งจนไม่มีใครมีเวลาออกมาทำอะไรแถวโกดัง วันที่ 5 จึงเป็นวันฤกษ์ดีมากและมันก็เตรียมหาหลักฐานเพื่อเอาตัวรอดไว้พร้อมแล้วจึงลงมือทำตามแผน ทว่าพอลอบเข้าไปเกือบจะถึงตัวเหยื่ออยู่แล้วมันกลับพบคะซุเกะอดีตหัวหน้าเสมียนอยู่ที่นั่น และพอแอบฟังความอยู่ในห้องข้าง ๆ ก็รู้ว่านายท่านขอให้คะซุเกะกลับมาทำงานที่ร้านอีกครั้งแทนตัวมันซึ่งนายท่านตกลงใจที่จะเฉดหัวออกไปเพราะทุจริตฉ้อฉลมีกลโกงเหลือประมาณ การที่สองคนนายบ่าวกลับมาญาติดีกันดังเดิมอย่างที่เจ้าชูซะกุไม่ได้คาดคิดมาก่อน ยิ่งทำให้มันเคียดแค้นและเฝ้าคอยโอกาสเหมาะที่จะเข้าไปฆ่าให้ได้ในวันนั้น พอคะซุเกะกลับลงไปโยะชิโอะกับโอะมะกิก็ขึ้นมา คราวนี้นายโทเบเกรี้ยวกราดด่าทอ จนสุดท้ายก็ร่อนใบหย่าใส่หน้านางโอะมะกิ ตัดน้าตัดหลานกับโยะชิโอะ แล้วไล่ชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นออกไปให้พ้นบ้านในคืนนี้ ชูซะกุไม่มีโอกาสใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้วเพราะเมื่อโทเบถูกฆ่าตาย ไม่ว่าใครจะต้องสงสัยโยะชิโอะกับโอะมะกิแน่เพราะมีเหตุจูงใจให้ฆ่าอยู่อย่างเพียงพอเลยทีเดียว ดังนั้นพอสองคนกลับออกไปเจ้าชูซะกุจึงออกมาฆ่าโทเบอย่างเลือดเย็น ตอนที่โอะมะกิเมาเหล้าเข้ามาเอะอะในโกดังนั้นชูซะกุยังอยู่ข้างศพโทเบ มันปิดประตูสับสลักกลอนเอาตาปูห้านิ้วขัดไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วตรวจรอบ ๆ บริเวณไม่ให้เหลือร่องรอยที่จะเชื่อมโยงมาถึงตน มันตรวจดูสิ่งของเครื่องใช้ในกายตัวของโทเบด้วย ตั้งใจไว้ว่าถ้าเจอเอกสารอะไรที่จะส่งผลร้ายแก่ตนก็จะขโมยไป และพอเห็นว่าไม่มีอะไรมันก็เอากระเป๋าใส่ยาสูบที่ขโมยมาจากห้องของโยะชิโอะวางไว้ข้างศพ จัดการให้ห้องนั้นอยู่ในสภาพห้องปิดตายแล้วลอยนวลออกไป หลังจากนั้นมันก็ตีหน้าเฉยกลับไปที่โรงมหรสพ ฟังการเล่าเรื่องขบขันของเอ็นโช ดื่มสาเกหนึ่งจอกที่ร้านซุชิแล้วจึงกลับไปนอนที่ห้องราวตีสองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดว่าพอมีคนพบศพโทเบแล้วมีการสืบสวนเรื่องก็จะแดงออกมาว่านางกับโยะชิโอะเป็นชู้กัน และกระเป๋าใส่ยาสูบที่ตกอยู่ข้างศพโทเบก็จะเป็นหลักฐานมัดตัวโยะชิโอะให้ถูกจับฐานฆาตกรในที่สุด โยะชิโอะไม่มีทางรอดไปได้ในเมื่อมีทั้งแรงจูงใจให้ฆ่าและกระเป๋าใส่ยาสูบเป็นพยานวัตถุพร้อมมูลอย่างนั้น เมื่อทุกคนมีอันเป็นไปเช่นนี้ทั้งบ้านจึงเหลือแต่คุณหนูอะยะที่ป่วยเป็นโรคร้ายอยู่เพียงคนเดียว ทีนี้เจ้าชูซะกุก็จะสลัดความเป็นหัวหน้าเสมียนมาเป็นเจ้าบ่าวของอะยะหญิงขี้โรคเพื่อจะได้ครอบครองสมบัติของตระกูลคะวะกิสืบต่อไป เจ้าชูซะกุมันมองไกลถึงขนาดนี้เลยละครับ”
ชูซะกุเงยหน้าขึ้นจ้องนักสืบเอกอย่างไม่พรั่นพรึง
“ถ้าพูดถึงขั้นตอนการฆ่าละก็ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านพูด แต่ข้าขอบอกว่าข้าวางแผนสังหารมานานมากแล้ว ไม่ได้ฆ่าอย่างหุนหันพลันแล่นอย่างที่ท่านคิด เรื่องมันมีอยู่ว่านางโอะมะกิให้ท่าข้าก่อนนายโยะชิโอะเสียอีก แต่ทว่าข้าคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง คือถ้าข้าไม่เอาด้วย ผู้หญิงร่านสวาทอย่างนางก็จะต้องหันไปหานายโยะชิโอะแน่นอน ข้าจึงพยายามสร้างสถานการณ์ให้ใคร ๆ เห็นว่าสองคนนั่นเป็นชู้และรวมหัวกันฆ่านายท่าน หลังจากนั้นข้าก็จะได้ครอบครองร้านคะวะกินี้คนเดียว ข้าคิดมาราวปีครึ่งแล้วทันทีหลังจากที่นายคะซุเกะถูกไล่ออก ไม่ได้คิดวันที่ 4 แล้วลงมือฆ่าวันงานศาลเจ้าวันที่ 5 อย่างที่ท่านนักสืบเข้าใจ ข้าตกลงใจลงมือตามแผนสังหารเมื่อเดือนก่อนและเริ่มเอาจริงคือไปดูการแสดงเล่าเรื่องขำขันของเอ็นโชที่จัดเป็นชุดเรื่องตลกของฝรั่งตั้งแต่วันที่ 1 เพื่อสร้างหลักฐานเอาไว้ให้สมจริง แต่ถึงคราวซวยของข้าแท้ ๆ ที่พอวันที่ 4 นายท่านเรียกข้าขึ้นไปด่าและเฉดหัวออกจากบ้าน ทำให้ข้ากลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปอีกคน แถมยังมีฉากที่นายท่านเรียกนายคะซุเกะมาปรับความเข้าใจแล้วคืนดีกันซ้ำซ้อนเข้ามาอีก ข้ามาตรองดูแล้ววันที่ 5 นี่มันช่างฤกษ์ไม่ดีสำหรับข้าจริง ๆ อุตส่าห์วางแผนอย่างดีมานานวัน ตัดสินใจลงมือคลาดไปวันเดียวแผนสังหารก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าถ้าไม่ใช่เพราะชะตากรรมก็ไม่รู้จะโทษอะไรดี แต่ที่แน่ ๆ แผนสังหารของข้าลึกล้ำกว่าที่ท่านนักสืบสันนิษฐานด้วยสติปัญญาที่เขาลือกันว่าเฉียบคมมากนัก” พอพูดจบเจ้าชูซะกุก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันใส่หน้าชินจูโร
*
คะสึไคชูฟังรายงานของนักดาบร่างใหญ่จนจบโดยไม่ละมือจากกรรมวิธีบำบัดสุขภาพด้วยการคัดเลือดร้ายทิ้ง
“อือม์ เจ้าชูซะกุมันว่าอย่างนั้นรึ มันคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ถูกนายโทเบดุด่าและเฉดหัวออกจากบ้าน และที่มันบอกว่าวันที่ห้าที่มันเลือกเป็นวันลงมือฆ่านั่นก็เป็นวันฤกษ์ไม่ดีจริง ๆ เพราะทำให้แผนที่มันอุตส่าห์วางไว้อย่างรอบคอบต้องล้มเหลวไปหมด ฟังแล้วดูเหมือนมันจะแค้นใจจริง ๆ ที่แผนชั่วร้ายที่มันทำสำเร็จมาเป็นขั้นเป็นตอนกลับพลิกผันเอาง่าย ๆ ชีวิตเรามันก็ต้องมีดีบ้างร้ายบ้าง แต่พอจนแต้มเข้าก็โทษชะตากรรมกันทั้งนั้น เจ้านี่ก็เหมือนกันพอเขาจับได้ว่าเป็นฆาตกรมันไม่รู้จะแก้ตัวหาทางออกยังไงก็โทษชะตากรรม”
ไคชูจรดปลายมีดที่นิ้วสะกิดเลือดร้ายออกมาพลางว่า
“ที่พ่อนักสืบรูปหล่อของเรามองว่าเจ้าชูซะกุคิดฆ่านายโทเบหลังจากถูกดุด่าและเฉดหัวออกจากบ้านเมื่อวันที่สี่นั้นมันก็ไม่ผิดเสียเลยทีเดียว แต่เจ้าชูซะกุบอกว่ามันวางแผนฆ่ามานานแล้วและตัดสินใจลงมือจริงจังเมื่อเดือนก่อนไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้อย่างที่นายนักสืบเอกวิเคราะห์ การที่นายโทเบเรียกตัวมันไปดุด่าและเฉดหัวออกจากบ้านเมื่อวันที่สี่นั้นเป็นความซวยของมันเองเพราะทำให้ถูกสงสัยว่าเป็นคนฆ่า ก็น่าให้มันคิดอย่างนั้นเพราะความจริงไอ้ความบังเอิญนี่บางทีก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ พ่อนักสืบของเราคงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเจ้าชูซะกุมันจะมารูปนี้ และเอามันไม่อยู่หมัดแถมยังโดนมันหัวเราะเยาะเข้าให้ ถ้าข้าอยู่ที่นั่นด้วยก็คงตกที่นั่งเดียวกับพ่อนักสืบชินจูโร ความบังเอิญมันอยู่เหนือสติปัญญาของคนเรา ที่ข้ามองผิดไปว่าเจ้าคะซุเกะเป็นฆาตกรนั่นมันช่วยไม่ได้เพราะว่าข้าไม่ได้ไปอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่คนที่ใคร ๆ มองว่าซื่อสัตย์สุจริตอย่างเจ้าคะซุเกะนั้นข้าเคยเห็นมาหลายรายแล้วว่าพอจนแต้มขึ้นมามันก็ฆ่าคนได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ลืมที่จะหมายหัวคนลักษณะนี้เอาไว้ก่อน ขี้ดินที่ตกอยู่เป็นหย่อม ๆ ในห้องนั่นมันให้เบาะแสอะไรข้าก็รู้อยู่ มันทำให้ข้าพุ่งเป้าไปที่คะซุเกะกับชูซะกุ ไม่คนใดก็คนหนึ่งต้องเป็นฆาตกรตัวจริง เผอิญข้าชี้ไปที่คะซุเกะก็เลยพลาดไป”
โทะระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่ผู้หันมาเอาดีทางการเป็นนักสืบ ฟังการวิเคราะห์รูปคดีปริศนาของคะสึไคชูอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความชื่นชมในวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้ทรงคุณวุฒิอันเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนทั่วไปท่านนี้
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
5
คะสึไคชู อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แห่งรัฐบาลโชกุนเลื่อนหินลับมีดเข้ามาใกล้แล้วค่อย ๆ เริ่มบรรจงลับมีดด้ามจิ๋วคู่มือ พอลับเสร็จก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับด้ามมีดเอื้อมไปสะกิดคมมีดที่ท้ายทอยเพื่อเค้นเลือดเสียออกมาเช็ดกับกระดาษที่เตรียมไว้จนพอ แล้วจึงทำอย่างเดียวกันกับนิ้ว พอดีกับโทะระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่เล่าเรื่องจบ
“เอ้า...ดื่มกาแฟเสียก่อน ถ้าปล่อยให้เย็นละก้อกินไม่ลงเลยละเอ็ง” ไคชูพยักหน้าไปทางถ้วยกาแฟที่เป็นเครื่องดื่มสุดหรูของยุคสมัย และยังใช้คมมีดสะกิดตรงนั้นตรงนี้บีบเลือดร้ายออกทิ้ง ท่าทางของท่านดูเหมือนว่ากำลังใช้สมองคิดคลี่คลายเงื่อนงำของปริศนาห้องปิดตายอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง
“ใครก็ตามที่ได้ฟังเรื่องนี้จะต้องคิดว่าคนที่น่าจะเป็นคนร้ายมากที่สุดคือโยะชิโอะกับนางโอะมะกิ เพราะถ้าปล่อยให้นายโทเบมีชีวิตอยู่ต่อไปโยะชิโอะก็จะหมดโอกาสได้สืบมรดกของตระกูลคะวะกิ นางโอะมะกิก็จะตกอยู่ในฐานะที่ไม่ผิดอะไรกับผู้หญิงข้างถนน แต่ถ้าฆ่าเสียสมบัติพัสถานก็จะตกมาถึงตนตามกฎหมายเพราะอย่างไรเสียคนตายก็พูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว การที่โยะชิโอะลอบขึ้นไปที่โกดังกลางดึกตอนตีหนึ่ง เอาไม้จิ้มฟันอันยาวสอดเข้าไปยกสลักกลอนเปิดเข้าไปในห้องก็เพราะตั้งใจจะเข้าไปฆ่าน้าของตัวเองอย่างที่พ่อนักสืบรูปงามชินจูโรพูดน่ะถูกต้อง แต่พอลอบเข้าไปถึงห้องข้างในก็พบว่าโทเบถูกใครสักคนฆ่าตายอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว โยชิโอะตกใจวิ่งหนีออกมาจากที่เกิดเหตุและคงคิดว่านางโอะมะกิเป็นคนฆ่า ความที่โยชิโอะรู้ดีว่านางผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจเพียงใดมันจึงกลัวมาก เพราะเดาได้ว่าพอตำรวจสืบจนได้หลักฐานครบถ้วนแล้วว่านางเป็นคนฆ่าโทเบ นางก็จะใช้มารยาสารพัดโน้มน้าวให้ตำรวจเชื่อว่านางร่วมมือกับโยชิโอะฆาตกรรมนายโทเบ เพราะอย่างนั้นมันถึงหวาดกังวลหลบหนีหัวซุกหัวซุน แต่นางโอะมะกิไม่ใช่ฆาตกร เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงเมาเหล้าขนาดนั้นจะแทงผู้ชายที่เดียวขาดใจตาย จะว่าผู้ชายอาจเผลอตัวเพราะประมาทเห็นว่าเป็นคนรักก็ตามที แต่ผู้หญิงจะมีแรงมากมายขนาดแทงทะลุได้อย่างนั้นเชียวรึ มันยากอยู่นะเอ็ง และยิ่งวันนั้นโทเบกำลังอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดโกรธจัดถึงขนาดโยนใบหย่าใส่หน้านางเมีย แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะเผลอไผลให้ผู้หญิงเมาเหล้าถือมีดเข้ามาแทงเอาอย่างนั้น” ไคชูยังไม่หยุดมือที่สาละวนอยู่กับการคัดเลือดร้ายทิ้ง
“ฉันว่านักสืบชินจูโร ยูกิ เขามองออกนะว่าไอ้ขี้ดินเป็นหย่อม ๆ น่ะมันคือสิ่งพรางตา คือฆาตกรจับจุดได้ว่านางโอะมะกิจะต้องถูกโทเบเอาใบหย่าฟาดหน้า และโยะชิโอะจะต้องถูกตัดน้าตัดหลาน คนที่รู้เรื่องนี้นอกจากคะซุเกะแล้วก็ไม่เห็นมีใครอีก ถ้าหมอนี่เป็นคนฆ่านายโทเบจริงใคร ๆ คงตกใจไปตาม ๆ กัน แต่ฆาตรกรตัวจริงส่วนใหญ่มันก็ทำนองนี้แหละ คะซุเกะต้องแค้นใจมากที่ถูกโทเบไล่ออกจากงาน คนเรายิ่งเป็นคนซื่อตรงเพียงใดความเคียดแค้นย่อมล้ำลึกเพียงนั้น การที่หมอนั่นออกไปตกระกำลำบากอยู่ถึงห้าเดือนมันต้องทำให้ความคิดความอ่านเพี้ยนไปบ้างละ นายท่านยกโทษให้กลับมาทำงานตามเดิมได้ก็ดีใจละแต่จะให้ดักดานอยู่แค่หัวหน้าเสมียนมันจะพอไหม คนเราพอได้ลิ้มรสความยากจนเข้าครั้งหนึ่งแล้วถ้ามีโอกาสอีกครั้งก็มักจะหวังสูงขึ้นไปเป็นธรรมดา ถ้าคะซุเกะลงมือฆ่าโทเบความสงสัยก็จะไปตกอยู่ที่นางโอะมะกิที่ถูกใบหย่ากับโยะชิโอะที่ถูกตัดญาติขาดมิตรแน่นอน ส่วนเจ้าชูซะกุที่ถูกโทเบไล่ออกก็เหมือนกันนั้น หลังจากที่โทเบถูกฆ่าตายไปแล้วอย่างนี้มันจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ก็ไม่รู้ได้ แต่ถึงจะอยู่ต่อไปคนอย่างหมอนั่นก็ไม่มีบารมีพอที่จะเป็นหัวหน้าเสมียนควบคุมดูแลลูกน้องได้ คนที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของสังคมก็คือเจ้าคะซุเกะคนนี้ และในเมื่อไม่มีใครมากีดขวางอีกแล้วมันก็จะเข้าครองตำแหน่งใหญ่ค้ำฟ้าอยู่ในร้านเพียงคนเดียว ส่วนแม่หนูอะยะผู้อ่อนแอขี้โรคนั้นอีกไม่นานก็จะคงตายไปเพราะโรคร้าย ทีนี้สมบัติพัสถานทั้งหมดของตะกูลคะวะกิก็จะตกอยู่ในกำมือของคะซุเกะคนเดียว และในเมื่อหมอนี่เป็นคนดีในสายตาของสังคมถึงมันจะเข้าครอบครองเป็นเจ้าของสมบัติของตระกูลนี้ ก็ไม่มีใครมาว่าอะไร คะซุเกะมันมองลึกถึงขนาดนั้นเชียวละเอ็ง”
ไคชูว่าพลางเก็บมีดกับหินลับเข้าที่
“คะซุเกะออกจากเรือนใหญ่ที่เป็นตัวร้าน เดินเข้าซอยอ้อมมาด้านหลังแล้วปีนข้ามรั้วลอบเข้าไปในโกดังสินค้า คงพอดีกับตอนที่นางโอะมะกิกับโยะชิโอะกำลังถูกนายโทเบด่าเกรี้ยวกราด มันก็เลยเข้าไปแอบอยู่ในห้องข้าง ๆ ซุ่มคอยจนคนทั้งสองเดินคอตกออกไปจึงเข้าไปแทงนายโทเบทีเดียวทะลุหน้าอกขาดใจตาย ที่นางโอะมะกิเมาสาเกกลับขึ้นไปเอะอะเอ็ดตะโรในโกดังและพยายามจะเข้าไปในห้องของโทเบแต่เข้าไม่ได้น่ะ ก็เพราะเจ้าคะซุเกะมันขัดสลักกลอนจากข้างใน และมันก็จะต้องใช้ตาปูห้านิ้วขัดสลักเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วยแน่ มันแทงนายโทเบตายไปเรียบร้อยและกำลังกลบเกลื่อนหลักฐาน ดูว่าทำอะไรตกเอาไว้บ้างหรือเปล่า ทิ้งร่องรอยไว้บ้างไหม คนที่เคร่งระเบียบวินัยนั้น ถึงเวลาคับขันเข้าจริง ๆ จะกล้าอย่างบ้าบิ่นและระวังตัวดีมาก เจ้าคะซุเกะคอยจนทุกอย่างเงียบสงบดีแล้วจึงแฝงตัวกลับออกไปได้ ที่มันบอกว่าแวะดื่มสาเกจอกหนึ่งที่แผงลอยในงานศาลเจ้าน่ะ ฟังดูก็สอดคล้องกับเหตุการณ์ เอ็งว่าไหม”
นักดาบร่างใหญ่รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันกับความเฉียบคม ลึกล้ำ และถูกต้อง ของดวงตาแห่งสมองของท่านผู้นี้จนพูดไม่ออกได้แต่ถอนใจออกมาเบา ๆ
*
ยังมีเวลานิดหน่อยก่อนถึงเที่ยงซึ่งเป็นเวลานัดหมาย โทะระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่หัวใจพองโตไปด้วยความปิติที่ดวงตาแห่งสมองของเขามองรูปคดีได้อย่างทะลุปรุโปร่งหลังจากได้รับการชี้แนะจากท่านผู้ใหญ่ที่เขาเคารพ เขาไม่มีสมาธิที่จะสงบนิ่งคอยเวลาอยู่ที่บ้าน จึงปั้นข้าวเหน็บชายพกมากินเป็นอาหารกลางวันออกเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านของชินจูโร ยูกิตั้งแต่สี่โมงเช้า พอไปถึงก็เดินทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องพลางชำเลืองซ้ายทีขวาทีผ่านสวนตรงไปที่ห้องทำงานของนักสืบเอก
นักดาบร่างใหญ่พบว่าวันนี้นอกจากเขาแล้วยังมีคนสอดรู้สอดเห็นอีกคนหนึ่งมาเฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่เช้า และเมื่อเผชิญหน้ากันเขาก็ต้องแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะคน ๆ นั้นคือคุณหนูโอะริเอะแห่งคฤหาสน์คะโน เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเช้าเธออ่านหนังสือพิมพ์พบข่าวว่าวันนี้สุภาพบุรุษนักสืบจะออกโรงวิเคราะห์คดีสำคัญ เธอเองก็อยากใช้ดวงตาแห่งสมองถอดรหัสปริศนาเพื่อจับฆาตกรตัวจริงด้วยเหมือนกัน จึงขี่ม้ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ พอมาถึงก็แล่นเข้าไปหาชินจูโรถึงห้องทำงาน
“คุณขี่ม้าไม่เป็นหรือคะ”
“ก็เป็นนะครับ แต่ผมไม่มีม้า”
“อ้าว แล้วเวลาไปนิงเงียวโจ คุณไปยังไงล่ะคะ ไกลออกอย่างนั้น”
“เดินไปครับ”
“ตายจริง งั้นฉันเดี๋ยวฉันไปเอาม้ามาให้”
“ผมไม่ได้ไปคนเดียวครับ แต่มีคณะพรรคติดตามไปด้วย”
“รู้ค่ะ นายนักสืบเชลยศักดิ์เต๊ะท่าหัวสูง กับนักดาบร่างใหญ่ไร้มารยาท”
“แล้วยังมีคุณจ่าโยะชิดะ อีกคนหนึ่งด้วยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็สี่ตัวนะคะ”
พูดเสร็จก็ขี่ม้ากลับไปโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม และไม่นานก็กลับมาพร้อมกับคนเลี้ยงม้าจูงม้า 4 ตัวมาผูกไว้ในสวน
ตอนนั้นการขี่ม้ากำลังเป็นที่นิยมกันมาก พวกผู้หญิงก็เอากับเขาด้วยโดยจะใส่กางเกงกิโมโนแบบผู้ชายขี่ม้าไปอวดโฉมตามย่านการค้าที่มีผู้คนมาชุมนุมกันคึกคักจอแจ ความนิยมไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น ชาวบ้านธรรมดาบางคนก็นิยมกันบ้างแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ รู้บ้างไม่รู้บ้าง ส่วนผู้หญิงก็เห็นมีแต่พวกนางโลมตามสถานเริงรมย์เท่านั้น ทว่าสำหรับผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการกลับรังเกียจเหยียดหยามความนิยมขี่ม้า ดูถูกคนขี่ม้าว่าเป็นป่าคนเถื่อน เป็นไพร่ชั้นต่ำ และนางโลม สุภาพบุรุษสุภาพสตรีผู้มีความรู้จะไม่เที่ยวขี่ม้าตากหน้าไปตามท้องถนน แต่นั่นไม่ใช่คุณหนูโอะริเอะผู้ทวนกระแสสามัญสำนึกจนเป็นนิสัย เธอเห็นว่าการขี่ม้านั้นดูน่าสนุกเหลือเกินจนทนลองขี่ดูไม่ได้ แล้วก็ต้องตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งเพราะมันสนุกจริง ๆ ไม่มีใดเทียม จากนั้นมาเธอก็ชอบที่จะขี่ม้าไปไหน ๆ ตามใจชอบโดยไม่สนใจสายตาของคนเดินถนนที่จ้องมอง ชินจูโรสุภาพบุรุษผู้ทรงคุณวุฒิรู้สึกลำบากใจที่มีม้าเข้ามาอยู่ในสวนของเขาถึงสี่ตัว แต่เมื่อคิดไตร่ตรองคำพูดของคุณหนู โอะริเอะ เขาก็ไม่อาจเอ่ยคำปฏิเสธออกมาได้
พอคณะพรรคมาครบทุกคนพร้อมออกเดินทาง คนที่ทำหน้างอไม่พอใจก็คือนักดาบร่างใหญ่ ไม่ใช่เพราะขี่ม้าไม่เป็นแต่ชุดกิโมโนที่เขาสวมอยู่มันไม่เหมาะกับการขี่ม้าเอาเสียเลย แต่คำวิเคราะห์คดีอันแสนจะหลักแหลมที่อัดอั้นอยู่ในอกทำให้เขาต้องบอกตนเองให้กัดฟันทนเอาหน่อย
ขบวนม้าห้าตัวที่คนขี่มีลักษณะแปลกไม่ซ้ำกันโดยมีจ่าชิกะโซขี่นำไปด้วยท่าทางเนือย ๆ ผ่านไปตามถนนมุ่งสู่ย่าน นิงเงียวโจตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ต่างชี้ชวนกันดูและโจทย์ขานกันไปต่าง ๆ นา ๆ ประมาณนี้
“เฮ้ย ดูนั่นซี แปลกว่ะ หรือจะเป็นกายกรรมบนหลังม้าคณะของญี่ปุ่นออกมาเดินขบวนเรียกลูกค้า คงกำลังจะมาตั้งเต๊นแสดงแข่งกับคณะจากอิตาลีเจ้าโน้นละมัง นายคนที่จับปลายหนวดขมวดอยู่ตลอดเวลานั่นคงจะเป็นโฆษก แม่หนูคนสวยนักแสดงและขับร้องนั่นเด็ดดวงแท้ ๆ อย่างนี้คณะของอิตาลีนั่นเทียบไม่ติดเลยว่าไหม เอ๊ะ แล้วคนตัวใหญ่นั่นล่ะ ชักสงสัยแล้วซีว่านายคนนี้เกิดที่ญี่ปุ่นแน่หรือ ดูเถื่อน ๆ ยังไงไม่รู้ ฮะ...ฮ้า รู้ละ หมอนี่น่าสนใจมาก คือยังงี้ไง...ที่ญี่ปุ่นนี่หาสัตว์ป่ายากมากใช่ไหม พอคณะแสดงหาสัตว์ป่าไม่ทันก็เอาหมอนี่แหละคลุมหนังเสือกระโดดลอดห่วงไฟไง เป็นพระเอกเลยละ”
เมื่อขบวนม้าของคณะพรรคนักสืบชินจูโรมาถึงร้านคะวะกิที่นิงเงียวโจปรากฏว่าตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหามาคอย
อยู่แล้ว คะซุเกะอดีตหัวหน้าเสมียนก็อยู่ในกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันอยู่ตรงนั้นด้วย
ศพของโทเบบรรจุอยู่ในโลงไม้สีขาวตั้งไว้ในมุมสงบ อะยะลูกสาวคนเดียวของผู้ตายอุตส่าห์พาสังขารที่ถูกรุมเร้าด้วยโรคร้ายมาเคารพศพพ่อและพอเห็นหน้าพ่อเท่านั้นก็เป็นลมหมดสติ ไข้ขึ้นสูง ต้องเข้าไปนอนซมอยู่ในห้อง ชินจูโรสั่งให้ปิดประตูหน้าร้านแล้วเรียกผู้เกี่ยวข้องทุกคนมารวมตัวกัน พร้อมทั้งให้ตำรวจแก้มัดโยะชิโอะที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีนี้ด้วย
“นอนตารางมาคืนหนึ่งเป็นยังไงบ้าง นายโทเบเลี้ยงดูเจ้ามานานปีและเจ้าก็ทำงานตอบแทนบุญคุณน้าอย่างขยันขันแข็งดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ไปมีอะไร ๆ กับนางโอะมะกิก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ทำชั่วขนาดนี้นอนตารางแค่คืนเดียวมันไม่พอที่จะลุแก่โทษให้เจ้าได้หรอกนะ”
สุภาพบุรุษนักสืบพูดเสียงแข็งเป็นเชิงดุด่า ก่อนที่จะบอกว่า
“เอาละ บอกมาซิว่ากระเป๋ายาสูบที่เจ้าบอกว่าเก็บมาจากข้างศพของโทเบน่ะอยู่ที่ไหน”
“กระผมทิ้งลงแม่น้ำโอคะวะไปแล้วขอรับ”
“เจ้าพกกระเป๋ายาสูบติดเอวไว้เสมอรึ”
“ไม่ได้พกไว้เสมอหรอกขอรับ เวลาทำงานในร้านหรือทำอะไร ๆ กระผมก็ไม่ได้พกมันติดตัว”
“คืนเกิดเหตุตอนที่นายโทเบเรียกหาตัวเจ้าน่ะ เจ้าอยู่ในร้านและพอถูกเรียกก็ขึ้นไปที่โกดังใช่ไหม”
“อ๊า...” โยะชิโอะอุทานเสียงดัง
“จริงอย่างที่ท่านพูดทุกอย่างเลยขอรับ อารามที่กระผมตื่นตระหนกตกใจจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จริงทีเดียว คืนนั้นกระผมทำงานอยู่ในร้านจึงไม่ได้พกกระเป๋ายาสูบขึ้นไปหาคุณน้าบนโกดัง ตอนนี้กระผมจำได้ชัดเจนแล้วขอรับ”
นักสืบเอกพยักหน้ายิ้ม ๆ
“ถึงเจ้าคิดจะพกกระเป๋ายาสูบติดตัวขึ้นไปบนโกดังด้วยเจ้าก็ไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ เพราะตอนนั้นกระเป๋ายาสูบอันตรธานจากห้องของเจ้าไปซุกอยู่ในอกเสื้อของฆาตกรเรียบร้อยแล้ว ฆาตกรเอากระเป๋ายาสูบของเจ้าซุกไว้ในอกเสื้อออกจากบ้านไปตอนสองทุ่ม แวะไปที่โรงมหรสพคะเนะโมะโตะก่อน แต่นักเล่าเรื่องขำขันที่ออกโรงชุดแรก ๆ เล่าเรื่องไม่ค่อยสนุก มันก็เลยชวนคนนั้นคนนี้คุยกันอยู่ในโรง ทีแรกคิดว่านาน ๆ ทีได้ฟังตั้งแต่ฉากแรก ๆ คงดีเหมือนกันแต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ทนฟังอยู่ไม่ไหว จึงไปขอให้คนดูแลเกี๊ยะที่คุ้นหน้ากันดีหยิบเกี๊ยะออกมาให้แล้วบอกว่าจะออกไปเดินดูอะไรตามร้านรวงในงานศาลเจ้าสักหน่อยเดี๋ยวจะกลับมาใหม่ พอออกจากโรงมหรสพมันก็เดินเข้าซอยอ้อมไปด้านหลัง เหยียบถังขยะปีนรั้วลอบเข้ามาในบริเวณบ้าน ถอดเกี๊ยะซุกไว้ในอกเสื้อ มองซ้ายมองขวาเดินเท้าเปล่าผ่านสวนย่องกริบเข้าไปในโกดัง สำรวจดูข้างในโกดังจนแน่ใจแล้วจึงขึ้นไปชั้นบน แง้มประตูแทรกตัวเข้าไปซ่อนอยู่ในห้องข้าง ๆ ห้องนั่งเล่น ซึ่งโทเบกับ คะซุเกะกำลังจับมือกันร้องไห้พลางให้คำมั่นสัญญาซึ่งกันและกัน”
คนที่ลุกขึ้นตะครุบตัวชูซะกุเอาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะวิ่งหนีไปได้คือฮะนะโนะยะ อิงงะ นักสืบผู้นี้ถึงจะด้อยสติปัญญาด้านการสืบและการใช้ดวงตาแห่งสมอง แต่จะว่องไวราวลมกรดทันทีที่รู้ตัวผู้ร้ายและตะครุบจับไว้ได้ไม่มีพลาด และพอจับตัวชูซะกุมอบให้กับตำรวจเรียบร้อยแล้วเขาก็วางท่าราวกับเป็นนักสืบเอกผู้คลี่คลายปมปริศนาด้วยตนเอง ปิดปลายหนวดเชิดหน้าอย่างผยอง
สุภาพบุรุษนักสืบรูปงามคอยให้เสียงเอะอะซาลงแล้ว จึงไขปริศนาให้ฟังกันดังนี้
“เจ้าชูซะกุวางแผนฆ่านายโทเบมาตั้งแต่คืนวันที่ 4 ทำไมหรือ...ก็เพราะพฤติกรรมทุจริตร้ายกาจของมันเริ่มแดงออกมาทีละเรื่องสองเรื่องจนดูเหมือนว่านายท่านจะไม่ไว้ใจมันอีกต่อไป และพอดีมันได้ยินจากปากของนายท่านเลยทีเดียวว่ารู้เรื่องที่โยะชิโอะกับโอะมะกิเป็นชู้กันแล้วจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับสองคนนั่นและไล่ออกจากบ้าน มันก็เลยตัดสินในลงมือ ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 5 ศาลเจ้าซุยเท็งงูมีงานออกร้านและคืนนั้นมันได้ออกเวรไม่ต้องเฝ้าร้าน เจ้าชูซะกุรู้ดีว่าคืนวันงานเช่นนี้ลูกค้าจะเข้ามาซื้อของกันแน่นและคนในร้านจะยุ่งจนไม่มีใครมีเวลาออกมาทำอะไรแถวโกดัง วันที่ 5 จึงเป็นวันฤกษ์ดีมากและมันก็เตรียมหาหลักฐานเพื่อเอาตัวรอดไว้พร้อมแล้วจึงลงมือทำตามแผน ทว่าพอลอบเข้าไปเกือบจะถึงตัวเหยื่ออยู่แล้วมันกลับพบคะซุเกะอดีตหัวหน้าเสมียนอยู่ที่นั่น และพอแอบฟังความอยู่ในห้องข้าง ๆ ก็รู้ว่านายท่านขอให้คะซุเกะกลับมาทำงานที่ร้านอีกครั้งแทนตัวมันซึ่งนายท่านตกลงใจที่จะเฉดหัวออกไปเพราะทุจริตฉ้อฉลมีกลโกงเหลือประมาณ การที่สองคนนายบ่าวกลับมาญาติดีกันดังเดิมอย่างที่เจ้าชูซะกุไม่ได้คาดคิดมาก่อน ยิ่งทำให้มันเคียดแค้นและเฝ้าคอยโอกาสเหมาะที่จะเข้าไปฆ่าให้ได้ในวันนั้น พอคะซุเกะกลับลงไปโยะชิโอะกับโอะมะกิก็ขึ้นมา คราวนี้นายโทเบเกรี้ยวกราดด่าทอ จนสุดท้ายก็ร่อนใบหย่าใส่หน้านางโอะมะกิ ตัดน้าตัดหลานกับโยะชิโอะ แล้วไล่ชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นออกไปให้พ้นบ้านในคืนนี้ ชูซะกุไม่มีโอกาสใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้วเพราะเมื่อโทเบถูกฆ่าตาย ไม่ว่าใครจะต้องสงสัยโยะชิโอะกับโอะมะกิแน่เพราะมีเหตุจูงใจให้ฆ่าอยู่อย่างเพียงพอเลยทีเดียว ดังนั้นพอสองคนกลับออกไปเจ้าชูซะกุจึงออกมาฆ่าโทเบอย่างเลือดเย็น ตอนที่โอะมะกิเมาเหล้าเข้ามาเอะอะในโกดังนั้นชูซะกุยังอยู่ข้างศพโทเบ มันปิดประตูสับสลักกลอนเอาตาปูห้านิ้วขัดไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วตรวจรอบ ๆ บริเวณไม่ให้เหลือร่องรอยที่จะเชื่อมโยงมาถึงตน มันตรวจดูสิ่งของเครื่องใช้ในกายตัวของโทเบด้วย ตั้งใจไว้ว่าถ้าเจอเอกสารอะไรที่จะส่งผลร้ายแก่ตนก็จะขโมยไป และพอเห็นว่าไม่มีอะไรมันก็เอากระเป๋าใส่ยาสูบที่ขโมยมาจากห้องของโยะชิโอะวางไว้ข้างศพ จัดการให้ห้องนั้นอยู่ในสภาพห้องปิดตายแล้วลอยนวลออกไป หลังจากนั้นมันก็ตีหน้าเฉยกลับไปที่โรงมหรสพ ฟังการเล่าเรื่องขบขันของเอ็นโช ดื่มสาเกหนึ่งจอกที่ร้านซุชิแล้วจึงกลับไปนอนที่ห้องราวตีสองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดว่าพอมีคนพบศพโทเบแล้วมีการสืบสวนเรื่องก็จะแดงออกมาว่านางกับโยะชิโอะเป็นชู้กัน และกระเป๋าใส่ยาสูบที่ตกอยู่ข้างศพโทเบก็จะเป็นหลักฐานมัดตัวโยะชิโอะให้ถูกจับฐานฆาตกรในที่สุด โยะชิโอะไม่มีทางรอดไปได้ในเมื่อมีทั้งแรงจูงใจให้ฆ่าและกระเป๋าใส่ยาสูบเป็นพยานวัตถุพร้อมมูลอย่างนั้น เมื่อทุกคนมีอันเป็นไปเช่นนี้ทั้งบ้านจึงเหลือแต่คุณหนูอะยะที่ป่วยเป็นโรคร้ายอยู่เพียงคนเดียว ทีนี้เจ้าชูซะกุก็จะสลัดความเป็นหัวหน้าเสมียนมาเป็นเจ้าบ่าวของอะยะหญิงขี้โรคเพื่อจะได้ครอบครองสมบัติของตระกูลคะวะกิสืบต่อไป เจ้าชูซะกุมันมองไกลถึงขนาดนี้เลยละครับ”
ชูซะกุเงยหน้าขึ้นจ้องนักสืบเอกอย่างไม่พรั่นพรึง
“ถ้าพูดถึงขั้นตอนการฆ่าละก็ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านพูด แต่ข้าขอบอกว่าข้าวางแผนสังหารมานานมากแล้ว ไม่ได้ฆ่าอย่างหุนหันพลันแล่นอย่างที่ท่านคิด เรื่องมันมีอยู่ว่านางโอะมะกิให้ท่าข้าก่อนนายโยะชิโอะเสียอีก แต่ทว่าข้าคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง คือถ้าข้าไม่เอาด้วย ผู้หญิงร่านสวาทอย่างนางก็จะต้องหันไปหานายโยะชิโอะแน่นอน ข้าจึงพยายามสร้างสถานการณ์ให้ใคร ๆ เห็นว่าสองคนนั่นเป็นชู้และรวมหัวกันฆ่านายท่าน หลังจากนั้นข้าก็จะได้ครอบครองร้านคะวะกินี้คนเดียว ข้าคิดมาราวปีครึ่งแล้วทันทีหลังจากที่นายคะซุเกะถูกไล่ออก ไม่ได้คิดวันที่ 4 แล้วลงมือฆ่าวันงานศาลเจ้าวันที่ 5 อย่างที่ท่านนักสืบเข้าใจ ข้าตกลงใจลงมือตามแผนสังหารเมื่อเดือนก่อนและเริ่มเอาจริงคือไปดูการแสดงเล่าเรื่องขำขันของเอ็นโชที่จัดเป็นชุดเรื่องตลกของฝรั่งตั้งแต่วันที่ 1 เพื่อสร้างหลักฐานเอาไว้ให้สมจริง แต่ถึงคราวซวยของข้าแท้ ๆ ที่พอวันที่ 4 นายท่านเรียกข้าขึ้นไปด่าและเฉดหัวออกจากบ้าน ทำให้ข้ากลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปอีกคน แถมยังมีฉากที่นายท่านเรียกนายคะซุเกะมาปรับความเข้าใจแล้วคืนดีกันซ้ำซ้อนเข้ามาอีก ข้ามาตรองดูแล้ววันที่ 5 นี่มันช่างฤกษ์ไม่ดีสำหรับข้าจริง ๆ อุตส่าห์วางแผนอย่างดีมานานวัน ตัดสินใจลงมือคลาดไปวันเดียวแผนสังหารก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าถ้าไม่ใช่เพราะชะตากรรมก็ไม่รู้จะโทษอะไรดี แต่ที่แน่ ๆ แผนสังหารของข้าลึกล้ำกว่าที่ท่านนักสืบสันนิษฐานด้วยสติปัญญาที่เขาลือกันว่าเฉียบคมมากนัก” พอพูดจบเจ้าชูซะกุก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันใส่หน้าชินจูโร
*
คะสึไคชูฟังรายงานของนักดาบร่างใหญ่จนจบโดยไม่ละมือจากกรรมวิธีบำบัดสุขภาพด้วยการคัดเลือดร้ายทิ้ง
“อือม์ เจ้าชูซะกุมันว่าอย่างนั้นรึ มันคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ถูกนายโทเบดุด่าและเฉดหัวออกจากบ้าน และที่มันบอกว่าวันที่ห้าที่มันเลือกเป็นวันลงมือฆ่านั่นก็เป็นวันฤกษ์ไม่ดีจริง ๆ เพราะทำให้แผนที่มันอุตส่าห์วางไว้อย่างรอบคอบต้องล้มเหลวไปหมด ฟังแล้วดูเหมือนมันจะแค้นใจจริง ๆ ที่แผนชั่วร้ายที่มันทำสำเร็จมาเป็นขั้นเป็นตอนกลับพลิกผันเอาง่าย ๆ ชีวิตเรามันก็ต้องมีดีบ้างร้ายบ้าง แต่พอจนแต้มเข้าก็โทษชะตากรรมกันทั้งนั้น เจ้านี่ก็เหมือนกันพอเขาจับได้ว่าเป็นฆาตกรมันไม่รู้จะแก้ตัวหาทางออกยังไงก็โทษชะตากรรม”
ไคชูจรดปลายมีดที่นิ้วสะกิดเลือดร้ายออกมาพลางว่า
“ที่พ่อนักสืบรูปหล่อของเรามองว่าเจ้าชูซะกุคิดฆ่านายโทเบหลังจากถูกดุด่าและเฉดหัวออกจากบ้านเมื่อวันที่สี่นั้นมันก็ไม่ผิดเสียเลยทีเดียว แต่เจ้าชูซะกุบอกว่ามันวางแผนฆ่ามานานแล้วและตัดสินใจลงมือจริงจังเมื่อเดือนก่อนไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้อย่างที่นายนักสืบเอกวิเคราะห์ การที่นายโทเบเรียกตัวมันไปดุด่าและเฉดหัวออกจากบ้านเมื่อวันที่สี่นั้นเป็นความซวยของมันเองเพราะทำให้ถูกสงสัยว่าเป็นคนฆ่า ก็น่าให้มันคิดอย่างนั้นเพราะความจริงไอ้ความบังเอิญนี่บางทีก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ พ่อนักสืบของเราคงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเจ้าชูซะกุมันจะมารูปนี้ และเอามันไม่อยู่หมัดแถมยังโดนมันหัวเราะเยาะเข้าให้ ถ้าข้าอยู่ที่นั่นด้วยก็คงตกที่นั่งเดียวกับพ่อนักสืบชินจูโร ความบังเอิญมันอยู่เหนือสติปัญญาของคนเรา ที่ข้ามองผิดไปว่าเจ้าคะซุเกะเป็นฆาตกรนั่นมันช่วยไม่ได้เพราะว่าข้าไม่ได้ไปอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่คนที่ใคร ๆ มองว่าซื่อสัตย์สุจริตอย่างเจ้าคะซุเกะนั้นข้าเคยเห็นมาหลายรายแล้วว่าพอจนแต้มขึ้นมามันก็ฆ่าคนได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ลืมที่จะหมายหัวคนลักษณะนี้เอาไว้ก่อน ขี้ดินที่ตกอยู่เป็นหย่อม ๆ ในห้องนั่นมันให้เบาะแสอะไรข้าก็รู้อยู่ มันทำให้ข้าพุ่งเป้าไปที่คะซุเกะกับชูซะกุ ไม่คนใดก็คนหนึ่งต้องเป็นฆาตกรตัวจริง เผอิญข้าชี้ไปที่คะซุเกะก็เลยพลาดไป”
โทะระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่ผู้หันมาเอาดีทางการเป็นนักสืบ ฟังการวิเคราะห์รูปคดีปริศนาของคะสึไคชูอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความชื่นชมในวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้ทรงคุณวุฒิอันเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนทั่วไปท่านนี้