บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 9
ภาคีกับดาวรายเดินกลับเข้ามาที่สำนักงานโฮมสเตย์ ดาวรายขุ่นเคืองใจเป็นที่สุด
“คุณจำได้ไหมรถใคร”
“ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยครับ”
“แล้วใครขับมาเห็นมั้ยคะ”
“กระจกมันปิดน่ะครับ ฟิล์มมืดด้วย”
ดาวรายมองภาคีแล้วส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด อุตส่าห์เชียร์ขนาดนี้ยังปล่อยไปได้
“งั้นคุณก็โทร.ถามเขาซี เขาจะไปไหน”
“จริงด้วย ลืมเลย”
ภาคีหยิบมือถือออกมา กดเบอร์ปานดาวโทร.ออก รออีกฝ่ายรับ
ในรถชยพลที่แล่นมา เสียงโทรศัพท์มือถือของปานดาวดังขึ้น ปานดาวเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นชื่อ “ภาคี” จึงกดปิดเสียงไป ชยพลเหลือบมองปานดาวลอบยิ้มชอบใจ
ส่วนภาคีหันมาบอกดาวราย
“เขาไม่รับสายอ่ะครับ”
ดาวรายเบื่อ ภาคีนึกอะไรได้ เปิดโปรแกรมไลน์ ถามปานดาวไปว่า
“ป่านจะไปไหนเหรอครับ”
เสียงเครื่องสั่น สัญญาณไลน์ดังขึ้นที่มือถือปานดาว หญิงสาวกดดูเห็นข้อความจากภาคี
ปานดาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพิมพ์ตอบไปว่า
“ทำงาน”
ภาคีถามมาว่า “งานอะไรครับ”
“ไปพบกับลูกค้า”
“ลูกค้าที่ไหนครับ ใครเหรอ”
ปานดาวเบื่อมากๆ ส่งสติ๊กเกอร์บอกไปว่ากำลังยุ่ง
ภาคีงงพิมพ์ถามว่า “ป่านไปกับใครครับ”
ปานดาวส่งสติ๊กเกอร์ Bye Bye ไปให้
ชยพลชำเลืองมองปานดาว
“ถ้าเขาทำให้คุณเบื่อ ก็อย่าไปแชทตอบเขาซี”
“คงไม่ตอบแล้วละ”
มีไลน์เข้ามาอีกครั้ง ปานดาวกดปิดการแจ้งเตือนสำหรับแชทนี้
ภาคีหันมามองหน้าดาวรายจ๋อยๆ
“ป่านบอกว่าไปทำงาน แต่ไม่ยอมตอบว่าไปกับใครครับ”
“ก็คงต้องปล่อยเขาไป แต่คราวหน้าคุณจะยอมให้เขาหนีไปแบบนี้อีกไม่ได้นะ”
ภาคียิ้มประจบ “ถ้ามีคุณแม่ช่วยแบบนี้ ผมไม่ยอมแน่ครับ”
เสียงเตือนไลน์ดังเข้ามาอีกภาคีเปิดดู เพราะคิดว่าปานดาวอาจตอบมา ชำเลืองมองดาวรายแว่บหนึ่ง ดูโทรศัพท์ต่อแล้วอึ้ง นิ่งงันไป
“มีอะไรเหรอคะ ป่านตอบมาว่าไง”
“ผมว่าลูกสาวคุณแม่ดังใหญ่แล้วนะครับ”
“ป่านน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ คราวนี้เป็นคุณปอ เพื่อนผมส่งไลน์มาว่ารูปคุณปอใน ไอจีแมกกาซีนท่องเที่ยว มีคนไลค์เป็นพันแล้ว”
“ไหน ดูซิ”
ดาวรายเข้ามาดูภาพในโทรศัพท์กับภาคี เห็นรูปปานวาดใน IG ของสำนักพิมพ์มีคนกดไลค์รูปสองพันกว่าคนแล้ว ที่ใต้รูปเขียนบรรยายว่า “แมลงปอสาวกับดอกไม้สวยๆ มาอุดหนุนกันได้ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง หรือติดตามเธอได้ที่ @POR_parnward”
ภาคีเลื่อนดูรูปต่อไปอีก 2-3 รูป
“แล้วใครถ่ายรูปพวกนี้”
ดาวรายนึกโมโห มองจ้องรูปของปานวาดในมือถือภาคี นัยน์ตาวาวโรจน์
รูปปานวาดในไอจีรูปเดียวกับที่ดาวรายเห็น ปรากฏอยู่ในแทบเล็ตของชลกร
“ไลค์สองพันกว่าแล้วเหรอ”
ปานวาดอยู่ในร้านค้ากลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง มีชลกรนั่งอยู่ข้างๆ กัน และกำลังดูรูปใน IG
“แค่สองวันเอง แบบนี้เขาเรียกว่าเน็ตไอดอลแล้ว”
“ไม่ได้อยากดังขนาดนี้เลย”
“ดอกไม้จะได้ขายดีขึ้นไง”
“คนไลค์แต่รูป ยังไม่ได้มาซื้อดอกไม้ซักหน่อย” ปานวาดท้วง
“เดี๋ยวผมช่วยเปิดร้านค้าออนไลน์ให้”
“ทำเป็นใช่ไหม ปอไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ขอบคุณมากนะ”
“เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม” ชลกรยิ้มกริ่ม
“อะไรล่ะ”
“เปลี่ยนเป็นหัวใจ”
ปานวาดอึ้งไปนิดๆ ก่อนจะยิ้มให้ “ให้ไปครึ่งดวงแล้ว”
ชลกรยิ้มกว้างมีความสุข ปานวาดยิ้มอายๆ
แม่บ้านคนหนึ่ง สมาชิกกลุ่มสตรี เดินเข้ามา ด้วยท่าทางร้อนรนใจ
“หนูปอ แย่แล้ว”
สองคนหันไปหา ปานวาดตกใจ “ทำไมคะ มีอะไร”
“แม่ของหนูกำลังมาที่นี่”
ชลกรลุกขึ้นทันที
“ผมไปก่อนดีกว่า”
พร้อมกับว่าชลกรรวบเก็บของเข้าใส่กระเป๋าเป้ ปานวาดมองชลกร อย่างเห็นใจ
ชลกรจะออกจากร้านแต่ก็ไม่ทัน เพราะดาวรายมายืนตีหน้ายักษ์อยู่ตรงหน้าเขาก่อน
“แกอีกแล้วเหรอ ชลกรยกมือไหว้ท่าทีหวั่นกลัว” ชลกรไหว้ ดาวรายไม่รับไหว้ “ไม่ต้องมาไหว้ฉัน ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้มายุ่งกับลูกสาวฉัน”
ปานวาดขอร้อง “แม่คะ”
ดาวรายหันมาเอาเรื่องปานวาด “ไม่ต้องเลย เดี๋ยวเราต้องคุยกัน” แล้วหันมาเฉ่งชลกรต่อ “แล้วแกคิดจะทำอะไร ที่เอารูปลูกปอไปลงใน IG น่ะ คนแห่มาดูกันเป็นพัน ลูกฉันเสียหายแค่ไหน”
“ผมก็แค่อยากช่วยโฆษณาดอกไม้ให้น่ะครับ”
ดาวรายแว้ดใส่แล้วไล่ตะเพิด “ไม่ต้องมาช่วย เราไม่ต้องการ ไปเลยนะ แล้วไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
เสียงผู้คนอื้ออึงดังเข้ามา ทุกคนเหลียวมองออกไปทางเสียงนั้นข้างนอก เห็นมีชายหญิงทั้งวัยรุ่นและคนทำงานราว 4-5 คนเดินมุ่งหน้าเข้ามาที่ร้าน
ชาย 1 ชี้บอก “ที่นี่แหละ ร้านกลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง”
หญิง 2 ชี้เข้ามา “นั่นไงน้องปอ”
ทุกคนกรูกันเข้ามาหาปานวาด ทำให้ชลกรต้องถอยออกห่าง
ดาวรายงงปนตกใจ “อะไรกันคะเนี่ย มาทำอะไร”
ชาย 1 ยิ้มพลางบอก “พวกเราเป็นแฟนคลับ น้องปอครับ อยากมาเห็นตัวจริงหน่อย”
หญิง 1 เสริม “แล้วจะมาอุดหนุนดอกไม้ด้วยค่ะ”
ดาวรายงงๆ ทำอะไรไม่ถูก
ทุกคนเป็นกลุ่มแฟนคลับซึ่งรวมตัวพากันขอถ่ายรูปปานวาดกับดอกไม้ ทุกคนเอามือถือบ้าง กล้องบ้าง ถ่ายรูปปานวาดกันยกใหญ่ ชลกรถูกดันถอยห่างออกไปเรื่อย
“ใจเย็นๆ ค่ะ อย่าแย่งกัน”
“คุณพี่เป็นพี่สาวน้องปอเหรอครับ” ชาย 1 ถาม
“อุ๊ย ไม่ใช่ค่ะ” ดาวรายยิ้มเขิน แต่ถูกใจมาก “เป็นคุณแม่ค่ะ”
ทุกคนฮือฮา หญิง 1 บอกว่า “ขอถ่ายรูปคุณแม่กับน้องปอด้วยนะคะ”
ดาวรายเข้าไปยืนกับลูกสาว ปานวาดชำเลืองมองแม่ขำๆ แล้วมองไปทางชลกรเห็นอีกฝ่ายยกมือให้พยักหน้าบอกว่าดีแล้วพร้อมกับโบกมือลา ทำปากบอกว่าเขากลับไปก่อน ปานวาดโบกมือให้ชลกรด้วย บรรดาแฟนคลับหันไปมองชลกรพอดี ดาวรายเห็นรีบพูดกันท่าขึ้นก่อน
“ใครจะถ่ายรูปเชิญเลยค่ะ”
ทุกคนจึงเฮละโลมาถ่ายรูปปานวาดกับดาวรายและดอกไม้ไป
ชลกรออกจากร้านไป หยุดหันมามอง แม้จะต้องแยกจากปานวาด แต่เขาก็ดีใจที่ร้านกลุ่มสตรีได้ลูกค้าเข้ามาจนเต็มร้าน
อีกฟากรถของแวนด้าแล่นเข้ามาจอดหน้าบริษัทชยพล แวนด้าก้าวลงจากรถ อวยชัยเดินออกมาพอดี
“นี่คุณ”
อวยชัยหยุดรอ “ครับ”
แวนด้าเดินเข้าไปหา “พอลกลับมาหรือยัง”
อวยชัยงงอยู่ “กลับจากไหนครับ”
“ก็เขาไปเชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ”
อวยชัยนึกได้ “อ๋อครับ กลับมาแล้วครับ”
“อยู่ข้างบนหรือเปล่า”
“เปล่าครับ เอ๊ะ เจ้านายไม่ได้บอกคุณเหรอครับ”
“เรื่องอะไร”
“เจ้านายให้ผมจองโต๊ะดินเนอร์ไว้ แต่ไม่ได้บอกว่าใครจะดินเนอร์บ้าง”
แวนด้าอึ้งไปนิดๆ “จะเป็นใครได้อีกล่ะ ก็ต้องฉันน่ะซี พอลเขาชอบทำให้ฉันเซอร์ไพร้ส์แบบนี้แหละ”
“คงงั้นล่ะครับ” อวยชัยยิ้มขำๆ
“แล้วไง ตกลงเขาจองโต๊ะไว้ที่ไหน”
ปานดาวกับชัยพลนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะริมกระจกในร้านอาหาร ทั้งสองเปิดดูเมนูอยู่ สักครู่ปานดาวปิดเมนูถามขึ้น
“ตกลงคุณมีลูกค้าที่จะมาคุยกันแน่หรือเปล่า หรือแค่ใช้เป็นข้ออ้าง”
“มีจริงซีครับ แหม ถ้าผมจะชวนคุณมาดินเนอร์เฉยๆ ผมไม่ต้องหาข้ออ้างหรอก”
“ทำไมล่ะ ถ้าคุณชวนฉันเฉยๆ ฉันอาจไม่มาด้วยก็ได้”
“ผมมีคุณค่าน้อยกว่านายภาคีนั่นมากเหรอครับ” ชยพลตัดพ้อ
“ฉันไม่ชอบตีค่าใครหรอกค่ะ ถ้าจะไม่มากับคุณ มันขึ้นอยู่กับความไว้ใจมากกว่า”
“อ้อ ผมมันไม่น่าไว้ใจ”
“ลองหลอกผู้หญิงของคุณได้ขนาดนั้น จะให้ไว้ใจได้ยังไง”
“ก็บอกคุณแล้ว แวนด้าเขาเป็น...”
“แค่เพื่อน ค่ะ คุณบอกแล้ว”
“ผมบอกอะไรให้อย่างนึงละกัน กับคุณน่ะ ผมไม่กล้าหลอกคุณแน่ คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาด ทันคน รับรองถ้าผมโกหก คุณต้องจับได้อยู่แล้ว”
“ดีค่ะ คิดได้อย่างนั้นก็ดี”
ชยพลมองปานดาวแน่วนิ่ง ปานดาวสบตากับเขา อ่านไม่ออกเลยว่าผู้ชายคนนี้จริงใจกับเธอจริงหรือเปล่า ชยพลมองผ่านไปทางข้างหลัง
“นั่นไง มาแล้ว”
ปานดาวหันไปมองตาม เห็นชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา อายุประมาณสามสิบกว่าๆ ชยพลโบกมือให้ ชายญี่ปุ่นเดินตรงมาหา พอมาถึงทั้งชยพลและปานดาวก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับ ชายญี่ปุ่นคำนับทั้งคู่สองคนคำนับตอบ
ชยพลแนะนำสองคนให้รู้จักกัน “คุณโนริ นี่คุณปานดาวที่ทำโฮมสเตย์ คุณโนริ ลูกค้าของผม”
“สวัสดีครับ ต้องขอโทษด้วยที่มาสาย”
ปานดาวยิ้มให้ “ค่ะ คุณพูดภาษาไทยได้ดีมากเลย”
“ค้าขายกับคนไทยมาหลายปีน่ะครับ” ชยพลว่า
โนริขอตัว “ผมขออนุญาตล้างมือหน่อยนะครับ”
“เชิญครับ” ชยพลผายมือบอก “ห้องน้ำอยู่ทางโน้น”
โนริเดินออกไป ปานดาวกับชยพลนั่งลงตามเดิม
“คงสบายใจแล้วนะ ผมไม่ได้หลอกคุณ”
“ก็ยังไม่แน่ ญี่ปุ่นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ พูดไทยชัดมาก”
“โธ่คุณ”
ปานดาวหัวเราะขำ ชยพลพลอยหัวเราะไปด้วย
แวนด้าเดินออกจากลานจอดรถตรงไปยังร้านอาหาร แต่ต้องชะงักเมื่อมองไปที่กระจกร้าน เห็นชยพลนั่งอยู่กับปานดาว สองคนคุยกันกระหนุงกระหนิง หัวเราะหัวใคร่ให้กัน แวนด้ารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 2
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 09 (ต่อ)
แวนด้าเดินเข้ามาในร้านราวกับพายุบุแคม เดินตรงไปหยุดใกล้ๆ โต๊ะชยพลกับปานดาวด้วยอารมณ์โกรธปนหวงหึง
โดยสองคนยังไม่เห็นอีกฝ่าย ยังคุยไปหัวร่อกันไปอยู่ แวนด้าเดินมาถึงใช้มือตบโต๊ะอย่างแรง
“มีความสุขมากเลยนะพอล”
ทั้งคู่ต่างก็ตกใจ ชยพลคาดไม่ถึง
“แวนด้า มาได้ยังไง”
“แล้วพอลล่ะ งานที่เชียงใหม่เสร็จแล้วเหรอ ไหนว่าต้องอยู่เป็นอาทิตย์”
“ลูกค้าเขามีงานด่วนต้องเดินทางต่อ ผมก็เลยกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯต่อได้” ชยพลแถไปเรื่อย
“ไม่ใช่ รีบกลับมากินมื้อเย็นกับผู้หญิงเหรอ” แวนด้าพูดกับชยพลแต่สายตามองจ้องปานดาวไม่วางตา
แต่ปานดาวไม่คิดจะตอบโต้อะไร
“ผมมาคุยงาน” ชยพลบอกย้ำ
แวนด้าไม่เชื่อ “งานอะไรคะ ตกลงค่าตัวกันยังไม่ได้หรือไง”
ปานดาวหันขวับมามองแวนด้า เริ่มไม่ชอบคำพูดส่อเสียด หันมามองชยพล เป็นเชิงบอกว่าเธอจะไม่ยอมให้ดูถูกแบบนี้
“หรือว่าใช้บริการที่โน่นกันยังไม่อิ่มต้องมาต่อข้างนอก” แวนด้ายังไม่จบ
ปานดาวไม่พอใจมากขึ้น ยิ่งเห็นคนอื่นๆ ในร้าน มองมาที่โต๊ะเริ่มซุบซิบๆ เธอก็ยิ่งโมโห
“พอเหอะแวนด้า ผมมาคุยงานจริงๆ มีลูกค้าญี่ปุ่นมาคุยด้วย เขาสนใจธุรกิจโฮมสเตย์ เลยต้องรบกวนคุณปานดาวมาช่วยให้คำแนะนำ”
“โกหกให้มันน่าเชื่อกว่านี้ได้ไหม”
ชยพลส่ายหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน ไม่รู้จะพูดยังไง โนริเดินกลับมาที่โต๊ะพอดี
“คุณยังไม่สั่งอาหารเลยนี่”
แวนด้าชะงัก มองโนริงงๆ
ชยพลบอก “นี่ไง ลูกค้าของผม”
แวนด้าอึ้ง โนริคำนับทักทาย แวนด้าอึกอักคำนับตอบ
ชยพลลากแขนแวนด้าพาออกมาคุยกันนอกร้าน
แวนด้าหงุดหงิดไม่หาย “แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ก็คุณเข้าไปอาละวาดแบบนั้นได้ยังไง แถมยังพูดจาดูถูกคุณปานดาวเขาด้วย”
“แวนด้าขอโทษเขาให้ก็ได้ แล้วก็นั่งกินข้าวด้วยกันต่อ”
“ผมมาทำงาน ไม่ได้มาคุยเล่น ถ้าคุณอยู่ด้วยงานผมต้องเสียแน่ อย่างน้อยคุณปานดาวเขาคงไม่ชอบ”
แวนด้าโมโห “ห่วงนังนั่นจริงนะ”
ชยพลเบื่อหน่าย “เนี่ย ก็พูดแบบนี้ จะให้ไปนั่งร่วมโต๊ะได้ยังไง”
“จะให้แวนด้าไปจริงๆ เหรอ”
ชยพลอ้อนเอาใจ “ผมขอร้องนะ แล้วพรุ่งนี้ผมจะโทร.ไปหา”
“แล้วคืนนี้ล่ะ”
“เสร็จงานนี่ พอกลับถึงบ้านผมก็คงสลบเลยล่ะ พรุ่งนี้ละกัน”
“อย่าเบี้ยวนะ”
แวนด้าเดินออกไปที่รถ ชยพลถอนใจโล่งอก
ชยพลขับรถกลับจากร้านอาหารพาปานดาวไปส่งที่โฮมสเตย์ ปานดาวนั่งนิ่งมาตลอดทาง ชยพลทำลายความเงียบขึ้นว่า
“วันนี้ได้อะไรเยอะเลย ท่าทางคุณโนริเขาก็พอใจมากที่ได้คุยกับคุณ”
“แล้วจะยังไงต่อไปคะ”
“เขาก็คงจะพาหุ้นส่วนเขามาพักที่โฮมสเตย์ของคุณ แล้ววางแผนกันต่อว่าจะทำยังไง”
“ดีค่ะ”
ปานดาวเงียบไป ชยพลชำเลืองมองเธอแว่บหนึ่ง
“ถ้าคุณจะโกรธผม ผมก็ยอมรับนะ”
“มีโอกาส คุณเคลียร์กับเขาหน่อยก็ดี ว่าฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน จะได้ไม่ต้องมาหยาบคายกับฉัน”
“คิดว่าเขาจะฟังผมเหรอ แวนด้าน่ะเขาอยากทำอะไรเขาก็ทำ ทุกวันนี้ผมก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน ผมพยายามให้ความเป็นเพื่อนกับเขา แต่เขากลับทำตัวเป็นเจ้าของผม”
“ถามจริงๆ เหอะ คุณรักเขาหรือเปล่า”
“รักแบบเพื่อน แต่ไม่ได้รักแบบที่จะมาเป็นคู่ชีวิต เขาไม่ใช่สเป็กของผม คนที่ใช่ในสายตาของผม...” เขาหยุดไปนิดก่อนปล่อยของ “คือผู้หญิงแบบคุณต่างหาก
ปานดาวนิ่งงันไป รู้สึกสับสน
“ขอโทษนะ ที่พูดไปอย่างนั้น แต่นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังรู้สึกจริงๆ”
ปานดาวเหลือบมองชยพล แต่ชยพลไม่ได้มองมา ทั้งสองต่างอยู่ในความเงียบ
รถชยพลแล่นมาจอดที่หน้าทางเข้าโฮมสเตย์ ปานดาวเปิดประตูลงจากรถ ชยพลยื่นหน้ามาบอก
“ถ้ามีข่าวอะไรแล้วผมจะบอกคุณนะ”
“ได้ค่ะ”
“หลับฝันดีนะครับ”
ปานดาวนิ่งไปนิด “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นปานดาวก็ปิดประตูรถ เดินเข้าไปในออฟฟิศ รถชยพลถอย ขับออกไป
ปานดาวเดินคิดอะไรในหัวเข้ามาในบ้านเตยหอม จู่ๆ ดาวรายก็พรวดออกมาดักหน้า ดึงแขนให้หยุดคุยกัน จ้องหน้าถามอย่างเอาเรื่อง
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปยุ่งกับมัน”
ปานดาวเบื่อ หงุดหงิดและไม่พอใจนิดๆ “แม่น่ะ มีเหตุผลหน่อยซีคะ”
“ลูกนั่นแหละไม่มีเหตุผล แล้วไม่เชื่อฟังแม่ด้วย”
“เขากำลังจะพาลูกค้ามาให้เรานะคะ ทำไมไม่เลิกคิดร้ายกับเขาซักที”
“ลูกของนังมาลามาลัย ไม่มีวันคิดดีกับเราหรอก”
“เขาอาจจะเป็นคนดี ไม่เหมือนกับแม่เขาก็ได้”
“มันกำลังจะหลอกลูกน่ะซี”
“ให้ป่านเจอกับมันก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวว่า
“มันจะทำให้ลูกต้องเป็นทุกข์”
“ถ้าต้องเป็นอย่างนั้นจริง ป่านก็พร้อมจะยอมรับมันค่ะ”
ปานดาวเดินหุนหัวหนีไป ดาวรายหงุดหงิด ที่ลูกไม่ยอมฟังเธอ
รถชยพลแล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน ผ่านสวนหย่อม ชยพลมองไปเห็นชลกรนั่งทอดอารมณ์อยู่ที่โต๊ะสนามก็แปลกใจ จึงขับรถเข้าไปจอดใกล้ๆ ลงจากรถเดินเข้าไปหาพี่ชายถึงที่
“พี่ชล”
ชลกรหันมา “พล เพิ่งกลับเหรอ”
“พี่มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย”
“นั่งคิดอะไรนิดหน่อย”
ชยพลนิ่งไปครู่หนึ่ง “ถ้าให้เดา ต้องเรื่องคุณปอแน่เลย ทะเลาะกันเหรอ”
“ตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยทะเลาะกันเลยรู้ไหม เราคิดอะไรเหมือนกันเกือบทุกอย่าง”
“ถ้างั้นก็เรื่องแม่เขา”
“ใช่ แม่เขาเกลียดบ้านเรามากๆ”
“แล้วพี่จะกลัวอะไร พี่รักกับลูกเขา ไม่ใช่แม่เขา”
“นอกจากแม่เขา พ่อเราก็ห้ามไม่ให้เราสองคนไปยุ่งกับลูกสาวบ้านโน้น”
ชยพลหัวเราะน้ำเสียงขื่นๆ “พวกเราทำแบบนี้ ถ้าพ่อรู้พ่อด่าชัวร์”
“อย่าได้ไปพูดให้พ่อรู้นะ อาจจะบู๊ยิ่งกว่าบ้านโน้นก็ได้ แล้วนายล่ะ ก้าวหน้าบ้างไหม กับน้องป่าน”
“ก็ค่อยเป็นค่อยไปนะพี่ วันนี้ผมเพิ่งพาเขาไปดินเนอร์”
ชลกรแปลกใจนิดๆ “เขายอมไปกับนายเหรอ”
“เอาเรื่องงานมาอ้างหน่อย”
ชลกรขำ “นึกแล้ว ไอ้เจ้าเล่ห์”
“แหมพี่ มันก็ต้องมีบ้าง” ชยพลนิ่งไปชั่วขณะ “ผมว่าสำหรับผม มันดีขึ้นเรื่อยๆ นะ อีกไม่นานหรอก คุณป่านจะต้องให้ใจกับผม”
ชลกรมองน้องชาย อ่านออกว่าชยพลดูมั่นใจตัวเองเหลือเกิน
โทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องมืสื่อสารของหนุ่มสาวสองตระกูล
มือถือปานวาดวางอยู่ที่โต๊ะมีเสียงสัญญาณไลน์ดังขึ้น หญิงสาวเดินมาหยิบขึ้นมาคลิกดู มีภาพข้อความไลน์จากชลกรปรากฏขึ้นว่า
“วันนี้ดอกไม้ขายดีไหม”
ปานวาดพิมพ์ตอบไป
“หมดเกลี้ยงร้านเลย”
อีกฟากชลกรนั่งอยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่นในห้องนอน พิมพ์ข้อความในมือถือคุยกับสาว
“ดีใจด้วยครับ”
“ขอบคุณชลนะ แม่พูดไม่ออกเลย”
“เขายอมรับเรื่องรูปใน IG แล้วเหรอ”
“ก็ยังหรอก เรื่องนี้ต้องค่อยๆ พัฒนาไป”
“ผมดีใจที่แม่ปอไม่ว่าอะไรปออีก”
“ให้เวลาเขาอีกหน่อย ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
“อย่านานมากละกัน เดี๋ยวจะแก่ซะก่อน”
“5555…”
ชลกรส่งสติ๊กเกอร์ไปว่า คิดถึงนะ
ปานวาดส่งสติ๊กเกอร์มีรูปหัวใจเยอะมาก...กลับมาให้
เช่นเดียวกันกับดุจเดือนนั่งพิงหัวเตียงอยู่พิมพ์ไลน์คุยกับปัฐวี
“หลับหรือยัง”
รอครู่หนึ่งจึงมีข้อความตอบจากปัฐวี
“นอนไม่หลับ”
“คิดเรื่องสมัครงานเหรอ”
ปัฐวีนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน พิมพ์ไลน์ตอบกลับไปว่า
“ก็ด้วย”
สองคนคุยไลน์ตอบโต้กันไปมา
“แล้วมีเรื่องอะไรอีก”
“เรื่องของเรา”
“ดีหรือไม่ดี”
“ปนๆ กัน”
“ห้ามปนเด็ดขาด ต้องคิดแต่เรื่องดี”
ดุจเดือนรอคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่มีคำตอบมา จึงพิมพ์ต่ออีกว่า
“สัญญานะ”
ปัฐวีตอบมาว่า “บางทีผมก็ไม่เข้มแข็งเท่าดุจ”
“ดุจก็ไม่เข้มแข็งหรอก แต่ดุจรู้ว่าดุจมีปัฐ ปัฐเองก็จะมีดุจ เราจะอยู่เคียงข้างกัน”
ปัฐวีส่งสติ๊กเกอร์ ขอบคุณ
“เราจะก้าวไปด้วยกันนะ”
“ครับ”
ดุจเดือนยิ้มชื่นมีกำลังใจมากขึ้น ขณะที่ปัฐยิ้มกังวลไม่คลาย
อ่านต่อหน้า 3
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 09 (ต่อ)
ด้านปานวาดเปิดดู IG ของตัวเอง อ่านคอมเมนต์ของแฟนคลับแล้วหัวเราะขำ จู่ๆ มีเสียงเคาะประตู แล้วประตูถูกเปิดเข้ามาเลย ปานวาดเอามือถือซ่อนไว้ข้างหลัง พอเห็นว่าเป็นปานดาวเลยเอามือถือออกมา
“นึกว่าแม่”
“ถึงกับต้องรีบซ่อนเลย มีความลับอะไรเหรอ”
“กำลังอ่านเม้นต์ใน IG ของพี่ คนเราบางทีก็เพ้อได้ขนาดหนัก”
“เป็นเน็ตไอดอลแล้วต้องระวังเหมือนกันนะ”
“ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนดีๆ นะ แล้วป่านล่ะเป็นไง ยอมไปกินข้าวกับเขาแล้วเหรอ”
“ไปคุยเรื่องงานน่ะ ลูกค้าของเขาสนใจธุรกิจโฮมสเตย์”
“ไม่น่าจะเรื่องงานอย่างเดียวมั้ง” ปานวาดมองเหล่พูดล้อ
“คนๆ นี้ไม่ค่อยน่าเชื่อใจ”
“ระแวงมากไปหรือเปล่า”
“เราจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ชายจริงใจกับเราหรือเปล่า”
ปานวาดนิ่งคิด “ก็คงต้องดูว่าเขายอมทำเพื่อเรามากแค่ไหนมั้ง อย่างพี่ปัฐไง เขาจะพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็น ว่าเขาพร้อมจะดูแลพี่ดุจเดือน”
ปานดาวนิ่งไป คิดตาม
“ว่าแต่คุณชยพลเขาทำอะไรให้เห็นบ้างหรือยังล่ะ”
“มีแต่หยอดนิดหยอดหน่อย ป่านไม่ค่อยอยากจะคิดอะไรหรอก”
“มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังบ้างละกัน เผื่อพี่จะถามจากพี่ชายเค้าให้”
ปานดาวพยักหน้ารับ พลางถาม
“คุณชลกร เขาเป็นคนยังไงในสายตาพี่ปอ”
“ก็ดี ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม”
ปานดาวเบ้ปาก “ผิดกับน้องชายราว ฟ้ากับเหว”
ปานวาดยีผมน้อง หัวเราะขำในท่าทีปานดาว
ส่วนชยพลอยู่ในชุดนอนแล้ว มองเหม่อออกไปที่นอกหน้าต่าง คำพูดปั่นหัวของมาลัยประเดประดังเข้ามาในห้วงคิดราวกับสายน้ำไหล
“มันทำให้แม่พลท้อง แล้วก็ไม่รับผิดชอบ กลับหาว่าแม่ของพลไปท้องกับคนอื่น คนอื่นน่ะก็หมายถึงพ่อเราน่ะแหละ”
“พี่มาลาเจ็บปวดมากที่ได้ยินอย่างนั้น วิ่งออกมาบนถนน แล้วก็ถูกรถชน ทำให้เด็กนั่นแท้ง”
“จนถึงทุกวันนี้ นังดาวรายมันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาจะหาเรื่องพวกเรา แม้ว่าแม่พลกับน้าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่เมื่อไหร่มันได้เจอตายาย หรือน้ามาลี มันก็จะคอยหาเรื่องตลอด”
ชยพลบอกออกไปว่า “ผมอยากแก้แค้นพวกมันแทนแม่จริงๆ”
“จีบให้มันลุ่มหลงพล จัดการให้ได้มันเป็นเมีย แล้วถีบหัวส่งทีหลังไงล่ะ”
ชยพลถูกมาลาปั่นหัวจนชิงชังครอบครัวดาวราย “ผมนี่แหละจะแก้แค้นแทนแม่ จะทำให้พวกมันต้องเจ็บปวดมากกว่าที่มันทำกับแม่ผม เป็นสิบๆ เท่า”
คิดแล้วสีหน้าแววตาชยพล เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังสุดจะประมาณ
“ได้เวลาที่พวกคุณต้องชดใช้ ในสิ่งที่พวกคุณ ทำกับแม่ผม”
ชยพลกำมือแน่นคุมแค้นในใจ
ปานดาวตื่นแต่เช้า เวลานี้ยังอยู่ในห้องนอน และกำลังคุยมือถืออยู่
“มีอะไรหรือเปล่าคะ โทรมาแต่เช้า”
ปลายสายเป็นชยพล เขายืนยิ้มพูดสายอยู่ที่หน้าบ้าน
“ถ้าบอกว่าโทร.มาเพราะคิดถึงล่ะครับ”
“ป่าน” ปานดาวเผลอตัว ชะงักค้างรีบเปลี่ยนสรรพนาม “ฉันก็จะวางสาย”
ชยพลหัวเราะ “อย่าเพิ่งวางนะครับ ผมพูดเล่นน่ะ คุณโนริเขาส่งรายละเอียดโครงการโฮมสเตย์ของเขามาให้ผมแล้ว ผมอยากเอาไปให้คุณดู เราจะได้วางแผนว่าจะช่วยเขาเรื่องนี้ได้ยังไง”
“ทำไมฉันต้องลงทุนทำขนาดนั้นด้วย”
“แลกกับการได้เป็นหุ้นส่วนของเขาไงครับ เขามีทุน เรามีสมองและประสบการณ์ ผมคิดว่าผลตอบแทนน่าจะมิใช่น้อย”
ปานดาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“ว่าไงครับ คุณสะดวกวันเวลาไหน จะให้ผมไปเจอคุณเมื่อไหร่ดี”
“คุณไม่ต้องมาหรอก ว่างเมื่อไหร่ป่านจะไปหาคุณเอง”
ชยพลกดวางสาย แววตาแข็งกร้าว ยิ้มร้ายสมใจที่ปานดาวเริ่มไว้ใจเขา
ไม่นานต่อมาปานดาวสะพายกระเป๋าถือ เดินออกมาจากในบ้าน ดาวรายรดน้ำต้นไม้อยู่หันมาเห็น จึงทักถาม
“จะไปโฮมสเตย์เหรอ”
ปานดาวชะงัก “ไปข้างนอกค่ะ”
“ไปไหน”
“ป่านจะไปหาลูกค้ามาให้โฮมสเตย์เราน่ะค่ะ พอเราขึ้นเว็บโชว์งานสัมมนาครั้งก่อนของคุณ...” ปานดาวนึกได้จึงหยุดไปไม่พูดชื่อชยพลออกมา “ก็มีลูกค้าสนใจนัดเข้าไปคุยค่ะแม่”
ปานดาวเดินไปที่รถ ปานดาวเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนป่าน ไปที่ไหน ไปคุยกับใคร”
“สายแล้วแม่ เดี๋ยวกลับมาจะเล่าให้ฟัง”
ปานดาวไม่สนใจ รีบร้อนขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย ดาวรายโมโหเอาการ
ภาคีหิ้วถุงของกินเดินเข้ามาในล็อบบี้โฮมสเตย์ มาดักรอปานดาวแต่เช้า ภาคีตรงมาที่เคาน์เตอร์ถามพนักงาน
“คุณป่านอยู่ไหม”
“ยังไม่เข้ามาเลยค่ะ”
“ยังอยู่ที่บ้านเหรอ”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
พนักงานพยักพเยิดไปทางด้านหลัง แต่ภาคีไม่เข้าใจพอหันไปทางข้างหลังก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นดาวรายยืนอยู่หน้าบึ้งอยู่ทางข้างหลังเขา
ภาคีรีบยกมือไหว้ทั้งถุง “อุ๊ย คุณแม่ สวัสดีครับ”
“ป่านเขาไม่อยู่แล้ว ออกไปแต่เช้า”
“ไปไหนเหรอครับ”
“เขาบอกว่าไปหาลูกค้า แต่ไม่ยอมบอกว่าใคร”
ภาคีนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง “หรือว่าจะเป็น นายนั่น”
“ฉันก็สงสัยอยู่ คุณช่วยตามไปดูเขาหน่อยได้ไหมล่ะ”
“แหม แต่ผมก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหนน่ะซีครับ”
ดาวรายอ่อนอกอ่อนใจ “เห็นจริงจังกับลูกป่าน ก็นึกว่าจะพึ่งได้”
“พึ่งได้แน่นอนครับ คุณแม่อยากให้ผมช่วยอะไรบอกได้เลยครับ”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่ไม่อยากให้ป่านเขาไปยุ่งกับลูกชายบ้านโน้น นายชยพลน่ะ”
ภาคีพยักหน้ารับเอาคำ
ปานดาวขับรถแล่นมาตามทาง มีเสียงมือถือดังขึ้น ปานดาวกดที่วิทยุรถยนต์เพื่อรับสาย ตามการเชื่อมต่อโทรศัพท์กับบลูทูธวิทยุรถ
“สวัสดีค่ะ”
เสียงภาคีดังลอดออกมา “พี่ภาคีนะครับ”
ปานดาวทำท่าเบื่อๆ ขึ้นมาทันที
“พี่มาหาป่านที่บ้านน่ะครับ แต่ไม่เจอ ป่านอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ป่านมาคุยงานน่ะค่ะ”
ภาคีพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านเตยหอม มีดาวรายยืนฟังอยู่ด้วยข้างๆ ทั้งสองคนคุยสายกัน
“นั่นล่ะครับ คุยที่ไหน พี่จะตามไปหา”
“จะตามมาทำไมคะ”
“ก็เป็นห่วงน่ะครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ป่านดูแลตัวเองได้”
“งั้นบอกได้ไหมครับ ป่านจะไปคุยงานกับใคร พี่รู้จักไหม”
ปานดาวส่ายหน้าเบื่อมาก “ขอโทษนะคะ ป่านขับรถอยู่ ไม่สะดวกคุยแล้วค่ะ”
พร้อมกับว่าปานดาวกดวิทยุวางสาย ภาคีอึ้ง
“ป่าน ฮัลโหล ฮัลโหล” ภาคีหันมาพูดกับดาวราย “วางสายไปแล้วครับ”
“แล้วเขาบอกไหม ว่าจะไปที่ไหน”
ภาคีส่ายหน้า ดาวรายถอนใจ
“ยังไงก็ขอบคุณนะ มา คุณภาคีมานั่งพัก กินน้ำกินท่าก่อน” ดาวรายหันไปทางพนักงาน “เอาน้ำเย็นมาให้คุณภาคีหน่อย”
“ค่ะ” พนักงานรับคำแล้วเดินออกไป
ดาวรายกับภาคีเข้ามานั่งที่ร้านอาหารโฮมสเตย์
“ยัยป่านนี่ยังไงของเขา ทำอะไรลับๆ ล่อๆ มีพิรุธจริงๆ”
“คงไม่มีอะไรมั้งครับ คุณแม่อย่าเพิ่งคิดมาก”
“ไม่คิดมากไม่ได้หรอก คนมีลูกสาวก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ยัยปอพี่สาวเขาก็เหมือนกัน”
“คุณปอมีปัญหาอะไรเหรอครับ”
“คุณภาคีรู้จักลูกปอใช่ไหมคะ”
“รู้จักครับ เคยคุยกันบ่อย”
ดาวรายดาวรายได้คิด อะไรบางอย่าง รีบปรับสีหน้าทันที “บางทีลูกปออาจจะน่ารักกว่าลูกป่านก็ได้ ไม่สนใจลูกปอบ้างเหรอคะ”
ภาคีหัวเราะ นึกว่าดาวรายพูดเล่น “เอายังงั้นเลยเหรอครับ คุณแม่อย่าพูดเล่นแบบนั้นซีครับ”
“จริงๆแม่ไม่ได้พูดเล่นนะ แม่เห็นใจคุณภาคีน่ะ ลูกปอน่ะ ไม่หัวแข็งเหมือนลูกป่าน ก็แล้วแต่คุณภาคีละกัน จะสนใจใคร แม่ก็สนับสนุนอยู่แล้ว”
ภาคียิ้มพลางไหว้ดาวราย “ขอบพระคุณมากครับ ที่ไว้ใจผม แต่ยังไงหัวใจของผม ก็มีแต่น้องป่านคนเดียวครับ ทำไงได้ มันรักไปแล้วน่ะครับ”
ดาวรายยิ้มรับ แต่ก็แอบผิดหวังนิดๆ เพราะอยากดึงปานวาดออกมาจากชลกรอย่างเร่งด่วน
ปัฐวีแต่งตัวสุภาพ เชิ้ตขาวแขนยาว กางเกงขายาว สะพายกระเป๋าใส่เอกสารมาด้วย ตระเวนไปสมัครงานตามบริษัทต่างๆ หลายแห่งตลอดทั้งวันนี้
เขาเดินมาตามฟุตบาทหน้าตึกแถว เปิดมือถือดูประกาศรับสมัครงานในนั้น จนเมื่อเจอบริษัทที่รับสมัครพนักงงานปัฐวีก็เปิดประตูเข้าไป
ปัฐวีเข้าพบกับฝ่ายบุคคล ยื่นเรซูเม่ให้ ฝ่ายบุคคลรับไปอ่าน
“คุณจบมนุษย์ศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์เหรอ”
“ครับ”
“แล้วมีประสบการณ์ดูแลโฮมสเตย์มา 3 ปี”
“กิจการของที่บ้านครับ”
“อ๋อ นั่นซี ประสบการณ์ของคุณมันไม่ตรงกับตำแหน่งที่เราต้องการ”
ฝ่ายบุคคลส่งเอกสารทั้งหมดคืนให้ ปัฐวีเปิดประตูกลับออกมา เดินมาหยุดอยู่หน้าบริษัท แล้วลบบันทึกบริษัทนี้จากมือถือ
ปัฐวียืนอยู่กับฝ่ายบุคคลในห้องทำงานอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งกำลังดูแฟ้ม แล้วครู่หนึ่งก็ส่งแฟ้มคืนให้ปัฐวี พร้อมกับส่ายหน้า
อีกบริษัทหนึ่ง แฟ้มถูกส่งคืน ปัฐวีไหว้ขอบคุณ แล้วออกไป
ปัฐวีเดินหยุดหน้าตึกสูงแหงนมองขึ้นไปแล้วเดินเข้าไปในตึก นิ่งอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง แล้วจึงเปิดประตูเดินออกมา สภาพคอตกแสดงว่าผิดหวัง
ปัฐวีมองหน้าจอมือถือของเขา แล้วลบชื่อบริษัทอีกบริษัทออก หน้าจอปรากฏคำว่า “ไม่มีข้อมูล”
ปัฐวีเดินมาตามฟุตปาธ มีแผงขายอาหารหลายร้าน เป็นรถซาเล้งขายก๋วยเตี๋ยวหลายคัน และรถเข็นขายข้าวแกง ปัฐวีเดินมาก็มองที่ป้ายบอกราคาแต่ละเจ้า
ก๋วยเตี๋ยวทุกเจ้ามีราคา 40 - 50 บาท จนมาถึงร้านข้าวแกงเขียนว่า
“กับข้าว 1 อย่าง 20 บาท สองอย่าง 25 บาท ใส่ไข่เพิ่ม 5 บาท”
ปัฐวีเดินเข้าไปสั่งอาหารที่ร้านข้าวแกง เอากับข้าว 2 อย่าง ไปนั่งรอที่เก้าอี้ เสียงสัญญาณไลน์เข้าดังขึ้น ปัฐวีหยิบโทรศัพท์มาดูหน้าจอมือถือ คลิกดูข้อความไลน์จากดุจเดือน
“สวัสดีค่ะ”
ปัฐวีพิมพ์ข้อความตอบไป
ดุจเดือนอยู่ที่กองถ่ายละครช่อง8 นั่งเก้าอี้เล่นไลน์อยู่ตรงมุมเสื้อผ้า อ่านข้อความของปัฐวี
“สวัสดีครับ”
สองคนคุยกันทางไลน์
“มีข่าวดีบ้างหรือยัง”
“เพิ่งไป 4-5 บริษัท ส่วนใหญ่ไม่ตรงกับที่เขาต้องการ หรือไม่ก็ได้คนแล้ว”
“เหนื่อยไหม”
“ไม่เหนื่อยหรอก แต่หิว ตอนนี้กำลังรอข้าวแกง เชื่อไหม กับสองอย่าง 25 เอง”
“ถูกดี”
“กินแพงๆ เดี๋ยวเงินเก็บหมด”
“อยากไปกินด้วยจัง”
“ไว้ให้ได้งานก่อน จะเลี้ยงฉลอง”
ดุจเดือนอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพิมพ์ต่อ
“คงได้งานเร็วนี้แหละ เชื่อซิ”
“ไม่รู้ซี”
ปัฐวีส่งสติ๊กเกอร์เป็นรูป “หมดแรง”
ดุจเดือนส่งสติ๊กเกอร์เป็นรูป “สู้ๆ”
ปัฐวีส่งสติ๊กเกอรเป็นรูป “กอดกันพร้อมหัวใจ”
ดุจเดือนก็ส่งสติ๊กเกอร์เป็นรูป “ส่งหัวใจให้”
จากนั้นทั้งสองคนต่างเหม่อๆ กันไป
ปานดาวขับรถเลี้ยวเข้ามาในบริษัท หาที่จอดแอบๆ ปานดาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ชยพล รออยู่ครู่หนึ่ง
“สวัสดีครับ คุณป่าน”
“สวัสดีค่ะ ป่านโทร.มาบอกว่าถึงโรงงานคุณแล้วนะ”
“กำลังคิดถึงอยู่เลย คืองี้ ตอนนี้ผมกำลังตรวจโรงงานอยู่ คุณก็ไปนั่งรอที่ห้องทำงานผมเลยละกัน”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเจอกัน”
ปานดาวกดวางสาย มองออกไปด้านหน้า เห็นรถจอดอยู่หลายคัน จึงขับวนรถไปเรื่อยๆ เพื่อหาที่จอด แต่ก็ไม่มีเลย จนเห็นรถของชยพลก็จำได้
“รถเขานี่” ปานดาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะพิสูจน์อะไรหน่อย”
รถปานดาวแล่นเข้าไปจอดขวางท้ายรถชยพลไว้ เหมือนวันแรกที่เธอมาคุยงานที่นี่ ปานดาวยิ้มกับตัวเอง หยิบกระเป๋าสะพายเปิดประตูกำลังจะก้าวลง แล้วนึกอะไรได้ ปานดาวดึงเบรกมือขึ้น
ปานดาวเดินมาถึงหน้าห้องทำงานชยพล ประตูห้องเปิดอยู่ ปานดาวมองเข้าไป แล้วปานดาวก็เดินไปนั่งลงที่ชุดรับแขกห้องชยพล
ในร้านค้ากลุ่มสตรีบางน้ำผึ้ง ปานวาดนั่งกับแม่บ้าน 4-5 คน กำลังทำดอกไม้ประดิษฐ์กันอยู่ ครู่หนึ่งดาวรายจึงเดินเข้ามา
“มาจมอยู่ที่นี่อีกแล้ว กลับไปดูโฮมสเตย์หน่อย”
“ปอยุ่งอยู่แม่ก็เห็น ดอกไม้ล็อตที่แล้วคนมาซื้อไปหมดเกลี้ยงเลย เนี่ย พวกแฟนคลับปอเขาจะกลับมาซื้ออีกวันสองวันนี้แหละ”
“เหรอ แล้วมันช่วยให้แกรวย หรือพวกนั้นรวย” ดาวรายหงุดหงิด ชี้ไปที่พวกแม่บ้าน “โน่น” แล้วชี้กลับไปทางโฮมสเตย์ “หม้อข้าวแกอยู่ที่นั่นต่างหาก จะมีกินหรืออดตายก็เพราะที่นั่น”
“คนอื่นทำไม่ได้เหรอคะ”
“ป่านไปพบลูกค้า ปัฐก็ออกไปหางานทำ พ่อแกก็ไปไหนไม่รู้ หาเรื่องเที่ยวได้ทุกวัน จะให้แม่ต้องเหนื่อยคนเดียวใช่ไหม แต่ที่สำคัญนะ” ดาวรายเบาเสียงลง ดึงตัวปานวาดออกมาให้ห่างจากพวกแม่บ้าน “คุณภาคีเขารออยู่ที่โน่น”
“นั่นยิ่งไม่เกี่ยวกับปอเลย เขามาตามตื้อน้องป่านนี่นา”
ดาวรายบอกเบาๆ อีกว่า “พูดยังงี้เกิดเขาได้ยินโกรธแย่เลย น้องแกน่ะ ออกไปข้างนอกทุกวัน”
“เอางี้ละกันแม่ หนูช่วยพวกน้าๆ อีกแป๊บ แล้วเดี๋ยวจะไปเฝ้าโฮมสเตย์ให้”
“ต้องรีบไปนะ”
ปานวาดเบื่อๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
“แล้วอย่าให้แม่รู้ว่าแอบไปหาลูกชายนังมาลานะ”
“ไม่ไปหาหรอก มีเวลาที่ไหน”
ดาวรายอดมองปานวาดอย่างระแวงไม่ไว้ใจนัก
ชยพลเดินออกมาจากส่วนโรงงาน จะกลับไปที่ตึกสำนักงานบริหาร เดินมาจนถึงรถปานดาว เห็นรถปานดาวจอดปิดท้ายรถของเขาอยู่ก็อึ้งไป
ชยพลลองเข็นดันรถของปานดาวดู ปรากฏว่ารถไม่เคลื่อน ชยพลขยับมาป้องมือดูที่กระจกมองเข้าไปในรถ
“ขึ้นเบรกมือไว้ด้วย ร้ายไม่เคยเปลี่ยน” ชยพลส่ายหัว
ปานดาวยังนั่งณฮอยู่ที่มุมรับรองแขกในห้องทำงานชยพล สักครู่ใหญ่ชยพลก็เดินเข้ามา
“ขอโทษที่ทำให้รอนานนะครับคุณป่าน”
ปานดาวยืนขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปานดาวแกล้งทำเป็นนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอ่อ ป่านเพิ่งนึกได้ รู้สึกว่าป่านจะจอดรถขวางรถคุณชยพลไว้อีกแล้ว”
ปานดาวทำเป็นรู้สึกผิด แต่ก็แอบชำเลืองมองปฏิกิริยาของชยพลว่าจะโมโหโกรธาเหมือนคราวก่อนหรือเปล่า
“ผมเห็นแล้วครับ ขึ้นเบรกมือไว้ด้วย ขยับไม่ได้เลย”
“จริงเหรอคะ มันเคยมืออีกแล้ว ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ จริงๆ มันเป็นความผิดผมต่างหาก”
ปานดาวงง “ความผิดคุณ”
“ครับ ผมนัดเจอคุณที่นี่ แต่ดันลืมกันที่จอดรถไว้ให้คุณ”
ปานดาวพยักหน้าเห็นด้วย “อืม ความผิดคุณจริงๆ”
“แต่ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว” เขาผายมือเชิญปานดาว “เชิญนั่งครับ เราคุยงานของเราดีกว่า”
ชยพลหันกลับไปปิดประตู
ชลกรนั่งเหม่อเศร้าๆ อยู่ในห้องทำงานกองบรรณาธิการที่สำนักพิมพ์ เอาแต่คิดถึงปานวาด จนบัญชา พี่บก. เดินเข้ามาในนั้น
“ชล เหม่ออะไร”
“เอ่อ บก. เปล่าครับ”
“นี่ ผมอ่านบทความเรื่อง สาวใสใจอาสา ของคุณแล้วนะ”
ชลกรนึกห่วงเหมือนกัน “เป็นไงบ้างครับ”
“ผมชอบมาก ภาพประกอบของคุณก็โอเค มีชีวิตชีวามาก นี่ไงล่ะ ที่ผมเคยบอกคุณ”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ที่ถูกใจผมมากที่สุดคืออะไรรู้ไหม” ชลกรส่ายหน้า “นางแบบของคุณไง น่ารักมาก ตกลงเธอทำงานอยู่ที่กลุ่มสตรีอย่างเดียวหรือเปล่า”
“จริงๆ คุณปานวาดเขาช่วยบริหารโฮมสเตย์ของครอบครัวน่ะครับ งานกลุ่มสตรี เขาทำเพื่อช่วยเหลือคนในชุมชนมากกว่า”
“แต่ไม่มีงานประจำอื่นๆ อีกใช่ไหม”
“ไม่มีครับ”
“เยี่ยมเลย คืองี้ ผมอยากได้น้องปานวาดเนี่ย มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ประจำหนังสือของเรา แบบเวลาเราต้องประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวไหน เราก็จะถ่ายรูปน้องเขากับสถานที่นั้น น้องเขาจะช่วยให้งานของเราโดดเด่นขึ้น ผมอยากให้คุณไปติดต่อเขามาทำงานให้เราหน่อย”
ชลกรอึ้ง นิ่งงันไป “สงสัยคงจะยากครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ผมคิดว่าคุณสนิทกับน้องเขา”
“ตัวคุณปานวาดคงไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่แม่ของเขานี่ซี เขา...เอ่อ ไม่ค่อยชอบผม”
“หวงลูกสาวเหรอ”
ชลกรพยักหน้ารับไป เพราะไม่อยากบอกอะไรมาก
“แต่เราปล่อยเขาหลุดมือไม่ได้เลยนะ ไม่เป็นไร งั้นผมจะจัดการเอง”
ชลกรอึ้งไปอีก กังวลไม่คลายและไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า
ด้านชยพลกับปานดาวกำลังดูรูปถ่ายวิวลำธารธรรมชาติ มีภูเขาเป็นฉากหลัง รูปภาพวางกระจายไปทั่วโต๊ะทำงานชยพล ปานดาวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นี่เป็นโลเกชั่นที่คุณโนริเขาไปดูไว้ คุณคิดยังไง”
“สวยค่ะ มีภูเขาด้วย ที่ไหนคะเนี่ย”
“ราชบุรี”
“ใกล้กรุงเทพฯด้วย ถ้าทำโฮมสเตย์ที่นี่ รับรองลูกค้าเยอะแน่ๆ”
“เห็นแต่กำไรเลยนะ”
“ต้องดีใจกับลูกค้าคุณด้วย”
“ดีใจกับเราต่างหาก”
ปานดาวงง “ยังไงคะ”
“ก็ที่ผมบอกไง คุณจะได้หุ้นที่นี่ด้วย”
“แค่ไหนคะ”
“ถ้าใช้สมองอย่างเดียว ก็อาจจะซักห้าเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าลงเงินด้วย เราสองคนจะถือหุ้นห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์”
“ต้องใช้เงินเท่าไหร่”
“เริ่มต้นที่คนละสองล้านก่อน”
ปานดาวยิ้มแหยๆ “ฉันไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก ขอพ่อแม่ก็คงไม่ได้ ถ้ารู้ว่ามาทำกับคุณ”
“แล้วถ้าผมให้คุณยืมล่ะ” ปานดาวชะงัก มองชยพลนิ่งๆ “ไม่มีดอกเบี้ย ได้กำไรจากหุ้นแล้วค่อยเอามาคืนผม ผมว่าที่นี่น่าจะทำกำไรให้คุณปีละ 2-3 ล้านสบาย ปีเดียวก็อาจจะใช้คืนผมหมด”
“เพื่ออะไรคะ ทำแบบนี้แล้วคุณได้อะไร”
“อาจจะ...ได้เป็นเพื่อนกับคุณ”
ชยพลจ้องตาปานดาวลึกซึ้ง ปานดาวมองตอบ สองคนนิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาปานดาวเต็มไปด้วยคำถาม ชยพลเลยตอบว่า
“จริงๆ แล้ว มันก็เหมือนกับผมและคุณโนริซื้อโนว์ฮาว การบริหารจัดการโฮมสเตย์จากคุณนั่นแหละ”
“หมายความว่า คุณต้องการซื้อความรู้และประสบการณ์ในการทำโฮมสเตย์ของฉัน แล้วนี่ต่อไป ถ้าคุณเรียนรู้หมดแล้ว ฉันจะมั่นใจได้ยังไง ว่าคุณจะไม่ถีบหัวส่งฉัน”
“ผมถึงเสนอ การเป็นหุ้นส่วนให้คุณไง”
ยังไม่ทันที่ปานดาวจะโต้ตอบ เสียงโทรศัพท์ปานดาวดังขึ้น เธอหยิบมาดูแสดงสีหน้าเบื่อๆ ลังเลว่าจะรับสายดีไหม ชยพลมองอยู่ ที่สุดปานดาวก็กดรับพูดสาย
“พี่ภาคี ป่านกำลังคุยงานค่ะ...กับลูกค้าน่ะซีคะ...ทำไมต้องบอกคุณด้วยว่าใคร แค่นี้นะคะ”
ปานดาวกำลังจะกดวางสาย แต่ชยพลกลับยื่นมือเข้ามา หยิบโทรศัพท์จากมือปานดาวไป ปานดาวงง
“เฮ้ คุณภาคีใช่ไหม นี่ผมชยพลนะ”
ปานดาวยกมือเป็นทำนองห้ามไม่ให้พูด แต่ชยพลไม่สนใจ
“ใช่ คุณปานดาวอยู่กับผม เรากำลังคุยงานกัน ผมรู้ว่าคุณพยายามตามตื้อคุณป่าน แต่ทำแบบนี้ ยิ่งทำให้เขารำคาญรู้ไหม คุณควรจะเลิกกวนใจคุณป่านได้แล้ว โอเคนะครับ”
ชยพลกดวางสาย แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ปานดาว
“คุณไปบอกเขาทำไมว่าฉันอยู่ที่นี่”
“คนเราน่ะ ถ้าไม่รู้ก็ยิ่งอยากรู้ ให้รู้ๆไปเลยจะได้จบ”
“มันจะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี”
ปานดาวเซ็ง
ภาคีเดินไปเดินมากระวนกระวายอยู่สักครู่หนึ่ง ดาวรายจึงเดินเข้ามาภาคีรีบเข้าไปหา
“คุณแม่ครับ ผมรู้แล้วครับ ว่าวันนี้ป่านไปคุยงานกับใคร”
“เหรอ เขาไปคุยกับใคร”
“นายชยพล คนที่คุณแม่เกลียดนักเกลียดหนาไงครับ”
“หา จริงเหรอ โธ่เว๊ย ลูกคนนี้นี่”
“อย่าไปโทษน้องป่านเลยครับ เรื่องนี้คนเดียวที่ต้องถูกด่า คือนายชยพล”
เสียงแวนด้าแหลมเข้ามา “ทำไมต้องด่าพอลคะ”
ทั้งดาวรายและภาคีหันไปมอง แวนด้าเดินเข้ามา
“พอลไปทำอะไรให้พวกคุณคะ”
ดาวรายงง “ใครคือพอล”
“ก็ที่คุณพูดถึงอยู่เมื่อกี้ไง คุณชยพลน่ะ”
“แล้วคุณเป็นอะไรกับเขา”
“ฉันเป็น...ภรรยาเขา”
ดาวรายตกใจ “หา มันมีเมียแล้วเหรอ”
“นี่คุณ พูดถึงพอลให้มันดีๆ หน่อย”
“จะให้พูดดีได้ยังไง รู้ไหม สามีคุณน่ะกำลังจะมาหลอกลูกสาวฉัน”
“ที่ชื่อปานดาวใช่ไหม”
“ใช่ คุณทำไมไม่รู้จักดูแลสามีตัวเอง”
“แต่ฉันเคยพูดกับลูกสาวคุณแล้ว เขาไม่ยอมเชื่อ คุณบอกลูกคุณไปได้เลย ให้เลิกยุ่งกับพอล”
“คุณก็ต้องช่วยด้วยซี” ดาวรายบอก
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ปล่อยพอลให้กับใครแน่ๆ”
ฝ่ายชยพลกับปานดาวเดินออกมาจากตึก เดินตรงไปยังรถ ปานดาวไขกุญแจเปิดรถหันมาทางชยพล
“ผมฝากคุณไปคิดก็แล้วกันนะ ถ้าตกลง ผมจะได้แจ้งคุณโนริ”
“คงต้องใช้เวลาหน่อย”
“ผมไม่เร่งรัดคุณหรอก คุณคิดให้รอบครอบ ว่าจะแค่ลงแรง หรือลงทุนด้วย เอาที่คุณสบายใจ ยังไงโฮมสเตย์ที่ใหม่ ก็ไม่แย่งลูกค้าเก่าอยู่แล้วเพราะคนละที่กัน ผมเชื่อว่าคุณมีแต่ได้กับได้นะ ลองคิดดู”
ปานดาวติดเครื่อง แล้วถอยรถ ขับออกไป
ชยพลโบกมือส่ง ทันทีที่หันกลับเข้าออฟฟิศ สีหน้าชยพลยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเต็มหน้าอันหล่อลากไส้นั้น
อ่านต่อหน้า 4
บ่วงรักสลักแค้น ตอนที่ 09 (ต่อ)
ปานดาวขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆ กับทางเข้าโฮมสเตย์ เปิดประตูลงจากรถ กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน จู่ๆ แวนด้าเดินเข้ามาขวางหน้าไว้ ปานดาวชะงัก
“ไปแอบเจอกับพอลมาใช่ไหม”
“ไม่ได้แอบ เราคุยงานกัน”
“เมื่อไหร่ถึงจะเข้าใจ หน้าตาเธอก็ดี น่าจะหาผู้ชายได้ไม่ยาก เลิกยุ่งกับพอลได้แล้ว”
“น่าสนใจเหมือนกัน ถ้าฉันไม่เลิกล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น”
“เธอก็จะได้รับบทเรียนที่ไม่มีวันลืมน่ะซี”
“คนเราจะขู่คนอื่นยังไงก็ได้ แต่จะกล้าทำอะไรหรือเปล่านั่นอีกเรื่อง”
“อยากรู้ใช่ไหม ว่าฉันทำอะไรได้”
แวนด้าเงื้อมือขึ้นวาดมือลงไปหมายจะตบหน้าปานดาวระบายแค้น แต่ปานดาวยกมือจับแขนของแวนด้าไว้แล้วบิดข้อมือจับหันหลัง โดยปานดาวยังไม่ยอมปล่อย
“โอ๊ย ปล่อยนะ”
“มันไม่ง่ายหรอกนะ คิดจะทำร้ายคนอื่นน่ะ จะบอกให้นะ ฉันรู้ว่าจริงๆแล้ว เธอเป็นอะไรกับคุณชยพล เธอกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน”
“เพื่อนงั้นเหรอ”
“คุณชยพลเขาดีกับเธอ เธอไม่ควรอาศัยความเป็นสุภาพบุรุษของเขา มาเอาเปรียบเขา”
“พูดเรื่องบ้าอะไร ฉันไม่เคยเอาเปรียบพอล เธอนั่นแหละที่โดนเขาหลอก คนซื่ออย่างเธอ ตามพอลไม่ทันหรอก”
“เอาซีพูดออกมาให้หมด แต่จะบอกให้นะ ฉันไม่เคยเชื่อเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าเธอแล้ว รู้ตัวไว้ด้วย เธอนั่นแหละ ที่ไม่เหมาะสมกับคุณชยพล”
ปานดาวปล่อยมือจากแวนด้า ดันร่างแวนด้าจนเซถลาไปข้างหน้า
“ไปซะ แล้วอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
แวนด้าหันขวับมาหาปานดาว
“ไม่เชื่อฉันใช่ไหม ได้ แล้วฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็น”
ดุจเดือนนั่งรออยู่ที่ศาลานั่งพักในสวนสาธารณะ ปัฐวีเดินมาตามทางในสวน พอเห็นดุจเดือนก็เดินเข้าไปหาปัฐวี แล้วนั่งลงข้างๆ
“รอนานไหม”
“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง เป็นไง เหนื่อยไหม”
ปัฐวียิ้ม “เห็นดุจแล้วหายเหนื่อยหมดเลย”
“ถามจริง ชอบตอบเล่นๆ”
“ผมพูดจริงๆ นะ”
“ถ้างั้นดุจก็ดีใจนะ ที่ทำให้ปัฐหายเหนื่อย แล้วเรื่องงานเป็นยังไง”
“วันนี้ดีขึ้นเยอะ เขารับเอกสารผมไว้พิจารณาหลายบริษัทเลย แต่ต้องรอเขาพิจารณาหน่อย”
“จริงเหรอ”
ปัฐวีนิ่งไปนิดจึงพยักหน้าให้
“งั้นดุจดีใจด้วยนะ”
ปัฐวียิ้มเนือยๆ พยักหน้ารับ
“ดุจไม่ต้องเครียดไปหรอก ยังไงผมต้องได้งานทำแน่”
ดุจเดือนรู้ดีว่าที่ปัฐวีพูดมาทั้งหมดก็เพื่อให้ตนสบายใจ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าหลายบริษัทรับพิจารณาเขาอยู่ แต่ดุจเดือนก็ยิ้มให้กำลังใจปัฐวี
เช้าวันต่อมา ที่บ้านก้องภพในกรุงเทพฯ รถจอดรออยู่หน้าตึกแล้ว คนขับเช็ดรถเสร็จจึงเห็นก้องภพเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับกระเป๋าเอกสาร คนขับรถรีบมารับกระเป๋าไปเก็บ ขณะที่ก้องภพจะก้าวขึ้นรถนั้น ดุจเดือนวิ่งออกมาจากในบ้าน
“พ่อคะ เดี๋ยวค่ะ”
ก้องภพหยุดรอ หันมาหาดุจเดือน
“จะออกไปด้วยกันเหรอ”
“เปล่าค่ะ ดุจอยากคุยอะไรกับพ่อหน่อย”
ดุจเดือนดึงก้องภพถอยห่างออกมาจากรถ เหมือนเรื่องที่จะพูดไม่อยากให้คนขับรถได้ยิน
“ความลับเหรอ”
“นิดหน่อยค่ะ” ก้องภพรอฟัง “ปัฐเขาลาออกจากโฮมสเตย์แล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“เขาอยากหางานทำเองน่ะค่ะ แต่ที่รู้ยังไม่มีที่ไหนรับเขาเลย ที่บริษัทพ่อพอมีตำแหน่งว่างไหมคะ”
“เขาจบอะไรนะ”
“มนุษย์ศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์”
ก้องภพนิ่งไป “สายงานที่พ่อดูแลกำลังทำเรื่องเพิ่มตำแหน่งงานอยู่ พ่อจะดูให้ละกัน พรุ่งนี้ให้เขาไปพบพ่อที่ออฟฟิศด้วย”
“ขอบคุณมากค่ะพอ”
ดุจเดือนกอด หอมแก้มพ่ออีกฟอดใหญ่ ก้องภพหัวเราะดีใจที่ได้ช่วยลูก
บัญชา บก.เจ้านายชลกร เดินเข้ามาในล็อบบี้โฮมสเตย์ ตรงไปที่เคาน์เตอร์มีพนักงานนั่งอยู่
“คุณปานวาดอยู่ไหม”
“สักครู่นะคะ”
พนักงานลุกออกไปดูทางด้านหลัง สักครู่หนึ่งจึงเห็นดาวรายเดินออกมา
“มาพบใครคะ”
“คุณปานวาดครับ”
“มีธุระอะไรกับปานวาดเหรอคะ”
“ผมมาจากนิตยสารท่องเที่ยวครับ” พร้อมกับว่า บัญชาหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ดาวราย “ชื่อบัญชาครับ เป็น บก.หนังสือ อยากติดต่อขอให้คุณปานวาดไปเป็นพรีเซ็นเตอร์หนังสือของผม”
ปานวาดแอบฟังอยู่ด้านหลัง
“ดิฉันเป็นแม่ปานวาด แล้วคุณรู้จักลูกสาวดิฉันได้ยังไง”
“แหม คุณปานวาดเขาดังออกครับ เป็นเน็ตไอดอลเลยตอนนี้”
ดาวรายยิ้มปลื้ม “งั้นรอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวฉันไปตามลูกสาวมาคุยกับคุณค่ะ”
ดาวรายเดินมาถึงจุดที่ปานวาดแอบอยู่ รีบดึงแขนดาวรายถอยกลับเข้าไปหลบมุมคุย
“ปอไม่เอานะแม่ ใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก”
“เดี๋ยวซีลูก ใจเย็น คุยไว้ไม่เสียหาย งั้นให้แม่คุยกับเขาแทนก่อนละกัน”
ดาวรายออกมาคุยต่อ
ปานวาดยังไม่สบายใจอยู่อย่างนั้น จนมีเสียงไลน์ดังขึ้น จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู เห็นข้อความไลน์ในจอ
“คุณบัญชาเป็น บก.ของผมเอง รับงานเขาได้เลย”
ปานวาดยิ้ม ส่งสติ๊กเกอร์โอเคตอบไป จากนั้นก็กลับมาหาดาวราย
“แม่คะ ตกลงค่ะ ปอจะไปทำงานกับคุณบัญชา”
ดาวรายอึ้งยังงงๆ ปานวาดไหว้บัญชา
“สวัสดีค่ะ ปานวาดค่ะ”
“ผมบัญชานะครับ แหม ตัวจริงน่ารักกว่ารูปตั้งเยอะ”
ดาวรายเก็ตทันที “เดี๋ยวๆ ค่ะ หนังสือของคุณนี่ ที่นายชลกรทำอยู่หรือเปล่า”
บัญชาอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง “เอ่อ...ใช่ครับ”
ดาวรายงั้นฉันไม่อนุญาตให้ลูกทำ
“แต่เรื่องงานที่คุณปานวาดจะทำ ไม่เกี่ยวกับชลกรเลยครับ คนละแผนกเลย”
“จริงนะ” ดาวรายจ้องหน้าท่าทางจริงจังมาก
“จริงซีครับ”
“คุณต้องรับปากกับฉันว่า นายชลกรจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับลูกสาวฉัน”
“ได้ครับผมรับปาก”
ดาวรายได้ฟังค่อยมั่นใจขึ้น
บัญชาเดินกลับมายังรถที่จอดอยู่ริมถนนหน้าโฮมสเตย์ เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งในที่นั่งคนขับ
“แม่ปานวาดชิงชังนายมากเลย”
ชลกรนั่งรออยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับในรถแล้ว
“แต่ก็สำเร็จแล้ว พรุ่งนี้ผมนัดไปเจอที่สตูดิโอเลย” บัญชาบอก
ชลกรยิ้มอวดลักยิ้ม
ด้านปานวาดกดเปิดอ่านไลน์จากชลกรที่ส่งมานัด
“พรุ่งนี้เจอกันครับ รับรองสนุกกับงานแน่ๆ”
ปานวาดยิ้มๆ มองซ้ายมองขวากลัวแม่จะมาเห็น
รถของแวนด้าแล่นเข้ามาจอดที่หน้าอาคารสำนักงานบริษัทชยพลในตอนเช้า เจ้าหล่อนเปิดประตูก้าวลงจากรถ เดินตรงเข้าไปในตึก
ชยพลนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องประจำตำแหน่ง เอนตัวพิงเก้าอี้ท่านั่งสบายๆ คุยโทรศัพท์อยู่
“น้ามาลัยครับ พลพูดนะครับ จำได้ไหมครับ ที่ผมรับปากน้าว่า ผมจะแก้แค้นให้น้ากับแม่ ผมคิดว่า กำลังใกล้จะเป็นจริงแล้วล่ะครับ ครับ ผมทำให้ปานดาวยอมรับผมได้แล้ว ถ้าปลากินเบ็ดเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมจะเผด็จศึก...เมื่อไหร่เหรอครับ” ชยพลหัวเราะ “ไม่นานครับ อีกไม่นาน ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ ผมรับรองได้ จะไม่ทำให้น้ามาลัยผิดหวังเด็ดขาด”
แวนด้ามาถึงหน้าห้องทำงานชัยพล หยิบมือถือออกมาคลิกจอมือถือ เปิดโปรแกรมบันทึกเสียง กดเริ่มบันทึก เก็บมือถือไว้ในกระเป๋าถือ รูดซิปเปิดปากกระเป๋าเอาไว้
แวนด้าเคาะประตูห้องทำงาน มีเสียงชยพลบอกว่า “เชิญ” ดังออกมา
แวนด้าเปิดประตูเข้าไปข้างใน
ชยพลชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นแวนด้าเดินเข้ามาในห้องทำงาน เขาวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะพูดเป็นเชิงตำหนิ
“น่าจะโทร.มาบอกผมก่อน”
“ทำไมเหรอ คุณจะได้ซ่อนอีหนูของคุณทันใช่ไหม” เซเลบสาวมองไปรอบๆ ห้อง “แต่วันนี้คุณก็ไม่ได้พาอีหนูมาที่นี่นี่”
“วันไหนผมก็ไม่ได้พาใครมาทั้งนั้น”
“ไม่จริงหรอก แวนด้ารู้ว่าเมื่อวานคุณพานังเด็กล้างจานมาที่นี่”
ชยพลชักไม่พอใจลุกขึ้น แวนด้าเดินไปริมหน้าต่างมองออกไป
“คุณปานดาวเขามาคุยงานกับผม”
แวนด้าหันมา “พอเหอะพอล เลิกโกหกแวนด้าซักที พอลกำลังจะทิ้งแวนด้า แล้วไปหานังนั่นใช่ไหม”
“คิดแบบนั้นได้ยังไง ผมน่ะเหรอจะทิ้งแวนด้า”
“ก็พฤติกรรมของคุณมันฟ้อง พยายามหนีแวนด้า อ้างว่าไปเชียงใหม่ แต่กลับไปดินเนอร์กับมัน เมื่อวานก็พามันมา...” แวนด้าจงใจเน้นคำ “คุยงาน ที่นี่อีก ทำไมคะ มันมีอะไรดีกว่าแวนด้า มันให้บริการพอลถึงใจมากหรือไงคะ”
“แวนด้า ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คุณกำลังเข้าใจผิด”
ชยพลเข้าไปกอดเอวแวนด้าไว้ เซเลบสาวทำเป็นกระเง้ากระงอดพอเป็นพิธี
“ทั้งหมดที่ผมทำกับปานดาว มีแต่เรื่องงานจริงๆ แต่หัวใจผมทั้งหมดน่ะ เป็นของคุณคนเดียว”
“พูดกับมันแบบนี้ด้วยใช่ไหม”
“ไม่ ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน มีแต่แวนด้าคนเดียวเท่านั้น”
“กล้าสาบานไหม”
ชยพลยกมือขวาขึ้น “ผมขอสาบาน ถ้าผมไม่จริงใจกับแวนด้า หรือไปยุ่งกับผู้หญิงอื่น ขอให้ผมมีอันเป็นไปในห้าวันเจ็ดวัน พอใจหรือยัง”
แวนด้ามองซึ้ง “แวนด้าขอโทษนะที่สงสัยพอล แวนด้าผิดไปแล้ว”
ชยพลเข้ามาสวมกอดแวนด้า
“แวนด้าไม่ผิดหรอก รักมาก ก็ต้องหวงมาก ถ้าแวนด้าไปทำอะไรกับผู้ชายคนอื่น ผมอาจจะคลั่งฆ่าไอ้คนนั้นเลยก็ได้ เพราะผมรักแวนด้ามากเหลือเกิน”
“แวนด้ารู้ค่ะ รู้แล้วว่าคุณรักแวนด้าคนเดียว”
แวนด้ากอดตอบซบหน้าลงกับอกแกร่งของชยพลยิ้มร้ายสมใจออกมา เพราะได้หลักฐานที่หล่อนต้องการแล้ว
ปัฐวีพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน
“ว่าไงครับดุจ”
ดุจเดือนพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนที่บ้าน
“ยังไม่นอนใช่ไหม”
“กำลังจะ”
“พรุ่งนี้ปัฐทำอะไรไหม”
“ก็ออกไปหางานต่อไง”
“งั้นพักวันนึง ดุจอยากให้ปัฐแวะไปหาพ่อดุจที่บริษัทหน่อย”
“ไปทำไมเหรอ”
“ไปเถอะ เดี๋ยวก็รู้”
“โอเคครับ ถ้าดุจนัด ก็ต้องเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ผมจะไปหาท่านซักสิบโมงนะ”
“ได้ค่ะ ราวๆ นั้นแหละ”
วันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ของสำนักพิมพ์คนหนึ่ง เดินนำปานวาดเข้ามาในสำนักพิมพ์ จนมาหยุดที่หน้าสตูดิโอถ่ายรูป เห็นชลกรกำลังเช็คอุปกรณ์ถ่ายรูปของเขาอยู่ที่นั่น
ปานวาดเดินเข้าไปหาแล้วกระแอมเบาๆ ชลกรเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มดีใจที่เห็นปานวาด
“มาแล้วเหรอ”
“ชลจะเป็นคนถ่ายรูปปอเหรอ”
“บก.ไม่ไว้ใจให้คนอื่นถ่ายรูปคุณหรอก”
“ปอยังไม่เคยเป็นนางแบบมาก่อน ยังไงก็อย่าดุนักละกัน”
ชลกรยิ้มเก็บกล้องและอุปกรณ์ลงกระเป๋าปิดเรียบร้อยแล้วลุกขึ้น
“ไป เดี๋ยวผมจะพาคุณไปเที่ยวทั่วโลกเลย”
ชลกรเดินนำปานวาดไปที่ประตูห้องสตูดิโอ แล้วเปิดประตูเข้าไป
สองคนเดินเข้ามาในสตูดิโอ ปานวาดมองไปข้างหน้าแล้วนิ่งไป ภายในห้องมีเพียงฉากสีเขียวกับไฟสำหรับจัดถ่ายรูป
“ไปทั่วโลกเหรอ”
“ผมจะถ่ายรูปปอกับฉากสีเขียวนี่แหละ แล้วฝ่ายกราฟฟิคเขาจะเติมฉากสถานที่ท่องเที่ยวให้เราเอง”
“มันจะเหมือนจริงเหรอ”
“รับรองเนียนแน่นอน เสื้อผ้าจะช่วยให้เหมือนจริงด้วย”
ชลกรเดินไปรูดม่านเปิดให้เห็นราวเสื้อผ้า มีเสื้อผ้านานาชาติแขวนอยู่บนราวเป็นตับ ปานวาดมองแล้วอึ้งไป
อาคารที่ทำการบริษัทของก้องภพใหญ่โตสมกับความมั่งคั่งของฐานะ ขณะที่ก้องภพกำลังเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงาน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วประตูถูกเปิดเข้ามา เป็นเลขาของก้องภพ
“ท่านคะ คุณปัฐวีมาขอพบค่ะ”
“ให้เข้ามาเลย”
เลขากลับออกไป แล้วกลับเข้ามาใหม่พร้อมกับปัฐวี ก้องภพยืนขึ้นต้อนรับ
“สวัสดีครับ” ปัฐวีรีบยกมือไหว้ ก้องภพรับไหว้
เลขากลับออกไปแล้วปิดประตูลง
ปัฐวีเดินเข้ามาแล้วหยุดมองไปรอบๆ ห้อง อย่างตื่นตาตื่นใจ ห้องทำงานของก้องภพดูหรูหรามาก
“ห้องทำงานสวยมากเลยครับ”
“แลกกับการทุ่มเทชีวิตให้กับงานเกือบสามสิบปี”
“ดุจบอกท่านอยากให้ผมมาพบ”
“ท่านเทิ่นอะไร เรียกลุงก็ได้”
“ครับ คุณลุง”
“เธอลาออกจากงานที่โฮมสเตย์เหรอ ทำไมล่ะ”
ปัฐวีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมอยากเริ่มต้นชีวิตด้วยตัวเองครับ อยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ผมทำได้”
“ตอนนี้ยังไม่มีงานใหม่ใช่ไหม”
ปัฐวีส่ายหน้า “ยังครับ”
“ดีเลย พอดีที่นี่เขาต้องการคนช่วยงานด้านสต็อกเพิ่ม เธอพอจะทำไหวไหม”
“เป็นงานพวกเช็คสต็อกของเหรอครับ”
“นั่นแหละ เป็นงานที่ต้องการคนที่ไว้ใจได้มาทำ ส่วนใหญ่เราจะจ้างแต่คนใน” ก้องภพยิ้มให้ “ลุงคิดว่าเธอเป็นคนในคนหนึ่ง”
ปัฐวีไหว้ด้วยความซาบซึ้ง “ขอบพระคุณมากครับคุณลุง”
ก้องภพเองก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยเพราะถูกชะตากับปัฐวีมาก
ปานวาดกับชลกรนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานชลกรด้วยกัน
“ที่นี้ลองดูรูปชุดเอเชีย ที่กราฟฟิกเขาทำมาให้นะ”
ชลกรคลิกรูปแบบสไลด์โชว์ ปานวาดแต่งตัวด้วยชุดประจำชาติ ของชาติต่างๆ ในเอเชีย ยืนอยู่หน้าแหล่งท่องเที่ยวของประเทศนั้นๆ ปรากฏขึ้น ภาพสมจริงมาก จนปานวาดเองยังตะลึง สองคนดูกันไปหัวเราะกันไปอย่างมีความสุข
เย็นนั้นก้องภพเดินดูกล้วยไม้ที่ปลูกไว้ในสนามหน้า ดุจเดือนเดินตามคุยกันไปด้วย
“ตกลงปัฐเขาจะเริ่มไปทำงานกับพ่อพรุ่งนี้แล้วนะ”
“ตำแหน่งอะไรคะ”
“เจ้าหน้าที่สต็อก”
ดุจเดือนอึ้งไป
“วุฒิเขาหาตำแหน่งที่ตรงยากมาก แต่พ่อให้เขามาช่วยทำงานนี้ เพราะเป็นตำแหน่งที่ต้องการคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด เป็นตำแหน่งที่สำคัญนะ”
“แล้วปัฐเขาโอเคไหมคะ”
“เขาพอใจมากเลยล่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะพ่อ”
ดุจเดือนกอดก้องภพ แล้วถอนตัวออกมา
“พ่ออยากให้เราบอกให้แม่เขารู้”
“ไม่ได้นะคะ”
“ปกติพ่อกับแม่ไม่เคยมีความลับกันเลย”
“แต่เรื่องนี้ดุจขอไว้ก่อนเถอะค่ะ ดุจกลัวจะมีปัญหา”
ก้องภพนิ่งคิดไปครู่หนึ่งจึงว่า “เอางั้นเหรอ”
“นะคะ”
“ซักระยะนึงก็แล้วกัน ถ้าแม่เขาเริ่มยอมรับเรื่องของลูกสองคนได้ เราค่อยบอก พ่อไม่อยากให้เขารู้เอง”
“ก็ได้ค่ะ ซักระยะนึง”
ดุจเดือนยิ้มแต่ช่างเป็นยิ้มที่แห้งแล้งเหลือเกิน ด้วยลึกๆ ในใจยังไม่แน่ใจว่ามาลัยจะยอมรับเรื่องของเธอกับปัฐวีได้
อ่านต่อตอนที่ 10